น้ำวิตามิน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 10 Apr 2022 14:22:19 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปิดเบื้องหลัง “วิตอะเดย์ ชานมไต้หวัน” กับโจทย์ใหญ่ ดื่มชานมได้ทุกวันแบบไม่รู้สึกผิด https://positioningmag.com/1380897 Sun, 10 Apr 2022 13:36:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1380897 เป็นกระแสฮือฮาอยู่พักใหญ่ สำหรับ “วิตอะเดย์ กลิ่นชานมไต้หวัน” ถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ในการเนรมิตน้ำดื่มวิตามิน ผสมกับชานมไข่มุก เป็นเทรนด์ฮิตสำหรับคนไทย แต่ทำอย่างไรให้คนดื่มได้แบบไม่รู้สึกผิด แถมยังได้ประโยชน์จากวิตามินอีกด้วย ตอนนี้พบว่าสินค้าขาดตลาด กลายเป็นแรร์ ไอเท็มไปแล้ว

น้ำดื่มวิตามิน ตลาดสุขภาพที่ใครๆ ก็อยากเล่น

เทรนด์ในการดูแลสุขภาพของคนไทยยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง และยังเห็นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจัยของการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลให้ตลาดกลุ่มอาหาร และเครื่องดื่มมีความคึกคัก ต่างออกสินค้าใหม่ที่ช่วงเสริมสร้างภูมิคุ้มกันมากขึ้น

หนึ่งในเทรนด์ยอดนิยมก็คือ “น้ำดื่มวิตามิน” หรือวิตามิน วอเตอร์ กลายเป็นกลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตสูง ที่มาพร้อมกับผู้เล่นในตลาดมากหน้าหลายตา มีทั้งผู้เล่นในตลาดเครื่องดื่มรายใหญ่ ไปจนถึงรายใหม่ๆ ที่ขอมาเปิดตลาดกับเขาบ้าง

น้ำดื่มวิตามินในตลาด ส่วนใหญ่จะเป็นน้ำที่ผสมกับวิตามินต่างๆ ที่นิยมก็จะเป็นวิตามินบี และวิตามินซี พร้อมกับใส่รสชาติ หรือกลิ่นเพื่อให้ดื่มง่าย แรกเริ่มเดิมทีตลาดนี้มีผู้บุกเบิกก็คือ “ยันฮี วิตามินวอเตอร์” เรียกว่าเป็นรายแรกๆ ในตลาด เริ่มจากเป็นเครื่องดื่มสำหรับผู้ป่วยของโรงพยาบาลยันฮี จากนั้นเริ่มออกสู่ตลาดแมสในการจำหน่ายในร้านค้าทั่วไป

ทำให้หลังจากนั้นเริ่มมีแบรนด์ใหม่ๆ ผุดขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง วิตอะเดย์, อิชิตัน, เจเล่, บลู, เพอร์ร่า, Dr.Drink, แมนซั่ม รวมไปถึงวิตมอร์สจาก คิงเพาเวอร์ ก็ลงมาเล่นตลาดนี้ด้วย ในช่วงหลัง “ทรู” ก็ลงมาจับตลาดด้วยเช่นกัน

วิตอะเดย์ (VITADAY) เป็นแบรนด์แรกๆ ที่จับเทรนด์น้ำดื่มวิตามินต่อจากยันฮี ได้แจ้งเกิดในช่วง COVID-19 ระบาดในช่วงแรก ได้ออก วิตอะเดย์ วิตามินวอเตอร์ น้ำดื่มวิตามินบีรวม 100% 7 ชนิด ประกอบด้วย วิตามิน B1, B3, B5, B6, B7, B9, B12 จากนั้นเริ่มเพิ่มรสชาติ และขยายสู่น้ำดื่มผสมวิตามินซี

ต้องเกริ่นก่อนว่า ก่อนที่น้ำดื่มวิตามินจะเป็นที่นิยม ในตลาดน้ำดื่มได้มีเทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ส่วนใหญ่เป็นเทรนด์ดูแลสุขภาพ มีน้ำดื่มที่น้ำตาลน้อยลง แคลอรีน้อยลง ไปจนถึงฟังก์ชันอลดริ้งก์ที่มีส่วนผสมต่างๆ ช่วยเรื่องผิว การขับถ่าย บำรุงสมอง และอื่นๆ มากมาย

แต่ที่น้ำดื่มวิตามินได้รับความนิยม เนื่องจากผู้บริโภคหันมาดื่มน้ำดื่มที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น งดพวกน้ำหวาน น้ำวิตามินเข้ามาตอบโจทย์คนที่ดื่มน้ำเปล่า แต่ทำให้มีรสชาติ แล้วชูจุดขายด้วยการผสมวิตามินต่างๆ

จับเทรนด์ฮิต ชานม x น้ำวิตามิน

จุดขายหลักของน้ำดื่มวิตามินก็คือ การมีรสชาติที่หลากหลาย แต่น้ำตาลน้อย แคลอรีต่ำ หรือบ้างเจ้าอาจจะไม่ใส่น้ำตาลเลยก็ได้ ส่วนใหญ่จะใส่กลิ่น หรือรสชาติผลไม้ และสมุนไพร เพื่อความสดชื่น และสื่อถึงการดูแลสุขภาพ

ปีที่ผ่านมาวิตอะเดย์มีน้ำดื่มวิตามินในพอร์ต 4 ตัว ได้แก่ น้ำดื่มผสมวิตามินบี 1 ตัว, น้ำดื่มผสมวิตามินซี 2 รสชาติ ได้แก่ พีช และเลมอน และน้ำดื่มผสมคอลลาเจน

ในปีนี้วิตอะเดย์ได้เปิดสินค้าใหม่พร้อมกัน 2 ตัว ได้แก่ วิตอะเดย์ เฮอร์เบิล วอเตอร์ น้ำสมุนไพรสกัดผสมวิตามินซีสูง 200% น้ำสมุนไพรสกัดจากธรรมชาติพร้อมวิตามินซี 200% และที่สร้างความฮือฮาก็คือ วิตอะเดย์ น้ำวิตามินบีรวม กลิ่นชานมไต้หวัน เริ่มวางจำหน่ายในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

แต่หลังจากที่วางจำหน่ายก็เกิดกระแสตามล่า หรือตามเหมาหมดตู้ จนตอนนี้เกิดกระแสสินค้าขาดตลาด เพราะต้องบอกว่าคนไทยมีความเป็นทาสชานมไข่มุกอยู่แล้ว เมื่อมีสินค้าใหม่ก็เกิดการอยากลอง รวมไปถึงวิตอะเดย์ ชานมไต้หวัน มีความคล้ายคลึงกับ “น้ำชานมใส” จากค่าย Suntory เป็นสินค้าที่จำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น ก็เป็นกระแสในประเทศไทยอยู่พักหนึ่งเช่นกัน

Photo : japan-guides.blogspot.com

ตัวสินค้าเองก็ชูว่าไม่มีน้ำตาล, ไม่มีแคลอรี, ไม่มีโซเดียม พร้อมมีกลิ่นชานมไต้หวัน หลายคนได้ทานจะรู้สึกเหมือนได้ทานชานมจริงๆ แต่ไม่ทำลายสุขภาพ ซึ่งทางบริษัทได้พัฒนาจาก Pain Point ของผู้บริโภค ที่ชอบทานชานมไข่มุกแต่ก็มีความรู้สึกผิด กลัวอ้วน

ประกอบกับราคาขาย 17 บาท ถือว่าถูกกว่าราคาชานมไข่มุกในตลาดอีกด้วย

พงศกร พงษ์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจนเนอรัล เบฟเวอร์เรจ จำกัด กล่าวว่า

“ในปี 2564 ที่ผ่านมา ตลาดน้ำดื่มวิตามิน มีมูลค่าสูงถึง 2,412 ล้านบาท เติบโตทั้งในเชิงมูลค่าและเชิงปริมาณ จากกระแสการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 เป็นตัวเร่งทำให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จึงทำให้น้ำดื่มวิตามิน เป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ผู้บริโภคมองหาเพื่อตอบโจทย์เรื่องในการดูแลสุภาพ รวมถึงมีผู้เล่นในตลาดออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ ส่งผลให้ตลาดน้ำดื่มวิตามินมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง”

หลักในการพัฒนาสินค้าของวิตอะเดย์ จะมาจากอินไซต์ของผู้บริโภค พบว่าในตลาดน้ำวิตามินมีแต่รสชาติเดิมๆ ในแง่การตลาดอยากได้สินค้าใหม่ ที่ผ่านมาก็มีกระแสของชานมไข่มุกเยอะมาก แต่หลายคนที่ทานยังรู้สึกผิด กลัวอ้วน เลยมาคิดว่าถ้ามีสินค้าตอบโจทย์สุขภาพ เอามาแมทช์กับน้ำวิตามินได้ก็ดี วิตอะเดย์เลยออกเป็นซีรีส์วิตามินบี กลิ่นชานมไต้หวัน ยังตอบโจทย์สุขภาพได้ดีอยู่

หลายคนมองว่าจะคล้ายกับสินค้าที่ญี่ปุ่น แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว เพราะวิตอะเดย์พัฒนาด้วยฐานของความเป็นน้ำวิตามิน ในเวลาในการพัฒนาอยู่ประมาณหนึ่ง โจทย์หลักก็คือ อยากให้คนที่ดื่มชานมดูแลสุขภาพมากขึ้น อีกทั้งการออกสินค้าตัวนี้ ยังได้ขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มใหม่ๆ เป็นกลุ่มวัยรุ่น คนรุ่นใหม่มากขึ้น

เรียกว่าเป็นการจับฐานทั้งกลุ่มคนรักชานมไข่มุก กับคนที่ดื่มน้ำวิตามินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สามารถสร้างสีสันใหม่ๆ ให้ตลาดได้

ส่วนสินค้าอีกตัว วิตอะเดย์ เฮอร์เบิล วอเตอร์ น้ำสมุนไพรสกัดผสมวิตามินซีสูง 200% เป็นการต่อยอดจากเทรนด์การเติบโตของเครื่องดื่มสมุนไพร ปัจจุบันจะเห็นเป็นในรูปแบบช็อตขวดเล็กๆ เป็นส่วนใหญ่ จึงพัฒนาสูตรน้ำสมุนไพรสกัดผสมวิตามิน ให้ความรู้สึกคล้ายเครื่องดื่ม Welcome Drink ตามโรงแรมใหญ่ๆ

ปีนี้สนุก หลายเจ้ากลับมาบุกตลาด

แม้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดน้ำดื่มวิตามินจะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงก็จริง แต่ในปี 2564 ตลาดก็ยังมีการเติบโต แต่แบรนด์ต่างๆ ได้ชะลอการลงทุน ไม่ค่อยมีกิจกรรมการตลาดมากนัก เพราะมีมาตรการล็อกดาวน์ค่อนข้างนาน บวกกับกำลังซื้อผู้บริโภคหดตัวอย่างรุนแรง

มีการประเมินว่าในปี 2565 ตลาดจะกลับมาคึกคัก ผู้เล่นในตลาดจะกลับมาลงทุนมากขึ้น ทั้งในแง่ของการออกสินค้าใหม่ๆ ทำโปรโมชัน และทำการตลาด ในปีนี้วิตอะเดย์ก็กลับมาลงทุนมากขึ้นเช่นกัน ทั้งเปิดตัวสินค้าใหม่ และมีการทำภาพยนตร์โฆษณาอีกครั้ง หลังจากชะลอไปในปีที่แล้ว

“ภาพรวมตลาดน้ำดื่มวิตามินปีที่ผ่านมามีมูลค่า 2,400 ล้านบาท มีคู่แข่งเยอะมาก แต่ในปีที่แล้วมีการทำตลาดไม่หวือหวา เพราะมาตรการล็อกดาวน์ กำลังซื้อชะงัก พยายามทำตลาดเฉพาะกลุ่ม ในปีนี้จะเริ่มเห็นเจ้าใหญ่ทำตลาดมากขึ้น ตลาดจะเติบโตกว่าปีก่อน แต่อาจจะได้เห็นเจ้าเล็กๆ ล้มหายตายจาก เหลือแต่เจ้าใหญ่ๆ” 

ครองบัลลังก์เบอร์ 1 น้ำวิตามิน

จากตลาดน้ำวิตามินในปี 2564 มีมูลค่ารวม 2,400 ล้านบาท วิตอะเดย์สามารถไต่ขึ้นมาครองเบอร์ 1 ได้แล้ว ด้วยส่วนแบ่งตลาด 35% รองลงมาคือ ยันฮี 32% และ บลู 9.0% (อ้างอิงข้อมูลจาก Nielsen IQ : Retail Index ก.พ. 2565)

ต้องบอกว่าถ้าเทียบในตลาดแล้ว วิตอะเดย์ถือว่าเป็นน้องใหม่ที่ทำตลาดได้ราวๆ 2 ปี เทียบกับแชมป์เก่าอย่างยันฮีที่ทำตลาดมาราว 7 ปี ถือว่าใช้เวลาไม่นานในการขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ถ้าดูภาพรวมในตลาดแล้วก็ถือว่าวิตอะเดย์ค่อนข้างที่จะแอคทีฟในการออกสินค้าใหม่ๆ มากที่สุดด้วยเช่นกัน พร้อมกับมีแพ็คไซส์ขนาดเล็ก 330 มล. เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ทำให้เป็นการกระตุ้นตลาดไปในตัว

ต้องจับตาดูตลาดน้ำดื่มวิตามินในปีนี้ น่าจะมีความสนุกไม่แพ้ตลาดอื่นๆ ที่กลับมาทุ่มทำการตลาด และโปรโมชั่นอย่างแน่นอน

อีกทั้งปัจจุบันผู้บริโภคได้มี Perception ต่อน้ำดื่มวิตามินที่ดีขึ้น หลายคนมองว่าเป็นน้ำที่ดื่มได้ตลอดทั้งวัน ไม่ใช่แค่ฟังก์ชันนอลดริ้งก์ เพราะหลายคนอยากสร้างภูมิคุ้มกันมากขึ้น ดูแลสุขภาพมากขึ้น เป็นเหมือนน้ำเปล่าที่มีรสชาติ และยังมีผลพลอยได้เรื่องวิตามินเพิ่มเติม

]]>
1380897
ทรูเอาบ้าง! เปิดตัว True Vitamin Water เดินเกมสู่ FMCG เต็มตัว วางโรดแมปสู่ IPO https://positioningmag.com/1362820 Thu, 18 Nov 2021 08:01:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1362820 ตลาดน้ำดื่มวิตามินยังมีโอกาสเติบโต ล่าสุดค่ายทรูได้เปิดตัว True Vitamin Water เป็นสินค้าตัวที่ 2 ในกลุ่มของสินค้า FMCG ในการปูทางเข้าตลาดแมส พร้อมกับตั้งเป้าพาบริษัทเข้า IPO ใน 3 ปีข้างหน้า ปั้น TrueCoffee เป็นร้านกาแฟมหาชน

ไม่ใช่แค่กาแฟ แต่ต้องจับทุกกลุ่ม

เมื่อไม่นานมานี้ TrueCoffee ได้ทำการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 15 ปี ปรับจุดยืนให้เป็นมากกว่าร้านกาแฟ พร้อมกับการบุกตลาด FMCG อย่างเต็มตัวด้วย ประเดิมด้วยทรู คอฟฟี่ คัพ กาแฟในรูปแบบชิลล์คัพ เริ่มจำหน่ายทางเซเว่นฯ เรียกว่าเป็นการแตกไลน์เพื่อเติบโตนอก TrueCoffee

นอกจากทรู คอฟฟี่ คัพแล้ว ยังส่งสินค้าตัวที่ 2 ออกมาติดๆ ก็คือ True Vitamin Water หรือน้ำวิตามิน แม้หลายๆ เจ้าจะออกกันมาร่วมปีแล้ว แต่ค่ายทรูมองว่ายังไม่ช้าเกินไป ถ้าออกมาเพื่อตอบโจทย์คนตรงกลุ่ม

ดร.ปพนธ์ รัตนชัยกานนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจอาหาร และคอฟฟี่เฮาส์ บริษัท ทรู ไลฟ์สไตล์ รีเทล จำกัด และบริษัท เบคเฮาส์ จำกัด เริ่มเล่าถึงการออกสินค้าใหม่ตัวนี้ว่า แต่เดิมทางทรูเคยคิดที่จะออกสินค้าฟังก์ชันนอล ดริ้งก์ และเอเนอจี้ ดริ้งก์มาแล้ว แต่ตอนนี้มีประเด็นเรื่องดื่มแล้วมีปัญหาสุขภาพ เลยพับโปรเจกต์ไป

พอมาถึงยุคนี้เลยมองว่าอยากทำสินค้าที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าทรูให้ครบทุกกลุ่ม เพราะแค่กาแฟอย่างเดียวคงไม่พอ จึงมองถึงตลาดน้ำวิตามิน แต่ใส่เรื่องเพิ่มพลังงานลงไปด้วย จึงกลายเป็นเครื่องดื่ม Energize Flavorful Vitamin ที่ผสมระหว่างน้ำวิตามิน และเครื่องดื่มให้พลังงาน

“จากข้อมูลของเราพบว่าลูกค้าทรู 30 ล้านคน แบ่งไลฟ์สไตล์ออกเป็น 5 กลุ่ม ชอบเล่นกีฬา, บิวตี้, ท่องเที่ยว, เล่นเกม และสตาร์ทอัพ เลยมาคิดว่าจะไปตอบโจทย์เค้ายังไงได้บ้าง เลยมานึกถึงว่ากินแล้วสุขภาพดีก็มาคิดถึงสินค้าตลาดวิตามินซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อนเอง จากมูลค่า 1,200 ล้านบาทในปี 2563 ขยับเป้นเกือบ 3,000 ล้านบาท คาดว่าปีหน้าจะมีมูลค่า 5,000 ล้านบาท”

ดร.ปพนธ์ เสริมอีกว่า เมื่อมาดูว่าคน 5 กลุ่มชอบอะไรบ้าง ส่วนใหญ่ชอบฟังก์ชันนอลดริ้งก์ ชอบความสดชื่น เลยคิดว่าน่าจะออกอะไรที่ออกเรื่องเอเนอจี้กับวิตามิน เลยมาทำวิตามินใส่แร่ธาตุที่มีพลังงานได้ด้วย มีซิงค์ โพรแทสเซียม ใช้เวลาในการพัฒนาสูตรกว่าปีครึ่ง

True Vitamin Water ประเดิมด้วย 2 รสชาติ กลิ่นเอ็กโซติก ฟรุ๊ต ด้วยแนวคิด ALIVE ปลุกพลังความสดชื่น จากส่วนผสมของวิตามิน B รวม และกลิ่นส้ม ด้วยแนวคิด CARE มีวิตามิน C,A, E จำหน่ายในราคาขวดละ 25 บาท เริ่มที่เซเว่นฯ และ TrueCoffee ก่อนเป็นทีแรก โดยได้นักเตะจาก BUFC “มิก้า ชูนวลศรี” รับบทพรีเซ็นเตอร์

ป้อนอีโคซิสเท็มในเครือ

ด้วย TrueCoffee เองก็เป็นแบรนด์ที่เกิดมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในกลุ่มทรู โจทย์ในการพัฒนาสินค้าอื่นๆ ก็เริ่มจากการตอบโจทย์ลูกค้าในกลุ่มทรูก่อน ความได้เปรียบอย่างหนึ่งของค่ายทรูก็คือ การที่บริษัทในเครือให้ผนึกกำลังกันได้ อีกทั้งยังมีช่องทางให้ทดลองตลาดก่อนได้ด้วย

“TrueCoffee เกิดจากความต้องการดูแลลูกค้าทรูเป็นหลัก โชคดีที่เราเกิดมามีลูกค้าทรู สามารถผนึกกำลังภายในเครือได้ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่ง ช่องทางจัดจำหน่ายก็ภายในเครือ วางขายได้ทั้งในเซเว่นฯ TrueCoffee ไปจนถึงตู้เวนดิ้ง”

ตั้งเป้าเข้า IPO ใน 3 ปี

การรีแบรนด์ครั้งใหญ่ของ TrueCoffee และการแตกสินค้าในกลุ่ม FMCG เรียกว่าเป็นการปูทางให้แบรนด์แมสมากขึ้น คนรู้จักมากขึ้น เพื่อความฝันในการเข้า IPO ในอีก 3 ปีข้างหน้า หรือปี 2568 เรียกว่าตอนนี้เป็นช่วงในการออกสินค้าให้มากขึ้น ครอบคลุมทุกกลุ่ม

“มีความฝันว่าในอีก 3 ปีข้างหน้าจะพาบริษัทเข้า IPO จำเป็นต้องมีจุดยืน มีโปรดักส์ที่เข้าถึงทุกกลุ่ม มีทีมงานที่มีใจที่ทำให้ลูกค้า และทีมงานเป็นเจ้าของได้ มีการเข้าถึงคนไทย และจะต้องมีรายได้ถึง 1,000 ล้านบาท”

แผนในออกสินค้าใหม่ๆ มีการตั้งเป้าว่าจะออกปีละ 2 รายการ อาจจะเป็นสินค้าเดิม แต่ออกรสชาติใหม่ๆ รวมถึงกลุ่มอาหารที่จะเป็นอาหารแช่แข็ง เป็นกลุ่มแพลนท์เบส ได้ความร่วมมือกับกลุ่ม CPF แต่นำมาตีตราแบรนด์ทรู

ในปีนี้ บริษัท ทรู ไลฟ์สไตล์ รีเทล จำกัด คาดว่าจะมีรายได้ 400 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นรายได้จากร้าน 70% เดลิเวอรี่ 15% และสินค้า FMCG 15%

]]>
1362820
ยังมาแรง! “ฟังก์ชันนัลดริงก์” เติบโต 20% แม้คนออกจากบ้านน้อยลง “ผู้ใหญ่” นิยมดื่ม https://positioningmag.com/1357425 Wed, 20 Oct 2021 03:06:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1357425 ข้อมูลวิจัยจาก Kantar พบว่า “ฟังก์ชันนัลดริงก์” ยังเป็นตลาดที่โตแรง 20.5% แม้คนออกจากบ้านน้อยลงระหว่างล็อกดาวน์ โดยกลุ่มผู้ซื้อหลักคือผู้ใหญ่วัย 30-49 ปี และคนส่วนใหญ่ยังซื้อเครื่องดื่มกลุ่มนี้เพียง 1-3 ครั้งต่อ 6 เดือน ทำให้โอกาสเติบโตมีอีกมาก

Kantar Worldpanel วิจัยตลาดเครื่องดื่ม “ฟังก์ชันนัลดริงก์” ในประเทศไทย เก็บข้อมูลช่วงเดือนมิถุนายน 2564 โดยนิยามตลาดเครื่องดื่มกลุ่มนี้หมายถึง เครื่องดื่มวิตามิน, เครื่องดื่มเพื่อความงาม, สารสกัดจากผลไม้, สารสกัดจากพืช, เครื่องดื่มจากเห็ด, น้ำแต่งรส ฯลฯ โดยพบข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้

1.ตลาดโต 20.5% แม้เผชิญการล็อกดาวน์

มูลค่าตลาดฟังก์ชันนัลดริงก์เติบโตขึ้น 20.5% แม้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคถึง 78% จะซื้อเครื่องดื่มกลุ่มนี้เมื่อออกนอกบ้าน (out-of-home consumption) และช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญการล็อกดาวน์หลายครั้งก็ตาม

นอกจากนี้ การเข้าถึงผู้บริโภคของสินค้ากลุ่มนี้ยังทำได้ดีขึ้นกว่าปีก่อน โดย 76.7% ของประชากรไทยวัย 15-49 ปีที่อาศัยในเขตเมืองเคยซื้อเครื่องดื่มกลุ่มนี้บริโภคอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี

2.ตัวท็อปของกลุ่มคือ “เครื่องดื่มวิตามิน”

ในประเภทที่แยกย่อยลงไป “เครื่องดื่มวิตามิน” มีสัดส่วน 36% ในยอดขายรวมของตลาดฟังก์ชันนัลดริงก์ โดยมีแบรนด์ดังคือ C-Vitt และ Woody C Lock

อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่มีตลาดใหญ่ไม่แพ้กันคือ “น้ำแต่งรส” มีแบรนด์ดังในกลุ่มนี้คือ ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ และ วิตอะเดย์ ซึ่งโตถึง 140% เทียบปีต่อปี

3.ผู้บริโภคกลุ่มใหญ่คือ “ผู้ใหญ่” วัย 30-49 ปี

เป็นเรื่องน่าสนใจที่ สินค้าประเภทนี้เข้าถึงลูกค้ามากที่สุดในกลุ่มวัย 20-24 ปี ซึ่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยและกลุ่มเพิ่งเริ่มทำงาน แต่ผู้ซื้อตัวจริงที่สร้างยอดขายให้สูงที่สุดคิดเป็นสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของยอดขายคือ “ผู้ใหญ่” วัย 30-49 ปี เป็นไปได้ว่า เนื่องจากคนวัย 30 ปีขึ้นไปมักจะคำนึงถึงสุขภาพมากขึ้น

4.ผู้ซื้อส่วนใหญ่ยังซื้อไม่บ่อยนัก

ในตลาดที่มาแรง ยังมีที่ทางให้เติบโตหรือไม่? ผลจากการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยการซื้อฟังก์ชันนัลดริงก์อยู่ที่ 15 ครั้งต่อปี แต่คนกลุ่มใหญ่เกือบ 40% จะซื้อเพียง 1-3 ครั้งต่อรอบ 6 เดือนเท่านั้น เมื่อเทียบกับตลาดเครื่องดื่มชนิดอื่นที่อิ่มตัวแล้วอย่างน้ำอัดลม มีผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ที่ซื้อน้ำอัดลม 5-9 ครั้งต่อรอบ 6 เดือน นั่นหมายความว่า ยังมีพื้นที่ให้สินค้าชนิดนี้ผลักดันตลาดได้อีก

Kantar สรุปว่าตลาดนี้ยังมีศักยภาพในการเติบโต ผู้บริโภคยังถือว่าอยู่ในช่วงทดลองสินค้า ซึ่งแปลว่าแบรนด์ใหม่และสินค้าชนิดใหม่ยังบุกเข้าตลาดได้อยู่ ผู้ชนะในตลาดจะต้องสร้างสรรค์สินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค และทำให้เกิดการซื้อประจำให้ได้

อ่านข่าวเพิ่มเติม

]]>
1357425
“อิชิตัน” ฝ่ามรสุมชาเขียว ขอบุก Non-Tea หวังใช้ “น้ำวิตามิน” กอบกู้กำไร https://positioningmag.com/1299142 Mon, 28 Sep 2020 16:26:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1299142 ภาพของอิชิตันจะไม่ได้ติดอยู่แค่ชาเขียวอีกต่อไป เพราะเบนเข็มมาบุกตลาดใหม่ที่เป็น Non-Tea น้ำผสมวิตามิน ตามเทรนด์ของผู้บริโภค หวังสร้างเครื่องดื่มให้แอคทีฟได้ตลอดทั้งปี ไม่จำกัดแค่หน้าร้อน

ชาเขียวไม่โต ต้องกระจายความเสี่ยง

ถ้าย้อนกลับไปในราวๆ 10 ปีที่แล้ว จะเห็นว่าตลาดชาเขียวเป็นอะไรที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในไทย นอกจากจะมีการเติบโตสูงตลอดทุกปี ทำให้มีมูลค่าตลาดพุ่งถึง 10,000 ล้านบาทได้ มีผู้เล่นลงมาในตลาดมากมาย อีกทั้งสร้างกระแสชาเขียวฟีเวอร์ไปทุกสินค้า แม้แต่ผ้าอนามัยยังเป็นกลิ่นชาเขียว

แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลาดชาเขียวต้องเจอกับความท้าทายบทใหญ่ ไม่ว่าจะเรื่องของพฤติกรรมผู้บริโภค เทรนด์เรื่องสุขภาพ และสิ่งที่สร้างจุดเปลี่ยนที่สุดคือ “ภาษีน้ำตาล” ที่ทำเอาผู้ประกอบการต้องกุมขมับ เพราะทำให้สินค้ามีต้นทุนสูงขึ้น และได้กำไรน้อยลง

ผู้เล่นในตลาดรายใหญ่อย่าง “อิชิตัน” และ “โออิชิ” ก็มีขยายไปกลุ่มใหม่อย่างชาเขียวกลุ่มพรีเมียม เพราะตลาดมีการเติบโต เป็นเทรนด์ของผู้บริโภคที่ดูแลสุขภาพมากขึ้น

ในปีนี้ด้วยวิกฤตการณ์ไวรัส COVID-19 ทำให้เกิดการตระหนักรู้ในเรื่องสุขภาพมากขึ้น สิ่งที่ต้องเจอคือธุรกิจได้รับผลกระทบ ตลาดมีมูลค่าลดลง แต่ก็ยังมีโอกาสจากสินค้าในการดูแลสุขภาพ

ทำให้ตลาดน้ำดื่มในช่วง 8 เดือนแรกของปีหดตัว 6.3% มีมูลค่า 18,956 ล้านบาท ถ้าแบ่งตามเซ็กเมนต์ กลุ่มน้ำแร่ตกลงถึง 24.2% มีมูลค่า 2,381 ล้านบาท ตลาดที่เป็นดาวรุ่งก็คือ น้ำดื่มผสมวิตามิน มีการเติบโตถึง 75.1% มีมูลค่า 1,203 ล้านบาท มีการคาดการณ์ว่าในปีนี้น้ำวิตามินจะมีมูลค่า 2,000 ล้าน เติบโต 87.6% จากที่ปีก่อนมีมูลค่า 1,066 ล้านบาท

ในปีนี้ “อิชิตัน” จึงขอบุกตลาด Non-Tea อย่างจริงจัง เพื่อกระจายความเสี่ยงจากตลาดชาเขียว และยังได้จับเทรนด์ผู้บริโภค โดยได้ออกสินค้าในกลุ่ม “น้ำวิตามิน” เป็นผู้เล่นแบรนด์ที่ 3 ในตลาดต่อจาก “ยันฮี วิตามินวอเตอร์” และ “วิตอะเดย์”

เมื่อกลางปีอิชิตันได้นำร่องส่งสินค้าใหม่ “อิชิตัน น้ำด่าง 8.5 ผสมวิตามินบีรวม” (ICHITAN PH PLUS 8.5) มาแล้ว และล่าสุดได้ส่งอีก 1 รายการ “อิชิตัน วิตามิน วอเตอร์ ซี พลัส อี” (ICHITAN Vitamin Water C Plus E) เพื่อขยายเซ็กเมนต์ในกลุ่มวิตามินซี

โอกาสทองของตลาดน้ำวิตามิน

“ถ้าพึ่งโปรดักต์ชาเขียวอย่างเดียวคงไม่รอด ถ้าปตท.มีแต่น้ำมัน หรืออาร์เอสมีแต่เพลงก็ไม่ได้แล้วในยุคนี้”

เป็นคำอธิบายของ “ตัน อิชิตัน” หรือ ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กับการบุกตลาดใหม่ในครั้งนี้ มองว่าตลาดชามีการขึ้นๆ ลงๆ มาตลอด แต่ตอนนี้คนดูแลเรื่องสุขภาพมากขึ้น จึงเป้นโอกาสที่ดีในการบุกตลาดน้ำวิตามิน

“ตลาดชาเขียวตกลงมาติดต่อกัน 4-5 ปีแล้ว มีการขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอด ทำให้ต้องมีสินค้า Non-Tea ตอนนี้เหมือนทุกอย่างฟ้าประทานมาให้ COVID-19 มาพอดี และคนไทยเชื่อเรื่องวิตามินซีช่วยเรื่องแก้หวัด จะเห็นว่าทุกบริษัทที่มีสินค้าจะของขาดตลาดหมด เป็นโอกาสทอง 10 ปีมีครั้งเดียว”

ตันบอกว่าครั้งนี้จะเหมือนการทำตลาดชาเขียวเมื่อ 10 ปีก่อน แม้จะเป็นตลาดใหม่ แต่เป็นการเข้าไปแย่งตลาดอื่นๆ ตอนนั้นชาเขียวก็ได้ส่วนแบ่งจากตลาดอื่นๆ จนทำให้ตลาดขึ้นเป็นหมื่นล้าน ในครั้งนี้มองว่าน้ำวิตามินจะได้จากตลาดน้ำดื่ม และน้ำแร่ อยากให้คนดื่มแทนน้ำได้เลย

ยิ่งผลิตมาก ยิ่งคุ้ม

นอกจากอิชิตันจะเจอกับสภาวะตลาดที่ไม่เติบโต อีกทั้งยังเจอกับการเก็บ “ภาษีน้ำตาล” ที่สร้างจุดพีคที่สำคัญ เป็นการฉุดกำไร และยอดขายหล่นฮวบ ตันบอกว่าบริษัทเคยมีกำไรสูงสุดที่ 800 ล้านบาท แต่เจอกับวิกฤตต่างๆ ทำให้กำไรในปี 2018 ลดลงเหลือเพียง 42 ล้านบาทเท่านั้น

เมื่อยอดขายลดลง ทำให้อิชิตันต้องลดกำลังการผลิตลง ซึ่งโดยรวมมีไลน์การผลิตทั้งหมด 7 ไลน์ด้วยกัน กำลังการผลิต 1,500 ล้านขวด/ปี ต้องมีการลดกำลังการผลิตลงเรื่อยๆ จนเหลือราวๆ 40-45% เท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือต้องรับภาระในการจ่ายค่าเสื่อมให้กับเครื่องจักร

วิธีคิดของตันคือยิ่งผลิตเยอะ ยิ่งคุ้ม ยิ่งกำไรเยอะ ถ้าเดินหน้ากำลังการผลิตได้เต็มที่ ก็สามารถขายได้เต็มที่ ตันบอกว่าอีก 2 แบรนด์ในตลาดเจอกับปัญหาผลิตสินค้าไม่ทันเหมือนกัน ซึ่งอิชิตันมีกำลังการผลิตที่มากกว่า ทำให้ได้เปรียบกว่า

อิชิตันจึงผลิตทั้งขนาด 550 มิลลิลิตร ราคา 20 บาท และขนาด 350 มิลลิลิตร ราคา 10 บาท เพื่อให้ได้ปริมาณมากๆ ต้นทุนยิ่งต่ำลง ไม่ต้องแบกภาระค่าเสื่อมแบบเปล่าๆ ด้วย

“ตอนนี้กำลังผลิตเรามีเยอะ ถ้าขายดีจะเอาไลน์การผลิตที่มีเหลือมาผลิต ตอนนี้มีเพียง 40-45% เรามีโปรดักต์ทั้งน้ำวิตามินบี วิตามินซี และวิตามินแบบช็อต ถ้าผลิตมาก ต้นทุนต่ำมาก ปกติจ่ายค่าเสื่อมอยู่แล้ว ยิ่งมีไซส์ 10 บาท ทำให้มีกำไร เพราะโครงสร้างของการทำโรงงานเป็นแบบนี้”

ให้ Non-Tea แอคทีฟหน้าฝน-หน้าหนาว

อย่างที่ทราบกันดีว่าตลาดชาเขียว หรือตลาดเครื่องดื่มจะแอคทีฟมากที่สุด หรือขายดีที่สุดในช่วงฤดูร้อน เพราะผู้บริโภคกระหายน้ำ อยากได้เครื่องดื่มที่เติมความสดชื่น ทำให้ช่วงหน้าร้อนเป็นสมรภูมิเด็ดในการงัดโปรโมชันออกมาเพื่อจูงใจผู้บริโภคในการกระตุ้นยอดขาย

จึงเป็นธรรมดาของตลาดเครื่องดื่มที่จะมียอดขายสูงๆ ในช่วง 2 ไตรมาสแรก และพอเข้าฤดูฝนก็เริ่มหดตัวลง

แต่เมื่อเป็นเครื่องดื่มน้ำวิตามินต่างๆ มองว่าจะเข้ามาอุดช่องว่าเรื่องฤดูกาลไปได้ เพราะสามารถดื่มได้ตลอดเพื่อสุขภาพ ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องดื่มเพื่อดับกระหาย อิชิตันจึงหวังให้ชาเขียวแอคทีฟตลาดในช่วงหน้าร้อน และให้น้ำวิตามินมาช่วยเติมพอร์ตในช่วงหน้าฝน และหน้าหนาว

น้ำวิตามิน ขอ 400 ล้านบาท

ตันหมายมั่นปั้นมือกับสินค้ากลุ่มน้ำวิตามินมาก โดยมั่นใจว่าถ้าเดินหน้ากำลังการผลิตสูงสุด และขายได้ตามเป้า ก็สามารถขึ้นเป็นเบอร์ 1 ได้

“ปีหน้าจะเป็นปีทองของอิชิตัน มีทุกไซส์ทุกเซ็กเมนต์ ชาเขียวจะต้อง Low Sugar สินค้า Non-Tea จะต้องไม่มีน้ำตาล และมีราคาได้เปรียบ ทั้ง 10 บาท และ 20 บาท ส่วนเบอร์ 1 และ เบอร์ 2 ในตลาดยังคงมีปัญหาเรื่องกำลังการผลิต วิตอะเดย์มีจุดเด่นที่ฝาใหญ่ จะมีโรงงานผลิตได้แค่ 3 แห่งเท่านั้น ส่วนยันฮีฯ มีจุดเด่นที่ฝาเป็นที่คล้องได้ จะผลิตที่อื่นไม่ได้ ทำให้จุดอ่อนกับจุดแข็งเป็นเรื่องเดียวกัน”

สำหรับกลุ่ม Non-Tea มีการตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ที่ 400 ล้านบาท แบ่งเป็นน้ำวิตามินบี 200 ล้านบาท น้ำวิตามินซี 150 ล้านบาท และวิตามินแบบช็อตอีก 50 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7% ของรายได้รวมอิชิตัน ที่คาดการณ์ว่าจะมีรายได้ 5,600 ล้านบาท มีกำไร 500 ล้านบาท

ในปีหน้ากลุ่มน้ำวิตามินจะมีรายได้ 1,200 ล้านบาท จะเป็นสัดส่วน 19% ของทั้งพอร์ต และคาดว่าอีก 3 ปีจะมีสัดส่วนถึง 30-40% ตอนนี้กลุ่มชาเขียวยังคงเป็นกลุ่มใหญ่ มีรายได้สัดส่วน 50%

จะเห็นได้ว่าการบุกตลาดใหม่ของอิชิตันจะช่วยสร้างสีสันให้ตลาดน้ำดื่มไม่น้อย ต้องจับตาดูว่า ต่อไปอิชิตันจะงัดไม้เด็ดอะไรออกมาในตลาด และมีสินค้ากลุ่มไหนออกมาอีก

]]>
1299142
ยุคทองของน้ำวิตามิน! อิชิตัน แตกไลน์ “PH PLUS 8.5” น้ำอัลคาไลน์ ผสมวิตามินบีรวม https://positioningmag.com/1281895 Wed, 03 Jun 2020 15:50:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1281895 เมื่อตลาดชาเขียวเริ่มตัน แถมไวรัสก็มา ทำให้เครื่องดื่มวิตามินมาแรง “อิชิตัน กรุ๊ป” เลยขอแตกไลน์สินค้ากลุ่มใหม่ “PH PLUS 8.5” เครื่องดื่มน้ำ PH ผสมวิตามินบีรวม สู้ศึกตลาดน้ำสร้างภูมิคุ้มกัน

ยุคของเครื่องดื่มผสมวิตามิน

ก่อนหน้านี้เทรนด์ของเครื่องดื่มที่มาแรงในประเทศไทยคือเครื่องดื่มสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มที่มีปริมาณหวานน้อย หรือฟังก์ชันนอลดริ้งก์ต่างๆ แต่ในตอนนี้เทรนด์ของเครื่องดื่มเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ผู้บริโภคต้องการอาหาร และเครื่องดื่มที่ที่ชวยในเรื่องของการ “สร้างภูมิคุ้มกัน” หรือภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะสภาวะการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในตอนนี้นี่เอง

ทำให้วงการเครื่องดื่มในตอนนี้มีทั้งเครื่องดื่มวิตามินซี และเครื่องดื่มผสมวิตามินออกมามากมาย อีกทั้งยังได้รับการตอบรับอย่างดี

ล่าสุด “อิชิตัน” ได้รวมแจมกับรถไฟขบวนนี้ด้วย แตกไลน์สินค้าใหม่ PH PLUS 8.5 (พีเอช พลัส 8.5)” วางจุดยืนเป็นเครื่องดื่มน้ำอัลคาไลน์ ผสมวิตามินบีรวม ทางแบรนด์ได้เคลมว่าเครื่องดื่มนี้จะช่วยคืนความสมดุลของร่างกายจากภายในสู่ภายนอก ลดสภาวะกรดในร่างกายซึ่งเป็นต้นเหตุหนึ่งของการเกิดโรคต่างๆ ด้วยนวัตกรรมจากญี่ปุ่นที่ทำให้โมเลกุลน้ำมีขนาดเล็ก นำพาวิตามินเข้าสู่ร่างกายได้เร็วขึ้น

ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“เทรนด์ด้านสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับปัจจุบัน โดยการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทำให้หลายคนหันมาตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพ PH PLUS 8.5 มีฤทธิ์ด่างอ่อน ด้วยค่า PH 8.5 ช่วยปรับให้ร่างกายสมดุลจากสภาวะความเป็นกรดที่เกิดจากการรับประทานอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น อาหารรสจัด อาหารที่มีเนื้อเป็นส่วนประกอบ และใช้ความร้อนสูงในการปรุง เช่นการปิ้งย่าง รวมไปถึงการใช้ชีวิตท่ามกลางความเครียด ฝุ่นควัน มลภาวะ ของคนเมืองยุคใหม่

สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ร่างกายเกิดสภาวะกรด และแสดงออกในรูปของโรคต่างๆ เช่น กรดไหลย้อน กรดในกระเพาะอาหาร การเผาผลาญไม่สมบูรณ์ ฯลฯ เมื่อร่างกายมีความสมดุลแล้ว ก็จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันพร้อมที่จะสู้โรคต่อไป อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสดชื่นในระหว่างวัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจดูแลตัวเอง และมองหาวิธีการสร้างสุขภาพที่ดีในรูปแบบของไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ”

เทรนด์จากญี่ปุ่น

ตัน กล่าวเสริมว่า “เทรนด์การดื่มน้ำ PH ที่มีคุณสมบัติเป็นด่างได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศญี่ปุ่น และไต้หวัน จะเห็นได้จากจำนวนผู้เล่น และมูลค่าตลาดที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนเมือง และคนที่ให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพจากภายใน

เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบของร่างกายถึง 70% ร่างกายมีการใช้น้ำทุกส่วนและหมุนเวียนไปทุกอวัยวะ ดังนั้นการนำน้ำเข้าสู่ร่างกายจึงจะต้องเลือกน้ำคุณภาพที่มีความเหมาะสม เช่น น้ำที่มีคุณสมบัติเป็นด่าง มีโมเลกุลขนาดเล็ก และไม่มีสารโลหะหนักเจือปน

อิชิตันได้นำเข้าเทคโนโลยีที่ได้รับลิขสิทธิ์จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาใช้ในการผลิต และหวังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับผู้บริโภคที่รักสุขภาพชาวไทย วางเป้ายอดขายไว้ที่ 1,000 ล้านบาท

]]>
1281895