ซีอีโอ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 30 Sep 2021 14:54:03 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ความเห็น ‘ซีอีโอ’ 45 กลุ่มอุตฯ หนุนรัฐเปิดประเทศปลายปี พักหนี้-หยุดดอกธุรกิจท่องเที่ยว https://positioningmag.com/1354224 Thu, 30 Sep 2021 07:45:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1354224 เปิดผลสำรวจความเห็นซีอีโอกว่า 150 คนจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 ...จังหวัด ส่วนใหญ่กว่า 78% หนุนรัฐผ่อนคลายล็อกดาวน์เเละเปิดประเทศ .. – ..นี้ รับต่างชาติเเบบให้อยู่ในพื้นที่ Sandbox 14 วัน หากไม่พบเชื้อหลังจากนั้น สามารถเดินทางไปทั่วประเทศได้ โดยต้องเร่งฉีดวัคซีน 2 เข็มให้ประชาชนไม่ต่ำกว่า 70%

วันนี้ (30 ..64 )สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส... เผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 10 ในหัวข้อภาคอุตสาหกรรมพร้อมเปิดประเทศแล้วหรือยัง?”

พบว่าผู้บริหาร ส... ส่วนใหญ่ เห็นด้วยกับแผนการเปิดประเทศและการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ในช่วงเดือนตุลาคมพฤศจิกายนนี้ โดยขอให้ภาครัฐดำเนินนโยบายที่มีการผ่อนคลายกิจกรรมทางธุรกิจมากขึ้น และบังคับใช้มาตรการควบคุมโรคเท่าที่จำเป็น เพื่อให้เศรษฐกิจเดินต่อไปได้

สำหรับข้อเสนอสำคัญ คือ ภาครัฐต้องช่วยเหลือผู้ประกอบการพักชำระหนี้และหยุดคิดดอกเบี้ยสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องเป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ภาคเอกชน ขยายระยะเวลาเคอร์ฟิวเพื่อให้ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจบันเทิงเปิดให้บริการได้ 

พร้อมแนะภาคเอกชนเร่งปรับ Business Model ให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงหลังโควิด-19

จากการสำรวจผู้บริหาร ส... (CEO Survey) จำนวน 150 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด สรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 10 จำนวน 7 คำถาม ได้ดังนี้

ท่านเห็นด้วยกับแผนการเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ในช่วงเดือนตุลาคมพฤศจิกายนนี้หรือไม่

เห็นด้วย 78.0%
ไม่เห็นด้วย 22.0%

ปัจจัยใดที่ต้องนำมาพิจารณาในการเปิดประเทศ

อันดับที่ 1 : อัตราการฉีดวัคซีน 2 เข็มให้แก่ประชาชนไม่ต่ำกว่า 70% 86.0%
อันดับที่ 2 : มาตรการคัดกรอง ตรวจติดตามผู้เดินทางเข้าประเทศ 66.7%
อันดับที่ 3 : ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชน 62.7%
อันดับที่ 4 : ความพร้อมด้านระบบสาธารณสุขในการรองรับผู้ติดเชื้อในแต่ละพื้นที่ 59.3%

Photo : Shutterstock

ภาครัฐควรดำเนินนโยบายการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 และดูแลเศรษฐกิจอย่างไร

อันดับที่ 1 : ผ่อนคลายภาคธุรกิจและบังคับใช้มาตรการควบคุมโรคเท่าที่จำเป็น 73.3%
อันดับที่ 2 : เข้มงวดในการบังคับใช้มาตรการควบคุมโรคทุกช่องทาง 14.0%
อันดับที่ 3 : เร่งเปิดประเทศ โดยให้ความสำคัญด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นสำคัญ 12.7%

แนวทางการเปิดประเทศแบบใดที่มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

อันดับที่ 1 : เปิดให้อยู่ในพื้นที่ Sandbox 14 วัน หากไม่พบเชื้อหลัง 14 วันสามารถเดินทางได้ทั่วประเทศ 44.7%
อันดับที่ 2 : เปิดให้เดินทางได้ทั่วประเทศในรูปแบบการจับคู่ระหว่างประเทศ (Travel Bubble) โดยไม่ต้องกักตัว 26.0%
อันดับที่ 3 : เปิดเฉพาะพื้นที่ Sandbox เท่านั้น ห้ามออกนอกพื้นที่ 16.7%
อันดับที่ 4 : เปิดให้เดินทางได้ทั่วประเทศ แต่ต้องผ่านการกักตัวในสถานที่กักตัว 14 วัน 12.6%

การเตรียมความพร้อมเปิดประเทศรัฐควรให้ความสำคัญในเรื่องใด

อันดับที่ 1 : การเร่งฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนในพื้นที่ Sandbox 70.0%
อันดับที่ 2 : การสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชน 69.3%
อันดับที่ 3 : ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีในการติดตามและเฝ้าระวังผู้เดินทางเข้าประเทศ 67.3%
อันดับที่ 4 : ความพร้อมในการตรวจเชื้อแบบ RT-PCR และการจัดหาชุดตรวจ Antigen Test Kit 63.3%

หลังเปิดประเทศรัฐควรมีการส่งเสริมอย่างไร

อันดับที่ 1 : พักชำระหนี้และหยุดคิดดอกเบี้ย สำหรับธุรกิจท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เป็นระยะเวลา 6 เดือน 76.0%
อันดับที่ 2 : ขยายระยะเวลาเคอร์ฟิว และผ่อนผันให้ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจบันเทิงเปิดให้บริการได้ 74.0% อันดับที่ 3 : ออกมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว และสนับสนุนการจัดงาน Exhibition และการประชุมในประเทศ 54.0%
อันดับที่ 4 : ลดค่าน้ำ ค่าไฟ อุดหนุนค่าเช่า ให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง 50.7%

ภาคอุตสาหกรรมควรเตรียมความพร้อมในการเปิดประเทศอย่างไร

อันดับที่ 1 : ปรับ Business Model ให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง 73.3%
อันดับที่ 2 : นำเทคโนโลยีและดิจิทัลมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ 71.3%
อันดับที่ 3 : พัฒนาสินค้าและบริการที่ให้ความสำคัญด้านสุขอนามัย และการรับรองมาตรฐานด้านสุขอนามัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค 66.0%
อันดับที่ 4 : ปฏิบัติตามมาตรการ Bubble and Seal ในโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อลดความเสี่ยง 57.3%

 

]]>
1354224
ช่วงวิกฤตโรคระบาด บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก เลือก “ผู้หญิง” เป็น CEO แค่ 3% https://positioningmag.com/1307259 Mon, 23 Nov 2020 13:09:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1307259 วิกฤตโรคระบาด กระทบโครงสร้างเเรงงาน ส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมระหว่างเพศมากขึ้น ในช่วง COVID-19 บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก เลือกผู้ชายขึ้นดำรงตำแหน่งซีอีโอมากกว่าผู้หญิง โดยผลสำรวจล่าสุดพบว่า มีผู้หญิงเพียง 3% ที่ได้รับแต่งตั้งเป็น CEO ในบริษัทระดับโลก

Heidrick & Struggles บริษัทจัดหางานระดับผู้บริหารที่ร่วมงานกับธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั่วโลก เปิดเผยผลวิเคราะห์การจ้างงานที่น่าสนใจในช่วงวิกฤต COVID-19 ตั้งเเต่เดือนมี..ที่ผ่านมา ระบุว่า มีการจ้างงานผู้หญิงเข้าไปดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ “CEOในบริษัทชั้นนำเพียง 3% เท่านั้น ซึ่งผลการศึกษานี้ไม่ได้พิจารณาปัจจัยด้านเชื้อชาติเเละชาติพันธุ์

ผู้หญิงและกลุ่มที่ด้อยโอกาสอื่น ๆ มีความเสียเปรียบในการเเข่งขันด้านอาชีพและเสี่ยงต่อการว่างงานมากกว่าผู้ชาย ในช่วงการแพร่ระบาด เนื่องจากผู้หญิงทำงานในอุตสาหกรรมหรือสายงานที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 มากกว่า อย่างงานในภาคการท่องเที่ยวเเละบริการ

ขณะเดียวกัน ผู้หญิงจำนวนมากต้องเป็นฝ่ายที่ต้องลาออกจากงานในสัดส่วนที่มากกว่าผู้ชาย เพื่อไปทำหน้าที่ดูแลลูกที่อยู่ที่บ้าน ในช่วงล็อกดาวน์ที่ลูกยังไม่สามารถไปโรงเรียนหรือนำไปฝากเลี้ยงตามสถานดูแลเด็กได้

รายงานชิ้นนี้ ระบุถึงสาเหตุที่บริษัทส่วนใหญ่เลือกผู้ชายเข้าไปนั่งเก้าอี้ผู้บริหารระดับสูงในช่วงวิกฤตว่า อาจเป็นเพราะสถานะของผู้ชายที่มีความพร้อมรับงานในฐานะผู้นำบริษัทมากกว่า

ข้อมูลของ Heidrick & Struggles ชี้ให้เห็นว่า ผู้หญิงยังมีสัดส่วนขึ้นเป็นผู้บริหารระดับ CEO น้อยกว่าผู้ชายในอัตราค่อนข้างสูง เมื่อย้อนกลับไปดูในช่วงวิกฤตเเฮมเบอร์เกอร์ ในปี 2008 บริษัทต่างๆ ก็เลือกผู้ชายเข้าไปทำหน้าที่ผู้บริหารระดับสูงมากกว่า เเต่หลังจากนั้นผู้หญิงก็เริ่มมีเเนวโน้มได้ขึ้นเป็นผู้บริหารมากขึ้น จนกระทั่งมาเจอวิกฤต COVID-19

ก่อนหน้านี้ ทางการสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเเรงงานเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่า ผู้หญิงชาวอเมริกันต้อง “ออกจากงาน” มากกว่าผู้ชายถึง 8 เท่า โดยมีผู้หญิงต้องออกจากงาน 617,000 คน ครึ่งหนึ่งอยู่ในช่วงอายุ 35-44 ปี ขณะที่มีผู้ชายออกจากงานเพียง 78,000 คน

เเม้ตอนนี้อัตราการว่างงานสหรัฐฯ จะลดลงเเล้วหลังคลายล็อกดาวน์ เเต่อัตราว่างงานของผู้หญิงทั้งประเทศอยู่ที่ 8% โดยเฉพาะผู้หญิงผิวสีเเละผู้หญิง Hispanic American (คนอเมริกันเชื้อสายเปอร์โตริโก อเมริกากลาง อเมริกาใต้ยิ่งมีอัตราว่างงานเพิ่มสูงมากขึ้นไปอีก

โดยปัญหาใหญ่ที่ตามมาในระบบโครงสร้างเเรงงาน คือ เเม้สถานการณ์โรคระบาดจะคลี่คลายมากขึ้น เเต่ผู้หญิงจำนวนมากที่ออกมาดูเเลบ้าน ไม่สามารถกลับเข้าไปสู่ “ตลาดเเรงงาน” อีกครั้งได้ โดยเฉพาะกลุ่มที่น่าเป็นห่วงอย่างพ่อเเม่ “เลี้ยงเดี่ยว” ที่ต้องเเบกภาระค่าใช้จ่ายสูง เเละจะต้องดิ้นรนในภาวะเศรษฐกิจย่ำเเย่

 

ที่มา : Bloomberg

]]>
1307259