‘ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่’ เล่าถึงภารกิจสำคัญเมื่อต้องมาดำรงตำแหน่ง ‘ประธานเจ้านหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR’ โดยเป้าหมายดังกล่าว จะต้องบรรลุให้ได้ภายในระยะเวลา 2 ปีกว่า ตามวาระที่เขาจะดำรงตำแหน่งนี้
ม.ล.ปีกทอง บอกว่า วิสัยทัศน์ของ OR ยังคงเดิม คือ ‘เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน’ โดยจะเน้นกลยุทธ์ธุรกิจไปที่ 3 แกนหลัก ได้แก่ Seamless Mobility- All Lifestyles- Global Market
1.Seamless Mobility – OR จะเป็นพาร์ทเนอร์ในการเดินทางของทุกคน (Mobility Partner) ด้วยการเน้นความเป็นผู้นำในธุรกิจน้ำมัน ผ่านเครือข่ายสถานีบริการ PTT Station ที่มีอยู่กว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศไทย โดยจะนำ Data Analytic มาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจอย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการเพิ่มสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Station PluZ
เป้าหมาย เพื่อดึงมาร์เก็ตแชร์ของธุรกิจน้ำมันที่ตกไปในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ให้กลับมาอยู่ที่ 38% จากปัจจุบันอยู่ที่ 35-36 %
2. All Lifestyles – การสร้างให้ธุรกิจไลฟ์สไตล์ ในกลุ่ม Non-oil ทำหน้าที่เป็น ‘แม่เหล็ก’ สำหรับเพิ่มทราฟฟิกและมาร์เก็ตแชร์ให้กับธุรกิจหลักของ OR นั่นคือ ธุรกิจน้ำมัน
-การปรับปรุงประสบการณ์ในร้าน Cafe Amazon ให้ดีขึ้น โดยเฉพาะตำแหน่งวางสินค้าที่ต้องทำให้ shelf life สั้นที่สุด เพื่อให้พื้นที่มีการใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
-การลงทุนใน OR Space ที่วางคอนเซ็ปต์รองรับการเปลี่ยนผ่านจากการใช้รถยนต์น้ำมันสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้าของผู้คน โดยพยายามพัฒนาให้ OR Space เป็นพื้นที่น่าสนใจ และการลงทุน 30-40% ใน OR Space จะต้องเป็นโปรดักต์ของ OR
-การขยาย EV Station PluZ ซึ่งทางซีอีโอคนใหม่ของ OR มองเป็นโอกาสให้คนใช้เวลาภายในศูนย์บริการมากขึ้น เพราะเดิมการเติมน้ำมันจะใช้เวลา 5 นาที ขณะที่การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าใช้เวลา 30 นาที
“ธุรกิจน้ำมัน margin ไม่เยอะ ความหวังของเราจึงอยู่ที่ Non-oil ในกลุ่มไลฟ์สไตล์เพราะมี Profit Margin สูง 25-30% ทำอย่างไรในการพัฒนาให้ธุรกิจนี้เป็นแม่เหล็กดึงทราฟฟิกเข้ามาในสเตชั่น เพื่อเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ ขณะเดียวกันก็มีความร่วมมือชัดเจนกันใน ecosystem เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและบริการที่ดีให้กับลูกค้า”
3.Global Market – การขยายธุรกิจไปต่างประเทศ เพื่อให้ OR เติบโตได้มากกว่าเดิม โดยการโต ‘นอกประเทศ’ จะเป็นเอาความสำเร็จของ OR และใช้ไทยเป็น ‘ฮับเพื่อส่งออก’ ไปยังภูมิภาคอื่น ๆ เบื้องต้นโฟกัสการลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะ ‘กัมพูชา’ เนื่องจากมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ และธุรกิจมีการสอดคล้องกัน
โดยทั้ง 3 แกน จะมี Digitization เป็นตัวเชื่อมของทุกสิ่ง เพื่อมาปรับกระบวนการทำงานให้ระบบต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีการใช้ Data analytic ที่ต้องเชื่อมต่อระหว่างธุรกิจ oil และ Non-oil เพื่อเข้ามามีส่วนสำคัญในการหาโอกาสในการลงทุนและสร้างความสมดุลทั้งระบบ
]]>วันนี้ (30 ก.ย.64 )สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. เผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 10 ในหัวข้อ “ภาคอุตสาหกรรมพร้อมเปิดประเทศแล้วหรือยัง?”
พบว่าผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ เห็นด้วยกับแผนการเปิดประเทศและการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ในช่วงเดือนตุลาคม–พฤศจิกายนนี้ โดยขอให้ภาครัฐดำเนินนโยบายที่มีการผ่อนคลายกิจกรรมทางธุรกิจมากขึ้น และบังคับใช้มาตรการควบคุมโรคเท่าที่จำเป็น เพื่อให้เศรษฐกิจเดินต่อไปได้
สำหรับข้อเสนอสำคัญ คือ ภาครัฐต้องช่วยเหลือผู้ประกอบการพักชำระหนี้และหยุดคิดดอกเบี้ยสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องเป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ภาคเอกชน ขยายระยะเวลาเคอร์ฟิวเพื่อให้ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจบันเทิงเปิดให้บริการได้
พร้อมแนะภาคเอกชนเร่งปรับ Business Model ให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงหลังโควิด-19
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 150 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด สรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 10 จำนวน 7 คำถาม ได้ดังนี้
เห็นด้วย 78.0%
ไม่เห็นด้วย 22.0%
อันดับที่ 1 : อัตราการฉีดวัคซีน 2 เข็มให้แก่ประชาชนไม่ต่ำกว่า 70% 86.0%
อันดับที่ 2 : มาตรการคัดกรอง ตรวจติดตามผู้เดินทางเข้าประเทศ 66.7%
อันดับที่ 3 : ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชน 62.7%
อันดับที่ 4 : ความพร้อมด้านระบบสาธารณสุขในการรองรับผู้ติดเชื้อในแต่ละพื้นที่ 59.3%
อันดับที่ 1 : ผ่อนคลายภาคธุรกิจและบังคับใช้มาตรการควบคุมโรคเท่าที่จำเป็น 73.3%
อันดับที่ 2 : เข้มงวดในการบังคับใช้มาตรการควบคุมโรคทุกช่องทาง 14.0%
อันดับที่ 3 : เร่งเปิดประเทศ โดยให้ความสำคัญด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นสำคัญ 12.7%
อันดับที่ 1 : เปิดให้อยู่ในพื้นที่ Sandbox 14 วัน หากไม่พบเชื้อหลัง 14 วันสามารถเดินทางได้ทั่วประเทศ 44.7%
อันดับที่ 2 : เปิดให้เดินทางได้ทั่วประเทศในรูปแบบการจับคู่ระหว่างประเทศ (Travel Bubble) โดยไม่ต้องกักตัว 26.0%
อันดับที่ 3 : เปิดเฉพาะพื้นที่ Sandbox เท่านั้น ห้ามออกนอกพื้นที่ 16.7%
อันดับที่ 4 : เปิดให้เดินทางได้ทั่วประเทศ แต่ต้องผ่านการกักตัวในสถานที่กักตัว 14 วัน 12.6%
อันดับที่ 1 : การเร่งฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนในพื้นที่ Sandbox 70.0%
อันดับที่ 2 : การสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชน 69.3%
อันดับที่ 3 : ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีในการติดตามและเฝ้าระวังผู้เดินทางเข้าประเทศ 67.3%
อันดับที่ 4 : ความพร้อมในการตรวจเชื้อแบบ RT-PCR และการจัดหาชุดตรวจ Antigen Test Kit 63.3%
อันดับที่ 1 : พักชำระหนี้และหยุดคิดดอกเบี้ย สำหรับธุรกิจท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เป็นระยะเวลา 6 เดือน 76.0%
อันดับที่ 2 : ขยายระยะเวลาเคอร์ฟิว และผ่อนผันให้ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจบันเทิงเปิดให้บริการได้ 74.0% อันดับที่ 3 : ออกมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว และสนับสนุนการจัดงาน Exhibition และการประชุมในประเทศ 54.0%
อันดับที่ 4 : ลดค่าน้ำ ค่าไฟ อุดหนุนค่าเช่า ให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง 50.7%
อันดับที่ 1 : ปรับ Business Model ให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง 73.3%
อันดับที่ 2 : นำเทคโนโลยีและดิจิทัลมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ 71.3%
อันดับที่ 3 : พัฒนาสินค้าและบริการที่ให้ความสำคัญด้านสุขอนามัย และการรับรองมาตรฐานด้านสุขอนามัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค 66.0%
อันดับที่ 4 : ปฏิบัติตามมาตรการ Bubble and Seal ในโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อลดความเสี่ยง 57.3%
]]>
Heidrick & Struggles บริษัทจัดหางานระดับผู้บริหารที่ร่วมงานกับธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั่วโลก เปิดเผยผลวิเคราะห์การจ้างงานที่น่าสนใจในช่วงวิกฤต COVID-19 ตั้งเเต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า มีการจ้างงาน “ผู้หญิง” เข้าไปดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ “CEO” ในบริษัทชั้นนำเพียง 3% เท่านั้น ซึ่งผลการศึกษานี้ไม่ได้พิจารณาปัจจัยด้านเชื้อชาติเเละชาติพันธุ์
ผู้หญิงและกลุ่มที่ด้อยโอกาสอื่น ๆ มีความเสียเปรียบในการเเข่งขันด้านอาชีพและเสี่ยงต่อการว่างงานมากกว่าผู้ชาย ในช่วงการแพร่ระบาด เนื่องจากผู้หญิงทำงานในอุตสาหกรรมหรือสายงานที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 มากกว่า อย่างงานในภาคการท่องเที่ยวเเละบริการ
ขณะเดียวกัน ผู้หญิงจำนวนมากต้องเป็นฝ่ายที่ต้อง “ลาออก” จากงานในสัดส่วนที่มากกว่าผู้ชาย เพื่อไปทำหน้าที่ดูแลลูกที่อยู่ที่บ้าน ในช่วงล็อกดาวน์ที่ลูกยังไม่สามารถไปโรงเรียนหรือนำไปฝากเลี้ยงตามสถานดูแลเด็กได้
รายงานชิ้นนี้ ระบุถึงสาเหตุที่บริษัทส่วนใหญ่เลือกผู้ชายเข้าไปนั่งเก้าอี้ผู้บริหารระดับสูงในช่วงวิกฤตว่า อาจเป็นเพราะสถานะของผู้ชายที่มีความพร้อมรับงานในฐานะผู้นำบริษัทมากกว่า
ข้อมูลของ Heidrick & Struggles ชี้ให้เห็นว่า ผู้หญิงยังมีสัดส่วนขึ้นเป็นผู้บริหารระดับ CEO น้อยกว่าผู้ชายในอัตราค่อนข้างสูง เมื่อย้อนกลับไปดูในช่วงวิกฤตเเฮมเบอร์เกอร์ ในปี 2008 บริษัทต่างๆ ก็เลือกผู้ชายเข้าไปทำหน้าที่ผู้บริหารระดับสูงมากกว่า เเต่หลังจากนั้นผู้หญิงก็เริ่มมีเเนวโน้มได้ขึ้นเป็นผู้บริหารมากขึ้น จนกระทั่งมาเจอวิกฤต COVID-19
ก่อนหน้านี้ ทางการสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเเรงงานเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่า ผู้หญิงชาวอเมริกันต้อง “ออกจากงาน” มากกว่าผู้ชายถึง 8 เท่า โดยมีผู้หญิงต้องออกจากงาน 617,000 คน ครึ่งหนึ่งอยู่ในช่วงอายุ 35-44 ปี ขณะที่มีผู้ชายออกจากงานเพียง 78,000 คน
เเม้ตอนนี้อัตราการว่างงานสหรัฐฯ จะลดลงเเล้วหลังคลายล็อกดาวน์ เเต่อัตราว่างงานของผู้หญิงทั้งประเทศอยู่ที่ 8% โดยเฉพาะผู้หญิงผิวสีเเละผู้หญิง Hispanic American (คนอเมริกันเชื้อสายเปอร์โตริโก อเมริกากลาง อเมริกาใต้) ยิ่งมีอัตราว่างงานเพิ่มสูงมากขึ้นไปอีก
โดยปัญหาใหญ่ที่ตามมาในระบบโครงสร้างเเรงงาน คือ เเม้สถานการณ์โรคระบาดจะคลี่คลายมากขึ้น เเต่ผู้หญิงจำนวนมากที่ออกมาดูเเลบ้าน ไม่สามารถกลับเข้าไปสู่ “ตลาดเเรงงาน” อีกครั้งได้ โดยเฉพาะกลุ่มที่น่าเป็นห่วงอย่างพ่อ–เเม่ “เลี้ยงเดี่ยว” ที่ต้องเเบกภาระค่าใช้จ่ายสูง เเละจะต้องดิ้นรนในภาวะเศรษฐกิจย่ำเเย่
ที่มา : Bloomberg
]]>