บันลือกรุ๊ป – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 03 May 2022 10:01:41 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เจาะ 3 เหตุผล ทำไม “แสนสิริ” จึงเลือก “ขายหัวเราะ” เป็นคาแรกเตอร์โปรโมตแบรนด์ปีนี้ https://positioningmag.com/1383759 Tue, 03 May 2022 08:29:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1383759 “แสนสิริ” ทำเซอร์ไพรส์วงการ เลือกจับมือเป็นพาร์ทเนอร์เชิงกลยุทธ์กับ “ขายหัวเราะ” ในการโปรโมตแบรนด์ปีนี้ ทำไมแบรนด์อสังหาฯ จึงเลือกค่ายการ์ตูนอารมณ์ดีของไทยมาเป็นพันธมิตร Positioning จะมาขยายความให้ฟังที่นี่

ตั้งแต่ปีก่อน เราจะเห็นความเคลื่อนไหวของแบรนด์ “แสนสิริ” ที่ต่างไปจากในอดีต โดยเลือกเป็นพันธมิตรกับคาแรกเตอร์ “บาร์บีก้อน” ของ “บาร์บีคิว พลาซ่า” ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมร้านอาหาร และมีภาพลักษณ์สนุกสนาน ขี้เล่น ทำให้ลุคของแสนสิริมีความผ่อนคลายกว่าที่เคยเป็นมา

มาถึงปีนี้ แสนสิริยังคงเลือกจับมือกับพันธมิตรที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกันอย่าง “ขายหัวเราะ” ภายใต้เครือบันลือกรุ๊ป ซึ่งจะยกระดับการสื่อสารแบรนด์ให้ตรงเป้าที่แสนสิริต้องการมากยิ่งขึ้น

แคมเปญแรกที่เปิดตัวออกมาของการจับมือกัน เป็นการสร้างคอนเทนต์บนหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ ใช้คาแรกเตอร์ที่เราคุ้นเคยกันในขายหัวเราะ เช่น พ่อต่าย ปังปอนด์ หนูหิ่น เล่าถึงแสนสิริในมุมต่างๆ ตั้งแต่กิจกรรม CSR แจกจ่ายวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 จนถึงโปรโมตโครงการทาวน์เฮาส์

แสนสิริ ขายหัวเราะ
“เศรษฐา ทวีสิน” ลงภาพหนังสือพิมพ์ไซส์ใหญ่พิเศษ โปรโมตการร่วมมือกันของสองแบรนด์

ที่สำคัญคือ บันลือกรุ๊ปยังช่วยพัฒนาคาแรกเตอร์ “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นแบบการ์ตูนลายเส้นของ “ต่าย ขายหัวเราะ” เข้ามาร่วมอยู่ในแท็บลอยด์ฉบับนี้ด้วย

เหตุผลที่ทำไมต้องเป็น “ขายหัวเราะ” เราขอสรุปจากการแถลงข่าวโดย “ชลีรัตน์ ต่อจรัส” ผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์และองค์กร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และ “พิมพ์พิชา อุตสาหจิต” กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทเครือบันลือกรุ๊ป ดังนี้

 

1.ปรับแบรนด์ให้เป็นมิตร

ประเด็นแรกต้องย้อนกลับไปที่จุดประสงค์ของ “แสนสิริ” เอง ชลีรัตน์กล่าวว่าตั้งแต่ปีก่อนนี้ที่เลือกบาร์บีก้อน แสนสิริต้องการจะปรับเปลี่ยนแบรนด์ให้มีความเป็นมิตรสูงขึ้น เข้าไปเจาะตลาดใหม่ได้ดีขึ้น และท่ามกลางการแข่งขันสูงของภาคอสังหาริมทรัพย์ การจะโปรโมตแบรนด์ต้องแหวกแนว โดดเด่นในตลาด

แสนสิริ ขายหัวเราะ
มุกผีเสื้อสมุทรก็ยังอยู่ในบ้านของแสนสิริได้ เพราะเพดานสูง

ผลตอบรับจากแคมเปญกับบาร์บีก้อนช่วยสร้างยอดขายได้ 7,000 ล้านบาท สะท้อนว่าวิธีคิดเลือกคาแรกเตอร์สนุกสนานเป็นเรื่องที่มาถูกทาง ทำให้ปีนี้แสนสิริเลือกขายหัวเราะ การ์ตูนน่ารัก อารมณ์ดี ให้มารับไม้ต่อการสร้างความรู้สึกเป็นมิตร โดยวางเป้าว่ารอบนี้จะทำยอดขายได้แตะ 8,200 ล้านบาท

หากไปดูในพอร์ตของแสนสิริปี 2565 ที่จะเปิดตัว 46 โครงการ มูลค่ารวม 50,000 ล้านบาท บริษัทประกาศชัดว่าจะมีถึง 50% ที่เป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียมราคาเข้าถึงได้ง่าย คอนโดฯ ราคาเริ่มต่ำกว่า 1 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ราคา 2 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวราคา 3-4 ล้านบาท นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แบรนด์ต้องสื่อสารกับตลาดแมสให้มากขึ้น

 

2.Soft Power ของคาแรกเตอร์ใน “ขายหัวเราะ”

ทำไมต้องเลือกคาแรกเตอร์ในการ์ตูน? จุดนี้พิมพ์พิชาอธิบายวิสัยทัศน์ของทั้งสองบริษัทที่เห็นตรงกันว่า การ์ตูนและคาแรกเตอร์คือ Soft Power

“พลังของการ์ตูนสามารถเป็นสะพานในการเล่าเรื่อง และทำให้คนเปิดใจยอมรับได้ง่ายกว่า” พิมพ์พิชากล่าว

เหมือนไหม? คาแรกเตอร์ของเศรษฐา ทวีสิน นายใหญ่แห่งแสนสิริ

คนไทยยังรู้จักขายหัวเราะมานานถึง 49 ปี ทำให้รู้สึกใกล้ชิดกับตัวละครต่างๆ มุกตลกการ์ตูนช่องแบบไทยๆ ก็เป็นเรื่องที่คุ้นเคย อ่านแล้วรู้สึกดี จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าไปในใจผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มวัย 30-40 ปี ที่ชลีรัตน์เชื่อว่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญ เพราะโตมากับขายหัวเราะและตรงกับวัยที่จะซื้อบ้าน

ยกตัวอย่างพลังของตัวการ์ตูนก็อย่างเช่น การออกแบบตัวการ์ตูน “เศรษฐา ทวีสิน” ในแคมเปญนี้จะสะท้อนบุคลิกออกมาได้ชัดเจน และเมื่ออยู่ในการ์ตูนก็จะให้ความเป็นมิตร เข้าถึงง่ายมากขึ้น

 

3.คาแรกเตอร์หลากหลาย ทำได้ทุก Storytelling

ขั้นกว่าที่ทำให้ขายหัวเราะถูกเลือก คือ จักรวาลใบนี้มีคาแรกเตอร์หลากหลายที่หยิบจับมาใช้ทำ Storytelling เล่าเรื่องใดๆ ก็ได้ที่แสนสิริต้องการ

มุกเทพารักษ์มีที่อยู่ใหม่กับแสนสิริ

ตัวอย่างจากแท็บลอยด์เปิดแคมเปญ มีการสะท้อนภาพพื้นที่เขียวชอุ่มในโครงการ เป็นที่อยู่ใหม่ของ ‘เทพารักษ์’ ตัวละครที่มักจะออกมาในขายหัวเราะประจำ หรือสะท้อนฟังก์ชันทาวน์เฮาส์เพดานสูง ผ่านตัวละคร ‘นางผีเสื้อสมุทร’ ตัวสูงใหญ่แต่ก็อยู่ที่นี่ได้ โปรโมตระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการผ่านมุกตัวละคร ‘โจรมุมตึก’ จนถึง ‘หนูหิ่น’ ที่ถ่ายรูปส่งไปอำเพื่อนว่า ‘คุณมิลค์’ พาเที่ยวต่างประเทศ แต่จริงๆ ถ่ายรูปที่หน้าโครงการสิริ เพลสซึ่งออกแบบตามเมืองยอดฮิตของโลก

แสนสิริ ขายหัวเราะ
หนูหิ่นโปรโมตโครงการสิริ เพลส

เห็นได้ว่าบันลือกรุ๊ปใช้ ‘กึ๋น’ ในการพลิกแพลง ผสานเรื่องของแสนสิริให้เข้ากับคาแรกเตอร์ได้อย่างเพลิดเพลิน คนอ่านไม่รู้สึกถูกยัดเยียดจนเกินไป โดยเฉพาะการสื่อสารเรื่อง CSR เมื่อนำมาถ่ายทอดผ่านการ์ตูนแล้วทำให้รู้สึกน่ารักอบอุ่นกว่าปกติ

“ชลีรัตน์ ต่อจรัส” ผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์และองค์กร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และ “พิมพ์พิชา อุตสาหจิต” กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทเครือบันลือกรุ๊ป

หลังจากนี้ ชลีรัตน์กล่าวว่าจะมีการทำแคมเปญระยะยาวร่วมกับขายหัวเราะ เพราะเป็นพาร์ทเนอร์เชิงกลยุทธ์รายเดียวของปีนี้

โดยแคมเปญหลักที่จะเกิดขึ้นคือโปรโมชันดอกเบี้ยต่ำ 2.2% ยาว 3 ปี ซื้อคอนโดฯ รับทองสูงสุด 10 บาท ซื้อทาวน์โฮมรับเงินคืนสูงสุด 3 แสนบาท กู้ได้ 110% จนถึง 31 ก.ค. 65 ใช้คาแรกเตอร์ของขายหัวเราะช่วยโปรโมต

นอกจากนี้ก็จะมีแคมเปญย่อยอีกหลากหลาย ทั้งที่จัดร่วมกับลูกบ้านปัจจุบัน และจัดให้กับว่าที่ลูกค้าแสนสิริเข้ามาร่วมกิจกรรม รวมถึงการทำแคมเปญ CSR ร่วมกัน ซึ่งจะทยอยเปิดตัว

ต้องติดตามกันต่อว่าเมื่อนำ “ขายหัวเราะ” มาช่วยปรับความรู้สึกแบรนด์แล้ว “แสนสิริ” จะเป็นอย่างไร!

]]>
1383759
“เบนซ์ ธนชาติ” ผู้กำกับนิสัยไม่ดีแห่ง Salmon House วิถีทำคอนเทนต์แบบไม่มีสูตรสำเร็จ https://positioningmag.com/1374752 Mon, 21 Feb 2022 15:12:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1374752 พูดคุยกับ เบนซ์-ธนชาติ ศิริภัทราชัย เจ้าของผลงานคลิปไวรัล “คุณแวน” ผู้กำกับ (นิสัยไม่ดี) มือทองจาก Salmon House กับวิถีชีวิตการทำคอนเทนต์ ไม่มีสูตรสำเร็จในการทำไวรัล แค่ทำตามเซนส์ และตรงจริตคนไทย

เริ่มจากเขียนหนังสือ สู่ไวรัล “ลุงเนลสัน”

ถ้ายุคหนึ่งมี “ต่อ ฟีโนมีน่า” หรือต่อ ธนญชัย ผู้สร้างสรรค์ผลงานโฆษณาไวรัลมากมายบนจอทีวี ยุคนี้คงเป็นยุคของโฆษณาออนไลน์ โดยที่ผลงานที่หลายคนคุ้นเคยส่วนใหญ่เป็นผลผลิตของ Salmon House โปรดักชั่นเฮาส์ในเครือบันลือกรุ๊ป

เบนซ์-ธนชาติ ศิริภัทราชัย ผู้กำกับเลือดใหม่ที่ฝากผลงานบนหน้าจอออนไลน์ไว้มากมาย ส่วนใหญ่แล้วเป็นคลิปไวรัลที่มีการพูดถึงเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นวันรวมญาติ จนมาถึงผลงานล่าสุดที่เป็นโปรเจกต์ส่วนตัวอย่าง “คุณแวน” ที่โกยยอดวิวได้ถึง 1.4 ล้านครั้ง และยอดเอ็นเกจเมนต์อีกนับแสน

ถ้าใครยังจำกันได้ หลายปีก่อนหน้านี้มีคลิปไวรัล “ลุงเนลสัน” ฝรั่งพูดคำหยาบภาษาไทย เป็นคลิปแรกที่แจ้งเกิด เบนซ์ ธนชาติ ในความตั้งใจตอนนั้นต้องการเป็นคลิปโปรโมตหนังสือ “NEW YORK 1st TIME นิวยอร์กตอนแรกๆ…” เป็นงานเขียนจากประสบการณ์ตอนไปอยู่นิวยอร์ก แต่ปรากฏว่าคลิปนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก จึงทำให้เบนซ์กลับมาร่วมก่อตั้ง Salmon House

“Salmon House ก่อตั้งเมื่อปี 2016 เป็นผู้ร่วมก่อตั้งกับพี่วิชัย และบันลือสาสน์ เจ้าของขายหัวเราะ ตอนแรกไม่ได้กะทำโฆษณา อยากทำช่องยูทิวบ์ พอดีตอนนั้นได้ทำคลิปลุงเนลสันส่งมาจากนิวยอร์ก ตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไวรัลคืออะไร พอคนดูเยอะมากๆ พี่จากบันลือสาส์นก็ชวนกลับมาทำบริษัทด้วยกัน สักพักก็มีลูกค้าเข้า ก็เลยคิดว่าน่าจะทำโฆษณาได้”

เบนซ์จบปริญญาตรีจากคณะวารสารศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ จบด้านภาพยนตร์ ตอนเรียนจบใหม่ๆ ได้ไปทำหนังกับ เจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ผู้กำกับลุงบุญมีระลึกชาติ จากนั้นก็ไปเรียนต่อที่นิวยอร์ก เรียนด้านถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ เบนซ์บอกว่าตอนแรกกะอยู่ที่นิวยอร์กระยะยาว ปรากฏว่าพอมีไวรัลลุงเนลสัน เลยทำให้ต้องตัดสินใจที่จะกลับไทย เพื่อมาทำ Salmon House

“ตอนนั้นออกหนังสือ NEW YORK 1st TIME นิวยอร์กตอนแรกๆ เราเป็นนักเขียนหน้าใหม่โนเนม ไปวางในร้านหนังสือใครจะหยิบ อยากให้คนรู้จักมากขึ้น เลยทำวิดีโอโปรโมต สรุปว่าไปไกลกว่าหนังสืออีก จุดเริ่มต้นของคลิปนี้มาจากตอนที่วิ่งอยู่ที่เซ็นทรัลพาร์ค ก็คิดขึ้นมาได้ว่าคำด่านี้ตลกจัง ทำไมคำด่าภาษาไทยมันตลก เริ่มจากอย่างนั้นเลย… แต่มันได้เชื่อมต่อกับคน สิ่งที่เราขำ คนอื่นก็ขำด้วย เลยเริ่มรู้ว่าเราอาจจะมีเซนส์ในการทำวิดีโอให้คนสนุก อาจจะไม่ใช่วิดีโอที่ฉลาด หรือดีมาก แต่เป็นวิดีโอที่ถูกจริตคน ทุกคนจะคิดว่าเออ… ก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน พูดในสิ่งที่คนก็คิดเหมือนกัน แต่ยังไม่เคยมีคนดึงออกมาพูดแบบนี้”

“คุณแวน” ไวรัลกัดเจ็บแบบแสบๆ คันๆ

ที่ผ่านมาผลงานของเบนซ์ได้ถูกถ่ายทอดผ่านในนามของ Salmon House และโปรเจกต์ส่วนตัว โฆษณาไวรัลหลายตัวนั้นเป็นงานลูกค้าด้วยซ้ำ แต่ที่ประสบความสำเร็จที่สุดเห็นจะเป็น “วันรวมญาติ” สนับสนุนโดยโก๋แก่

คลิปไวรัลล่าสุด “คุณแวน ธิติพงศ์ นักธุรกิจพันล้าน” อยู่ในโปรเจกต์ The Good Human เป็นโปรเจกต์ส่วนตัวของเบนซ์ เรียกว่าทำขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของตัวเองล้วนๆ เนื้อหาภายในวิดีโอนี้เหมือนเป็นการเสียดสีบทความ หรือคอนเทนต์แนวๆ ถอดรหัส ถอดบทเรียนความสำเร็จของนักธุรกิจทั้งหลาย บางคนมีต้นทุนที่ดีเลยประสบความสำเร็จได้มากกว่า แต่สร้างสตอรี่ให้ตัวเองมีคาแร็กเตอร์ ตรงกันข้ามกับคนธรรมดาทั่วไปที่หาเช้ากินค่ำ ที่ต้นทุนชีวิตต่ำกว่า โอกาสที่จะประสบความสำเร็จเลยน้อยกว่า

เบนซ์บอกว่าโปรเจกต์นี้ใช้เวลาคิดไม่นาน คิดคอนเซ็ปต์ไว้นานแล้ว โดยที่รู้จักกับณัฏฐ์ กิจจริต คนที่แสดงเป็นคุณแวนมานาน มีคาแร็กเตอร์เป็นคนกวนตีน ตลกหน้าตายเหมือนกัน อยากทำโปรเจกต์อะไรร่วมกัน พอคิดบทนี้ได้ ใช้เวลาเขียนบทแค่ครึ่งชั่วโมงเอง ถ่ายกันกองเล็กๆ 4 คน ไม่ได้วางแผนมากมาย ตอนนั้นอยากเขียนบทตลกร้าย หลายอย่างถูกพูดในนั้นหมดแล้ว เราเห็นว่าตอนนี้มีวิดีโอถอดเคล็ดลับความสำเร็จเยอะ แค่รู้สึกว่ามันดี ก็ยินดีด้วย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมาปรับใช้ได้นะ ฟังแล้วมันจะเอ๊ะนิดนึง เรามองรอบตัวหลายคนที่พยายามไม่ท้อถอย เรียนรู้ตลอดเวลา แต่ก็มีเยอะมากที่ไม่ประสบความสำเร็จ ทำงานหนักมาก มันมีปัจจัยเยอะมาก

“เราไม่ได้เกลียดคนรวยนะ คำถามที่ว่าทำไมถึงประสบความสำเร็จ… ก็บอกว่าบ้านผมรวย มันก็แฟร์ๆ ตรงๆ ก็ยินดีด้วยที่ประสบความสำเร็จ”

“อย่างชาวนา หรือเกษตรกรเขาขี้เกียจหรอ มีนิสัยจนเครียดกินเหล้าหรอ แต่มันมีหลายอย่างที่ควบคุมไม่ได้ เจอโรงสี เจอพ่อค้าคนกลาง หลายคนชอบบอกว่าคนที่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะขี้เกียจ มันไม่ใช่เสมอไปไง…”

ไวรัลตลกร้าย ถูกจริตคนไทย

เมื่อดูผลงานของเบนซ์จากทั้งในนามของ Salmon House และโปรเจกต์ส่วนตัว ต้องบอกว่าแต่ละคลิปจะมีลายเซ็นของเบนซ์ไว้ชัดเจนมาก ส่วนใหญ่จะเป็นแนว “ตลกร้าย” นำอินไซต์บางอย่างมาขยี้ได้อย่างถูกจริตคนไทย เบนซ์นิยามให้ผลงานตัวเองว่าแนว “ตลกหน้าตาย” ถ้าย้อนกลับไปทั้งคุณแวน หรือลุงเนลสัน ยังไม่มีใครทำแนวนี้เท่าไหร่

“เราไม่ใช่คนฉลาด แต่ชอบทำให้สนุก ใช้เซนส์นำ มันอาจจะไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องที่สุดนะ แต่ไม่ได้คิดคำนวณอะไรจริงๆ ไม่ได้วางแผนอะไรเยอะขนาดนั้น อย่างแรกต้องทำให้ตัวเองชอบก่อน อยากทำโฆษณาที่ได้เชื่อมต่อกับคน หลายคนชอบบอกว่า Salmon House ชอบทำโฆษณากวนตีน เสียดสีสังคม แต่จริงๆ แล้ว Positioning ของเราจริงๆ คือ Humanize หรือทำให้เป็นมนุษย์ ทำให้คนรู้สึกได้ ไม่ใช่มาขายของแบบแห้งๆ”

การทำคอนเทนต์ หรือโฆษณาของเบนซ์ในแต่ละครั้งจะมีหลักอยู่ 3 อย่าง อินไซต์จากผู้บริโภค, ใส่ความเป็นมนุษย์ และเชื่อมโยงกับคนได้ ถ้าปล่อยอะไรออกไปแล้วต้องมีคนที่คิดว่า “เออว่ะ กูก็คิดอย่างนี้”

วิดีโอที่ไวรัล และมีการพูดถึงมากๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นการดึงเอาเหตุการณ์ที่เห็นในชีวิตประจำวัน เช่น วันรวมญาติที่เด็กๆ ต่างต้องเจอกับคำถามของญาติผู้ใหญ่มากมาย ไม่ว่าเป็น ทำงานอะไร เงินเดือนเท่าไหร่ แต่งงานหรือยัง บางคำถามก็ไม่ได้สะดวกตอบเท่าไหร่

เป็นการดึงอินไซต์ หรือจุดร่วมของคนไทยออกมา แล้วนำมาเล่าในมุมของเบนซ์ ที่มีความตลกหน้าตาย ใส่คำหยาบนิดๆ แต่ไม่ได้ทำให้คอนเทนต์ดูหยาบโลนจนเกินไป

ไม่มีสูตรตายตัว แค่สนุกกับมัน

แน่นอนว่าทุกครั้งที่มีนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ก็จะมีคนมาถอดรหัสความสำเร็จนั้น กับคลิปวิดีโอไวรัลก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นคลิปไหน ก็ล้วนมีคนมาถอดรหัสความสำเร็จอยู่เสมอ เบนซ์ก็บอกว่ามีแต่คนถามตลอดว่าอะไร มีวิธีคิดอย่างไร ทำอย่างไรให้ดัง ซึ่งเบนซ์จะตอบทุกครั้งว่า “ไม่รู้”

“เคยมีคนถามเหมือนกันตั้งแต่งานลุงเนลสัน มีวิธีคิดอย่างไรให้ดัง ผมตอบว่าไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะดังด้วยซ้ำ แค่ทำให้ตัวเองสนุกก่อน ใช้เซนส์เอา แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าสิ่งที่ตัวเองทำแล้วสนุกแล้วมันจะประสบความสำเร็จ แต่มันต้องเริ่มอย่างนั้น ถ้าโชคดีสิ่งที่เราสนุกมันตรงกับสิ่งที่คนอื่นสนุก ก็เลยถูกแชร์ไป มันไม่มีสูตรสำเร็จจริงๆ เพราะไวรัลมันคือ ไวรัล ไม่ใช่เซ็กเมนต์ของวิดีโอ มันคือผลหลังจากที่วิดีโอปล่อยไปแล้ว การที่จะบอกว่าเราจะเริ่มทำงานวิดีโอไวรัล เหมือนกับเดินไปแผงลอตเตอรี่แล้วบอกว่าเราจะซื้อหวยที่ถูกรางวัลกันเถอะ วิดีโอคุณแวนมันคือ วิดีโอสั้น เราก็โชคดีที่มันไวรัล รู้สึกดีที่สิ่งที่เราชอบมันตรงกับที่คนอื่นชอบด้วย”   

คอนเทนต์ของเบนซ์ที่ดูตลกร้าย มีการจิกกัดแบบแสบๆ ถ้าถามว่าตัวเบนซ์เองเป็นคนอย่างไร เบนซ์บอกว่า “ตัวเองเป็นคนนิสัยไม่ดี เป็นคนหมั่นเขี้ยว นึกอยากจะกวนตีน ขวางทางก็ขวาง”

ไฟท์กับลูกค้า Creativity VS Big Data

ตำแหน่งของเบนซ์คือ Director หน้าที่หลักก็กำกับวิดีโอ ช่วยงานครีเอทีฟ ช่วยขายงานลูกค้า ว่างๆ ก็มาทำโปรเจกต์ส่วนตัวเพื่อชุบชูใจตนเอง ทุกครั้งหลังจากที่มีวิดีโอไวรัลออกไป ก็จะมีลูกค้าติดต่อมาอย่างล้นหลามเช่นกัน ซึ่งงานโฆษณาเป็นของธรรมดาที่ต้องคู่กับลูกค้า แต่จะมีวิธีอย่างไรที่จะบาลานซ์การทำงานให้เข้ากันได้

“สิ่งที่ต้องต่อสู้กับลูกค้า เป็นสิ่งที่ต้องไฟท์จริงๆ ระหว่าง Creativity กับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ จริงๆ มันก็ไม่ผิด บางทีเราทำคลิปอะไรไป เขาสนุกในการเป็นคนดู แต่ถ้าให้เอาเงินมาทำคลิปแบบนี้ แล้วมีสินค้า ชื่อแบรนด์อยู่ในคลิปแบบนี้ ยิ่งมีคำหยาบด้วยเขาก็ยิ่งคิดเยอะ จะห่วงเยอะ”

“ไม่ได้นะจากบิ๊กดาต้าเปิดมา 5 วิแรกต้องปัง ต้องมีสีของแบรนด์ เราพยายามต่อสู้กับวิดีโอไลฟ์โค้ชต่างๆ เวิร์กช็อปทำวิดีโอให้ปัง จริงๆ มันไม่มีสูตรสำเร็จหรอก ไม่งั้นทุกงานก็ดังแล้ว”

มีพี่ต่อเป็นไอดอล

กว่าจะมาเป็นคนโฆษณาในทุกวันนี้ ตอนเด็กๆ เบนซ์ ธนชาติเคยมีความฝันอยากเป็น “ตำรวจ” ด้วยเหตุผลที่ว่า เพราะตำรวจมีหมาตัวใหญ่ๆ ตอนเด็กๆ อยากเลี้ยงหมา จนตอนม.ปลายได้อ่านนิตยสาร a day เล่มพี่ต่อ ธนญชัย จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เห็นว่ามันมีสายงานนี้ด้วย เลยเริ่มสนใจงานโฆษณา

“เราชอบงานพี่ต่อ ธนญชัยเป็นไอดอลในแง่การงานโฆษณา ภาพยนตร์ เป็นคนเล่าเรื่องด้วยภาพได้ดี แล้วเขาก็สอนเวลาทำโฆษณาให้ใส่อะไรบางอย่างที่ให้กับสังคมภายในคลิป แน่นอนว่า “บางอย่างที่อยากให้สังคม” สำหรับเรากับพี่ต่อ อาจจะแตกต่างกันบ้างบางประเด็น แต่ก็เป็นความพยายามของเราที่จะทำสิ่งนี้

โตมาหน่อยก็จะชอบแนว Comedy แบบดาร์กๆ แนวฝรั่ง จะชอบแนว Louis C.K. เป็น Stand-up Comedian ชาวอเมริกัน เขามีทำคลิปสัมภาษณ์หน้าตายๆ”

อยากให้ผลงานเป็น Soft power ในสังคม

ในชีวิตประจำวันของไดเร็คเตอร์วัย 34 ปีคนนี้ ตรงกันข้ามกับคุณแวนอย่างสิ้นเชิง ในแต่ละวันเข้างานประมาณเที่ยง นั่งคิดโปรเจกต์ คิดงานกับน้องๆ ออกไปถ่ายหนัง เข้าออฟฟิศสลับออกกองถ่าย แต่ก็พยายามใช้ชีวิตให้เวลากับตัวเอง มีช่วงที่ตื่นเช้า อ่านหนังสือ ออกกำลังกาย จัดสรรเวลาให้ดีบ้าง

สำหรับเป้าหมายชีวิตและการทำงานนั้น ในตอนนี้เป็นเรื่องที่ต้องคิดปีต่อปี เบนซ์บอกว่าไม่กล้าวางเป้าหมายอะไรมาก วางได้แค่ระยะสั้นว่าอยากทำงานที่ส่งผลกระทบต่อคน ทำให้เด็กรุ่นใหม่กล้าตั้งคำถาม ไม่กล้าคาดหวังว่าจะอิมแพ็คขนาดนั้น แต่อยากให้มันเป็น Soft power ส่งผลในระยะยาว จะช่วยในมุมบางอย่าง งานคุณแวนก็ส่งผลกระทบต่อคนได้เหมือนกัน

สุดท้ายแล้วเบนซ์ยังได้คิดพาดหัวสำหรับบทสัมภาษณ์ของตัวเองในเวอร์ชั่นคุณแวน

“เบนซ์ ธนชาติ” ผู้กำกับนิสัยดี มี growth mindset และ resilience แห่ง Salmon House วิถีทำคอนเทนต์แบบไม่มีสูตรสำเร็จ
]]>
1374752
มิติใหม่! “เกาะขายหัวเราะ” จ.ตราด โมเดลโปรโมตที่เที่ยวคู่ “การ์ตูน” แบบญี่ปุ่น https://positioningmag.com/1348521 Thu, 26 Aug 2021 14:56:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1348521 ททท. ผนึก “ขายหัวเราะ” ฟื้นฟูท่องเที่ยวมิติใหม่โดยใช้การ์ตูน พร้อมเปิดเกาะขายหัวเราะ จ.ตราด อย่างเป็นทางการ หลังมีเกาะที่รูปร่างหน้าตาคล้ายกับเกาะขายหัวเราะในการ์ตูน หวังใช้เป็นแลนด์มาร์กกระตุ้นการท่องเที่ยวในอนาคต

เกาะขายหัวเราะมีอยู่จริง!

ใครที่เป็นแฟนของหนังสือการ์ตูนในตำนานอย่าง “ขายหัวเราะ” ต้องคุ้นเคยกับ “แก๊กติดเกาะ” ที่จะได้เห็นขึ้นปกอยู่เป็นประจำ จนเรียกกันติดปากว่า “เกาะขายหัวเราะ” แก๊กติดเกาะนี้ได้มีมาช้านานหลายปีแล้ว ปัจจุบันก็ยังได้เห็นแก๊กนี้อย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นแก๊กขึ้นหิ้งไปแล้ว

Photo : Facebook เกาะกระดาดอันซีนไทยแลนด์ทะเลตราด

แต่ใครจะรู้ว่า เกาะขายหัวเราะนี้ดันมีอยู่จริงในประเทศไทย! ก่อนหน้านี้ได้มีแฟนการ์ตูน และนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจังหวัดตราดได้พบกับเกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเกาะนกนอก เชื่อมมาจากเกาะนกใน และเกาะกระดาด เกาะนี้จะมีจังหวะที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาในช่วงน้ำลด ซึ่งทำให้เห็นพื้นที่เกาะเล็กน้อย และมีต้นตะบันขึ้นอยู่เพียงโดดๆ เพียงต้นเดียว ทำให้มีลักษณะเหมือนแก๊กติดเกาะของการ์ตูนขายหัวเราะ นักท่องเที่ยวพากันเรียกเกาะนี้ว่า “เกาะขายหัวเราะ”

ผนึกททท.สร้างแลนด์มาร์ก จ.ตราด

เมื่อเกาะขายหัวเราะกลายเป็นแลนด์มาร์กที่นักท่องเที่ยวหลายๆ คนอยากสัมผัสด้วยตนเอง ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานตราด จึงไม่รอช้า รีบผนึกกับขายหัวเราะ หวังเป็นไอเดียในการช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้

อิษฎา เสาวรส ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานตราด กล่าวถึงที่มาของการร่วมมือกันกับขายหัวเราะในครั้งนี้ว่า เกิดจากความเข้ากันพอดีของสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดตราด กับภาพจำของหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะ ทำให้เกาะมีลักษณะเหมือนแก๊กติดเกาะของการ์ตูนขายหัวเราะ จนกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวแลนด์มาร์กสำคัญของจังหวัดตราดในที่สุด

ทางททท.สำนักงานตราด จึงเชิญขายหัวเราะมาร่วมส่งเสริมโปรโมตเกาะแห่งนี้ในนาม “เกาะขายหัวเราะ” อย่างเป็นทางการโดยมีความตั้งใจที่จะร่วมมือกันตั้งรับ ฟื้นฟู และส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสถานการณ์โรค COVID-19 คลี่คลาย ซึ่งหลายภาคส่วนทั้งการท่องเที่ยวระดับประเทศ และระดับท้องถิ่นต้องการการส่งเสริมสนับสนุนอย่างมาก

ใช้การ์ตูนสื่อสาร ความสำเร็จจากญี่ปุ่น

การประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวร่วมกับหนังสือการตูนขายหัวเราะที่มีผู้อ่านทุกช่วงอายุ ทุกกลุ่มอาชีพ ในครั้งนี้ถือเป็นมิติใหม่ที่นำภาพของการ์ตูนมาคู่กับแหล่งท่องเที่ยว คาดว่าจะทำให้แหล่งท่องเที่ยวในบริเวณนี้เป็นที่รู้จักได้อย่างกว้างขวาง อีกทั้งช่วยสร้างบุคลิก และบรรยากาศให้การท่องเที่ยวเต็มไปด้วยความสนุกสนาน อารมณ์ดี และมีความสุขเมื่อได้มาเยือน

รวมถึงเป็นการตอกย้ำว่าเกาะขายหัวเราะนั้นมีอยู่จริงที่จังหวัดตราด ถือเป็นการเชื่อมโลกแห่งความจริงเข้ากับโลกของการ์ตูนที่คนไทยคุ้นเคยกันมายาวนาน ซึ่งนอกจากเกาะขายหัวเราะแล้ว เชื่อว่ายังสามารถช่วยกระจายนักท่องเที่ยวไปตามเกาะอื่นๆ อาทิ เกาะหมาก เกาะกระดาด เชื่อมโยงให้เกิดเส้นทางสร้างรายได้ลงสู่พื้นที่นั้นอย่างทั่วถึง 

ทางด้าน พิมพ์พิชา อุตสาหจิต กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทเครือบันลือกรุ๊บอกว่า การ์ตูนสามารถใช้เป็นเครื่องมือได้ทั้งในโลกจริง และโลกเสมือน การผูกเรื่องราว และภาพลักษณ์ของคาแร็กเตอร์กับการท่องเที่ยวในมิติต่างๆ สามารถทำได้อย่างไม่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เชิงอนุรักษ์ เชิงวัฒนธรรม การมุ่งสร้างองค์ความรู้เพื่อนักท่องเที่ยวทั่วไปหรือเฉพาะกลุ่ม การเล่าด้วยการ์ตูนก็ทำได้อย่างไม่ยัดเยียด ประสบการณ์ที่มีความสัมพันธ์กับคาแร็กเตอร์ เรื่องเล่าวัยเยาว์ ล้วนทำให้เกิดมิตรภาพ และความประทับใจ ซึ่งพิสูจน์มาแล้วจากแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำทั่วโลกว่า การ์ตูนและคาแร็กเตอร์ทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีและเข้าถึงกับผู้คนได้ทุกเพศทุกวัย

ต้องบอกว่า “ประเทศญี่ปุ่น” เป็นต้นแบบแห่งการใช้การ์ตูน และคาแร็กเตอร์มาโปรโมตสารพัดสิ่ง การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่นของญี่ปุ่น ก็ยังมีการต่อยอดรูปแบบใหม่ๆ ออกไปอยู่เรื่อยๆ

ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดก็คือมาสคอต “คุมะมง” เจ้าหมีสีดำ กลายเป็นมาสคอตประจำจังหวัดคุมาโมโตะ ประเทศญี่ปุ่น เปรียบเสมือนทูต ตัวโปรโมตประจำจังหวัด ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งในประเทศ และทำให้คนทั่วโลกรู้จักจังหวัดนี้อย่างดี

สำหรับประเทศไทยนั้น ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นมิติใหม่ของการท่องเที่ยวไทยในการใช้พลังการ์ตูน และ soft power มาสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์และแปลกใหม่ เรียกได้ว่าแคมเปญเกาะขายหัวเราะ เป็นก้าวแรกที่สำคัญทั้งกับขายหัวเราะและโอกาสใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

ซึ่งในอนาคต อาจจะมีรูปแบบใหม่ๆ ออกมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคาแร็กเตอร์ใหม่ๆ รูปแบบ storytelling ที่ต่างไปจากเดิม หรือการทำแคมเปญ ที่ไม่จำกัดรูปแบบ ซึ่งน่าจะเหมาะกับเทรนด์การท่องเที่ยวในอนาคต ที่นักท่องเที่ยวต้องการมีประสบการณ์ร่วมกับเรื่องราวท้องถิ่นหลากหลายรูปแบบ และเชิงลึกมากขึ้นด้วย

ขายหัวเราะเข้าใจจริตคนไทย

พิมพ์พิชา อุตสาหจิต บอกว่า ขายหัวเราะในฐานะ ‘สำนักการ์ตูนไทย’ นั้นมี DNA จุดเด่นเฉพาะตัว คือ ความถนัดในการใช้สื่อการ์ตูนเล่าเรื่องได้ทุกเรื่อง และความเข้าใจ insight รสนิยมความบันเทิงสนุกสนานและ culture แบบไทยๆ อยู่แล้ว ซึ่งน่าจะนำมาต่อยอดในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้อีกหลากหลายแนวทาง

ซึ่งขายหัวเราะต้องการใช้ความถนัดของเราในด้านการ์ตูน คาแร็กเตอร์ อารมณ์ขัน และ storytelling มาเป็นสื่อ และสร้างกิมมิกในการพัฒนา Content และออกแบบ Content Marketing รูปแบบแคมเปญที่สนับสนุนต่อยอดอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์ โดยมีเป้าหมายในการสร้างการรับรู้ ว่าเกาะขายหัวเราะที่ทุกคนคุ้นเคยจากแก๊กการ์ตูน และปกขายหัวเราะนั้นมีอยู่จริงๆ เป็นการเชื่อมโยงจินตนาการและความสนุกด้วยประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร

]]>
1348521