ย้อนไปในช่วงเดือนธันวาคม 2022 มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้พยายามที่จะพลิกยอดขายที่ซบเซาในตลาดจีนให้ฟื้นกลับมาอีกครั้ง โดยได้เปิดตัวรถยนต์อเนกประสงค์รุ่นเรือธง Outlander ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นไฮบริด อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปใช้รถอีวี 100% อย่างรวดเร็วกว่าที่คาดไว้
ทำให้มิตซูบิชิ มอเตอร์สได้ หยุดสายการผลิตรถยนต์ในจีนตั้งแต่เดือนมีนาคม เนื่องจากยอดขายลดลง ขณะที่ค่ายรถอีวีในประเทศจีนกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น มิตซูบิชิจึงวางแผนที่จะมุ่งเน้นทรัพยากรของตนไปที่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทน โดยกำลังเจรจากับบริษัทจีนเกี่ยวกับโรงงาน
ที่ผ่านมา มิตซูบิชิได้เปิดโรงงานผลิตรถยนต์สันดาปในมณฑลหูหนาน ซึ่งเป็นโรงงานแห่งเดียวในจีนของบริษัท โดยโรงงานดังกล่าวเกิดภายใต้การร่วมทุนกับ Guangzhou Automobile Group
ทั้งนี้ มิตซูบิชิไม่ใช่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นเพียงรายเดียวที่ต้องดิ้นรนกับยอดขายที่ซบเซาในจีนแต่ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด ก็ปรับลดแนวโน้มยอดขายในจีนในปีงบประมาณ 2023 เหลือ 800,000 คัน จากประมาณการก่อนหน้านี้ที่ 1.13 ล้านคัน ขณะที่ผู้ผลิตรถบรรทุก ฮีโน่ มอเตอร์ส จำกัด วางแผนที่จะรวบรวมมาตรการเพื่อปรับปรุงยอดขายในประเทศในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้
ส่วน มาสด้า มอเตอร์ คอร์ป ระบุเมื่อเดือนที่แล้วว่า ยอดขายของบริษัทในจีนในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือนมิถุนายน ลดลง 17% จากปีก่อนหน้า แต่บริษัทยืนยันว่ายังไม่ได้พิจารณาที่จะถอนตัวออกจากตลาด
]]>Nikkei Asia รายงานกระแสข่าวโดยไม่ได้อ้างอิงแหล่งข่าวว่า ยอดขายของ Mitsubishi Motors ในจีนชะลอตัวลงมาพักใหญ่หลังจากชาวจีนหันไปนิยมรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์แบรนด์จีนมากขึ้น และไม่ได้มีเพียง Mitsubishi Motors เท่านั้นที่ประสบปัญหา แต่รถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นอื่นๆ ก็กำลังเผชิญปัญหาแบบเดียวกันในจีน
โรงงานของ Mitsubishi Motors ในจีนเป็นการร่วมทุนกับ Guangzhou Automobile Group (GAC) ลงทุนฝั่งละ 50% ตัวโรงงานตั้งอยู่ในมณฑลหูหนาน และมีข่าวการหยุดดำเนินการผลิตเพิ่มมาตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยโรงงานนี้เป็นโรงงานเดียวที่ Mitsubishi Motors มีในประเทศจีน
สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานต่อไปว่า หลังฝั่งญี่ปุ่นถอนหุ้นออกไป คาดว่า GAC ที่ยังถือครองโรงงานแห่งนี้ จะเปลี่ยนโรงงานมาผลิตรถยนต์อีวีของบริษัท และจะพยายามรักษาการจ้างงานไว้ให้ได้มากที่สุด
สถานการณ์ของ Mitsubishi Motors แย่ลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ปี 2022 บริษัทมีการจำหน่ายรถยนต์ในจีนได้เพียง 38,550 คัน ต่ำลง 60% เมื่อเทียบกับปี 2021
ในช่วงปลายปีที่แล้ว บริษัทพยายามต่อสู้ในตลาดด้วยการส่งรถเอสยูวีรุ่น ‘Outlander’ ซึ่งเป็นรถยนต์ไฮบริดลงสนามแข่งขัน แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับผลตอบรับที่ดี จนนำมาสู่การถอนโรงงานออกจากจีน
หลังจากนี้ คาดว่าบริษัทจะหันมาทุ่มทรัพยากรทั้งหมดกับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียแทน เพราะภูมิภาคนี้ถือเป็นภูมิภาคทำเงินให้กับ Mitsubishi Motors ได้ถึง 1 ใน 3 ของยอดรวมบริษัท
จากข้อมูลของ สมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศจีน ยอดขายรถอีวีในจีนเมื่อปี 2022 ขายได้ถึง 5.36 ล้านคัน พุ่งทะยานขึ้น 80% จากปีก่อนหน้า และคิดเป็นสัดส่วน 20% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมดในจีนเมื่อปีก่อน ทั้งนี้ Mitsubishi Motors ไม่ได้ถือสิทธิบัตรการพัฒนารถอีวีในประเทศจีน เนื่องจากจะทับซ้อนตลาดกับ GAC
ปัจจุบันการแข่งขันในตลาดรถยนต์จีน แบรนด์ต่างชาติจะต้องแข่งกับแบรนด์ท้องถิ่น MarkLines บริษัทวิจัย ประเมินว่า ในจำนวนรถยนต์ที่ขายได้ในจีน 23.56 ล้านคันเมื่อปี 2022 มีถึง 50.7% ที่เป็นแบรนด์จีนเอง สัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นเร็วมาก จากปี 2021 รถจีนยังมีสัดส่วนในตลาดที่ 45.5%
ส่วนรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นก็กำลังถูกตีตลาด เมื่อปี 2022 รถญี่ปุ่นมีสัดส่วนในจีน 18.3% เทียบกับปี 2021 ที่เคยมีสัดส่วน 21.1%
มาโกโตะ อุชิดะ ประธานและซีอีโอของ Nissan Motor เคยพูดถึงสถานการณ์ในจีนไว้ว่า “เรามาถึงจุดที่ไม่สามารถทำกำไรได้ เพราะการแข่งขันลดราคาที่สาหัสในตลาด” เขากล่าว “เรากำลังพิจารณาตัวเลือกที่มี ซึ่งรวมถึงการพิจารณากลยุทธ์ในจีนกันใหม่ เช่น การเข้าร่วมทุนกับบริษัทอื่น”
Mitsubishi Motors เริ่มการส่งออกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไปยังประเทศจีนตั้งแต่ทศวรรษ 1970s และเริ่มเข้าไปลงทุนในประเทศตั้งแต่ปี 2006 ส่วนการตั้งบริษัทร่วมทุน GAC Mitsubishi Motors เริ่มต้นในปี 2012 โรงงานแห่งนี้เคยผลิตและจำหน่ายรถยนต์ได้สูงสุด 140,000 คันเมื่อปี 2018
สำหรับประเทศไทย GAC ก็เริ่มเข้ามาทำตลาดครั้งแรกในเดือนกันยายนนี้เอง โดยส่งรถคอมแพ็คครอสโอเวอร์ AION Y Plus เข้ามาชิมลางในราคาเริ่มต้น 1,069,900 บาท และมีแผนจะมาตั้งฐานการผลิตรถยนต์ใน จ.ระยอง เพื่อใช้ส่งออกไปในภูมิภาคนี้ด้วย
]]>ปล่อยให้รถยนต์ไฟฟ้าจีนเข้ามาตีตลาดไทยก่อน แต่ค่ายรถญี่ปุ่นที่ตั้งฐานในเมืองไทยมามากกว่า 3 ทศวรรษอย่าง “มิตซูบิชิ มอเตอร์ส” กำลังขยับเข้าตลาดเช่นกัน โดย “เออิอิชิ โคอิโตะ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยแผนในงานแถลงข่าวประจำปี 2565 บริษัทเตรียมบุกตลาดรถอีวีอย่างเต็มที่
เป้าหมายในปี 2567 รถยนต์นั่งที่ผลิตและจำหน่ายในไทยของ “มิตซูบิชิ มอเตอร์ส” จะเป็นรถประเภท xEV ทั้งหมด โดยหมายรวมทั้งรถประเภท PHEV (Plug-in Hybrid EV รถยนต์ที่ใช้ได้ทั้งไฟฟ้าและสันดาป) และรถประเภท BEV (Battery EV รถยนต์ไฟฟ้า 100%) ทั้งนี้ รถประเภทอื่น เช่น ปิกอัพ และรถยนต์นั่งที่ผลิตเพื่อส่งออก อาจจะยังมีรถประเภทสันดาปที่ผลิตอยู่
โดยมิตซูบิชิ มอเตอร์สชิมลางตลาดรถอีวีไทยไปแล้วด้วยรุ่น “Outlander” ซึ่งเป็นรถ PHEV ออกจำหน่ายเมื่อเดือนมกราคม 2564
ปัจจุบันสายการผลิตรถ xEV ในไทยของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เออิอิชิกล่าวว่ามีไลน์แพ็กเกจจิ้งแบตเตอรี่แล้วที่โรงงานในแหลมฉบัง ส่วนการประกอบรถยนต์ไฟฟ้าส่วนอื่นๆ มีเป้าหมายจะผลิตและใช้ซัพพลายในไทยให้มากที่สุดที่ทำได้ หากมีดีมานด์สูง อาจจะพิจารณาก่อสร้างโรงงานใหม่สำหรับรถอีวีโดยเฉพาะได้ในอนาคต
เออิอิชิกล่าวว่า บริษัทไม่กังวลแบรนด์ที่เริ่มบุกตลาดด้วย BEV แล้ว เนื่องจากการศึกษาตลาดของบริษัทเองกับผู้ทดลองใช้รถยนต์ไฟฟ้าในไทย พบว่า แม้รถยนต์ BEV ที่วางคุณสมบัติให้สามารถขับขี่พิสัยไกลได้ถึง 400 กม. จะทำได้จริงตามที่โฆษณา แต่ไฟฟ้าเกือบจะหมดจนเหลือศูนย์ ท่ามกลางระบบนิเวศไทยที่ยังมีสถานีชาร์จไม่เพียงพอ ทำให้ผู้ใช้ยังไม่มั่นใจนักหากจะขับรถ BEV ทางไกล
มิตซูบิชิ มอเตอร์สจึงเห็นว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน รถยนต์ประเภท PHEV ยังมีความสำคัญ เพราะทำให้ลูกค้ามีทางเลือกในการใช้ไฟฟ้าเมื่อขับขี่ในเมือง และใช้เครื่องยนต์สันดาปสำหรับการขับขี่ระยะไกล คาดว่าในระยะแรก รถยนต์ BEV จะยังมีลักษณะเป็น “รถคันที่สอง” ของครอบครัว ไม่ใช่รถคันหลัก
“เรามองว่าการสร้างฐานตลาดจากรถ PHEV ก่อน เป็นการทำให้ฐานตลาดเข้มแข็งกว่าการกระโดดเข้าสู่ BEV เลยทีเดียว และขณะนี้รัฐบาลไทยก็เริ่มส่งเสริมตลาดแล้ว” เออิอิชิกล่าว
ด้านการพัฒนารถ BEV ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา บริษัทเพิ่งเซ็น MOU กับ “ไปรษณีย์ไทย” และ บมจ. ปตท. น้ำมัน และการค้าปลีก หรือ “OR” นำเข้ารถ “มินิแวน” รุ่น “มินิแค็บ มีฟ” ที่ใช้ไฟฟ้า 100% มาใช้ในการขนส่งพัสดุของไปรษณีย์ไทยจำนวน 2 คัน เพื่อทดลองการใช้งานในเส้นทางประจำระหว่างกรุงเทพฯ-ปทุมธานีเป็นเวลา 1 ปี ส่วน OR จะติดตั้งสถานีชาร์จ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ไทย 2 แห่ง
โดยบริษัทเริ่มทดลองกับการใช้รถเชิงพาณิชย์ก่อนเพราะเห็นว่าจะเป็นตลาดที่สำคัญ และบริษัทจะมีโอกาสเก็บข้อมูลไปพัฒนารถให้เหมาะกับเมืองไทยซึ่งมีความต่างจากญี่ปุ่นหลายด้าน เช่น สภาพอากาศ
เออิอิชิกล่าวต่อถึงการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของปีนี้ โดยต่อยอดจากความสำเร็จของรถรุ่น Xpander ที่สามารถครองตลาดรถประเภท MPV ได้ 60-70%
ปีนี้จะมีการออกรุ่น New Xpander ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่ 2 ต่อจากอินโดนีเซียที่มีการเปิดขาย รุ่นนี้จะมีการปรับปรุงใหม่หลายๆ ด้าน ดังนี้
ขณะนี้มิตซูบิชิ มอเตอร์สยังไม่ประกาศราคา New Xpander แต่จะเปิดให้สัมผัสและทดลองขับคันจริงที่งานมอเตอร์โชว์ประจำปี 2565 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 มีนาคม – 3 เมษายน 2565 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี อย่างไรก็ตาม จะเปิดจองผ่านดีลเลอร์ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคมนี้ และเริ่มจำหน่ายจริงช่วงกลางเดือนเมษายน 2565 บริษัทยังแย้มด้วยว่า ผู้ที่สนใจและต้องการรถด่วนควรรีบจองก่อน เนื่องจากปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ยังส่งผลต่อการผลิตอยู่ในขณะนี้
ปิดท้ายที่ผลการดำเนินงานของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เมื่อปี 2564 เออิอิชิรายงานว่า ปีก่อนสถานการณ์ตลาดเริ่มดีขึ้นจากดีมานด์ต่างประเทศ ทำให้การผลิตและการส่งออกดีขึ้น โดยการผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น 41.3% เป็น 318,000 คัน และการส่งออกเพิ่ม 54% เป็น 285,000 คัน
ฐานผลิตมิตซูบิชิ มอเตอร์สในไทยถือเป็นฐานผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกของแบรนด์ มีกำลังผลิต 400,000 คันต่อปี และมีการส่งออกสะสมแล้ว 4 ล้านคัน เป้าหมายต่อไป บริษัทต้องการจะส่งออกสะสมให้ได้ 5 ล้านคันเร็วๆ นี้
]]>