Leena Nair ผู้บริหารสูงสุดของ Chanel ได้กล่าวว่า เธอได้เดินทางไปยังประเทศจีนและพบว่าวัยรุ่นจีนนั้นยังสนใจในสินค้า Luxury อยู่ ขณะที่ Philippe Blondiaux ซึ่งเป็นผู้บริหารด้านการเงินของบริษัท ก็ได้กล่าวว่าตลาดแดนมังกรยังถือว่าเป็นตลาดสำคัญ
ปัจจุบัน Chanel มีสาขาในประเทศจีน 18 สาขา ซึ่งคู่แข่งบางรายมีหน้าร้านมากกว่าในระดับ 40-50 ร้าน แต่แบรนด์หรูรายนี้ก็เตรียมที่จะเปิดสาขาเพิ่ม ซึ่งหนึ่งในสาขาที่เปิดเพิ่มเติมมีไว้สำหรับลูกค้ากำลังซื้อสูงและต้องการความเป็นส่วนตัว รวมถึงการเปิดศูนย์ซ่อมสินค้าของบริษัทในเซี่ยงไฮ้
ทิศทางของ Chanel นั้นถือว่าสวนทางแบรนด์หรูหลายแบรนด์ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงด้านรายได้ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจในประเทศจีนนั้นเติบโตช้ากว่าคาดไว้ ทำให้กำลังซื้อของเหล่านักช้อปของหรูลดลง หลายบริษัทเริ่มที่จะหารายได้ใหม่ๆ จากประเทศที่มีกำลังซื้อเติบโตสูงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย หรือแม้แต่ ตะวันออกกลาง
สำหรับผลประกอบการในปี 2023 ที่ผ่านมา Chanel มียอดขาย 19,700 ล้านยูโร เติบโต 16% เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่ผ่านมา โดยได้ผลดีจากยอดขายในทวีปเอเชียและยุโรปที่ยังเติบโต แม้ว่ายอดขายในสหรัฐอเมริกาจะชะลอตัวลงก็ตาม
ตลาดสินค้าหรูนั้นกำลังปรับตัวให้เข้ากับความต้องการที่ลดลงทั่วโลกในข่วงที่ผ่านมา เนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น และสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน ส่งผลให้ลูกค้าของแบรนด์หรูเหล่านี้ต้องใช้จ่ายอย่างรัดกุม
ที่มา – Reuters
]]>สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวว่า Chanel ผู้ผลิตสินค้าหรูหลายประเภท ได้ประกาศขึ้นราคาสินค้าหลายประเภทในหลายประเทศ โดยให้เหตุผลถึงค่าเงินของประเทศที่บริษัทมีสินค้าวางขายนั้นมีความผันผวน จึงมีการปรับราคาเพิ่มอีกตั้งแต่ 6 ถึง 8% ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ
ตัวแทนของ Chanel ได้ตอบคำถามของสำนักข่าว Bloomberg ว่า นี่คือสิ่งที่บริษัทได้ทำเป็นประจำ ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราในแง่ของการปรับราคาให้สอดคล้องกัน โดยตลาดที่ผู้ผลิตสินค้าแบรนด์หรูรายนี้ได้ขึ้นราคานั้นได้แก่ ไทย จีน มาเลเซีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น รวมถึง ไต้หวัน
และนั่นจะทำให้ราคากระเป๋ารุ่น Classique ของ Chanel ไซส์ 25 เซนติเมตร มีราคาถึง 9,700 ยูโรในฝรั่งเศส ถ้าหากคิดเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ จะอยู่ที่ 10,230 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ถ้าราคาเป็นเงินหยวนจะอยู่ที่ 80,500 หยวน หรือคิดกลับเป็นดอลลาร์สหรัฐ จะมีราคามากถึง 11,030 ดอลลาร์สหรัฐ
ผู้ผลิตสินค้าหรูหลายรายมีอำนาจในการกำหนดราคาสินค้า และนั่นหมายความว่าแบรนด์หรูเหล่านี้สามารถเพิ่มราคาได้โดยไม่จำเป็นว่าจะมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียลูกค้าไป อย่างไรก็ดีในช่วงปีที่ผ่านมาแบรนด์หรูเหล่านี้เริ่มประสบปัญหาลูกค้าเริ่มที่จะลดการซื้อสินค้าของแบรนด์หรูเหล่านี้ลง ซึ่งเห็นได้จากหลายแบรนด์เองมียอดขายในตลาดใหญ่ๆ ลดลง แต่ Chanel เองก็ได้ตัดสินใจปรับราคาสินค้าขึ้นในท้ายที่สุด
ก่อนหน้านี้ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผู้บริหารของ Chanel ได้กล่าวว่า บริษัทอาจมีการขึ้นราคาสินค้าหรูของบริษัทอีกครั้งในเดือนกันยายน โดยมีปัจจัยไม่ว่าจะเป็น ต้นทุนสินค้า อัตราเงินเฟ้อ ไปจนถึงค่าเงินของประเทศนั้นๆ และการขึ้นราคาสินค้านั้นจะไม่เท่ากันในแต่ละประเทศ
ปัจจุบัน Chanel มีการพิจารณาปรับราคาสินค้าเฉลี่ยปีละ 2 ครั้งคือในช่วงเดือนมีนาคม และเดือนกันยายน โดยที่เดือนมีนาคมที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับราคาสินค้าเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 8% และในปี 2020 บริษัทได้ปรับราคากระเป๋าเพิ่มมากขึ้นถึง 20% มาแล้ว
]]>