การเมืองสหรัฐ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 08 Jan 2021 01:23:17 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘Facebook’ ประกาศ ‘แบน’ บัญชีทรัมป์ จนกว่าไบเดนจะรับตำแหน่ง ป้องกันการปลุกปั่น https://positioningmag.com/1313344 Fri, 08 Jan 2021 00:39:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1313344 หลังจากที่เมื่อวันที่ 7 มกราคม (ตามเวลาไทย) เกิดเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้ทั้ง Facebook และ Twitter ต้องออกมาระงับการใช้งานบัญชีของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เป็นการชั่วคราว เนื่องจากทรัมป์ได้ส่งข้อความให้ผู้ประท้วงออกมาต่อต้านการลงมติรับรองชัยชนะของ ‘โจ ไบเดน’ ในสภาคองเกรส

ผู้นำธุรกิจสหรัฐฯ พร้อมใจ “จวกยับ” ม็อบทรัมป์จลาจลยึดรัฐสภา “น่าอับอาย”

แต่ล่าสุด ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Facebook ได้ออกมาระบุว่าจะ ‘บล็อก’ บัญชี Facebook และ Instagram ของทรัมป์ต่อไปจนกว่าไบเดนจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี หรือเหลือเวลาประมาณ 13 วัน หรืออาจจะแบนอย่างไม่มีกำหนด โดยที่ Facebook ได้ตัดสินใจออกมาบล็อกบัญชีของทรัมป์ก็เพราะพิจารณาจากโพสต์ล่าสุดของทรัมป์นั้น ‘มีแนวโน้ม’ ที่จะทำให้ความรุนแรงเพิ่มขึ้นมากกว่า

Facebook ได้พิจารณาแล้วว่าโพสต์ทรัมป์แสดงให้เห็นว่า เขาตั้งใจที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ในที่ทำงานเพื่อบ่อนทำลายการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างสันติและชอบด้วยกฎหมายไปสู่ผู้สืบทอดตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งของโจ ไบเดน”

“เราเชื่อว่าความเสี่ยงในการอนุญาตให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ใช้บริการของเราต่อไปในช่วงเวลานี้นั้นเสี่ยงมากเกินไป ดังนั้นเราจึงขยายการบล็อกที่เราวางไว้ในบัญชี Facebook และ Instagram ของเขาไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยสองสัปดาห์ข้างหน้า จนกว่าการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างสันติจะเสร็จสิ้น” มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ระบุ

(Photo by Tobias Hase/picture alliance via Getty Images)

ทั้งนี้ Facebook อาจเป็นแพลตฟอร์มหลักรายแรกที่ลบทรัมป์อย่างถาวร ขณะที่ฝั่งของ Twitter ที่แบนบัญชีของทรัมป์ไปชั่วคราวก็ออกมาบอกว่า “หากทรัมป์ยังโพสต์ข้อความที่ละเมิดในอนาคต … จะส่งผลให้มีการระงับบัญชี @realDonaldTrump อย่างถาวร”

Source

]]>
1313344
ผู้นำธุรกิจสหรัฐฯ พร้อมใจ “จวกยับ” ม็อบทรัมป์จลาจลยึดรัฐสภา “น่าอับอาย” https://positioningmag.com/1313210 Thu, 07 Jan 2021 05:09:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1313210 ผู้นำธุรกิจของสหรัฐฯ พร้อมใจกันออกแถลงการณ์ประณามการบุกยึดรัฐสภาของกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ ทั้งบริษัท Apple, Facebook, Google และธุรกิจอีกจำนวนมาก ต่างแสดงออกเชิงลบต่อการจลาจลที่เป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตย ในฐานะเหตุการณ์ “ดำมืด” ที่จะถูกจารึกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ “เจย์ ทิมมอนส์” ซีอีโอและประธานสมาคมผู้ประกอบการโรงงานแห่งชาติสหรัฐฯ ถึงกับชี้ช่องให้รองประธานาธิบดีใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญขึ้นรักษาการแทนทรัมป์

เย็นวันที่ 6 ม.ค. 2021 (หรือช่วงเช้ามืดวันที่ 7 ม.ค. 2021 ตามเวลาประเทศไทย) กลุ่มผู้สนับสนุน “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จำนวนหลายพันคน ก่อจลาจลเข้าบุกยึดรัฐสภา (The Capitol) เป้าหมายเพื่อขัดขวางไม่ให้สภาคองเกรสให้การรับรอง “โจ ไบเดน” ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่แทนทรัมป์ จนทำให้เกิดผู้เสียชีวิต 1 ราย ต่อมาพบระเบิดหลายลูกถูกซุกซ่อนอยู่รอบรัฐสภา

ก่อนหน้านั้นในช่วงเที่ยงของวันที่ 6 ม.ค. 2021 ทรัมป์เพิ่งขึ้นปราศรัย (ตามด้วยการทวีตข้อความบน Twitter) ส่งต่อข้อมูลผิดๆ ว่าเขาคือผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้แบบถล่มทลาย และการเลือกตั้งไม่โปร่งใส ท่ามกลางกองเชียร์ผู้สนับสนุนจำนวนมาก

หน้าไทม์ไลน์ Twitter ของทรัมป์ก่อนเกิดจลาจล ยังคงปลุกปั่นเรื่องการโกงเลือกตั้ง โดย Twitter ขึ้นข้อความเตือนว่าข้อมูลการโกงเลือกตั้งที่ทรัมป์ทวีตยังไม่มีการยืนยัน หลังจากนั้นทวีตทรัมป์ถูกลบ 3 ข้อความ และถูกแบนใช้งาน Twitter เป็นเวลา 12 ชม. หลังจากการจลาจลยึดรัฐสภาสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ผู้ชุมนุมถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสภาคองเกรสขัดขวางไว้ที่หน้าประตูสภา ต่างฝ่ายต่างมีอาวุธปืน ในที่สุด ทรัมป์อัดวิดีโอคลิปลงโซเชียลมีเดียเพื่อขอให้ผู้ชุมนุม “กลับบ้าน” และกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิเข้าสู่พื้นที่ พร้อมกับการประกาศเคอร์ฟิวในกรุงวอชิงตัน ดีซี ระหว่างเวลา 18.00 น.ของวันที่ 6 ม.ค. 2021 จนถึง 06.00 น. วันที่ 7 ม.ค. 2021 สถานการณ์ในวอชิงตันยังปั่นป่วน เนื่องจากผู้สนับสนุนทรัมป์จำนวนหนึ่งยังไม่ยอมกลับบ้าน

 

ผู้นำธุรกิจจวกยับ “การกระทำน่าอับอาย”

ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการบุกยึดรัฐสภา ผู้นำธุรกิจหลายรายต่างออกแถลงการณ์ต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ “ทิม คุก” ซีอีโอ Apple กล่าวผ่าน Twitter ว่า การก่อจลาจลของผู้สนับสนุนทรัมป์เป็นสิ่งที่ “น่าเศร้าและน่าอับอาย”

“วันนี้เป็นการบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ชาติของเราที่น่าเศร้าและน่าอับอาย ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบในการจลาจลครั้งนี้ควรจะถูกเอาผิด และเราต้องส่งต่อการบริหารให้กับไบเดน ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้ง ให้เสร็จสมบูรณ์” คุกกล่าว

ด้าน “มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก” ซีอีโอ Facebook ออกอีเมลส่งต่อให้กับพนักงานบริษัทว่าเขารู้สึก “เสียใจเป็นการส่วนตัว” ต่อเหตุการณ์โจมตีครั้งนี้

“นี่เป็นห้วงเวลามืดดำในประวัติศาสตร์ชาติของเรา และผมรู้ว่าพวกคุณหลายคนหวั่นกลัวต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในวอชิงตัน ดีซี ผมเองรู้สึกเสียใจเป็นการส่วนตัวต่อความรุนแรงจากการชุมนุมครั้งนี้ — และความรุนแรงคือสิ่งที่ม็อบนี้เป็นโดยแท้” ซักเกอร์เบิร์กระบุในอีเมล “การเปลี่ยนถ่ายอำนาจอย่างสงบเป็นเรื่องสำคัญต่อการทำงานของระบอบประชาธิปไตย และเราจำเป็นต้องมีผู้นำการเมืองที่ทำตนให้เป็นตัวอย่าง และยึดประเทศชาติเป็นหลัก”

ขณะที่ “ซันดาร์ พิชัย” ซีอีโอ Google มีอีเมลส่งต่อให้กับพนักงานเช่นกันว่า เหตุการณ์วันนี้เป็นเรื่อง “น่าตกใจและน่าหวาดหวั่น” และเน้นย้ำให้พนักงานทราบว่า บริษัทคอยติดตามสถานการณ์ความปลอดภัยของพนักงาน Google ในเขตวอชิงตัน ดีซีอยู่ตลอด รวมถึงกล่าวประณามการโจมตีรัฐสภาด้วย

“การจัดการเลือกตั้งที่ปลอดภัยและเสรี และคลี่คลายความแตกต่างของกลุ่มคนอย่างสันติคือพื้นฐานของประชาธิปไตย สหรัฐอเมริกามีความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ยาวนานของการปฏิบัติเช่นนั้น แต่ความรุนแรงและไร้กฎหมายที่เกิดขึ้นบน Capitol Hill เป็นการกระทำที่อยู่ตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตย และเราขอประณามการกระทำนี้อย่างหนักแน่น” พิชัยเขียนลงในอีเมลซึ่งเปิดเผยโดยหัวหน้าข่าวด้านเทคโนโลยี Axios

 

แม้แต่พันธมิตรทรัมป์ยังหวั่นกลัว

แม้แต่ “สตีเฟ่น ชวาร์ซแมน” ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Blackstone บริษัทด้านการลงทุนรายใหญ่ พันธมิตรยาวนานของทรัมป์และเคยออกโรงปกป้องทรัมป์มาแล้ว ครั้งนี้เขากลับแสดงออกว่ารู้สึก “ตกใจและหวาดผวา” กับสิ่งที่เกิดขึ้น

“การจลาจลที่ตามมาจากคำกล่าวปราศรัยของทรัมป์วันนี้เป็นที่น่าตกใจ และเป็นการดูหมิ่นคุณค่าของประชาธิปไตยที่เรายึดมั่นไว้ในฐานะชาวอเมริกัน ผมรู้สึกตกใจและหวาดผวากับความพยายามของผู้ชุมนุมที่ต้องการบั่นทอนรัฐธรรมนูญของประเทศ ดังที่ผมกล่าวไว้ในเดือนพฤศจิกายน ผลของการเลือกตั้งนั้นชัดเจนยิ่งและต้องมีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจอย่างสันติ” ชวาร์ซแมนกล่าวในแถลงการณ์ที่ส่งให้กับสำนักข่าว Business Insider

Blackstone Group (Photo : Shutterstock)

นอกจากนี้ยังมีนักธุรกิจจำนวนมากพาเหรดกันออกมาทวีตหรือออกแถลงการณ์ผ่าน Twitter หรือแสดงความเห็นในโปรไฟล์ LinkedIn ส่วนตัว ดังนี้

  • “มาร์ค เบนิออฟ” ซีอีโอ Salesforce : ไม่มีที่ว่างให้กับความรุนแรงในประชาธิปไตยของเรา
  • “แดน ชูลแมน” ซีอีโอ Paypal : ความรุนแรงที่เมืองหลวงของเรานั้นน่าตกใจและรบกวนใจ
  • “อเล็กซิส โอฮาเนียน” ผู้ก่อตั้ง Reddit : กลุ่มคนเหล่านี้คือผู้ก่อการร้ายภายในประเทศ
  • “คริส ซัคคา” นักลงทุนชื่อดังจากรายการ Shark Tank : Twitter และ Facebook มือเปื้อนเลือด คุณปล่อยให้เรื่องน่ากลัวนี้ดูมีเหตุผลมาถึงสี่ปี
  • “เจมี่ ไดมอน” ซีอีโอ JPMorgan Chase : นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราหรือประเทศของเราเป็น เราเป็นคนที่ดีกว่านี้
  • “อัลเฟร็ด เคลลี่” ซีอีโอ Visa : การโจมตีนี้เป็นหนึ่งในจุดต่ำสุดของประวัติศาสตร์ 245 ปีของประเทศเรา
  • “ไมเคิล คอร์แบท” ซีอีโอ Citi : ผมรู้สึกขยะแขยงกับการกระทำของกลุ่มคนที่บุกยึด The Capitol
  • “อาร์วิน คริชน่า” ซีอีโอ IBM : IBM ขอประณามการกระทำไร้กฎหมายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเราขอให้หยุดโดยทันที

ปิดท้ายที่ “เจย์ ทิมมอนส์” ซีอีโอและประธานสมาคมผู้ประกอบการโรงงานแห่งชาติสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ในนามสมาคมฯ ว่า “ประธานาธิบดีที่กำลังจะลงจากตำแหน่งได้ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง เป็นความพยายามเพื่อรักษาอำนาจ ผู้นำที่ได้รับการเลือกตั้งคนใดที่ยังปกป้องเขาอยู่ถือว่าเป็นการละเมิดคำสาบานต่อรัฐธรรมนูญ”

“นี่ไม่ใช่การกระทำตามกฎหมาย นี่คือการจลาจล นี่คือการใช้กฎหมู่ นี่คือความอันตราย นี่คือการก่อความไม่สงบให้บ้านเมืองและควรจะถูกจัดการอย่างที่มันเป็น” แถลงการณ์กล่าวประณามอย่างรุนแรง “ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดี ควรพิจารณาอย่างจริงจังว่าจะร่วมงานกับคณะรัฐมนตรี เพื่อนำมาตรา 25 แห่งรัฐธรรมนูญมาใช้เพื่อธำรงไว้ซึ่งประชาธิปไตย”

มาตรา 25 ดังกล่าว คือการให้สิทธิรองประธานาธิบดีรวบรวมเสียงข้างมากของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในฝ่ายบริหาร แจ้งต่อประธานชั่วคราววุฒิสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎรว่าประธานาธิบดีไม่สามารถใช้อำนาจปฏิบัติหน้าที่ได้แล้ว และให้รองประธานาธิบดีขึ้นรักษาการแทน (กรณีนี้คือการลงความเห็นว่าประธานาธิบดีเป็นบุคคลไร้ความสามารถทางจิตหรือทางกาย)

เรียกได้ว่า เจย์ ทิมมอนส์ ชี้ช่องให้เห็นว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ‘เสียสติ’ ไปแล้วที่ปลุกม็อบขึ้นมาก่อจลาจล และต้องการให้กลไกรัฐหาทางนำทรัมป์ออกจากวงการเมืองไปให้เร็วที่สุด

Source: Business Insider, The Washington Post

]]>
1313210
คำสัญญาเเละนโยบายของ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ทิศทางใหม่อเมริกา https://positioningmag.com/1305031 Sun, 08 Nov 2020 05:28:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1305031 โจ ไบเดนจากพรรคเดโมแครต เตรียมขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 หลังเฉือนเอาชนะโดนัลด์ ทรัมป์ได้สำเร็จ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดของสหรัฐฯ คือ 78 ปี

โดยชัยชนะของไบเดน ส่งผลให้คามาลา แฮร์ริส’ (Kamala Harris) สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ วัย 56 ปีจากรัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้เป็น Running Mate ของไบเดน จะได้เป็นผู้หญิงคนแรก คนผิวสีคนแรก และคนเชื้อสายเอเชียคนแรก (แม่ของเธอเป็นชาวอินเดีย พ่อเป็นคนจาเมกา) ที่ได้นั่งเก้าอี้ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ

หลังจากที่ทราบผลชนะการเลือกตั้งในรัฐเพนซิลเวเนีย ที่เป็นรัฐสวิงเตทสำคัญ ทำให้เขามีคะเเนนคณะผู้เลือกตั้งเกินครึ่งที่ 270 ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ทวิตข้อความว่า

งานต่างๆ ที่รอเราอยู่ข้างหน้า อาจเป็นงานที่ยาก แต่ผมให้คำมั่นกับคุณตรงนี้ว่าผมจะเป็นประธานาธิบดีของชาวอเมริกันทุกคน ไม่ว่าคุณจะโหวตให้ผมหรือไม่ก็ตาม…ผมจะเก็บรักษาศรัทธาที่คุณมีให้กับผม

Photo : twitter @JoeBiden

จากนั้นไบเดนเเละเเฮร์ริส ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ ระบุว่า นี่คือเวลาแห่งการสมานแผล การเลือกตั้งจบลงแล้ว งานของเราคือการเดินหน้าด้วยการทำดีต่อกัน ด้วยความยุติธรรม และยึดถือหลักวิทยาศาสตร์ พร้อมด้วยพลังแห่งความหวัง”

คามาลา แฮร์ริส ได้กล่าวยกย่องผู้หญิงหลากหลายเชื้อชาติและสีผิวในอเมริกา ที่ช่วยต่อสู้ให้ผู้หญิงผิวสีในอเมริกาได้มีวันนี้ ประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศ และสิทธิที่จะได้แสดงความคิดเห็นหรือร่วมลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยเธอบอกว่า เด็กผู้หญิงทุกคนที่กำลังดูอยู่ จะเห็นว่านี่คือประเทศแห่งความเป็นไปได้

แม้ว่าฉันจะเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้ทำงานนี้ แต่ฉันจะต้องไม่ใช่คนสุดท้าย

โศกนาฏกรรมชีวิตของ “ไบเดน” ถูกนำมาใช้ในการหาเสียงครั้งนี้ด้วย โดยเขาสูญเสียภรรยาคนแรกและลูกสาวคนเล็กจากอุบัติเหตุรถชนเมื่อปี 1972 ส่วนลูกชาย 2 คนได้รับบาดเจ็บสาหัส ระหว่างนั้นทำให้เขาต้องนั่งรถไฟหลายชั่วโมงต่อวัน จากโรงพยาบาลในรัฐเดลาแวร์ เพื่อเข้าไปที่ทำงานในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก่อนจะพบรักใหม่ในปี 1977 กับ “จิลล์ ไบเดน” ผู้ที่จะมาเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ คนต่อไป

ไบเดน เป็นผู้มีประสบการณ์ในเกมการเมืองมาหลายทศวรรษ ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาถึง 7 ครั้ง และลงสมัครเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาหลายครั้ง ได้ขึ้นเป็นรองประธานาธิบดีครั้งเเรกในสมัยของ “บารัก โอบามา” ที่ดำรงตำเเหน่ง 2 สมัย

อย่างไรก็ตาม ไบเดน มีข้อครหาเรื่องชอบสัมผัสร่างกายเกินควร เเละถูกกล่าวหาว่าชอบ “ดมผมผู้หญิง” ซึ่งมีคลิปวิดีโอส่อไปในพฤติกรรมดังกล่าวทั้งกับผู้หญิงและเด็ก โดยมีผู้หญิงอย่างน้อย 8 คน ออกมากล่าวหาว่าถูกไบเดนลวนลาม

ตอนที่ไบเดน ประกาศลงสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ เขายืนหยัดต่อสู้เพื่อสองสิ่ง คือผู้คนที่สร้างประเทศนี้ และค่านิยมที่จะประสานรอยร้าวจากการแบ่งแยกในสังคม

รัฐบาลชุดใหม่ ต้องเผชิญความท้าทายหลายอย่าง ทั้งวิกฤตโรคระบาด COVID-19 ที่สหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก ปัญหาความไม่ยุติธรรมทางเชื้อชาติ อัตราการว่างงานที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ การฟื้นฟูเเละปกป้องสิ่งแวดล้อม สิทธิการรักษาพยาบาล และความสัมพันธ์กับนานาชาติ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับจีน ที่หลายฝ่ายกำลังจับตา

มาดูนโยบายหลักๆ ของ “โจ ไบเดน” ว่าจะเป็นไปในทิศทางไหนเเละจะผลักดันได้จริงหรือไม่

เศรษฐกิจ

ไบเดนจะเน้นไปที่การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้ “คนทำงาน” โดยสนับสนุนให้เพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 465 บาท) ต่อชั่วโมง จากอัตราปัจจุบันที่ 7.25 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 225 บาท) ต่อชั่วโมง ซึ่งมาตรการนี้ ถือว่าทำให้เขาได้คะเเนนเสียงจากคนหนุ่มสาวเพิ่มขึ้นอย่างมาก

พร้อมมุ่งเพิ่ม “เก็บภาษีผู้มีรายได้สูง” เพื่อนำมาสร้างงานให้กับชนชั้นกลางและล่าง ผ่านการลงทุนด้านบริการสาธารณะ ทั้งอุตสาหกรรม ไอที พลังงานสะอาด โดยการจะขึ้นภาษีจะกระทบกลุ่มประชากรที่มีรายได้เกิน 400,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี

อีกทั้งจะคิดภาษีมรดกเเบบใหม่ ที่จะคิดภาษีจากมรดกทั้งก้อน ต่างจากปัจจุบันที่ผู้ได้รับมรดกจะไม่ต้องเสียภาษีในส่วนของกำไร (Capital Gains) เเละไบเดนยังเตรียมร่างกฎหมายขึ้นอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเเละภาษีนิติบุคคลด้วย

นอกจากนี้ เขายังเสนอให้ทุ่มงบอีก 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อสินค้าที่ผลิตในอเมริกา เเละประกาศใช้กฎหมายสนับสนุนซื้อสินค้าของชาวอเมริกันสำหรับโครงการขนส่งใหม่ ๆ

(Photo by Gary Hershorn/Corbis via Getty Images)

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ไบเดนยืนยันว่าทันทีที่เขาเข้ารับตำเเหน่ง สหรัฐฯ จะกลับเข้าร่วมข้อตกลงด้านสิ่งเเวดล้อมระดับโลกอีกครั้ง โดยจะผลักดันให้อเมริกาบรรลุเป้าหมายลดการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ “ให้เป็นศูนย์” ภายในปี 2050

พร้อมประกาศจะทุ่มงบลงทุน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงการ “พลังงานสีเขียว” มีแผนเศรษฐกิจที่ต้องการให้ผลิตพลังงานสะอาดมากขึ้น โดยมองว่าการส่งเสริมสายการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะเป็นการช่วยคนชนชั้นแรงงานไปในตัวด้วย

นอกจากนี้ เขายังมีเเผนจะเพิ่มกำลังการผลิตของพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์ 500 ล้านหน่วย และกังหันลมแบบ wind turbine อีก 6 หมื่นหน่วย รวมถึงมีการสร้างสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ 5 แสนแห่งทั่วสหรัฐฯ

COVID-19 

ไบเดนประกาศว่า รัฐบาลชุดใหม่จะจัดให้มีการ “ตรวจหาเชื้อฟรี” และจ้างคน 1 แสนอัตรา สำหรับดำเนินโครงการติดตามตัวผู้สัมผัสเชื้อทั่วประเทศ เเละจะจัดตั้งศูนย์ตรวจหาเชื้ออย่างน้อย 10 แห่งในแต่ละรัฐ โดยเขาเห็นว่าผู้ว่าการรัฐทุกรัฐ ควรออกข้อบังคับเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย เเละให้คำเเนะนำที่ถูกต้องกับประชาชน

Photo : Shutterstock

ระบบสุขภาพ

ไบเดนตั้งธงไว้ว่าจะ “ขยายแผนโอบามาแคร์” หรือกฎหมายประกันสุขภาพ Affordable Care Act (ACA) สานต่อจากสมัยที่ทำงานเป็นรองประธานาธิบดี โดยเขาต้องการลดอายุขั้นต่ำของผู้มีสิทธิ์เข้ารับการรักษาตามนโยบาย Medicare จากผู้สูงอายุจากเดิมที่ 65 ปี เป็น 60 ปี เเละสัญญาว่าจะให้ชาวอเมริกันทุกคนมีทางเลือกขึ้นทะเบียนในประกันสาธารณสุขที่คล้ายกับ Medicare

เชื้อชาติ การอพยพ เเละการควบคุมปืน 

ไบเดน มุ่งจะลดปัญหาเหยียดเชื้อชาติในสหรัฐฯ ด้วยแผนเศรษฐกิจและสังคมเพื่อสนับสนุน “คนกลุ่มน้อย” เช่นจะ ทุ่มงบ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างงานและธุรกิจให้คนกลุ่มน้อย เเละจะกำหนดนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เสมอภาคทางเชื้อชาติในกระบวนการยุติธรรม เช่น การสนับสนุนงบประมาณเพื่อจูงใจหลายรัฐให้ลดอัตราการจำคุก

อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธข้อเรียกร้องที่อยากให้ลดงบประมาณหน่วยงานตำรวจ เพราะมองว่าควรมีไว้เพื่อรักษามาตรฐานของหน่วยตำรวจ เเต่ก็เห็นด้วยว่า งบประมาณของตำรวจในบางอย่าง ก็ควรจะถูกนำไปดูเเลภาคสังคม เช่น เรื่องปัญหาสุขภาพจิต

ส่วนกฎหมาย “ควบคุมปืน” เป็นไปตามเเนวทางของพรรคเดโมเเครตที่เน้นให้มีการตรวจสอบประวัติผู้ซื้อปืนอย่างละเอียด จำกัดจำนวนอาวุธปืนที่ประชาชนซื้อได้เหลือไม่เกิน 1 กระบอกต่อ 1 เดือน เเละจะให้ทุนวิจัยเรื่องการป้องกันความรุนแรงจากอาวุธปืน

ส่วนนโยบายเรื่องผู้อพยพ ไบเดนสัญญาว่า ภายใน 100 วันแรก หลังได้ทำงานเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขาจะเปลี่ยนนโยบายของทรัมป์ที่กีดกันครอบครัวผู้อพยพที่ชายแดนระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก ยกเลิกข้อจำกัดเรื่องการสมัครขอรับสถานะผู้ลี้ภัย และยกเลิกข้อห้ามเดินทางเข้าประเทศจากประเทศมุสลิม

(Photo by Spencer Platt/Getty Images)

การศึกษา

ไบเดนจะสนับสนุนโครงการเพื่อเด็กวัยก่อนเข้าเรียน เเละขยายสิทธิ์ “เรียนฟรี” รวมถึงผ่อนผันหนี้เงินกู้เพื่อการศึกษา เพิ่มวิทยาลัยที่ไม่เก็บค่าเล่าเรียน

นโยบายต่างประเทศ 

ไบเดน ประกาศว่าจะ กู้ชื่อเสียงของอเมริกา ผ่านการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ ทำงานร่วมกับนานาชาติในเวทีโลก

เขาเห็นว่า จีนมีนโยบายการค้าและสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นธรรม เเต่แทนที่จะมุ่งเป้าขึ้นกำแพงภาษีกับจีน สหรัฐฯ ควรจะจับมือกับพันธมิตรนานาชาติ กดดันเพื่อให้จีนไม่เพิกเฉย ซึ่งยังไม่เเน่ชัดว่าเขาจะมีทิศทางความสัมพันธืกับจีนต่อไปอย่างไร ท่ามกลางสงครามการค้าที่ยืดเยื้อมาหลายปี

 

]]>
1305031