ดูเหมือนตลาดอีวีในจีนที่แข่งกันดุเดือดเลือดพล่าน โดยเฉพาะ สงครามราคา ที่รุนแรงจนต้องมีการเซ็น MOU เพื่อยุติไม่ให้เจ็บตัวไปมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนว่าจะช่วยไม่ได้มากนัก เพราะแบรนด์อย่าง Xpeng ต้องเจอกับการขาดทุนหนักกว่าที่หลายคนคาดไว้จนหุ้นร่วงกว่า 7%
Xpeng ได้รายงานผลประกอบการประจำ Q2/2023 โดยรายได้สุทธิอยู่ที่ 5.06 พันล้านหยวนจีน (ราว 24,500 ล้านบาท) ลดลง 31% เมื่อเทียบเป็นรายปี ขาดทุนสุทธิ 2.8 พันล้านหยวน (ราว 13,000 ล้านบาท) สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขาดทุน 2.13 ล้านหยวน ซึ่งถือเป็นการขาดทุนสูงสุดนับตั้งแต่ที่ Xpeng นำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อเดือนสิงหาคม 2020
ก่อนหน้านี้ Xpeng ได้เปิดเผยว่า ใน Q2/2023 บริษัทได้ส่งมอบรถยนต์ 23,205 คัน เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสและสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม แม้ยอดส่งมอบจะสูงขึ้น แต่อัตรากำไรของรถยนต์ติดลบ 8.6% ในไตรมาสที่สอง เทียบกับบวก 9.1% ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ทั้งนี้ ผลประกอบการที่อ่อนแอของ Xpeng เป็นผลมาจาก เศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอ ทำให้ผู้บริโภคระวังการจับจ่าย ในขณะเดียวกันก็เผชิญกับ การแข่งขันที่รุนแรง ในจีนจากบริษัทชั้นนำอื่น ๆ เช่น Nio และยักษ์ใหญ่อย่าง BYD และ Tesla โดย Tesla เพิ่งลดราคารถยนต์รุ่น Y และรุ่น S และเสนอส่วนลดสินค้าคงคลังที่มีอยู่ของรุ่น S และรุ่น X ในประเทศจีน
อย่างไรก็ตาม Xpeng คาดว่าการส่งมอบรถยนต์ใน Q3/2023 จะอยู่ระหว่าง 39,000-41,000 คัน ซึ่งคิดเป็นการเติบโตประมาณ 31.9% เป็น 38.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนรายได้คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 8.5 พันล้านหยวนถึง 9 พันล้านหยวน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีต่อปีประมาณ 24.6% เป็น 31.9%
เมื่อเดือนที่ผ่านมา Xpeng เพิ่งได้รับการลงทุนจาก โฟล์คสวาเก้น บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของเยอรมันเป็นมูลค่า 700 ล้านดอลลาร์ แลกกับหุ้น 4.99% โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมกันพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเพื่อเจาะตลาดจีนโดยเฉพาะ