มู่หลาน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 13 Oct 2020 08:31:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘Disney’ เตรียม ‘ยกเครื่อง’ ธุรกิจบันเทิงเน้น ‘สตรีมมิ่ง’ https://positioningmag.com/1301249 Tue, 13 Oct 2020 04:44:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1301249 หลังจากได้ลองชิมลางฉาย ‘มู่หลาน’ ไปช่วงต้นเดือนกันยายน ซึ่งทำรายได้ไป 261 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างและค่าประชาสัมพันธ์รวมกว่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรายได้ที่ไปไม่ถึงจุดคุ้มทุนนี้ส่วนหนึ่งมาจากการระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้โรงภาพยนตร์ทั่วโลกยังไม่สามารถกลับมาเปิดบริการได้ตามปกติ ส่งผลให้ ‘ดิสนีย์’ (Disney) ตัดสินใจเลื่อนฉายหนังฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ อย่าง ‘Black Widow’ ยาวไปกลางปีหน้า

แต่เป็นที่รู้กันว่าดิสนีย์นั้นได้ตัดสินใจปล่อยมู่หลานลง ‘ดิสนีย์ พลัส’ (Disney+) แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งของตัวเองที่มีผู้ใช้กว่า 60.5 ล้านบัญชี โดยให้เช่าซื้อในราคา 29.99 เหรียญสหรัฐ หรือราว 900 บาท ซึ่งผลออกมาว่า 29% ของผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกาได้ซื้อภาพยนตร์มู่หลานหรือประมาณ 9 ล้านบัญชี นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นให้มียอดสมัครบริการ Disney+ เพิ่มขึ้นถึง 68%

Disney ยื้อไม่ไหว! ยอดตัดใจปล่อย ‘มู่หลาน’ ลงสตรีมมิ่ง หลังรายได้ลด 42%

ตรวจรายได้ “Mulan” แพ้ศึกในโรงหนัง แต่ชนะสงครามบนสตรีมมิ่ง Disney+

และเมื่อรวมผู้ใช้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งทั้งหมดชองดิสนีย์ อาทิ Disney+, ESPN +, Hulu และ Hotstar ในอินเดีย ส่งผลให้มีผู้ใช้กว่า 100 ล้านรายทั่วโลก เมื่อธุรกิจออนไลน์กลายเป็นดาวเด่นขนาดนี้ ส่งผลให้ดิสนีย์ประกาศการปรับโครงสร้างธุรกิจสื่อและความบันเทิงครั้งใหญ่โดยจะมุ่งเน้นไปที่บริการสตรีมมิ่ง

“นี่เป็นข้อพิสูจน์เพิ่มเติมว่าโมเดลที่ส่งตรงถึงผู้บริโภคไม่เพียงแต่ได้รับการตอบรับที่ดีเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญยิ่งกว่าที่เคยมีต่ออนาคตของดิสนีย์ และการเคลื่อนไหวเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลให้เนื้อหามีคุณภาพมากขึ้น แต่ยังช่วยให้บริษัท สามารถปรับปรุงความซับซ้อนขององค์กรและอาจจะลดค่าใช้จ่ายลงด้วย Trip Miller นักลงทุนจากดิสนีย์และหุ้นส่วนผู้จัดการของกองทุนป้องกันความเสี่ยง Gullane Capital Partners

ภายใต้การปรับโครงสร้างใหม่ ดิสนีย์จะสร้างกลุ่มการกระจายสื่อและความบันเทิงใหม่ ซึ่งจะรับผิดชอบการสร้างรายได้จากเนื้อหาผ่านการจัดจำหน่ายและการขายโฆษณา ซึ่งกลุ่มนี้จะนำโดย Kareem Daniel ซึ่งเคยเป็นประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์เกมและสิ่งพิมพ์ของดิสนีย์

“การปรับตัวครั้งนี้จะช่วยให้ดิสนีย์สามารถสร้างรายได้จากคอนเทนต์ที่มีความต้องการเพิ่มเติมและอาจชดเชยรายได้และกำไรที่หายไปในส่วนอื่น ๆ ของปีนี้”

อย่างไรก็ตาม แม้การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งนี้จะเป็นการประกาศครั้งใหญ่ แต่ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า Disney+ กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่ส่วนของการสร้างภาพยนตร์, การฉาย และดิสนีย์แลนด์ ต่างก็ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งได้ทำลายผลกำไรและนำไปสู่การปลดพนักงานจำนวนมาก

(Photo by Carl Court/Getty Images)

ด้าน Dan Loeb Activist Investor มองว่า ดิสนีย์ ควรระงับการจ่ายเงินปันผลประจำปีมูลค่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐอย่างถาวร และนำเงินนั้นกลับไปลงทุนใน Disney+ แทน “เรามั่นใจว่าดิสนีย์สามารถสร้างธุรกิจส่งตรงถึงผู้บริโภค ซึ่งจะทำให้รายได้จากเคเบิลทีวีและบ็อกซ์ออฟฟิศในปัจจุบันมีความหมายมากกว่าเดิม แต่ก็ต่อเมื่อบริษัทสามารถคว้าโอกาสนี้และลงทุนในเชิงรุกมากขึ้นเท่านั้น”

ทั้งนี้ ดิสนีย์ได้ตั้งเป้าว่า Disney+ จะมีสมาชิกทั่วโลก 90 ล้านคนภายในปี 2567

Source

]]>
1301249
จับตาธุรกิจ ‘โรงหนัง’ หลัง ‘หนังฟอร์มยักษ์’ เลื่อนฉายอีกระลอก https://positioningmag.com/1296863 Mon, 14 Sep 2020 12:00:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1296863 เพิ่งกลับมาให้บริการได้เมื่อเดือนมิถุนายนสำหรับ ‘โรงภาพยนตร์’ ของประเทศไทย ซึ่งไม่ได้แค่ถูกกดดันจากเรื่องพื้นที่ที่ถูก ‘จำกัด’ แต่ภาพยนตร์ใหม่ ๆ ที่เป็นเหมือน ‘แม่เหล็ก’ ดึงดูดให้ผู้บริโภคยอมออกจากบ้านมารับชมภาพยนตร์ก็ยังไม่มี และเมื่อเดือน ‘กันยายน’ นี้ก็เพิ่งจะมีภาพยนตร์แม่เหล็กเข้าฉายถึง 2 เรื่อง ได้แก่ ‘TENET’ และ ‘มู่หลาน’ ซึ่งแม้ว่าในไทยจะได้รับการตอบรับที่ดี แต่ทั่วโลกไม่ได้ดีตาม ซึ่งนั่นอาจส่งผลต่อความมั่นใจของค่ายหนังที่จะส่งมาลงจอจากนี้

ในช่วงที่โรงภาพยนตร์ของไทยได้เปิดให้บริการอีกครั้ง หลายค่ายต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ลูกค้าจะเข้าหรือไม่เข้าก็ขึ้นกับหน้าหนัง” จากตอนแรกที่คาดว่าจะเริ่มมีหนังฟอร์มยักษ์มาโกยลูกค้าได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม แต่กลายเป็นว่าเมื่อการระบาดของทั่วโลกยังไม่สู้ดีเหมือนไทย บรรดาค่ายหนังจึงต้องเลื่อนการฉายหนังฟอร์มยักษ์ออกไปก่อน ที่เห็นชัด ๆ ก็คือ ‘TENET’ และ ‘มู่หลาน’ ที่เพิ่งได้ฉายไปเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเลื่อนไปอีกเป็นเดือน ดังนั้น โรงภาพยนตร์ไทยจึงต้องขนหนังเก่า ๆ มาฉายเรียกคนไปก่อน

และหลังจากที่ฉายภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ทั้ง 2 เรื่องที่มีทุนสร้างกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐไปได้ประมาณ 2 สัปดาห์ ทางโรงภาพยนตร์อาจจะต้องกุมขมับอีกรอบ เพราะแม้รายได้ในไทยจะทำได้ค่อนข้างดี อย่างมู่หลานก็มีโอกาสแตะ 100 ล้านบาท แต่ภาพรวมทั่วโลกนั้นไม่ได้ดีอย่างที่ดิสนีย์คาด เพราะสามารถทำรายได้เพียง 37.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไม่ใช่แค่พิษ COVID-19 แต่ะยังมีกระแสบอยคอตพ่วงไปด้วย ส่วน TENET พึ่งทำรายได้ผ่าน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

หากพิจารณาถึงทุนสร้างและค่าโปรโมตของภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่อง การจะทำให้คุ้มทุนหรือมีกำไรต้องทำรายได้ให้เกิน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐถึงจะคุ้มทุน ซึ่งถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ การจะทำรายได้ให้ทะลุ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐมีความเป็นไปได้แน่นอน แต่เพราะข้อจัดกัดของโรงภาพยนตร์ที่จุคนได้เพียงครึ่งเดียว และโรงภาพยนตร์ในบางประเทศก็ยังเปิดได้ไม่ครบ อย่างในอเมริกายังเหลืออีก 30% ที่ยังไม่เปิด ส่งผลให้ค่ายวอร์เนอร์บราเธอร์สเลือกที่จะเลื่อนฉาย ‘Wonder Woman 1984’ จากเดือนตุลาคมไปเป็นธันวาคมแทน หลังจากประเมินรายได้ของ TENET

ส่งผลให้ในช่วง 8 สัปดาห์จากนี้ จะไม่มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เข้าฉายอีก โดยเรื่องที่จะได้เห็นเร็วสุดก็คือ ‘Black Widow’ และ ‘007 No Time To Die’ ที่จะฉายในเดือนพฤศจิกายน!

จากตัวเลขรายได้ของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ชิมลางฉายไปไม่ได้เป็นไปตามเป้านั้น นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า อาจเป็นเรื่องของความ ‘มั่นใจ’ ของผู้บริโภคที่ยัง ‘กลัว’ แม้โรงภาพยนตร์ทั่วโลกจะเพิ่มมาตรการด้านสุขอนามัยที่ดีขึ้นก็ตาม รวมถึงข้อจำกัดด้านจำนวนความจุต่าง ๆ ที่ยังไม่เต็มที่ ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อรายได้ของโรงภาพยนตร์แล้ว หุ้นของธุรกิจก็ปรับลดลงด้วย อย่างหุ้นของโรงภาพยนตร์สหรัฐฯ อย่าง AMC ลดลง 2.5% ส่วน Cinemark ลดลง 5.5%

จากนี้อาจจะต้องจับตาดูว่าภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่เหลือจะเลื่อนฉายยาวไปถึงปีหน้าหรือไม่ หรือโลกจะมีวัคซีนแก้ COVID-19 ได้ทันปีนี้หรือเปล่า ไม่เช่นนั้น อุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ที่คาดว่าจะฟื้นตัวในไตรมาส 4 อาจจะเป็นได้เพียงความฝันก็เป็นได้

Source

Source

Source

]]>
1296863
Disney ยื้อไม่ไหว! ยอดตัดใจปล่อย ‘มู่หลาน’ ลงสตรีมมิ่ง หลังรายได้ลด 42% https://positioningmag.com/1291378 Thu, 06 Aug 2020 10:26:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1291378 เรียกได้ว่าหักปากกานักเคราะห์เลยทีเดียว หลังจากที่ ‘ดิสนีย์’ (Disney) ประกาศที่จะนำ ‘มู่หลาน’ (Mulan) ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของดิสนีย์ที่ลงทุนกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลง ‘สตรีมมิ่ง’ ในประเทศที่ให้บริการ ‘ดิสนีย์ พลัส’ (Disney +) ส่วนประเทศที่ไม่มีก็จะได้ฉายปกติ อย่างประเทศไทยก็เคาะแล้วว่าวันที่ 4 กันยายนนี้แน่นอน ว่าแต่ทำไมดิสนีย์ถึงได้ยอมที่จะฉายมู่หลานในสตรีมมิ่ง ไปหาคำตอบกัน

ตลาดออฟไลน์ฉุดรายได้ ความหวังเดียวคือ ออนไลน์

ดิสนีย์ต้องเจ็บหนักจากวิกฤติ COVID-19 แค่เฉพาะช่วงไตรมาส 3 ที่สิ้นสุดเมื่อเดือน 27 มิถุนายน ดิสนีย์สูญเงินถึง 4.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการปิดตัวของสวนสนุก Disneyland ซึ่งรายได้ส่วนนี้ลดลงถึง 85% อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากการเลื่อนฉายภาพยนตร์อีก ส่งผลให้รายได้รวมลดลง 42% อยู่ที่ 1.18 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบเป็นรายปี

แม้ในส่วนของรายได้ออฟไลน์จะเจ็บหนัก แต่ในส่วนของ ‘สตรีมมิ่ง’ กลับไปได้สวย โดยหลังจากที่เดือนพฤศจิกายน 2562 ได้เปิดตัวบริการสตรีมมิ่งดิสนีย์ พลัสในสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นขยายไปสู่ตลาดอื่น ๆ รวมถึงสหราชอาณาจักร จนปัจจุบันสามารถโดกยผู้ใช้ได้ถึงกว่า 60.5 ล้านบัญชี และเมื่อรวมผู้ใช้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งทั้งหมด อาทิ ESPN +, Hulu และ Hotstar ในอินเดีย ส่งผลให้มีผู้ใช้กว่า 100 ล้านรายทั่วโลก และล่าสุด ดิสนีย์ได้เล็งเพิ่มบริการใหม่ ‘สตาร์’ (Star) แพลตฟอร์มที่คล้ายกับ Hulu แต่จะเน้นเจาะตลาดนอกสหรัฐฯ

ลงมู่หลานในสตรีมแต่ต้องจ่ายเพิ่มอีก 900 บาท

สำหรับมู่หลานที่ Bob Chapek ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวว่าขณะนี้ Disney มีแผนที่จะปล่อยลงใน Disney + นั้นไม่ได้ปล่อยให้ดูฟรี ๆ แต่จะเป็นการเข้าถึงแบบ ‘Premier Access’ ราคา 30 เหรียญสหรัฐ หรือราว 900 บาท ภายในเดือนกันยายนนี้ ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ที่ไม่มีบริการ Disney + จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ปกติในเดือนเดียวกัน ทั้งนี้ การตัดสินใจดังกล่าวเป็นเพราะความไม่แน่นอนว่าเครือโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ จะกลับมาเปิดอีกครั้งได้เมื่อใด

ทั้งนี้ Paolo Pescatore นักวิเคราะห์จาก PP Foresight กล่าวว่า จำนวนสมาชิกสตรีมมิ่งของดิสนีย์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดนั้นน่าประทับใจ แต่ถ้าจะแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Netflix หรือ Amazon Prime ก็ต้องเพิ่มรายการและเนื้อหาใหม่ ๆ

“จะต้องดำเนินการส่งเสริมบริการวิดีโอสตรีมมิ่งที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากลักษณะการแข่งขันของตลาดนี้มีบริการมากเกินไปที่จะไล่ตามเงินดอลลาร์ที่น้อยเกินไป” เขากล่าว

สตรีมมิ่งเป็นโฉมงามหรืออสูรกันแน่?

เพราะแม้ว่าบริการสตรีมมิ่งจะมีผู้สมัครสมาชิกเพิ่มขึ้น แต่ธุรกิจสตรีมมิ่งของดิสนีย์ยังไม่สามารถสร้างผลกำไร โดย Nicholas Hyett นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ของ Hargreaves Lansdown กล่าว ส่วนหนึ่งของธุรกิจขาดทุนจากการดำเนินงานประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นต้นทุนดังกล่าวดูจะเป็น อสูร มากกว่า โฉมงาม

“เป็นเรื่องที่ดีที่ Disney + และเเพลตฟอร์มทั้ง 3 มีการเติบโตที่ดี แต่ความจริงคือ รายได้จากสตรีมมิ่งยังไม่สามารถครอบคลุมต้นทุนได้”

Source

]]>
1291378
2 เหตุผลที่ ‘มู่หลาน’ จะไม่ลงสตรีมมิ่งจนกว่าจะฉายโรง แม้จะถูกเลื่อนแบบไม่มีกำหนดก็ตาม https://positioningmag.com/1289660 Sun, 26 Jul 2020 09:41:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1289660 ทั้ง ‘TENET’ ของ Warner Bros. และ ‘มู่หลาน’ ของ Disney ต้องเลื่อนฉายหลายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่การแพร่ระบาดของ Covid-19 ที่แพร่กระจายไปทั่วโลกตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จนล่าสุด ภาพพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องก็ถูกเลื่อนฉายไปอย่างไม่มีกำหนด แต่หลายคนคงสงสัย ทั้งที่ 2 สตูดิโอต่างมีแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของตัวเอง ทำไมไม่ฉายบนแพลตฟอร์ม ทั้งที่ผ่านมาภาพยนตร์อนิเมชั่น ‘Trolls World Tour’ ตัดสินใจฉายบนแพลตฟอร์มและนั่นก็ได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี และนี่คือ 2 เหตุผลที่ไม่สามารถทำได้

มากกว่าทุนสร้างที่มหาศาล

ภาพยนตร์อย่าง ‘TENET’ และ ‘มู่หลาน’ ถูกสร้างเพื่อเป็นภาพยนตร์ยอดนิยมระดับโลก ค่ายมีค่าใช้จ่ายหลายร้อยล้านในการผลิต อย่าง ‘มู่หลาน’ ของดิสนีย์ใช้ทุนสร้างถึง 200 ล้านดอลลาร์ในการผลิตเพียงอย่างเดียว และจากนั้นสตูดิโอก็ลงทุนทั้งเงินและเวลาเพื่อให้แน่ใจว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาและจีนซึ่งเป็นตลาดภาพยนตร์อันดับ 2 ของโลก แต่ ‘Trolls World Tour’ ไม่ได้ถูกคาดหวังไว้เช่นนั้น และดีไม่ดี การฉายโรงอาจจะประสบกับความล้มเหลวมากกว่า

ดังนั้น มันเป็นอะไรที่มากกว่าแค่ทุนสร้าง เพราะมันเป็นเรื่องของวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมที่มาพร้อมกัน หากภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องไม่ได้การฉายบนภาพยนตร์ ไม่ใช่แค่กำไรที่จะลดลง แต่ยังสูญเสียศักยภาพของการฉายภาพยนตร์ และมั่นอาจสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราไปดูหนังได้ตลอดกาล ดังนั้น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หนังเลื่อนออกไปซ้ำแล้วซ้ำอีก

Paul Dergarabedian นักวิเคราะห์สื่ออาวุโสของ Comscore กล่าวว่า “มันเป็นเรื่องหนึ่งถ้าภาพยนตร์ขนาดเล็กหรืออิสระเข้าสู่ระบบดิจิทัล แต่ภาพยนตร์เรื่องบัสเตอร์แตกต่างไป ถ้าพวกเขาข้ามโรงภาพยนตร์มันจะสร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมที่มีมานานหลายทศวรรษ”

ความสัมพันธ์ของสตูดิโอและโรงภาพยนตร์

สตูดิโอต้องรักษาความสัมพันธ์กับเจ้าของโรงภาพยนตร์ ซึ่งสร้างรายได้ให้อุตสาหกรรมกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ดังนั้นจึงอาจไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่สตูดิโอจะตัดความสำพันธ์กับโรงภาพยนตร์ทิ้ง เมื่อมีทางเลือกอย่างสตรีมมิ่ง อย่างไรก็ตาม หากโรงภาพยนตร์ต้องปิดยาวถึงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว อาจเป็นไปได้ที่สตูดิโอจะตัดสินใจที่จะปล่อยภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ฉายบนสตรีมมิ่ง

ดังนั้น นี่คือเหตุผลที่สตูดิโอและสตรีมมิ่ง เช่น Netflix ต้องรักษาเวลากว่าที่จะนำภาพยนตร์ที่เข้าฉายในโรง ออกมานำเสนอบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ หาก ‘TENET’ ได้ฉายลงบนสตรีมมิ่ง แน่นอนว่าจะต้องได้รับการตอบรับอย่างดี ด้วยชื่อผู้กำกับ ‘คริสโตเฟอร์ โนแลน’ อย่างไรก็ตาม โนเเลนอยากให้ฉายภาพยนตร์เขาบนโรงภาพยนตร์ก่อน เพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดของผู้ชม

Source

]]>
1289660