ผู้นำธุรกิจสหรัฐฯ พร้อมใจ “จวกยับ” ม็อบทรัมป์จลาจลยึดรัฐสภา “น่าอับอาย”

เหตุจลาจลยึดรัฐสภาโดยผู้สนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 (Photo by Tasos Katopodis/Getty Images)
ผู้นำธุรกิจของสหรัฐฯ พร้อมใจกันออกแถลงการณ์ประณามการบุกยึดรัฐสภาของกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ ทั้งบริษัท Apple, Facebook, Google และธุรกิจอีกจำนวนมาก ต่างแสดงออกเชิงลบต่อการจลาจลที่เป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตย ในฐานะเหตุการณ์ “ดำมืด” ที่จะถูกจารึกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ “เจย์ ทิมมอนส์” ซีอีโอและประธานสมาคมผู้ประกอบการโรงงานแห่งชาติสหรัฐฯ ถึงกับชี้ช่องให้รองประธานาธิบดีใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญขึ้นรักษาการแทนทรัมป์

เย็นวันที่ 6 ม.ค. 2021 (หรือช่วงเช้ามืดวันที่ 7 ม.ค. 2021 ตามเวลาประเทศไทย) กลุ่มผู้สนับสนุน “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จำนวนหลายพันคน ก่อจลาจลเข้าบุกยึดรัฐสภา (The Capitol) เป้าหมายเพื่อขัดขวางไม่ให้สภาคองเกรสให้การรับรอง “โจ ไบเดน” ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่แทนทรัมป์ จนทำให้เกิดผู้เสียชีวิต 1 ราย ต่อมาพบระเบิดหลายลูกถูกซุกซ่อนอยู่รอบรัฐสภา

ก่อนหน้านั้นในช่วงเที่ยงของวันที่ 6 ม.ค. 2021 ทรัมป์เพิ่งขึ้นปราศรัย (ตามด้วยการทวีตข้อความบน Twitter) ส่งต่อข้อมูลผิดๆ ว่าเขาคือผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้แบบถล่มทลาย และการเลือกตั้งไม่โปร่งใส ท่ามกลางกองเชียร์ผู้สนับสนุนจำนวนมาก

หน้าไทม์ไลน์ Twitter ของทรัมป์ก่อนเกิดจลาจล ยังคงปลุกปั่นเรื่องการโกงเลือกตั้ง โดย Twitter ขึ้นข้อความเตือนว่าข้อมูลการโกงเลือกตั้งที่ทรัมป์ทวีตยังไม่มีการยืนยัน หลังจากนั้นทวีตทรัมป์ถูกลบ 3 ข้อความ และถูกแบนใช้งาน Twitter เป็นเวลา 12 ชม. หลังจากการจลาจลยึดรัฐสภาสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ผู้ชุมนุมถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสภาคองเกรสขัดขวางไว้ที่หน้าประตูสภา ต่างฝ่ายต่างมีอาวุธปืน ในที่สุด ทรัมป์อัดวิดีโอคลิปลงโซเชียลมีเดียเพื่อขอให้ผู้ชุมนุม “กลับบ้าน” และกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิเข้าสู่พื้นที่ พร้อมกับการประกาศเคอร์ฟิวในกรุงวอชิงตัน ดีซี ระหว่างเวลา 18.00 น.ของวันที่ 6 ม.ค. 2021 จนถึง 06.00 น. วันที่ 7 ม.ค. 2021 สถานการณ์ในวอชิงตันยังปั่นป่วน เนื่องจากผู้สนับสนุนทรัมป์จำนวนหนึ่งยังไม่ยอมกลับบ้าน

 

ผู้นำธุรกิจจวกยับ “การกระทำน่าอับอาย”

ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการบุกยึดรัฐสภา ผู้นำธุรกิจหลายรายต่างออกแถลงการณ์ต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ “ทิม คุก” ซีอีโอ Apple กล่าวผ่าน Twitter ว่า การก่อจลาจลของผู้สนับสนุนทรัมป์เป็นสิ่งที่ “น่าเศร้าและน่าอับอาย”

“วันนี้เป็นการบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ชาติของเราที่น่าเศร้าและน่าอับอาย ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบในการจลาจลครั้งนี้ควรจะถูกเอาผิด และเราต้องส่งต่อการบริหารให้กับไบเดน ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้ง ให้เสร็จสมบูรณ์” คุกกล่าว

ด้าน “มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก” ซีอีโอ Facebook ออกอีเมลส่งต่อให้กับพนักงานบริษัทว่าเขารู้สึก “เสียใจเป็นการส่วนตัว” ต่อเหตุการณ์โจมตีครั้งนี้

“นี่เป็นห้วงเวลามืดดำในประวัติศาสตร์ชาติของเรา และผมรู้ว่าพวกคุณหลายคนหวั่นกลัวต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในวอชิงตัน ดีซี ผมเองรู้สึกเสียใจเป็นการส่วนตัวต่อความรุนแรงจากการชุมนุมครั้งนี้ — และความรุนแรงคือสิ่งที่ม็อบนี้เป็นโดยแท้” ซักเกอร์เบิร์กระบุในอีเมล “การเปลี่ยนถ่ายอำนาจอย่างสงบเป็นเรื่องสำคัญต่อการทำงานของระบอบประชาธิปไตย และเราจำเป็นต้องมีผู้นำการเมืองที่ทำตนให้เป็นตัวอย่าง และยึดประเทศชาติเป็นหลัก”

ขณะที่ “ซันดาร์ พิชัย” ซีอีโอ Google มีอีเมลส่งต่อให้กับพนักงานเช่นกันว่า เหตุการณ์วันนี้เป็นเรื่อง “น่าตกใจและน่าหวาดหวั่น” และเน้นย้ำให้พนักงานทราบว่า บริษัทคอยติดตามสถานการณ์ความปลอดภัยของพนักงาน Google ในเขตวอชิงตัน ดีซีอยู่ตลอด รวมถึงกล่าวประณามการโจมตีรัฐสภาด้วย

“การจัดการเลือกตั้งที่ปลอดภัยและเสรี และคลี่คลายความแตกต่างของกลุ่มคนอย่างสันติคือพื้นฐานของประชาธิปไตย สหรัฐอเมริกามีความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ยาวนานของการปฏิบัติเช่นนั้น แต่ความรุนแรงและไร้กฎหมายที่เกิดขึ้นบน Capitol Hill เป็นการกระทำที่อยู่ตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตย และเราขอประณามการกระทำนี้อย่างหนักแน่น” พิชัยเขียนลงในอีเมลซึ่งเปิดเผยโดยหัวหน้าข่าวด้านเทคโนโลยี Axios

 

แม้แต่พันธมิตรทรัมป์ยังหวั่นกลัว

แม้แต่ “สตีเฟ่น ชวาร์ซแมน” ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Blackstone บริษัทด้านการลงทุนรายใหญ่ พันธมิตรยาวนานของทรัมป์และเคยออกโรงปกป้องทรัมป์มาแล้ว ครั้งนี้เขากลับแสดงออกว่ารู้สึก “ตกใจและหวาดผวา” กับสิ่งที่เกิดขึ้น

“การจลาจลที่ตามมาจากคำกล่าวปราศรัยของทรัมป์วันนี้เป็นที่น่าตกใจ และเป็นการดูหมิ่นคุณค่าของประชาธิปไตยที่เรายึดมั่นไว้ในฐานะชาวอเมริกัน ผมรู้สึกตกใจและหวาดผวากับความพยายามของผู้ชุมนุมที่ต้องการบั่นทอนรัฐธรรมนูญของประเทศ ดังที่ผมกล่าวไว้ในเดือนพฤศจิกายน ผลของการเลือกตั้งนั้นชัดเจนยิ่งและต้องมีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจอย่างสันติ” ชวาร์ซแมนกล่าวในแถลงการณ์ที่ส่งให้กับสำนักข่าว Business Insider

Blackstone Group (Photo : Shutterstock)

นอกจากนี้ยังมีนักธุรกิจจำนวนมากพาเหรดกันออกมาทวีตหรือออกแถลงการณ์ผ่าน Twitter หรือแสดงความเห็นในโปรไฟล์ LinkedIn ส่วนตัว ดังนี้

  • “มาร์ค เบนิออฟ” ซีอีโอ Salesforce : ไม่มีที่ว่างให้กับความรุนแรงในประชาธิปไตยของเรา
  • “แดน ชูลแมน” ซีอีโอ Paypal : ความรุนแรงที่เมืองหลวงของเรานั้นน่าตกใจและรบกวนใจ
  • “อเล็กซิส โอฮาเนียน” ผู้ก่อตั้ง Reddit : กลุ่มคนเหล่านี้คือผู้ก่อการร้ายภายในประเทศ
  • “คริส ซัคคา” นักลงทุนชื่อดังจากรายการ Shark Tank : Twitter และ Facebook มือเปื้อนเลือด คุณปล่อยให้เรื่องน่ากลัวนี้ดูมีเหตุผลมาถึงสี่ปี
  • “เจมี่ ไดมอน” ซีอีโอ JPMorgan Chase : นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราหรือประเทศของเราเป็น เราเป็นคนที่ดีกว่านี้
  • “อัลเฟร็ด เคลลี่” ซีอีโอ Visa : การโจมตีนี้เป็นหนึ่งในจุดต่ำสุดของประวัติศาสตร์ 245 ปีของประเทศเรา
  • “ไมเคิล คอร์แบท” ซีอีโอ Citi : ผมรู้สึกขยะแขยงกับการกระทำของกลุ่มคนที่บุกยึด The Capitol
  • “อาร์วิน คริชน่า” ซีอีโอ IBM : IBM ขอประณามการกระทำไร้กฎหมายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเราขอให้หยุดโดยทันที

ปิดท้ายที่ “เจย์ ทิมมอนส์” ซีอีโอและประธานสมาคมผู้ประกอบการโรงงานแห่งชาติสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ในนามสมาคมฯ ว่า “ประธานาธิบดีที่กำลังจะลงจากตำแหน่งได้ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง เป็นความพยายามเพื่อรักษาอำนาจ ผู้นำที่ได้รับการเลือกตั้งคนใดที่ยังปกป้องเขาอยู่ถือว่าเป็นการละเมิดคำสาบานต่อรัฐธรรมนูญ”

“นี่ไม่ใช่การกระทำตามกฎหมาย นี่คือการจลาจล นี่คือการใช้กฎหมู่ นี่คือความอันตราย นี่คือการก่อความไม่สงบให้บ้านเมืองและควรจะถูกจัดการอย่างที่มันเป็น” แถลงการณ์กล่าวประณามอย่างรุนแรง “ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดี ควรพิจารณาอย่างจริงจังว่าจะร่วมงานกับคณะรัฐมนตรี เพื่อนำมาตรา 25 แห่งรัฐธรรมนูญมาใช้เพื่อธำรงไว้ซึ่งประชาธิปไตย”

มาตรา 25 ดังกล่าว คือการให้สิทธิรองประธานาธิบดีรวบรวมเสียงข้างมากของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในฝ่ายบริหาร แจ้งต่อประธานชั่วคราววุฒิสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎรว่าประธานาธิบดีไม่สามารถใช้อำนาจปฏิบัติหน้าที่ได้แล้ว และให้รองประธานาธิบดีขึ้นรักษาการแทน (กรณีนี้คือการลงความเห็นว่าประธานาธิบดีเป็นบุคคลไร้ความสามารถทางจิตหรือทางกาย)

เรียกได้ว่า เจย์ ทิมมอนส์ ชี้ช่องให้เห็นว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ‘เสียสติ’ ไปแล้วที่ปลุกม็อบขึ้นมาก่อจลาจล และต้องการให้กลไกรัฐหาทางนำทรัมป์ออกจากวงการเมืองไปให้เร็วที่สุด

Source: Business Insider, The Washington Post