การบริหารทรัพยากรบุคคล – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 10 Jan 2023 12:11:57 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เตรียมใจ! เทรนด์ใหม่ปี 2023 ‘Quiet Hiring’ ย้ายตำแหน่งเพื่อทำงานที่ ‘สำคัญกว่า’ ให้องค์กร https://positioningmag.com/1415006 Tue, 10 Jan 2023 10:38:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1415006 รู้จัก ‘Quiet Hiring’ กระแสการบริหารบุคลากรที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐฯ (และอาจมาถึงไทยในไม่ช้า) เพราะเศรษฐกิจฝืดบีบให้องค์กรต้องรัดเข็มขัด แต่ความท้าทายทางธุรกิจเร่งให้บริษัทต้องเปลี่ยนแปลง คำตอบขององค์กรจึงเป็นการเจรจาโยกย้ายบุคลากรไปทำงานตำแหน่งอื่นที่สำคัญกว่า

Emily Rose McRae หัวหน้าทีมวิจัยด้านอนาคตของการทำงาน จากบริษัทวิจัย Gartner กล่าวถึงเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในปี 2023 ว่าจะเป็นเทรนด์ ‘Quiet Hiring’ ตอบโจทย์การหาทักษะใหม่ทำงานให้องค์กรโดยไม่ต้องจ้างพนักงานใหม่แบบเต็มเวลา

บางครั้งกระแสนี้หมายถึงการเปิดรับลูกจ้างแบบสัญญาจ้าง บางครั้งหมายถึงการผลักดันให้พนักงานปัจจุบันย้ายตำแหน่งไปทำหน้าที่อื่นในองค์กร

“ความจริงที่จะเกิดขึ้นในปีนี้คือ ไม่ว่าเราจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่ ทุกคนก็ล้วนรู้สึกหวั่นเกรงนิดๆ ทั้งนั้น” McRae กล่าว “ในหลายๆ กรณี องค์กรไม่ได้หยุดการจ้างงานหรือฟรีซคน และไม่มีการเลย์ออฟ แต่อาจจะจ้างเพิ่มในจำนวนน้อยลง”

อย่างไรก็ตาม ทุกองค์กรก็ยังคงมีเป้าหมายด้านรายได้ที่ต้องไปให้ถึง และส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเป้าหมายที่ทะเยอทะยานแม้เศรษฐกิจจะไม่ดีก็ตาม

“ปัญหาขาดแคลน ‘ทาเลนต์’ จากปี 2022 ก็ยังไม่ไปไหนด้วยเช่นกัน” McRae กล่าว “ดังนั้น คุณจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่เพิ่มจำนวนคนไม่ได้ แต่ก็ต้องการทาเลนต์มาทำงานอย่างมาก”

คำตอบของโจทย์นี้จึงเป็นการ Quiet Hiring ซึ่งไม่ใช่การจ้างงานคนใหม่แต่เป็นการจัดลำดับตำแหน่งที่สำคัญกับบริษัทมากที่สุดก่อนในห้วงเวลาหนึ่งๆ จากนั้นก็โยกย้ายพนักงานไปทำตำแหน่งที่สำคัญกว่าก่อน ซึ่งอาจจะไม่ใช่การย้ายถาวรก็ได้ แต่เป็นการผสมผสานบทบาทหน้าที่ สวมหมวกหลายใบชั่วคราว

McRae อ้างถึงตัวอย่างการ Quiet Hiring ที่เคยเกิดขึ้นแล้ว เช่น เมื่อปีที่แล้วสายการบิน Qantas ในออสเตรเลีย มีการร้องขอให้พนักงานระดับผู้บริหารมาช่วยทำงานเป็นพนักงานยกกระเป๋าชั่วคราวไปก่อน เพราะเกิดเหตุแรงงานขาดแคลนสวนทางกับดีมานด์การบินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ผู้บริหารก็ยอมทำเพราะว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะทำให้บริษัทไปต่อได้ เป็นการโยกย้ายตำแหน่งชั่วคราวที่ทุกคนเข้าใจตรรกะเหตุผล” McRae กล่าว

นอกจากการย้ายตำแหน่งชั่วคราว บริษัทยังอาจจะมีการจ้างงานชั่วคราวจากคนภายนอกเพื่อช่วยให้บริษัทอยู่รอดปีนี้ไปได้ก่อน และตอบโจทย์ตำแหน่งที่จำเป็นมากที่สุดก่อน

 

นายจ้าง-ลูกจ้างจะปรับตัวกันอย่างไร

การถูกย้ายตำแหน่งงานอาจจะเป็นสิ่งที่น่าหวั่นกลัว น่าหนักใจสำหรับลูกจ้าง ประเด็นนี้ McRae ให้คำแนะนำทั้งกับนายจ้าง/หัวหน้างาน และพนักงานว่าจะเปลี่ยนผ่านตำแหน่งงานอย่างไรให้สบายใจที่สุด

สำหรับหัวหน้างานนั้น การเข้าเสนอลูกน้องให้ย้ายตำแหน่งงานควรจะอธิบายให้ชัดเจนว่าตำแหน่งงานใหม่หรือโปรเจ็กต์ใหม่ที่จะให้ทำนั้นสำคัญกับความสำเร็จของบริษัทอย่างไร เพื่อทำให้พนักงานที่ถูกย้ายงานรู้สึกว่าตนมีคุณค่า และไม่มองว่าการถูกย้ายตำแหน่งงานคือสัญญาณว่าตำแหน่งในบริษัทของตนไม่มั่นคง ซึ่งจะนำไปสู่การหางานใหม่ได้

หัวหน้างานอาจจะฉายภาพให้ชัดไปเลยว่า การยอมย้ายตำแหน่งงานในครั้งนี้จะเป็นบันไดสู่การเติบโตในหน้าที่การงานที่นี่ได้อย่างไร หรืออาจจะบอกข้อดีอื่นๆ ของตำแหน่งงานใหม่ เช่น ตำแหน่งใหม่จะให้สมดุลชีวิตและการงาน (work-life balance) ที่ดีกว่า

โดยสรุปก็คือ แค่เหตุผลของบริษัทว่าเพราะบริษัทต้องการคนในส่วนนี้ขององค์กร ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่จะจูงใจคนได้ ต้องมีแรงจูงใจอื่นให้พนักงานด้วย

ในทางกลับกัน สำหรับพนักงานที่สนใจจะย้ายตำแหน่งงานอยู่แล้ว นี่จะเป็นโอกาสอันดีที่จะเข้าไปต่อรองกับหัวหน้างานถึงการเติบโตของตนเองในบริษัทนี้

Source

 

ไม่ใช่แค่บริษัทต่างชาติที่มีการ Quiet Hiring องค์กรไทยบางแห่งก็เริ่มแล้ว เช่น ไปรษณีย์ไทย ซึ่งมีแผนจะขยับโครงสร้างองค์กร เปลี่ยนให้เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์สาขาไปทำหน้าที่อื่นที่สำคัญกับบริษัทมากขึ้น อย่างการรับพัสดุถึงบ้าน (pick-up service) หรือบริการหลังการขาย (อ่านเพิ่มเติมที่: ถาม-ตอบ “ดร.ดนันท์” แม่ทัพ “ไปรษณีย์ไทย” กับน่านน้ำใหม่ที่จะใช้เครือข่าย “พี่ไปรฯ” ทำธุรกิจ)

]]>
1415006
“อิมแพ็ค” ปรับกลยุทธ์ “Employer Branding” แก้ปัญหาธุรกิจ MICE ขาดบุคลากรรุ่นใหม่ https://positioningmag.com/1409811 Thu, 24 Nov 2022 08:28:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1409811 อุตสาหกรรม MICE กลายเป็นธุรกิจที่กำลัง “ขาดแคลน” บุคลากรคนรุ่นใหม่ เพราะไม่ใช่สายอาชีพที่น้องๆ สนใจสูงอีกต่อไป ทำให้ “อิมแพ็ค” พี่ใหญ่วงการของเมืองไทยต้องเร่งปรับกลยุทธ์ด้าน “Employer Branding” เพื่อสร้างความนิยมในฐานะ “นายจ้าง” ที่ดี ดึงคนรุ่นใหม่มาร่วมงาน พร้อมจัดโครงการ “กล้า MICE” ต่อเนื่องเป็นรุ่นที่ 4 เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้รู้จักสายงานนี้มากขึ้น

“อิมแพ็คเราทำงานร่วมกับอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่เปิดการเรียนการสอนในสาขา MICE อยู่ตลอด อาจารย์จะบอกกับเราทุกปีว่า มีเด็กมาสมัครเรียนสาขานี้น้อยลงๆ ทุกปีนะ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกหน่อยแรงงานจะหายไปจากตลาด” ทมิตา จงสวัสดิ์วรกุล ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลองค์กร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงในตลาดงานที่ทำให้บริษัทต้องวางกลยุทธ์เพื่อ ‘ทำอย่างไรให้คนรุ่นใหม่สนใจงาน MICE และสนใจทำงานกับอิมแพ็ค’

เหตุที่คนรุ่นใหม่ไม่เข้ามาในวงการนั้นมีหลายเหตุผล บ้างไม่รู้จักว่า MICE คืออะไรและทำงานอะไร บ้างได้ยินเสียงเล่าปากต่อปากว่าการจัดการประชุมและแสดงสินค้านั้นเป็นงานที่ ‘หนักมาก’ ในขณะที่ทางเลือกของคนเจนใหม่มีมากขึ้น มีอาชีพที่เป็นที่นิยมสูงเข้ามาแทนอย่างงานสายเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงแนวคิดของคนรุ่นใหม่ไม่ชอบการทำงานประจำที่เข้าออกเป็นเวลา แต่ชอบงานอิสระ หรือเป็นเจ้าของกิจการเองมากกว่า

นั่นทำให้อิมแพ็คเริ่มแก้เกมการดึงบุคลากรเข้าสู่องค์กร โดยจะต้องทำทั้งสองด้าน คือ การปรับองค์กรให้เป็นที่ดึงดูดใจในฐานะนายจ้าง (Employer Branding) และ การเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้ทำความรู้จักกับอาชีพในสายงาน MICE ผ่านโครงการกล้า MICE

 

3 ด้านปรับ Employer Branding ใหม่ของ “อิมแพ็ค”

ปัจจุบัน “บางกอกแลนด์” บริษัทแม่ของอิมแพ็ค มีพนักงานทั้งหมดกว่า 2,000 คน (รวมทั้ง 6 บริษัทย่อยในเครือ) โดยทมิตาคะเนคร่าวๆ มีคนเจนเอ็กซ์จนถึงบูมเมอร์ราวครึ่งหนึ่งขององค์กร ขณะที่คนเจนวายอยู่ในองค์กรราว 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ ส่วนคนเจนซีซึ่งมักจะเป็นกลุ่ม first jobber นั้นยังน้อยมาก ไม่เกิน 10%

ทมิตา จงสวัสดิ์วรกุล ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลองค์กร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด

กลยุทธ์ในการปรับเปลี่ยน Employer Branding ครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อจะทำให้คนเจนวายจนถึงเจนซีสนใจร่วมงานกับองค์กรมากขึ้น โดยเราสรุปจากการพูดคุยกับทมิตาว่า อิมแพ็คได้เปลี่ยนอะไรไปแล้วบ้างรวม 3 ข้อ ดังนี้

1.การทำงานที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่

แนวนโยบายใหม่ของอิมแพ็คจะมีการส่งเสริม mindset ในระดับบริหาร ให้เปิดการรับฟังและโอกาสในการทำงานแก่คนเจนใหม่ มอบหมายให้คนรุ่นใหม่เป็นผู้รับผิดชอบงานและเสนอไอเดียการทำงานมากขึ้น

โดยก่อนหน้านี้บริษัทมีการเปิด “โครงการประกวดนวัตกรรม R2i” (From Routine to Innovation) จัดขึ้นต่อเนื่องมาแล้ว 4 ปี โครงการนี้เป็นทั้งเวทีที่เปิดให้ทุกคนได้แสดงความสามารถ และกระตุ้นให้พนักงานคิดนอกกรอบ สร้างนวัตกรรม เพื่อทำให้งานมีคุณภาพดีขึ้น รวดเร็วขึ้น ซึ่งโครงการที่ได้รับรางวัลจะมีการนำมาใช้ในบริษัท เช่น นวัตกรรมเครื่องปูพรมพื้นฮอลล์จัดแสดงสินค้า เพื่อให้การปูและเก็บพรมรวดเร็ว สวยงาม เป็นฝีมือการออกแบบจากพนักงานหน้างานตัวจริง

อิมแพ็ค
โครงการประกวดนวัตกรรม R2i
2.ปรับการจ้างงานมาเป็น project-based มากขึ้น

จากแนวคิดคนรุ่นใหม่ไม่ชอบการทำงานเป็นเวลาตอกบัตรเข้าออก และไม่ชอบการทำงานประจำที่ใดที่หนึ่ง แต่ชอบการควบคุมการรับงานและปริมาณงานได้เอง ทำให้อิมแพ็คเริ่มทดลองการจ้างงานแบบ project-based และพนักงานระบบชั่วคราว (gig workers) โดยเริ่มจากแผนกทรัพยากรบุคคล (HR) ก่อน เพื่อเป็นตัวอย่างในองค์กรว่างานบางรูปแบบสามารถยืดหยุ่นได้ในการจ้างงาน

3.การสร้างที่ทำงานที่เป็น ‘Happy Workplace’

อิมแพ็คประกาศนโยบาย LGBTQ-Friendly รับพนักงานที่มีความหลากหลายทางเพศ และให้ความเท่าเทียม ไม่แบ่งแยกในการทำงาน

“น้องหลายคนที่จะสมัครงาน คำถามแรกๆ ที่ถามกันมากคือ ‘หนูเป็นสาวประเภทสอง สมัครได้ไหมคะ’ เพราะหลายแห่งเขาไม่รับ แต่ที่นี่เราเปิดกว้าง และเราให้แต่งกายได้ตามที่ต้องการ” ทมิตากล่าว

นอกจากนี้ยังปรับเรื่องสวัสดิการสุขภาพซึ่งคนสนใจมากขึ้นหลังผ่านโควิด-19 โดยมีแพทย์ประจำออฟฟิศ และเน้นการทำโครงการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันให้กับพนักงานด้วย

 

“กล้า MICE” เพื่อให้น้องได้รู้จักสายอาชีพนี้

อีกส่วนที่สำคัญในการหาคนทำงาน คือต้องเปิดให้น้องๆ ได้รู้จักกับงานประเภทนี้ก่อน อิมแพ็คจึงจัด “โครงการกล้า MICE” ครั้งนี้เป็นรุ่นที่ 4 โดยจะเปิดรับสมัครไปจนถึง 18 ธันวาคม 2565

โครงการจะคัดเลือกนักศึกษาทั้งหมด 50 คน โดยไม่จำกัดสาขาวิชาที่เรียนและไม่จำกัดสถาบัน ขอเพียงมีความสนใจที่จะเรียนรู้งาน MICE ก็สามารถเข้ามาร่วมอบรมได้ ผู้ที่ผ่านคัดเลือกจะได้เรียนรู้งานจริงทุกด้านในอิมแพ็ค และทดลองปฏิบัติงานจริงในประเภทงานที่ชื่นชอบ

อิมแพ็ค
ภาพจากโครงการ กล้า MICE

ทมิตากล่าวว่า ตั้งแต่จัดโครงการมา ทำให้มีนักศึกษาจากโครงการสมัครและทำงานต่อกับอิมแพ็คราว 10% จากนักศึกษาทั้งหมด ที่เหลือก็ไม่ได้หายไปไหน หลายคนเข้าทำงานกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งอิมแพ็คไม่ได้ปิดกั้น เพราะถือเป็นโครงการที่มีเป้าหมายเติมบุคลากรให้กับทั้งอุตสาหกรรม

เมื่อถามถึงคนทำงานในสายอาชีพ MICE ว่าควรมีทักษะอย่างไร ทมิตาตอบว่ามี 4 กุญแจสำคัญ คือ เป็นคนยืดหยุ่นได้ แก้ปัญหาหน้างานเป็น, ใช้ทักษะได้หลายอย่าง (multi skills), มีทักษะทางสังคมสูง (social skills) เพราะต้องติดต่อผู้คนหลากหลาย และที่สำคัญที่สุดคือ มีแพสชั่นในการทำงานสายนี้ เนื่องจากธรรมชาติงานทำงานไม่เป็นเวลาแน่นอนและมีความกดดัน ทำให้ต้องการ ‘ใจรัก’ จริงๆ

“เราต้องการคนรุ่นใหม่เข้ามาในสายอาชีพนี้ เพราะคนรุ่นเก่าคือคนที่สามารถสอนงานได้ มีประสบการณ์สูง แต่คนรุ่นใหม่คือคนที่จะมาพัฒนาต่อ ทำให้องค์กรเรายังอยู่ต่อได้อีกสิบปี ยี่สิบปีข้างหน้า” ทมิตากล่าวปิดท้าย

]]>
1409811
สยามพิวรรธน์ คว้า 2 รางวัลดีเด่นจากเวทีสากล HR Excellence Awards 2022 ตอกย้ำความเป็นเลิศด้านบริหารทรัพยากรบุคคล พร้อมขับเคลื่อนองค์กรสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคต https://positioningmag.com/1399879 Tue, 13 Sep 2022 10:00:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1399879

สยามพิวรรธน์ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับโกลด์สาขา Excellence in Crisis Management and Recovery และรางวัลระดับบรอนซ์ สาขา Excellence in Women Empowerment Strategy

รางวัลอันทรงเกียรติระดับเอเชีย สะท้อนความแข็งแกร่งด้านบริหารทรัพยากรบุคคลที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล

บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ คว้า 2 รางวัลยอดเยี่ยมในงาน HR Excellence Awards 2022 จาก Human Resources Online ประเทศสิงคโปร์ โดยสยามพิวรรธน์ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับโกลด์ในสาขา Excellence in Crisis Management and Recovery แสดงถึงความเป็นเลิศด้านการบริหารจัดการภาวะวิกฤตและการฟื้นฟู และรางวัลระดับบรอนซ์ สาขา Excellence in Women Empowerment Strategy การให้ความสำคัญในด้านความเท่าเทียมสนับสนุนและส่งเสริมผู้หญิงให้มีความก้าวหน้าในองค์กร ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการสะท้อนภาพของสยามพิวรรธน์ในการขับเคลื่อนองค์กรด้วยแนวคิดที่ล้ำสมัย พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทุกสถานการณ์ เพื่อให้องค์กรเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงในอนาคต

นางอัมพร โชติรัชสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “นับเป็นเกียรติอย่างมากที่สยามพิวรรธน์ได้รับ 2 รางวัลที่แสดงถึงความเป็นเลิศในการบริหารทรัพยากรบุคคลจาก HR Excellence Awards 2022 สยามพิวรรธน์มุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรในองค์กรอย่างต่อเนื่องในหลากหลายมิติ เตรียมพร้อมเข้าสู่โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สยามพิวรรธน์ได้แสดงให้เห็นศักยภาพและความสามารถของบุคคลากรในการวางกลยุทธ์และบริหารจัดการภาวะวิกฤตอย่างมีระบบ ทั้งการรับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างฉับไวในทุกมิติ การสร้างธุรกิจรูปแบบใหม่เพื่อการบริหารจัดการให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ ตลอดจนและการจัดทีมดูแลเรื่องอนาคตเพื่อเตรียมออกจากวิกฤติและมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสในการพัฒนาปรับเปลี่ยนองค์กรครั้งสำคัญเพื่อรองรับการเติบโตและการขยายธุรกิจใหม่ๆ ของกลุ่มบริษัท

นอกจากนี้สยามพิวรรธน์เป็นองค์กรที่มีแนวคิดล้ำสมัยที่เตรียมความพร้อมให้องค์กรตอบรับวิถีชีวิตและทัศนคติที่เปลี่ยนไปของผู้คน โดยเฉพาะการให้ความสำคัญของสิทธิและความเท่าเทียมทางเพศ และการสร้างโอกาสการเติบโตของผู้หญิงได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูง เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ ที่เล็งเห็นคุณค่าด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (Diversity, Equality & Inclusion)”

รางวัล HR Excellence Awards 2022 เป็นรางวัลระดับนานาชาติ จัดโดยสถาบัน Human Resources Online ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นสื่อด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลที่มีชื่อเสียงในระดับสากล มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เป็นเกียรติแก่บริษัทชั้นนำในประเทศไทยที่มีแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่ยอดเยี่ยม ครอบคลุมทั้งด้านการสรรหาบุคลากร การมีส่วนร่วมของพนักงาน และการสร้างวัฒนธรรมองค์กร โดยมีคณะกรรมการตัดสิน ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญด้านทรัพยการบุคคลจากหลากหลายธุรกิจ และมีหลักเกณฑ์การพิจารณาจากวิสัยทัศน์และเป้าหมายองค์กร การดำเนินธุรกิจ และแนวทางการพัฒนาการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กรในมิติต่างๆ

รางวัลชนะเลิศในสาขา Excellence in Crisis Management and Recovery ที่สยามพิวรรธน์ ได้รับ ไม่เพียงแต่แสดงถึงศักยภาพในการบริหารจัดการในภาวะวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงความแข็งแกร่งในแผนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของพนักงานและทุกภาคส่วน ขณะที่รางวัล Excellence in Women Empowerment Strategy แสดงถึงแนวคิดความล้ำสมัยของสยามพิวรรธน์ที่ส่งเสริมความเท่าเทียมและนโยบายที่ยืดหยุ่นเพื่อสอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป

“การได้รับรางวัลในระดับสากลครั้งนี้ ถือเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงนโยบายของสยามพิวรรธน์ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กร โดยเฉพาะพนักงาน ซึ่งถือเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของบริษัท เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่จะทำให้การดำเนินธุรกิจเดินหน้าบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้ และเติบโตร่วมกับองค์กรอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต นอกจากนี้ สยามพิวรรธน์ยังพร้อมให้การต้อนรับคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพมาเข้าร่วมเป็นกำลังสำคัญขององค์กรที่ยืนหยัดในการเป็น The Visionary Icon” นางอัมพร กล่าวปิดท้าย

]]>
1399879