ผู้มีความมั่งคั่งสูง (UHNWIs) – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 30 Jul 2024 08:00:22 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สวรรค์เศรษฐี “ดูไบ” จ่อดึงคนมีฐานะย้ายประเทศเพิ่มอีก หลังพรรคแรงงานชนะเลือกตั้งอังกฤษ https://positioningmag.com/1484411 Tue, 30 Jul 2024 06:43:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484411 วิจัยพบ “ดูไบ” เมืองหลวง UAE มีโอกาสเป็นแหล่งดึงดูด “เศรษฐี” ย้ายประเทศเข้าไปพำนักเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ในขณะที่ “สหราชอาณาจักร” น่าจะได้เห็นเศรษฐีย้ายออกราว 17% ภายใน 4 ปี หลังพรรคแรงงานชนะเลือกตั้งและน่าจะออกนโยบายที่ไม่เอื้อต่อคนมีฐานะ

รายงาน Henley Private Wealth Migration เปิดเผยว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) มีโอกาสเป็นประเทศที่สามารถดึงดูด “เศรษฐี” ย้ายถิ่นฐานเข้าไปพำนักเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลกเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

ขณะเดียวกัน Swiss Bank UBS คาดการณ์ว่า “สหราชอาณาจักร” น่าจะเห็นการย้ายออกของเศรษฐีราวๆ 17% ภายในปี 2028 จากปัจจุบันมีเศรษฐีกว่า 3.06 ล้านคน เชื่อว่าใน 4 ปีจะลดเหลือ 2.54 ล้านคนเท่านั้น

เนื่องจากกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง หรือ High-Net Worth Individuals: HNWIs มักจะตัดสินใจลงหลักปักฐานด้วยสิทธิประโยชน์เรื่อง “ภาษี” เป็นหลัก ทำให้นโยบายปลอดภาษีของ “ดูไบ” กลายเป็นสวรรค์เศรษฐีกลางทะเลทราย

กรุงลอนดอน

ตรงกันข้ามกับสหราชอาณาจักร ซึ่งเพิ่งผ่านการเลือกตั้งและกลายเป็นพรรคแรงงานที่กำชัยชนะในครั้งนี้ ทำให้มีแนวโน้มว่าต่อไปรัฐบาลอังกฤษอาจจะออกนโยบายที่ไม่เอื้อต่อผลประโยชน์ของเศรษฐี

Karim Jetha นักลงทุนรายหนึ่งที่ย้ายออกจากสหราชอาณาจักรไปยัง UAE ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า การเลือกย้ายประเทศไปอยู่ใน UAE แทนนั้นมีทั้งแรงผลักและแรงดึงดูด โดยแรงผลักสำคัญคือ “ภาษี” ที่น่าจะปรับขึ้นในอังกฤษหลังพรรคแรงงานชนะเลือกตั้ง เช่น นโยบายหาเสียงของพรรคแรงงานมีการกล่าวถึงการเก็บภาษี VAT กับโรงเรียนเอกชน ซึ่งจะทำให้ค่าเทอมพุ่งขึ้น 20% ทันที ส่วนแรงดึงดูดจาก UAE เกิดจากการดูแลให้ประเทศมีความปลอดภัยสูงในการอยู่อาศัย และปฏิรูปวีซ่าเพื่อให้การย้ายประเทศเกิดง่ายขึ้น

รายงานของ Henley คาดการณ์ว่า UAE จะมีเศรษฐีใหม่ย้ายเข้าประเทศกว่า 6,700 คนภายในสิ้นปี 2024 ทิ้งห่างอันดับ 2 คือ “สหรัฐอเมริกา” ที่คาดว่าจะมีเศรษฐีย้ายเข้าราว 3,800 คนในสิ้นปีนี้

ดูไบ (Photo : Shutterstock)

รายงานฉบับนี้นำเสนอว่าเหตุที่เศรษฐีนิยมย้ายไป UAE เพราะปัจจัยเรื่องไม่เก็บภาษีเงินได้ มีระบบ “Golden Visa” ไลฟ์สไตล์ลักชัวรี และทำเลที่ตั้งสะดวกในการเดินทางไปทั่วโลก

Golden Visa ของ UAE นั้นมีส่วนสำคัญมากในการดึงดูด เพราะการได้วีซ่านี้หมายถึงสิทธิพำนักถาวรในประเทศ และอนุญาตให้ชาวต่างชาติอาศัย ทำงาน และเรียนในประเทศได้ตามต้องการ

Sunita Singh-Dalal พาร์ทเนอร์บริษัท Hourani Private Wealth & Family Offices ในดูไบ กล่าวเสริมว่า ระบบนิเวศในการจัดการความมั่งคั่งของ UAE มีการพัฒนาสูงมากในช่วง 5 ปีหลังมานี้ โดยมีการสร้างโซลูชันเพื่อทำให้การป้องกัน เก็บรักษา และต่อยอดความมั่งคั่งของผู้มีฐานะทำได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น

UAE สร้างแรงดึงดูดจากโครงสร้างพื้นฐานในประเทศด้วย เช่น ระบบโรงเรียนอินเตอร์แข็งแรง ปราบปรามอาชญากรรมให้อยู่ในอัตราต่ำ และบรรยากาศเมืองที่ทันสมัย

ปัจจุบันเศรษฐีส่วนใหญ่ที่ย้ายไปอยู่ “ดูไบ” มักจะมาจากอินเดีย ตะวันออกกลาง รัสเซีย และทวีปแอฟริกา แต่ในระยะหลังพบว่าเศรษฐีอังกฤษและยุโรปก็เริ่มนิยมย้ายไปอยู่แล้วเช่นกัน

เหตุผลเพราะแต่เดิมภาษีอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษนับว่าไม่จูงใจเศรษฐีอยู่แล้ว ด้วยการเก็บภาษีอสังหาฯ สูงถึง 40% หากครอบครองอสังหาฯ ในราคามากกว่า 325,000 ปอนด์ (ประมาณ 15 ล้านบาท) และอนาคตอันใกล้ รัฐบาลอังกฤษยังเตรียมยกเลิกนโยบายไม่เก็บภาษีเงินได้ผู้พำนักอาศัยหากได้มาจากแหล่งรายได้นอกประเทศ (non-dom tax) โดยจะเริ่มปี 2025 แถมพรรคแรงงานยังมีนโยบายเก็บภาษีโรงเรียนเอกชนซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาบุตรหลานเพิ่มขึ้น

ปัจจัยการรีดภาษีผู้มีฐานะ ทำให้ “เศรษฐี” เหล่านี้เตรียมเก็บกระเป๋าและย้ายประเทศไปอยู่ดูไบมากยิ่งขึ้น

Source

]]>
1484411
ต้องรวยแค่ไหนถึงจะได้เป็น Top 1% !! เปิดรายชื่อ 10 ประเทศที่เข้าสมาคม “คนรวย” ยากที่สุดในโลก https://positioningmag.com/1464850 Sun, 03 Mar 2024 16:15:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1464850 รายงาน Wealth Report 2024 จากไนท์แฟรงค์เปิดรายชื่อประเทศที่ต้องมีสินทรัพย์ส่วนตัวสูงที่สุดเพื่อจะได้เข้าสมาคม “คนรวย” ระดับ Top 1% ของประเทศ โดยแชมป์ปีนี้ตกเป็นของเจ้าเก่า “โมนาโก” ขณะที่ในเอเชียคือ “สิงคโปร์”

Wealth Report 2024 จัดทำโดยบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ “ไนท์แฟรงค์” มีการประเมินสินทรัพย์ของประชากรใน 17 เขตการปกครอง และมูลค่าสินทรัพย์ที่ประชากรในประเทศนั้นๆ จะต้องมีเพื่อจะเป็น “คนรวย” ในระดับยอดปีรามิด Top 1% ของประเทศ

การประเมินนี้พบว่าประเทศที่เข้าสู่สมาคมคนรวยได้ยากที่สุดในโลกคือ “โมนาโก” ประเทศขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในทวีปยุโรป ส่วนในทวีปเอเชียของเรามี “สิงคโปร์” เป็นประเทศที่การขึ้นสู่ยอดปีรามิดต้องมีสินทรัพย์สูง (*ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในการสำรวจตามรายงานชิ้นนี้)

สำหรับ 10 อันดับแรกประเทศ/เขตการปกครองที่ต้องใช้สินทรัพย์สูงสุดเพื่อเข้าสู่ Top 1% ได้แก่

  • อันดับ 1 โมนาโก ต้องมีสินทรัพย์ 12.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 460 ล้านบาท)
  • อันดับ 2 ลักเซมเบิร์ก ต้องมีสินทรัพย์ 10.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 385 ล้านบาท)
  • อันดับ 3 สวิตเซอร์แลนด์ ต้องมีสินทรัพย์ 8.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 303 ล้านบาท)
  • อันดับ 4 สหรัฐอเมริกา ต้องมีสินทรัพย์ 5.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 207 ล้านบาท)
  • อันดับ 5 สิงคโปร์ ต้องมีสินทรัพย์ 5.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 185 ล้านบาท)
  • อันดับ 6 สวีเดน ต้องมีสินทรัพย์ 4.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 171 ล้านบาท)
  • อันดับ 7 ออสเตรเลีย ต้องมีสินทรัพย์ 4.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 168 ล้านบาท)
  • อันดับ 8 นิวซีแลนด์ ต้องมีสินทรัพย์ 4.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 164 ล้านบาท)
  • อันดับ 9 ไอร์แลนด์ ต้องมีสินทรัพย์ 4.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 153 ล้านบาท)
  • อันดับ 10 เยอรมนี ต้องมีสินทรัพย์ 3.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 121 ล้านบาท)

สินทรัพย์ที่ใช้ในการประเมินของไนท์แฟรงค์นั้นรวมทุกประเภท ได้แก่ เงินสด การลงทุน และอสังหาริมทรัพย์

ประเทศโมนาโก (Photo: Ty DG / Pexels)

รายงานชิ้นนี้ยังบอกด้วยว่า การเข้าสู่สมาคมคนรวย Top 1% ของประเทศนั้นยังง่ายกว่าการเป็นมหาเศรษฐีระดับ “UHNWI” หรือ ultra-high net worth individual ซึ่งไนท์แฟรงค์หมายถึงการเป็นเศรษฐีที่มีสินทรัพย์อย่างน้อย 30 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,070 ล้านบาท)

ปี 2023 ที่ผ่านมาจำนวนมหาเศรษฐี UHNWI ทั่วโลกมีทั้งหมด 627,000 คน เพิ่มขึ้น 4.2% จากปีก่อนหน้า โดยปีก่อนนั้นทวีปที่น่าจับตามองคือ “อเมริกาเหนือ” ซึ่งมีจำนวนมหาเศรษฐี UHNWI เพิ่มขึ้น 7.2% เกินค่าเฉลี่ยโลก ทั้งนี้ ไนท์แฟรงค์มีการคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า จำนวนมหาเศรษฐีระดับนี้ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นสะสม 28% โดยมีประเทศที่มีคนรวยเพิ่มสูงขึ้นมากคือ “จีน” และ “อินเดีย”

อีกประเด็นที่น่าจับตาเกี่ยวกับสังคม “คนรวย” คือ ไนท์แฟรงค์คาดว่า “เจนเนอเรชันวาย” จะกลายเป็นเจนที่ร่ำรวยที่สุดที่เคยมีมา เพราะสินทรัพย์มูลค่ารวม 90 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,210 ล้านล้านบาท) ทั่วโลกจะถูกส่งต่อจากรุ่นพ่อแม่เจนเบบี้บูมเมอร์และรุ่นปู่ย่าจากไซเลนต์เจนเนอเรชันมาสู่ลูกหลานคนเจนวายภายใน 2 ทศวรรษข้างหน้านี้

ข้อมูลจากธนาคารโลกยังคาดการณ์ด้วยว่า “ความเหลื่อมล้ำ” ก็จะยังคงเกิดขึ้นต่อไประหว่างประเทศที่ร่ำรวยกับประเทศที่ยากจน ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดอย่างโมนาโกจะยังดึงดูดให้คนรวยเข้าไปอาศัยอยู่เพิ่มขึ้นเพราะสิทธิประโยชน์ทางภาษี

Source

]]>
1464850
10 เมืองที่มี “เศรษฐี” อาศัยอยู่มากที่สุดในโลก ปี 2023 https://positioningmag.com/1444100 Wed, 13 Sep 2023 08:04:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444100 รายงาน World Ultra Wealth Report 2023 จัดทำโดย Wealth-X วิเคราะห์ประชากรบนโลกที่เป็นกลุ่ม “เศรษฐี” ผู้มีความมั่งคั่งสูง (Ultra-High Net Worth Individuals) นิยามจากผู้ที่มีสินทรัพย์มากกว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ (กว่า 1,000 ล้านบาท) โดยจากการสำรวจในปี 2022 พบว่ามีเศรษฐีกลุ่มนี้อยู่ 395,070 คนทั่วโลก ทั้งหมดนี้มีสินทรัพย์รวมกันมากกว่า 45 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (กว่า 1,600 ล้านล้านบาท)

เศรษฐีไม่ถึง 4 แสนคนนี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 0.005% ของประชากรโลกที่มีอยู่ 8 พันล้านคน

ในจำนวนเศรษฐี 4 แสนคนนี้มีไม่ถึง 1% หรือไม่เกิน 4,000 คนที่เป็นเศรษฐีระดับ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ​ (กว่า 35,000 ล้านบาท) รวมถึงมีเพียง 11% เท่านั้นที่เป็น “ผู้หญิง”

ด้านถิ่นพำนักของกลุ่มเศรษฐี 15% ของเศรษฐีอาศัยกระจุกตัวกันอยู่ในเมืองเพียง 10 เมืองในโลก

โดยมีถึง 5 เมืองที่อยู่ในสหรัฐฯ รองลงมา 3 เมืองอยู่ในทวีปเอเชีย และมี 2 เมืองในทวีปยุโรป

ปัจจุบันเมืองที่มีเศรษฐีอาศัยอยู่มากที่สุดยังคงเป็น “ฮ่องกง” แต่อัตรากำลังลดลงแบบดับเบิลดิจิต ขณะที่อันดับ 2 ซึ่งกำลังไล่ตามมาคือ “นิวยอร์ก” นั้นมีจำนวนเศรษฐีพำนักเพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อปีก่อน

 

อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม

]]>
1444100