“วัลยา จิราธิวัฒน์” กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เปิดเผยความสำเร็จ 8 ปีที่ผ่านมาของ “Central Pattana Residence” ว่ามีการลงทุนเปิดตัวโครงการสะสม 43 โครงการใน 20 จังหวัด และได้ผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทำให้ปัจจุบันหน่วยธุรกิจที่อยู่อาศัยถือเป็นหน่วยธุรกิจที่ทำรายได้เป็นอันดับ 2 ให้ CPN และสามารถหมุนเวียนกระแสเงินสด (cashflow) ภายในหน่วยธุรกิจเองได้แล้ว
“ธุรกิจนี้โตเร็วกว่าที่คาดและยืนด้วยตนเองได้เร็วมาก แต่เราก็จะยังอยู่ในระบบนิเวศเดียวกันต่อไป และถ้าปีต่อๆ ไป CPN มีมิกซ์ยูสที่เป็นโปรเจ็กต์ใหญ่ เราก็พร้อมที่จะลงทุนให้ Central Pattana Residence เพิ่มอีก” วัลยากล่าว
ด้าน “กรี เดชชัย” President, Residential Business บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า เมื่อปี 2566 บริษัททำรายได้รวม 5,900 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2567 นี้บริษัทตั้งเป้าทั้งยอดขายและรายได้ไว้ที่ 7,000 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อนหน้า
แผนการเปิดโครงการในปีนี้มีทั้งหมด 10 โครงการ มูลค่ารวม 13,430 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านและคอนโดมิเนียม ดังนี้
โดยโครงการที่เปิดจองล่าสุดคือ “ESCENT บางนา” ด้านหลังเซ็นทรัล บางนา ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท จำนวนห้องชุด 285 ยูนิต พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 24 ตร.ม. พร้อมบริการชัตเติลบัสรับส่งเซ็นทรัล บางนา และรถไฟฟ้าสายสีเหลืองสถานีศรีเอี่ยม
กรีกล่าวต่อว่า สำหรับโครงการ ESCENT นครสวรรค์ และ นครปฐม ที่เปิดขายตั้งแต่ต้นปี 2567 ปัจจุบันขายเกือบหมดทั้งโครงการแล้ว มูลค่ารวม 2 โครงการกว่า 1,000 ล้านบาท
เหตุที่ทำยอดขายได้เร็วเพราะจุดขายที่แข็งแรง เป็นคอนโดมิเนียมติดศูนย์การค้า ลูกค้าจะได้พริวิลเลจจาก CPN และโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
กลุ่มลูกค้าหลักที่ซื้อมักจะเป็นคหบดีเศรษฐีในต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดที่ตั้งของโครงการหรือจังหวัดข้างเคียงที่มักจะมาใช้บริการศูนย์การค้าอยู่แล้ว
ส่วนใหญ่ลูกค้า 60% ซื้อไว้ให้กับลูกหลานเข้ามาอยู่อาศัย 30% ซื้อเก็บไว้เป็นทรัพย์สินและใช้อยู่อาศัยเป็นครั้งคราว เช่น เสาร์-อาทิตย์มาพักผ่อนเดินเล่นในห้างฯ และใช้บริการฟิตเนส สระว่ายน้ำ อีก 10% เป็นกลุ่มลงทุนเพื่อปล่อยเช่า
กรีกล่าวด้วยว่า ด้วยโปรไฟล์ลูกค้าของ Central Pattana Residence มีเงินเย็นทำให้มักจะโอนกรรมสิทธิ์ด้วยเงินสด 60% ไม่ต้องกู้สินเชื่อบ้าน ทำให้ภาพรวมอัตราถูกปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคาร (reject rate) จะอยู่ที่ 20% เท่านั้น เทียบกับค่าเฉลี่ยตลาดถูกปฏิเสธกันเกิน 50%
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวที่รัฐบาลกำลังศึกษาแนวคิดการขยายสัดส่วนผู้ซื้อชาวต่างชาติในคอนโดมิเนียมเป็น 75% ทางแม่ทัพใหญ่ “วัลยา” ตอบว่า เรื่องนี้ให้ขึ้นอยู่กับภาครัฐและ CPN พร้อมจะปฏิบัติตามข้อกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม Central Pattana Residence เน้นยอดขายจากคนไทยเป็นหลัก ที่ผ่านมามีการขายคอนโดฯ ให้ชาวต่างชาติน้อยมาก แม้แต่โครงการที่ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวอย่าง “Phyll ภูเก็ต” คอนโดฯ ใกล้เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า ก็มียอดขายให้ชาวต่างชาติเพียง 20% ของโครงการ และเมื่อลูกบ้านเข้าพักอาศัยจริงก็มีชาวต่างชาติเข้าอยู่ (รวมผู้เช่า) เพียง 35% ของโครงการเท่านั้น
CPN ยังประกาศจัดงานอีเวนต์ IMAGINING BETTER LIVING ยกทัพ บ้าน คอนโด และทาวน์โฮม พร้อมอยู่กว่า 20 โครงการจากทั่วทุกภาคทั่วไทยมาไว้ในงานเดียว พร้อมรับข้อเสนอและโปรโมชั่นจัดเต็มที่สุดในรอบปี ข้อเสนอที่ดีที่สุด รับส่วนลดสูงสุด 10 ล้านบาท* Upgrade The 1 Exclusive* (1 สิทธิ / การจองเท่านั้น* และโอนกรรมสิทธิ์ภายในสิงหาคม 2567) รับคะแนน The1 เท่ากับมูลค่าการซื้อโครงการ* (25 บาท รับ 1 คะแนน เฉพาะโครงการพร้อมอยู่ และโอนกรรมสิทธิ์ภายในกรกฎาคม 2567 เท่านั้น) และดอกเบี้ยพิเศษ* เฉพาะงานนี้ 27-30 มิถุนายนนี้ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ บริเวณชั้น 1 เซ็นทรัล คอร์ต
]]>ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ REIC รายงานดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ (บ้านเดี่ยว และ ทาวน์เฮาส์) ที่อยู่ระหว่างการขายในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1/ 2567 พบว่า ดัชนีมีค่าเท่ากับ 131.5 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยมีการเพิ่มติดต่อกัน 5 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2566 ถึง ไตรมาส 1 ปี 2567
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าสาเหตุสำคัญที่มีผลให้ดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาจากต้นทุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นจากปัจจัยหลายประการ เช่น ราคาที่ดิน ค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ออกมาสู่ตลาดที่เปิดตัวโครงการในปี 2565 – 2566 มีราคาเสนอขายเพิ่มขึ้นตามต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ หากแบ่งตามพื้นที่ ราคาบ้านจัดสรรไตรมาส 1/2567 ในเขตกรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 128.3 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่สามจังหวัดปริมณฑล (นนทบุรี ปทุมธานี และ สมุทรปราการ) มีค่าดัชนีเท่ากับ 134.0 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY)
และถ้าเจาะลึกประเภทสินค้าและพื้นที่ร่วมกัน รายงานชิ้นนี้พบว่า “บ้านเดี่ยว” ในเขตกรุงเทพฯ มีดัชนีราคาลดลง -0.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เนื่องจากบ้านเดี่ยวราคาแพงกลุ่มราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปมีการ “ลดราคา” เพื่อระบายสต๊อกมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในโซนราษฎร์บูรณะ-บางขุนเทียน-ทุ่งครุ-บางบอน-จอมทอง รองลงมาในโซนลาดพร้าว-บางกะปิ-วังทองหลาง-บึงกุ่ม-สะพานสูง-คันนายาว และโซนบางเขน-สายไหม-ดอนเมือง-หลักสี่
เช่นเดียวกับ “ทาวน์เฮาส์” ในเขตกรุงเทพฯ ก็มีดัชนีราคาที่ลดลง -0.1% โดยพบว่ามีการลดราคามากที่สุดในโซนมีนบุรี-หนองจอก-คลองสามวา-ลาดกระบัง ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท รองลงมาในโซนพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ ในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท และโซนราษฎร์บูรณะ-บางขุนเทียน-ทุ่งครุ-บางบอน-จอมทอง ในระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท เพราะมีการลดราคาเพื่อระบายสต๊อกเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่โครงการยังใช้ต้นทุนเดิมเพราะเป็นโครงการเก่าตั้งแต่ปี 2564 จึงสามารถทำราคาได้
หากแบ่งตามพื้นที่ที่ “ราคาบ้านจัดสรรขึ้นสูงที่สุด” ในไตรมาส 1/2567 ทาง REIC สรุปได้ดังนี้
“บ้านเดี่ยว”
อันดับ 1 โซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง ในระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท
อันดับ 2 โซนลำลูกกา-คลองหลวง-ธัญบุรี-หนองเสือ ในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท
อันดับ 3 โซนเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก ในระดับราคา 10.00 ล้านบาทขึ้นไป
“ทาวน์เฮาส์”
อันดับ 1 โซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท
อันดับ 2 โซนลำลูกกา-คลองหลวง-ธัญบุรี-หนองเสือ ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท
อันดับ 3 โซนเมืองสมุทรปราการ-พระสมุทรเจดีย์-พระประแดง ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท
ดร.วิชัยมองว่า ล่าสุดหลังจากรัฐบาลประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองให้กับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท น่าจะทำให้มีการระบายซัพพลายเดิมในตลาดออกไปได้พอสมควร และหลังจากนั้นซัพพลายใหม่ที่เข้ามาเติมในตลาดน่าจะตั้งราคาที่สะท้อนต้นทุนใหม่ที่ปรับขึ้นแล้ว ทำให้ดัชนีราคาบ้านในครึ่งปีหลัง 2567 ก็น่าจะยังปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง
]]>วัน แบงค็อก โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกใจกลางกรุงเทพฯที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนครอบคลุมในทุกมิติ ภายใต้แนวคิด The Heart of Bangkok เมืองที่ใช้ใจสร้าง โดยยึดเอา “หัวใจ” ของผู้คนเป็นศูนย์กลาง สร้างมาตรฐานใหม่ในด้านการออกแบบ คุณภาพ ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และการใช้ชีวิตในสมาร์ท ซิตี้ ประกาศความร่วมมือกับ B&B Italia แบรนด์เฟอร์นิเจอร์สัญชาติอิตาเลียนที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยความร่วมมือครั้งนี้ ถือว่าเป็นปรากฏการณ์สำคัญในการยกระดับมาตรฐานการใช้ชีวิตอัลตร้าลักชัวรีในไทย ส่งเสริมไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย และยังถือเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นำชุดตกแต่งที่พักอาศัยแบบบิวท์อินของ B&B Italia อาทิ ตู้เสื้อผ้าและชุดครัว มาใช้ในโครงการฯ
วรวรรต ศรีสอ้าน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการ วัน แบงค็อก กล่าวถึงความร่วมมือครั้งสำคัญกับ B&B Italia ว่า “เรามีความภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับ B&B Italia แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังจากประเทศอิตาลี ที่โดดเด่นในเรื่องของความพิถีพิถันในการดีไซน์สะท้อนให้เห็นถึงการมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในด้านการออกแบบ โดยนำเสนอดีไซน์ที่ร่วมสมัยและอยู่เหนือกาลเวลา เราเชื่อมั่นในคุณภาพและสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ และดีไซน์อันงามสง่าของ B&B Italia ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยส่งเสริมเติมเต็มความเหนือระดับของที่พักอาศัยภายในโครงการฯได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยห้องชุดในโครงการ วัน แบงค็อก ถือเป็นโครงการที่อยู่อาศัยแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ตกแต่งด้วยตู้เสื้อผ้าบิวท์อินและชุดครัวสั่งทำพิเศษจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ของ B&B Italia ซึ่งผลิตขึ้นภายใต้มาตรฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อมอบคุณค่าอันยั่งยืนและสนับสนุนแนวทางการผลิตที่มุ่งลดการสิ้นเปลืองทรัพยากร เรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ด้วยความร่วมมือครั้งนี้ เราจะสามารถมอบประสบการณ์ที่เหนือชั้นไปอีกขั้นให้กับเจ้าของห้องชุดในโครงการฯ ด้วยการตกแต่งที่เปี่ยมด้วยความประณีตและล้ำสมัย เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างเมืองกลางใจภายใต้แนวคิดของสมาร์ท ซิตี้ และความยั่งยืน”
กิลแบร์โต เนกรินี ซีอีโอของ B&B Italia Group กล่าวเสริมถึงการร่วมเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ว่า
“เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับ วัน แบงค็อก และมีความมั่นใจว่าโครงการฯนี้จะเป็นจุดหมายปลายทางแห่งการมอบประสบการณ์แบบลักชัวรี ซึ่งเป็นต้นแบบแห่งความเป็นเลิศในทุกด้านและทุกรายละเอียดอย่างครบครัน ความร่วมมือของเราในการออกแบบตกแต่งภายในครั้งนี้ จะสร้างมาตรฐานใหม่ของสุดยอดแห่งการดีไซน์และนวัตกรรมอันทรงคุณค่า เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมสร้างสรรค์พร้อมส่งมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้พักอาศัยภายในโครงการฯ ด้วยตู้เสื้อผ้าบิวท์อินและชุดครัวที่รังสรรค์ภายใต้แนวคิดแห่งความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”
B&B Italia ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2509 โดยเปียโร แอมโบรจิโอ บุสเนลลี (Piero Ambrogio Busnelli) โดดเด่นด้วยการนำเสนอผลงานอันเป็นวัฒนธรรมร่วมสมัย และมีการวิจัยในการนำนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งส่งผลให้แบรนด์สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีสไตล์และสง่างาม มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังได้ผสานความร่วมมือกับศูนย์วิจัยและพัฒนาของบริษัทเพื่อสรรหาแนวคิดและความเป็นเลิศ โดยสุดยอดผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบระดับนานาชาติ ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อันโดดเด่น และถูกจารึกทางประวัติศาสตร์ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา B&B Italia ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติมากมาย รวมถึงคว้ารางวัล Compasso d’Oro ซึ่งเป็นรางวัลด้านการออกแบบอุตสาหกรรมของอิตาลีที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด ถึงห้าครั้งด้วยกัน
ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทรงคุณภาพอย่างยอดเยี่ยม และเป็นที่รู้จักทั่วโลก B&B Italia Group ที่ได้รับการยอมรับจากโครงการที่มีชื่อเสียงโดดเด่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์หรูอย่าง Rolex และ Rolls Royce รวมไปถึงโรงแรม Bulgari ในมิลาน ลอนดอน ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ดูไบ ปารีส โตเกียว และโรม เป็นต้นส่งผลให้ B&B Italia เป็นหนึ่งในพันธมิตรที่โดดเด่นของ วัน แบงค็อก
วัน แบงค็อก ประกอบด้วยพื้นที่อาคารสำนักงานที่ครบครัน สถานที่ช้อปปิ้งที่สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ที่อยู่อาศัยใจกลางเมืองผสานคุณค่าการใช้ชีวิตเหนือระดับ โรงแรมที่พร้อมให้บริการอันมีเอกลักษณ์เป็นหนึ่งเดียว ศูนย์แสดงนิทรรศการและจัดกิจกรรมระดับโลก มุ่งสู่การเป็นโครงการที่ได้รับการรับรองโดยมาตรฐาน LEED for Neighborhood Development ระดับ Platinum แห่งแรกในประเทศไทย และมาตรฐานรับรองอาคาร WELL เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้อาคาร
วัน แบงค็อก มุ่งมั่นสร้างสรรค์โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ยั่งยืน มอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย และยกระดับมาตรฐานของที่พักอาศัยระดับลักชัวรีในประเทศไทย สร้างนิยามใหม่ของมาตรฐานด้านความละเมียดละไมและความเป็นเลิศร่วมกับพันธมิตรทุกราย
]]>ท่ามกลางตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่แข่งขันสูง มีอสังหาฯ ของคนรุ่นใหม่รายหนึ่งที่น่าจับตามอง ด้วยแนวคิดการพัฒนาโครงการที่เข้าใจคนรุ่นใหม่ทำให้ “Initial Estate” โดดเด่นในตลาด บริษัทนี้เลือกชูจุดขายเป็น “ตัวจริงที่ใส่ใจ” เพราะพบว่าการใช้ชีวิตในบ้านมีรายละเอียดที่แตกต่าง และทุกคนต้องการแสดงออกถึงความเป็นตัวเองจากการอยู่อาศัย ความเข้าใจนี้ถูกถ่ายทอดผ่าน 6 โครงการที่เปิดขายในระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา โดยมีโครงการล่าสุดคือ “พีเว่ (PYVE) ราชพฤกษ์-สิรินธร”
Initial Estate (อินนิเชียล เอสเตท) ก่อตั้งบริษัทและเปิดโครงการแรกเมื่อปี 2561 เป็นโครงการทาวน์โฮมชื่อ เดอะ ธาม (The Thamm) อ่อนนุช-มอเตอร์เวย์ จำนวนรวม 115 ยูนิต แม้จะเป็นโครงการแรกของบริษัท แต่ประสบความสำเร็จสร้างยอดขายได้ถึง 80% ตั้งแต่วันแรกที่เปิดพรีเซล
หลังจากนั้นบริษัททยอยเปิดขายโครงการต่อเนื่องจนปัจจุบันมีโครงการสะสม 6 โครงการ โดยมี 3 โครงการที่ ‘Sold Out’ ปิดการขายไปแล้ว และ 3 โครงการที่อยู่ระหว่างขาย ได้แก่ เดอะ ธาม ไอคอนิค (The Thamm Iconic) อ่อนนุช-มอเตอร์เวย์, เดอะ ธาม (The Thamm) ราชพฤกษ์-สิรินธร ตกแต่งแบบ Shoreditch Design และโครงการล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคมปีนี้อย่าง พีเว่ (PYVE) ราชพฤกษ์-สิรินธร
The Thamm Iconic อ่อนนุช-มอเตอร์เวย์ และ The Thamm ราชพฤกษ์-สิรินธร ยังเป็นสองโครงการที่ได้รางวัลประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบจากเวที FIABCI Thai PRIX D’EXCELLENCE AWARDS’21 อีกด้วย
แม้จะเป็น ‘คนรุ่นใหม่’ ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ แต่ทำไม Initial Estate สามารถสร้างยอดขายได้ต่อเนื่อง และได้รับการการันตีรางวัลจากคนในวงการ ต้องไปเจาะลึกที่ปรัชญาแนวคิดการพัฒนาโครงการที่เน้นความเข้าใจวิถีชีวิต “คนรุ่นใหม่” ซึ่งทำให้เกิดโปรดักส์ที่ ‘ใช่’ ขึ้นมา
ที่มาของแนวคิดพัฒนาโครงการของ Initial Estate คือการเล็งเห็นว่าวิถีชีวิต “คนรุ่นใหม่” ยุคนี้มีรายละเอียดที่แตกต่างหลากหลาย และคนรุ่นใหม่ใส่ใจกับการสะท้อนตัวตนของตัวเองออกมาในพื้นที่ “บ้าน” เพราะที่อยู่อาศัยไม่ได้ตอบโจทย์เฉพาะด้านฟังก์ชัน แต่ยังเป็นเรื่องไลฟ์สไตล์ด้วย
ความแตกต่างในวิถีชีวิตที่บริษัทพบในการวิจัย ตัวอย่างเช่น หากแบ่งการอยู่อาศัยจาก “ลักษณะครอบครัว” ปัจจุบันแบ่งได้ถึง 4 แบบ คือ
1. กลุ่ม Starter Family – แต่งงานใหม่ แยกบ้านมาเริ่มต้นสร้างครอบครัว วางแผนที่จะมีลูกหรือเพิ่งมีลูกคนแรก
2. กลุ่ม DINK – Double Income No Kids กลุ่มคู่รักที่แต่งงาน/อาศัยอยู่ด้วยกันสองคน ทำงานนอกบ้านทั้งคู่ และไม่มีแผนที่จะมีลูก
3. กลุ่ม 3-Gen Family – กลุ่มอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ ปู่ย่า/ตายายอาศัยอยู่ด้วยกันกับลูกๆ และหลานๆ ในบ้าน
4. กลุ่ม Young Successor – กลุ่มที่แยกบ้านออกมาเพื่ออยู่คนเดียว รายได้สูง และมีไลฟ์สไตล์ของตนเอง
เมื่อบริษัทเข้าใจ ‘อินไซต์’ ลักษณะครอบครัวแบบคนรุ่นใหม่ ก็จะทำให้เจาะลึกต่อไปได้ว่าแต่ละคนมี ‘pain’ ที่ต้องการจะแก้อย่างไรบ้าง คนที่มีวิถีชีวิตแต่ละแบบจะมีความต้องการหลักในการอยู่อาศัยที่ต่างกัน เช่น มองฟังก์ชันบ้านเป็นหลัก มองความสงบสบายเป็นส่วนตัว มองเรื่องการสะท้อนไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ฯลฯ
ความเข้าใจอินไซต์โดยละเอียด ทำให้ Initial Estate ‘ลงลึก’ ในการพัฒนาโครงการได้ สะท้อนวิธีการทำงานของบริษัทที่ต้องเข้าใจลูกค้าจริงๆ
“ตัวจริงที่ใส่ใจ” (Designed for Real You) จึงเป็นปรัชญาที่สรุปวิธีพัฒนาโครงการของ Initial Estate ได้ดีที่สุด โดยบริษัทอธิบายถึงความใส่ใจดังกล่าวว่ามีทั้งหมด 5 แกน คือ
1. ตัวจริงที่ใส่ใจด้านการอยู่อาศัย (Real Care for Details) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำเลโครงการที่สะดวก หรือการดีไซน์บ้านให้มีพื้นที่เอนกประสงค์ ทำให้แต่ละครอบครัวปรับเปลี่ยนไปใช้งานตามไลฟ์สไตล์ตนเองได้ หรือตกแต่ง ต่อเติมได้ภายหลัง ซึ่งทำให้แบบบ้านของบริษัทได้รับรางวัลการันตี เพราะความเข้าใจลูกค้าในส่วนนี้
2. ตัวจริงที่ใส่ใจด้านการบริการ (Real Care for Service) บริษัทจะรับฟังลูกค้าถึงความต้องการและข้อจำกัดต่างๆ ก่อนจะเสนอผลิตภัณฑ์ และติดตามความพึงพอใจหลังการขายเพื่อนำ feedback มาพัฒนา พร้อมบริการด้วยรอยยิ้มและคำทักทายจากใจ
3. ตัวจริงที่ใส่ใจด้านการใช้ชีวิต (Real Care for Living) พื้นฐานโครงการเหมาะกับเด็กและผู้สูงอายุโดยพื้นที่จะมีความลาดเอียงต่ำ และลบเหลี่ยมเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดอันตราย รวมถึงให้ความสำคัญด้านเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยรอบๆ และในโครงการ
4. ตัวจริงที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม (Real Care for Earth) โครงการจะลดมลภาวะและการปล่อยสารพิษตั้งแต่ขั้นตอนก่อสร้าง พร้อมจัดพื้นที่สีเขียวในโครงการให้เพียงพอกับจำนวนลูกบ้าน และมีถังขยะแยกประเภททุกโครงการเพื่อส่งเสริมให้มีการรีไซเคิลขยะ
5. ตัวจริงที่ใส่ใจบุคลากรและผู้เกี่ยวข้อง (Real Care for People) เน้นการมีส่วนร่วมของพนักงาน ให้ไอเดียเจ๋งๆ จากพนักงานได้นำมาพัฒนาจริง พร้อมพัฒนาทักษะและให้แพ็กเกจสวัสดิการที่เทียบเคียงตลาดได้
ความใส่ใจที่รอบด้านทำให้ Initial Estate เป็นชื่อที่กำลังมาในตลาดอสังหาฯ สามารถแตกแบรนด์เพื่อจับเซกเมนต์ในตลาดได้ตั้งแต่กลุ่มทาวน์โฮม 2-4 ล้านบาท ไปจนถึงบ้านเดี่ยวราคา 8-15 ล้านบาท เพราะเข้าใจผู้อยู่อาศัยทุกระดับและทุกความต้องการ
โครงการล่าสุดของ Initial Estate ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาคือ “พีเว่ (PYVE) ราชพฤกษ์-สิรินธร” แบรนด์บ้านเดี่ยวที่เน้นคอนเซ็ปต์ “เอกสิทธิ์ความเป็นส่วนตัว” เรียบหรู และมีระดับ
ทำเลที่ตั้งโครงการอยู่บนถนนบางกรวย-จงถนอม ระยะ 5 นาทีจากทางขึ้นลงทางด่วนสิรินธร เข้าถึงสาทรใน 15 นาที สะดวกต่อการเดินทาง
พื้นที่โครงการ 22 ไร่ และมีจำนวนยูนิตเพียง 92 ยูนิต ทำให้แต่ละโซนจะมีบ้านเพียง 4 หลัง และสามารถออกแบบให้ระเบียงห้องนอนแต่ละหลังไม่หันชนกัน ให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุด ตามนิยามโครงการ “บ้าน…ก้าวที่มั่นคงเพื่อเริ่มชีวิตที่ส่วนตัว”
ความเป็นส่วนตัวยังอยู่ในรายละเอียดของพื้นที่ส่วนกลางด้วย เช่น สระว่ายน้ำระบบเกลือที่มีแนวต้นไม้บังรอบๆ ช่วยบังสายตาให้ผู้มาใช้บริการ ในโครงการยังมีลู่วิ่ง Jogging Track และ Pavilion นั่งพักผ่อนที่ทำให้ลูกบ้านมีพื้นที่ที่สามารถใช้ชีวิตได้จริง
ด้านการออกแบบตัวบ้านเป็นสไตล์มิลาโน โมเดิร์น คอนเทมโพรารี แบ่งแบบบ้านเป็น 3 แบบ คือ
Milano Modern Contemporary Style จะให้ความรู้สึกเรียบง่ายแต่หรูหราอย่างมีสไตล์ เน้นความคลาสสิกที่ร่วมสมัย สะท้อนรสนิยมผู้อยู่อาศัย และสามารถตกแต่งเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ได้ง่ายหลายรูปแบบ
PYVE ราชพฤกษ์-สิรินธร เปิดพรีเซลแล้วในราคาเริ่ม 8.9 ล้าน* โปรโมชันลงทะเบียนวันนี้รับส่วนลดสูงสุด 1 แสนบาท
สนใจติดต่อเยี่ยมชมโครงการได้ที่ ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ : https://bit.ly/3UbqHC0
Official Website : initialestate.com
Tel : 02-026-6935
LINE : @InitialEstate FB : www.facebook.com/initialestate
E-mail : [email protected]
YT : https://www.youtube.com/channel/UCHalZChIkRXPK2yHx_nPyfA
]]>แพลตฟอร์มซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ Kaidee Property (ขายดี พร๊อพเพอร์ตี้) มีการเก็บอินไซต์ผู้บริโภคที่เข้ามาใช้งานแพลตฟอร์มในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2565 พบว่า มี 5 ทำเลที่ผู้ใช้นิยมค้นหาเพื่อซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยมากที่สุด ดังนี้
เห็นได้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นทำเลขอบเมืองที่ยังเดินทางเข้าเมืองสะดวก และมีศูนย์การค้าใกล้บ้าน รวมถึงบางเขตก็เป็นพื้นที่ใกล้แหล่งงานแถบนิคมอุตสาหกรรม หรือเขตออฟฟิศสำนักงานย่านขอบเมือง
ความต้องการของผู้บริโภคนี้สอดคล้องกับราคาประเมินที่ดินที่ปรับขึ้น เขตเหล่านี้มีการขยับของราคาที่ดินขึ้นทั้งหมด ได้แก่ เขตลาดพร้าว +38% เขตจตุจักร +36% เขตบางแค 14% และเขตสวนหลวงกับเขตลาดกระบัง มีการปรับขึ้น 11% เท่าๆ กัน
สำหรับประเภทที่อยู่อาศัยที่คนนิยมมากที่สุดคือ “บ้านเดี่ยว” ยอดชม 110 ล้านเพจวิว รองมาคือ “คอนโดมิเนียม” ยอดชม 91.2 ล้านเพจวิว ตามด้วย “ทาวน์โฮม” ยอดชม 49.2 ล้านเพจวิว
เห็นได้ว่าความนิยมในกลุ่มบ้านเดี่ยวยังมีมากกว่าคอนโดฯ ซึ่งน่าจะเกิดจากเทรนด์ในช่วงที่ผ่านมา คนไทยมีโอกาสได้ Work from Home มากขึ้น และให้ความสำคัญกับการมีพื้นที่กว้างขวาง
ในแง่ของราคานั้น พบว่าอสังหาฯ ที่เป็นที่ต้องการจะอยู่ในตลาดระดับกลางจนถึงระดับราคาประหยัดเป็นหลัก โดยแบ่งตามประเภท ดังนี้
ด้านทำเลที่มีซัพพลายเสนอให้เช่าหรือเสนอขายเพิ่มขึ้นสูงสุดแต่มีดีมานด์ไม่สูงนัก ได้แก่ เขตคลองเตย, เขตวัฒนา, เมืองพัทยา, อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และ เขตพระโขนง ทั้งหมดเป็นพื้นที่ที่ต่างชาติมักจะนิยมเช่าหรือซื้ออสังหาฯ จึงประเมินได้ว่ากำลังซื้อต่างชาติยังไม่กลับมามากนัก
อย่างไรก็ดี Kaidee Property มองว่ากระแสการกลับมาของผู้ซื้อหรือเช่าต่างชาติอาจจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 เพราะรัฐบาลไทยผ่อนปรนให้เข้าสู่ประเทศไทยได้สะดวก และในประเทศจีน รัฐบาลมีนโยบายควบคุมหลักสูตรโรงเรียนอินเตอร์ให้เป็นไปตามที่รัฐกำหนด ซึ่งอาจจะมีผลให้ชาวจีนในกลุ่มนี้เลือกส่งบุตรหลานมาเรียนโรงเรียนอินเตอร์ที่ประเทศไทยแทน และจะต้องการซื้อหรือเช่าอสังหาฯ ระหว่างเข้ารับการศึกษา
]]>“ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยในเครือ LPN กล่าวถึงผลสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ พบว่า ครึ่งปีแรก 2565 ผู้ประกอบการมีการเปิดตัวโครงการใหม่ 163 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 51,946 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 188,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 121% และ 45% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2564
ในจำนวนที่เปิดตัวทั้งหมด หากแบ่งตามประเภทสินค้า พบว่าคอนโดมิเนียมมีการเปิดตัว 48 โครงการ รวม 30,579 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 78,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 231% และ 40% ตามลำดับเมื่อเทียบกับปี 2564
ส่วนประเภทโครงการแนวราบ มีการเปิดตัว 115 โครงการ รวม 21,367 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 110,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% และ 48% ตามลำดับเมื่อเที่ยบกับปี 2564
จากข้อมูลของลุมพินี วิสดอม จะเห็นได้ว่าสินค้าประเภทคอนโดฯ ครึ่งปีแรกปีนี้มีการเปิดตัวในเชิงปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ในเชิงมูลค่าอาจจะสูงขึ้นไม่มากเท่า สะท้อนว่าผู้ประกอบการหันไปเปิดตัวคอนโดฯ ที่มีราคาต่ำลง
ในแง่ของอัตราการขาย ประพันธ์ศักดิ์ระบุว่า คอนโดฯ เปิดใหม่ช่วงครึ่งปีแรก 2565 มีอัตราขายเฉลี่ย 33% ต่อเดือน ส่วนที่อยู่อาศัยแนวราบมีอัตราขายเฉลี่ย 12% ต่อเดือน
เฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบ มีกลุ่มที่น่าสนใจคือมีทั้งการเปิดตัวที่สูงขึ้น และอัตราการขายที่ดีแม้จะมีซัพพลายเข้ามาในตลาด เช่น
ลุมพินี วิสดอมมองครึ่งปีหลัง 2565 เชื่อว่าผู้ประกอบการจะเปิดตัวต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีปัจจัยลบอัตราเงินเฟ้อไทยที่แตะระดับ 7.66% ในเดือนมิถุนายน 2565 และทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างขึ้นไปแล้วไม่ต่ำกว่า 5%
แต่เนื่องจากในปี 2563-64 ที่ประเทศไทยเผชิญโรคระบาด ผู้ประกอบการลดการเปิดตัวไปมาก เมื่อสินค้าพร้อมขายลดลง ทำให้ต้องเปิดตัวมากในปี 2565 เพื่อสร้างฐานรายได้ให้กับบริษัท โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าคอนโดฯ ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการก่อสร้าง 18-24 เดือน กว่าที่จะส่งมอบและรับรู้รายได้
จากการประเมินของลุมพินี วิสดอม กรณีเติบโตปกติ (Base Case) คือถ้าหากเศรษฐกิจไทยโต 2.5-3.0% และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในช่วง 5-7% ระดับราคาน้ำมันไม่เกิน 120 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เชื่อว่าการเปิดตัวอสังหาฯ โครงการใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลจะอยู่ที่ 78,000-84,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 288,000-336,000 ล้านบาท หรือมูลค่าเติบโต 9-27% เทียบกับปี 2564
เมื่อปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดโรคระบาด Positioning พบลุมพินี วิสดอมเคยออกผลสำรวจตลาดกรุงเทพฯ-ปริมณฑลมีการเปิดตัวโครงการใหม่ 110,500 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 440,000 ล้านบาท ดังนั้น หากคิดในแง่มูลค่า ถ้าธุรกิจอสังหาฯ สามารถกลับมาได้ในระดับ Base Case จะคิดเป็นการฟื้นตัว 65-76% ของที่เคยทำได้ในปี 2562
]]>บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN เริ่มเปิดส่วนงานธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเมื่อ 8 ปีก่อน และเริ่มเปิดตัวคอนโดมิเนียม 3 แห่งแรกพร้อมกันเมื่อปี 2559 โดยเน้นทำเล ‘ติดห้าง’ ลงทุนควบคู่ไปกับศูนย์การค้า
ปรากฏว่าโมเดลธุรกิจนี้ไปได้ดี สร้างยอดขายได้ต่อเนื่อง พร้อมกับที่ CPN มีแผนพัฒนาด้วยโมเดลมิกซ์ยูส สร้างโครงการที่มีทั้งศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย โรงแรม ออฟฟิศ ในบริเวณเดียวกัน ทำให้กลุ่มที่อยู่อาศัยกำลังจะขึ้นมาเป็น ‘พระเอก’ อีกรายหนึ่งในพอร์ตบริษัท
“วัลยา จิราธิวัฒน์” กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา เปิดเผยแผนการลงทุนของบริษัท ตั้งเป้าเปิดตัวโครงการบ้านและคอนโดฯ เพิ่ม 50 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 40,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี (2565-2570) ครอบคลุม 27 จังหวัดทั่วไทย และจะทำให้รายได้ส่วนที่อยู่อาศัยเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ใน 5 ปีข้างหน้า
ปัจจุบันพอร์ตที่อยู่อาศัยทำรายได้ให้เซ็นทรัลพัฒนาคิดเป็นสัดส่วน 7-8% ของบริษัท แต่เมื่อเร่งขยายพอร์ตเพิ่มจะทำให้รายได้ ณ ปี 2570 น่าจะมีสัดส่วนถึง 15% ของบริษัท
จุดเด่นที่แข็งแกร่งของที่อยู่อาศัยเซ็นทรัลพัฒนา คือ การอยู่ในมิกซ์ยูสติดกับศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัล เช่น เซ็นทรัล, โรบินสัน ไลฟ์สไตล์, ศูนย์การค้าพิเศษของเซ็นทรัล กรุ๊ป ซึ่งมักจะเป็นทำเลทองของจังหวัดนั้นๆ อยู่แล้ว
“ร.อ.กรี เดชชัย” President, Residential Business บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า ปกติเมื่อเซ็นทรัลเปิดศูนย์การค้าที่จังหวัดใด ก็มักจะมีดีเวลอปเปอร์ตามมาเปิดโครงการอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นการการันตีว่าเป็นจังหวัดที่มีกำลังซื้อ และยิ่ง CPN มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยติดห้างด้วยตนเอง ก็ยิ่งคาดการณ์ได้ว่าพื้นที่บริเวณนั้นจะเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น ตามความเจริญที่เกิดจากการสร้างศูนย์การค้า
เป็นเหตุให้บ้านและคอนโดฯ ของเซ็นทรัลพัฒนาขายได้ดี เพราะลูกค้าเชื่อมั่น การซื้ออยู่อาศัยก็สะดวกสบายเพราะติดกับศูนย์ฯ หรือจะเก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานก็จะมีมูลค่าเพิ่ม และยังได้สิทธิประโยชน์จากศูนย์ฯ ด้วยในฐานะลูกบ้าน เช่น ส่วนลดร้านค้า ที่จอดรถพิเศษ
“เราเพิ่งเปิดคอนโดฯ เอสเซ็นท์ หาดใหญ่ ติดกับเซ็นทรัล เฟสติวัล หาดใหญ่ ไปเมื่อต้นปี 2564 มีทั้งหมด 660 ยูนิต แต่ขายหมด Sold Out ในเวลาไม่ถึง 1 ปี ทั้งที่เปิดตัวในช่วงโควิด-19 ยังระบาดอยู่” ร.อ.กรีกล่าว
ด้านแบรนด์อสังหาฯ ที่มีในพอร์ตของ CPN แบ่งเป็น 5 แบรนด์ ดังนี้
จะเห็นได้ว่ากลุ่มราคาจะเจาะกลุ่มลูกค้าระดับ B ขึ้นไป ถ้าเป็นตลาดต่างจังหวัดที่เป็นเป้าหมายหลักของ CPN ก็นับได้ว่าจับกลุ่ม ‘ครีม’ ของจังหวัด ผู้มีกำลังซื้อสูงและได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจน้อยในช่วงที่ผ่านมา
“การเลือกจังหวัดไหนนั้น เราจะใช้กลยุทธ์ ‘Retail-led’ นั่นคือจะนำรีเทลไปเปิดตัวก่อนสักระยะหนึ่ง เพื่อศึกษากำลังซื้อผู้บริโภคในจังหวัดนั้นว่ามีมากน้อยแค่ไหน ไลฟ์สไตล์เป็นอย่างไร ชื่นชอบที่อยู่อาศัยแบบใด แนวราบหรือแนวสูง ก่อนที่จะนำที่อยู่อาศัยเข้าไปลงทุน” วัลยากล่าว
CPN ได้เปรียบมากในข้อนี้ เพราะทุกจังหวัดที่เริ่มเปิดตัวศูนย์การค้าจะทำให้ได้ฐานสมาชิก The 1 ทราบกำลังซื้อและโปรไฟล์ของลูกค้าได้อย่างชัดเจน
ส่วนการแข่งขันในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลจะค่อนข้างสูงกว่าเพราะที่ดินมีจำกัด ทำให้ CPN จะเน้นโครงการแนวราบในระยะใกล้ศูนย์ฯ “แต่ไม่ใช่ว่าเราปิดโอกาสทั้งหมด ถ้าเราสามารถหาที่ดินได้ ทำได้ในกรุงเทพฯ เราจะไม่หยุดในการพัฒนาคอนโดฯ” วัลยากล่าว
สำหรับแผนระยะใกล้ของปี 2565 ร.อ.กรีระบุว่าบริษัทมีแผนเปิดตัวทั้งหมด 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,500 ล้านบาท ทั้งหมดจะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ได้แก่
ด้านเป้าหมายยอดขายปีนี้วางไว้ที่ 5,500 ล้านบาท และเป้ารายได้ 3,000 ล้านบาท จากโครงการที่อยู่ระหว่างขายต่างๆ เช่น นิรติ เชียงราย, นิยาม บรมราชชนี, นินญา กัลปพฤกษ์, เอสเซ็นท์ พาร์ควิลล์ เชียงใหม่, เอสเซ็นท์ ระยอง 2, ฟีล ภูเก็ต เป็นต้น
“นี่คือการเปิดตัวครั้งใหญ่ว่า CPN จะลุยตลาดที่อยู่อาศัยอย่างจริงจัง เราหวังว่าในปี 2570 รายได้ธุรกิจที่อยู่อาศัยของเราจะขึ้นไปแตะ 10,000 ล้านบาทสำเร็จ” ร.อ.กรีกล่าวปิดท้าย
]]>เชื่อว่าความฝันของใครหลายคนในยุคนี้ ย่อมอยากมีบ้านในฝันเป็นของตัวเอง แต่ว่าบ้านในยุคนี้ ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัยอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นเหมือนไลฟ์สไตล์ของคนอยู่อาศัยไปโดยปริยาย บ้านจึงเป็นส่วนสำคัญในการใช้ชีวิต จะดีแค่ไหนถ้าได้บ้านที่ตรงใจ ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิต
“อนันดา” เป็นอีกหนึ่งค่ายในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ชื่อนี้การันตีได้ถึงคุณภาพทั้งโครงการแนวราบ และแนวสูง สะท้อนความพรีเมียม ไม่เหมือนใคร รวมไปถึงทำเลสุดปังอีกด้วย
ที่ผ่านมาอนันดาประสบความสำเร็จในการทำโครงการบ้านตั้งแต่ระดับลักชัวรี่ เน้นดีไซน์ที่แตกต่าง บนทำเลใจกลางเมือง จากแบรนด์ อาร์เทล พัฒนาการ-ทองหล่อ และอาร์เทล เอกมัย-รามอินทรา ซึ่งในปี 2565 นี้ อนันดาได้วางกลยุทธ์ที่จะเน้นการทำตลาดธุรกิจแนวราบเพิ่มขึ้น ทั้งโครงการบ้าน และทาวน์โฮม โดยจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตไม่เหมือนใคร เพื่อบ้านสำหรับคนเมือง บนทำเลคุณภาพ
ล่าสุดอนันดาได้เปิดตัวแคมเปญใหม่ “บ้านอนันดา Live. Life. Unique” เป็นการบุกตลาดโครงการแนวราบ ตอกย้ำ Positioning ความเป็นบ้านที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนยุคใหม่ไลฟ์สไตล์ยูนีค พิเศษด้วยทำเลที่ดีที่สุดไม่เหมือนใครในทุกย่าน แถมยังมีการออกแบบโดดเด่นไม่ซํ้าใครในทุกมิติ พร้อมบริการหลังการขาย
ความหมายของ “Live. Life. Unique ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นคุณ” อนันดามองว่า บ้านอนันดาไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็นพื้นที่ที่ให้คนรุ่นใหม่ได้ใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง บ้านอนันดาจึงออกแบบมาให้ตอบโจทย์ทุกแพชชั่น และการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนใคร ด้วยฟังก์ชั่นบ้านยุคใหม่ที่มาพร้อมกับดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น
จากอินไซต์ของผู้บริโภคที่มองหาบ้านสักหลัง แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นเรื่อง ทำเล, ดีไซน์ และคุณภาพ ซึ่งจะเข้าตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว อนันดามีความเข้าใจคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์สุดยูนีค จึงมีแนวคิดในการทำโครงการบ้าน และทาวน์โฮมของอนันดา มี 3 หัวใจ ดังนี้
1.ทำเล (Location)
บ้านอนันดาเลือกทำเลดีที่สุดในย่าน ให้คนยุคใหม่ได้ใช้ชีวิตที่คุ้นเคย และมีพื้นที่ส่วนตัวมีความสะดวกสบายในการเดินทาง ติดถนนใหญ่ ใกล้ทางด่วน ใกล้รถไฟฟ้า ใกล้โรงเรียน ใกล้ตลาด ห้างสรรพสินค้า
2.การออกแบบที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Design)
บ้านสามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้อยู่อาศัย บ้านอนันดาให้ความสำคัญกับการออกแบบตัวบ้าน และพื้นที่ภายในโครงการ ให้ผู้อยู่อาศัยมีความภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของบ้าน รวมถึงฟังก์ชั่นบ้าน (Function) ที่รองรับไลฟ์สไตล์ที่ยูนีคและตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนในบ้านได้อย่างครบถ้วน ทำให้ทุกพื้นที่ของบ้านถูกใช้งานได้อย่างคุ้มค่า เห็นได้จาก Façade บ้านและพื้นที่ส่วนกลาง ของบ้าน Artale, Airi ที่มีการเปิดตัวแบบบ้าน New series โดยปรับฟังก์ชั่นให้เข้าใจถึงความต้องการของลูกค้ามากขึ้น, Atoll ที่มี Double Living room และ Unio Town ทาวน์โฮมที่ออกแบบให้มีหน้ากว้าง 5.7 ม.ทำให้จัดวางฟังก์ชั่นได้อย่างลงตัว
3.คุณภาพ (Quality of life)
คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อเข้ามาอยู่บ้านอนันดา (ส่วนกลางครบ คุณภาพการก่อสร้าง บริการหลังการขาย) มั่นใจในคุณภาพและบริการหลังการขายของบ้านอนันดาได้ทุกมิติภายใต้ Ananda sure (ดูรายละเอียดอนันดาชัวร์ได้ที่ https://www.ananda.co.th/anandasure/)
สำหรับใครที่กำลังมองหาบ้านอยู่ล่ะก็ อนันดาได้จัดเต็มกับโปรโมชั่นใหม่ ให้อยู่ฟรีสูงสุด 3 ปี พร้อมรับเงินคืนสูงสุด 3 แสนบาท* รับแพ็กพร้อมอยู่ 1 ล้าน* (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)
สำหรับบ้าน และทาวน์โฮม โครงการคุณภาพแบรนด์ Artale, Airi, Atoll, Urbanio และ Unio town เริ่มต้น 2.39 – 25 ล้านบาท
ระยะเวลาโปรโมชั่น ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2565 – 30 มิถุนายน 2565
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://anan.ly/3soHHJ4
ใครกำลังหาบ้านตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยูนีค พร้อมดีลที่ใช่ ต้องรีบไปจองเลย!
]]>