“แสนสิริ” แถลงผลประกอบการปี 2564 โตทะลุเป้า ปี 2565 วางแผนเปิดใหม่มูลค่าโครงการรวม 50,000 ล้านบาท เน้นโครงการระดับเข้าถึงง่ายสนองเรียลดีมานด์ ชูเป้าหมายสำคัญด้าน “สิ่งแวดล้อม” มุ่งสู่ Net-Zero จะมีการติดตั้ง “EV Charger” ในส่วนกลางทุกโครงการใหม่ภายในปี 2025 และเป้าหมายด้านพลังงานโซลาร์ รีไซเคิลขยะจากไซต์ก่อสร้าง
“เศรษฐา ทวีสิน” ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ แถลงผลการดำเนินงานปี 2564 และแผนงานปี 2565 ของบริษัท
โดย ยอดขายของแสนสิริปี 2564 ทำได้ 33,500 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 29% ด้าน ยอดโอนกรรมสิทธิ์ทำได้ 32,500 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 21%
จบสิ้นปีแสนสิริมีกระแสเงินสด 15,000 ล้านบาท ซึ่งเศรษฐามองว่าน่าจะเป็นหนึ่งในบริษัทเบอร์ต้นๆ ของวงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีกระแสเงินสดในมือสูง ทำให้บริษัทพร้อมรับมือสถานการณ์ปีนี้ และจะลดการทำสงครามราคา เพราะบริษัทมีกระแสเงินสดเพียงพอ
ปี 2565 ลุยเปิดโครงการมูลค่ารวม 50,000 ล้าน
ด้านแผนดำเนินงานปี 2565 ปีนี้แสนสิริ เตรียมเปิดตัว 46 โครงการ มูลค่ารวม 50,000 ล้านบาท โดยแบ่ง 75% เป็นโครงการแนวราบ 28 โครงการ และ 25% เป็นคอนโดมิเนียม 18 โครงการ
สำหรับเซ็กเมนต์ที่จะจับตลาดปีนี้ 50% เป็นโครงการระดับราคาเข้าถึงได้ 25% เป็นระดับกลาง และ 25% เป็นระดับบน
ตลาดโครงการระดับราคาเข้าถึงได้ยังให้น้ำหนักมาก เพราะตลาดเรียลดีมานด์ซื้ออยู่เองมีความต้องการ และเป็นกลุ่มราคาที่เหมาะกับเศรษฐกิจ แบรนด์ที่ถือว่าอยู่ในกลุ่มนี้และจะมีการเปิดตัว ได้แก่ บ้านเดี่ยว อณาสิริ ราคา 3-4 ล้านบาท, ทาวน์เฮาส์ สิริ เพลส ราคาประมาณ 2 ล้านบาท และคอนโดฯ แบรนด์ ดีคอนโด, เดอะมูฟ, คอนโดมี ราคาประมาณ 1-2 ล้านบาท
ส่วนตลาดระดับบนก็ยังน่าสนใจเช่นกัน เพราะเป็นกลุ่มที่กำลังซื้อสูง ปีที่ผ่านมายอดขายบ้านเดี่ยวระดับบนทำได้ดีมาก ทำให้ปีนี้จะได้เห็นทั้งแบรนด์ นาราสิริ เศรษฐสิริ บุราสิริ และ บูก้าน แบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวปีก่อน เปิดทำเลใหม่เพิ่มอีก
ส่วนจะเป็นทำเลไหนนั้น แสนสิริแบ่งการเปิดตัวปีนี้ 90% อยู่ในกทม.และปริมณฑล 10% อยู่ในต่างจังหวัด มีทำเลเด่นที่แสนสิริจะลุยต่อไปคือ ถ.กรุงเทพกรีฑา และโซนบางนา-สุวรรณภูมิ ที่ถือว่าศักยภาพเติบโตสูงมาก
เป้าหมาย Net-Zero ดูแลสิ่งแวดล้อม
อีกเป้าหมายสำคัญของแสนสิริที่ประกาศในปีนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากการประชุม COP26 ทำให้บริษัทตั้งเป้าที่จะเป็นบริษัท Net-Zero ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ ในอนาคต โดยในแง่การพัฒนาโครงการและการก่อสร้าง มีเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนี้
- ใช้พลังงานจากโซลาร์รูฟ
– ติดตั้งในพื้นที่ส่วนกลางของโครงการใหม่ 100% ภายในปี 2022
– ติดตั้งในบ้านทุกหลังของโครงการระดับบน 100% ภายในปี 2022
- เสาไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
– ติดตั้งในสวนส่วนกลางของทุกโครงการใหม่ 100% มาตั้งแต่ปี 2021
– ติดตั้งไฟถนนจากพลังงานแสงอาทิตย์ทุกโครงการใหม่ 100% ภายในปี 2030 - EV Charger
– ติดตั้งในบ้านทุกหลังของโครงการระดับบน 100% ภายในปี 2022
– ติดตั้งในพื้นที่ส่วนกลางทุกโครงการใหม่ 100% ภายในปี 2025
- แยกขยะ รีไซเคิลขยะ
– รียูสหรือรีไซเคิลขยะจากไซต์ก่อสร้าง 70% ได้ภายในปี 2025
– ขยะเหลือทิ้งจากโรงงาน PCF ของแสนสิริมีไม่เกิน 2%
– ทุกโครงการแสนสิริ ต้องมีการแยกขยะ
– จับมือพันธมิตรเพื่อรณรงค์การแยกขยะ - ดีไซน์บ้านแบบใหม่ ประหยัดพลังงานได้ 50% ภายในปี 2025 และประหยัดได้ 70% ภายในปี 2030
สำหรับประเด็น EV Charger ที่น่าจะเป็นเทรนด์อนาคตเมื่อคนไทยใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น ในกรณีที่เป็นโครงการเก่าที่ขายหมดแล้วหรือระหว่างขายของแสนสิริ ซึ่งมีการจัดตั้งนิติบุคคลขึ้นมาบริหารจัดการแล้ว ทางแสนสิริจะมีการติดต่อกับนิติบุคคลเพื่อนำเสนอการติดตั้ง EV Charger จากบริษัท SHARGE ที่แสนสิริเข้าไปร่วมลงทุน โดยการจะติดตั้งหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับนิติบุคคลของแต่ละโครงการเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจ
ด้านสถานการณ์ธุรกิจอสังหาฯ ปีนี้ เศรษฐาทิ้งท้ายว่าสงครามราคาน่าจะลดลง เพราะนอกจากแสนสิริแล้วบริษัทใหญ่อื่นหลายรายก็มีกระแสเงินสดมั่นคงขึ้นจนไม่ต้องลดราคาหนักเหมือนปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบก็มีมาตั้งแต่ต้นปี ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าแพง และไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอมิครอนระบาดซึ่งกระทบธุรกิจท่องเที่ยวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเรื่องนี้มีมุมมองว่า ในระยะต่อไปไม่ควรมีการล็อกดาวน์อีก เพราะจะมีผลกระทบทางเศรษฐกิจสูง ควรจะเรียนรู้การอยู่ร่วมกับการระบาดให้ได้มากกว่า