วัคซีนโควิด – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sat, 23 Apr 2022 02:38:56 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย จะหยุดผลิต ‘วัคซีนโควิด’ ล็อตใหม่ หลังกำลังผลิตล้นทั่วโลก https://positioningmag.com/1382486 Fri, 22 Apr 2022 13:33:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1382486 สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย (Serum Institute of India) ผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ที่สุดของโลกและเป็นผู้จัดจำหน่ายวัคซีนป้องกันโควิด-19 รายสำคัญให้กับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เตรียมหยุดการผลิตวัคซีนล็อตใหม่ หลังมียอดสต็อกเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านโดส ท่ามกลางภาวะการผลิตวัคซีนที่เหลือล้นทั่วโลก 

เรามีสต็อกอยู่ราว 200 ล้านโดส เเละต้องการจะปิดการผลิตในเดือนธันวาคม” Adar Poonawalla ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสถาบันเซรุ่มฯกล่าว

โดยเขาเเสดงความกังวลถึง การหมดอายุของวัคซีนเเละเสนอให้บริจาคฟรีกับใครก็ตามที่ต้องการใช้

ความเคลื่อนไหวของ Serum Institute of India สะท้อนให้เห็นถึงปริมาณการผลิตวัคซีนที่ล้นเกิน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ต้องการอย่างมากเพื่อต่อสู้กับโรคระบาด

บรรดาผู้ผลิตวัคซีนทุ่มทุนเพิ่มกำลังการผลิตจำนวนมากในปีที่ผ่านมา เเต่ปัจจุบันประเทศส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิดครอบคลุมเเล้ว พร้อมปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับไวรัสทั่วโลก (ยกเว้นจีนและฮ่องกง) ทำให้ความเร่งด่วนในการฉีดเข็มบูสเตอร์ก็ลดลงตามไปด้วย

โดยเฉพาะในอินเดีย ที่เคยมีการระบาดหนัก จนถึงขั้นสั่งห้ามส่งออกวัคซีนที่ผลิตในประเทศ เพื่อให้แน่ใจว่ามีการผลิตที่เพียงพอสำหรับประชากรในท้องถิ่น เเต่ตอนนี้อัตราการฉีดวัคซีนอยู่ในระดับสูงเเล้วเเละเปิดให้ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปสามารถฉีดเข็มที่ 3 ได้

Serum Institute of India ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์หลักของโครงการ Covax จัดหาวัคซีนให้กับประเทศกำลังพัฒนา ที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลก เผยว่า กำลังร่างสนธิสัญญาเกี่ยวกับโรคระบาด เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนวัคซีนอย่างเสรี และประสานงานเเลกเปลี่ยนทรัพยากรที่จำเป็น อย่างวัตถุดิบสำหรับการผลิตวัคซีนเพื่อรับมือในวิกฤติครั้งต่อไป

โดยได้อ้างถึง มาตรการกีดกันการเข้าถึงวัคซีนของประเทศร่ำรวยอื่นๆ ที่นำไปสู่การขาดแคลนวัตถุดิบอันเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการผลิตวัคซีนในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ได้ 

 

ที่มา : Bloomberg 

]]>
1382486
WHO เดินหน้าเผยแพร่ ‘เทคโนโลยีวัคซีนโควิด’ สู่ประเทศยากจนให้ผลิตได้เอง https://positioningmag.com/1375555 Sun, 27 Feb 2022 11:13:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1375555 องค์การอนามัยโลก (WHO) กำลังสร้างศูนย์ฝึกอบรมระดับโลก เพื่อช่วยประเทศยากจนในการผลิตวัคซีนแอนติบอดี และการรักษามะเร็งโดยใช้เทคโนโลยี messenger RNA หรือ mRNA ที่ใช้ในการผลิตวัคซีน COVID-19

Tedros Adhanom Ghebreyesus ผู้อำนวยการใหญ่ของ WHO กล่าวว่า WHO กำลังสร้างศูนย์ฝึกอบรมระดับโลกที่แบ่งปันเทคโนโลยี mRNA ที่พัฒนาโดย WHO และพันธมิตรในแอฟริกาใต้ รวมถึงการช่วยเหลือจาก Moderna Inc. โดยศูนย์กลางแห่งใหม่นี้จะตั้งอยู่ในเกาหลีใต้

“วัคซีนได้ช่วยเปลี่ยนแนวทางของการระบาดใหญ่ของ COVID-19 แต่ชัยชนะทางวิทยาศาสตร์นี้กลับถูกทำลายลงด้วยความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงเครื่องมือช่วยชีวิตเหล่านี้” Tedros Adhanom Ghebreyesus กล่าว

องค์การอนามัยโลกกล่าวว่าเทคโนโลยีที่ใช้ร่วมกันนี้หวังว่าจะไม่เพียงส่งผลในวัคซีนป้องกัน COVID-19 เท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ในการผลิตแอนติบอดี อินซูลิน และการรักษาโรคต่าง ๆ รวมถึงมาเลเรียและมะเร็ง

อย่างไรก็ตาม ดร. โสมยา สวามินาธาน หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ WHO คาดการณ์ว่า ความพยายามในการสร้างวัคซีนของโมเดอร์นาขึ้นมาใหม่จะแล้วเสร็จช่วงปลายปีหน้าหรือกระทั่งปี 2024 แต่กล่าวว่าไทม์ไลน์อาจสั้นลงได้มากหากผู้ผลิตตกลงที่จะช่วย

ที่ผ่านมา วัคซีนนั้นถูกจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ ซึ่งส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการจัดหาประเทศร่ำรวยมากกว่าที่ยากจนทั้งในด้านการขายและการผลิต โดยทั้ง Moderna และ Pfizer-BioNTech ผู้ผลิตวัคซีน mRNA COVID-19 ที่ได้รับอนุญาตทั้งสองรายการ ปฏิเสธที่จะแบ่งปันสูตรวัคซีนหรือความรู้ทางเทคโนโลยีกับ WHO และพันธมิตร

ทั้งนี้ ความเหลื่อมล้ำระดับโลกในการเข้าถึงวัคซีน COVID-19 นั้นมหาศาล ปัจจุบันแอฟริกาผลิตวัคซีนป้องกัน COVID-19 เพียง 1% ของโลก และมีเพียง 11% ของประชากรทั้งหมดที่ได้รับวัคซีน ในทางตรงกันข้าม ประเทศในยุโรปอย่างโปรตุเกสมีประชากร 84% ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน และมากกว่า 59% ของคนในประเทศได้รับการฉีดวัคซีนกระตุ้น

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว WHO กล่าวว่า 6 ประเทศในแอฟริกา ได้แก่ อียิปต์ เคนยา ไนจีเรีย เซเนกัล แอฟริกาใต้ และตูนิเซีย จะได้รับความรู้และความรู้ทางเทคโนโลยีในการผลิตวัคซีน mRNA COVID-19 และ อีก 5 ประเทศจะได้รับการสนับสนุนจากศูนย์กลางแอฟริกาใต้ ได้แก่ บังกลาเทศ อินโดนีเซีย ปากีสถาน เซอร์เบีย และเวียดนาม

Source

]]>
1375555
ผลวิจัยชี้วัคซีน ‘Moderna’ 2 โดสเสี่ยงต่ออาการ ‘หัวใจอักเสบ’ มากกว่า ‘Pfizer’ แต่หายได้ภายใน 37 สัปดาห์ https://positioningmag.com/1372979 Sun, 06 Feb 2022 05:45:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1372979 ผลวิจัยเปิดเผยว่า วัคซีนป้องกัน COVID-19 ของ Moderna จำนวน 2 โดส มีความเสี่ยงต่อการเกิดการอักเสบของหัวใจมากกว่าของ Pfizer แต่คุณสมบัติการป้องกันเชื้อ COVID-19 ของวัคซีนทั้งสองบริษัทมีมากกว่าความเสี่ยง ตามรายงานของคณะผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค

อาการ Myocarditis เป็นอาการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจที่อาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรง ตามที่ National Heart, Lung and Blood Institute แม้ว่ากล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจะพบได้บ่อยที่สุดหลังการติดเชื้อไวรัส แต่ CDC ได้พบความเชื่อมโยงระหว่างการอักเสบของหัวใจกับการฉีดวัคซีนด้วยการฉีด Moderna และ Pfizer

โดยกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดวัคซีนโควิดคือ เด็กชายวัยรุ่นอายุ 18-39 ปี หลังจากฉีดวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ Moderna และ Pfizer ใช้ โดยอาการจะเกิดขึ้นภายใน 2-3 วันหลังจากฉีดวัคซีน เช่น อาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก ใจสั่น และเมื่อยล้า ทั้งนี้ ทาง CDC กำลังรวบรวมข้อมูลจากองค์กรดูแลสุขภาพ 9 แห่งใน 8 รัฐ เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม

ในทุก ๆ 1 ล้านวินาทีที่มีการฉีดวัคซีนพบว่า ผู้ที่รับวัคซีน Moderna มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบประมาณ 10.7 ราย และพบเกิน 21.9 รายหลังจากฉีดเข็มที่ 2 ในขณะที่ผู้หญิงมีผู้ป่วยเพิ่มเติม 1.6 ราย อย่างไรก็ตาม ไม่มีความแตกต่างในอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ได้รับการฉีดยาของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ผลการศึกษาระบุว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในโรงพยาบาลเพียงวันเดียวและไม่มีใครเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู

ด้านหน่วยงานด้านสาธารณสุขในออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา พบว่า อัตราของกล้ามเนื้อหัวใจหัวใจอักเสบในผู้ชายอายุ 18-24 ปีเพิ่มขึ้น 5 เท่า หลังการฉีดวัคซีน Moderna ครั้งที่ 2 เมื่อเทียบกับของ Pfizer

ดร.ซาร่า โอลิเวอร์ เจ้าหน้าที่ของ CDC กล่าวว่า คาดว่าจะมีผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเพิ่มขึ้นหลังจากวัคซีนของ Moderna แต่การฉีดวัคซีนดังกล่าวจะช่วยป้องกันการรักษาในโรงพยาบาลด้วยโรค COVID-19 ได้มากกว่าวัคซีนของ Pfizer ดังนั้น ประโยชน์ที่ได้รับสำหรับวัคซีน mRNA มีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

ในประเทศแคนาดา สหราชอาณาจักร และประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศได้แนะนำวัคซีนของ Pfizer มากกว่าวัคซีนของ Moderna ในกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยงสูง โดยวัคซีนของ Moderna ได้รับการอนุมัติให้ใช้กับผู้ใหญ่ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป วัคซีนของ Pfizer ได้รับการอนุมัติอย่างสมบูรณ์สำหรับผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป และได้รับอนุญาตในกรณีฉุกเฉินสำหรับเด็กอายุ 5 ถึง 15 ปี

“อย่างน้อยที่สุด ผู้ชายที่อายุน้อยควรแนะนำให้ฉีด Pfizer มากกว่ากับ Moderna”

Photo : Shutterstock

อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังจากฉีดวัคซีนโควิดสามารถฟื้นตัวเต็มที่ และส่วนใหญ่รายงานว่าไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของพวกเขา โดยพบว่า 81% มีโอกาสที่จะหายดีภายใน 37 สัปดาห์หลังเกิดอาการ อีก 15% ดีขึ้น ในขณะที่ 1% ไม่ดีขึ้น แต่ยังไม่พบการเสียชีวิตจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังการฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตาม แพทย์แนะนำว่าผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักเป็นเวลา 2-3 เดือนเพื่อให้แน่ใจว่าหัวใจจะฟื้นตัวเต็มที่

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์เปิดเผยว่า มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากการติดเชื้อ COVID-19 มากกว่าเกิดจากการฉีดวัคซีนถึง 100 เท่า

“การมุ่งเน้นไปที่วัคซีนและกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบมีอันตรายอยู่บ้าง แต่การเกิดอาการดังกล่าวจากการติดเชื้อ COVID-19 อาจถึงขั้นร้ายแรงถึงชีวิตได้” ดร.คามิลล์ คอตตอน ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ กล่าว

Source

]]>
1372979
สิงคโปร์ เริ่มใช้มาตรการคุมเข้ม เเรงงานที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนโควิด เสี่ยง ‘ตกงาน’ https://positioningmag.com/1370513 Sun, 16 Jan 2022 10:26:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1370513 เเรงงานในสิงคโปร์ที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนโควิด กำลังจะตกอยู่บนความเสี่ยงที่จะตกงาน หลังรัฐบาลเริ่มใช้มาตรการคุมเข้มที่ประกาศใช้ตั้งเเต่วันที่ 15 .. เป็นต้นไป

Bloomberg รายงานว่า ช่วงเวลาผ่อนปรนที่รัฐเคยอนุญาตให้ผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 หรือผู้ที่ตรวจพบเชื้อเป็นลบสามารถเข้าไปในที่ทำงานได้จะถูกยกเลิก ตั้งเเต่วันที่ 15 ..64

โดยนายจ้างมีสิทธิ์ที่จะโยกย้ายพนักงานที่ไม่ฉีดวัคซีนไปทำงานที่ทำได้จากบ้าน หรือให้พักงานโดยไม่จ่ายค่าจ้าง  หรือทางเลือกสุดท้ายคือให้ออกจากงาน หากพวกเขาไม่สามารถที่จะทำงานโดยไม่เข้าออฟฟิศได้

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนด้วยเหตุผลทางการแพทย์ จะยังคงได้รับอนุญาตให้อยู่ในสำนักงานได้ เเต่นายจ้างควรพิจารณาอนุญาตให้พวกเขาทำงานจากที่บ้านหากสามารถทำได้ และไม่ควรมีผลต่อการประเมินประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขาด้วย

สิงคโปร์ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูงที่สุดในโลกที่ 87% ของประชากรทั้งหมด และได้ใช้แนวทางปฏิบัติที่เข้มงวดกับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน

โดยมีการห้ามไม่ให้เข้าใช้บริการในร้านอาหาร หรือเข้าไปซื้อของในห้างสรรพสินค้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงการแพร่ระบาด ที่จะส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ เเละใช้นโยบายอยู่ร่วมกับโควิด’ เปิดให้ผู้คนใช้ชีวิตตามเป็นปกติแบบค่อยเป็นค่อยไป

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสิงคโปร์ ออกกฎเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลกับผู้ป่วยโควิด-19 ที่เลือกไม่ฉีดวัคซีน หลังยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่กลับมาพุ่งสูง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มที่ยังไม่ฉีดวัคซีน

ด้านเอกชนสหรัฐฯ ก็มีความเคลื่อนไหวที่เข้มงวดมากขึ้น อย่าง Citigroup สถาบันการเงินรายใหญ่ของโลก ที่ประกาศใช้มาตรการเข้มงวด ‘no-jab , no job’ เลิกจ้างพนักงานที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนโควิด ตามนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้พนักงานทุกคนที่ทำงานภายใต้โครงการที่มีการทำสัญญากับรัฐ จะต้องฉีดวัคซีนโควิดให้ครบโดส ท่ามกลางความเสี่ยงของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว 

 

ที่มา : Bloomberg

]]>
1370513
Citigroup ใช้ไม้เเข็ง ‘no-jab , no job’ เลิกจ้างพนักงานที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนโควิด https://positioningmag.com/1369833 Sun, 09 Jan 2022 10:07:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1369833 Citigroup สถาบันการเงินรายใหญ่ของโลก ใช้มาตรการเข้มงวด ‘no-jab , no job’ เลิกจ้างพนักงานที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนโควิด

พนักงาน Citigroup ในสหรัฐอเมริกาที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ภายในวันที่ 14 .. จะต้องถูกพักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง เเละจะถูกยุติสัญญาการจ้างงานภายในสิ้นเดือนนี้

โดยนับเป็นคำเตือนครั้งสุดท้ายหลังบริษัทเริ่มใช้นโยบายบังคับฉีดวัคซีนมาตั้งแต่เดือนต..ปีที่แล้ว อีกทั้งยังระบุให้เป็นข้อกำหนดในการจ้างพนักงานใหม่ด้วย

Citigroup เป็นสถาบันการเงินชั้นนำในวอลล์สตรีทแห่งแรกที่ใช้มาตรการ “no-jab, no job” หรือไม่ฉีดก็ไม่มีงานขณะที่ธนาคารอื่นๆ อย่าง Goldman Sachs , Morgan Stanley และ JPMorgan เเม้จะมีมาตรการเรื่องวัคซีน อย่างการให้พนักงานที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนทำงานจากที่บ้าน แต่ยังไม่มีถึงขั้นไล่ออก 

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อุตสาหกรรมการเงิน กำลังพิจารณาหนทางให้พนักงานสามารถกลับเข้าทำงานในสำนักงานได้อย่างปลอดภัย ท่ามกลางความเสี่ยงของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว 

ก่อนหน้านี้ เอกชนใหญ่รายใหญ่ในสหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการวัคซีนภาพบังคับมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง Google และ United Airlines ซึ่งก็มีระดับความเข้มงวดที่แตกต่างกันไป

ปัจจุบันมีพนักงานของ Citigroup กว่า 90% เข้ารับการวัคซีนโควิดเเล้ว ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยบริษัทได้พิจารณาข้อยกเว้นทางการแพทย์ให้พนักงานบางรายที่ไม่อาจเข้ารับวัคซีนได้เป็นกรณีพิเศษ

ในประกาศของ Citigroup ระบุว่า ธนาคารจะปฏิบัติตามนโยบายของการบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำหนดให้พนักงานทุกคนที่ทำงานภายใต้โครงการที่มีการทำสัญญากับรัฐจะต้องฉีดวัคซีนโควิดให้ครบโดส เนื่องจากหน่วยงานภาครัฐถือเป็นลูกค้ารายใหญ่และสำคัญ

หากคุณไม่ได้รับการฉีดวัคซีน เราขอแนะนำให้คุณรับการฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุด

การฉีดวัคซีนภาคบังคับ กลายเป็นประเด็นที่สร้างความแตกแยกในสหรัฐฯ เช่นเดียวกับในหลายประเทศทั่วโลก หลังจากมีกระเเสต่อต้านอย่างรุนแรงเเละมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงข้อบังคับของอำนาจรัฐบาลและภาคธุรกิจ ที่ถูกมองว่าละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ขณะฝ่ายที่สนับสนุนก็มองว่าการฉีดวัคซีนโควิดนั้น ถือการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมเพื่อหยุดโรคระบาด

 

ที่มา : Reuters 

 

 

]]>
1369833
‘Google’ ออกกฎใหม่สั่ง ‘พักงาน’ หรือ ‘ไล่ออก’ หากพนักงานไม่ฉีดวัคซีนโควิด https://positioningmag.com/1367693 Sun, 19 Dec 2021 06:10:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1367693 แม้บริษัท Tech Company ส่วนใหญ่จะชะลอแผนการกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ แต่ Google ก็พร้อมที่จะให้พนักงานสามารถกลับเข้าไปทำงาน แต่ได้ออกกฎใหม่ให้พนักงานต้องฉีดวัคซีน COVID-19 ไม่งั้นอาจ ตกงาน ได้ ซึ่งกฎดังกล่าวเป็นผลมาจากคำสั่งของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่พยายามผลักดันการฉีดวัคซีน

Google ได้ออกจดหมายถึงพนักงานว่าด้วยเรื่องการฉีดวัคซีน COVID-19 ว่าถ้าใครก็ตามที่ไม่ปฏิบัติตามนโยบายการฉีดวัคซีน พวกเขามีโอกาสจะถูก หักเงินเดือน หรือ ไล่ออก ในที่สุด โดยพนักงานมีเวลาถึงวันที่ 3 ธันวาคมในการอัปโหลดหรือสแดงหลักฐานสถานะการฉีดวัคซีน หรือแสดงหลักฐานการขอยกเว้นเนื้องจากเหตุผลทางการแพทย์หรือศาสนา

โดย Google ระบุว่า หลังจากวันที่ 3 บริษัทจะเริ่มติดต่อพนักงานที่ไม่ได้แจ้งสถานะของพวกเขา หรือไม่ได้รับการฉีดวัคซีน เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ได้รับอนุมัติคำขอยกเว้น โดยเอกสารดังกล่าวระบุว่า พนักงานที่ไม่ปฏิบัติตามกฎการฉีดวัคซีนภายในวันที่ 18 มกราคมจะถูกกำหนดให้ พักงานเป็นเวลา 30 วัน หลังจากนั้นบริษัทจะให้พวกเขา ลาพักร้อนส่วนตัวโดยไม่ได้รับค่าจ้างเป็นเวลาสูงสุด 6 เดือน ตามด้วยการ เลิกจ้าง

“ข้อกำหนดในการฉีดวัคซีนของเราเป็นหนึ่งในวิธีที่สำคัญที่สุดที่เราจะสามารถปกป้องพนักงานของเราให้ปลอดภัยและให้บริการของเราทำงานต่อไป” โฆษกของ Google กล่าวในแถลงการณ์

ปัจจุบัน Google ต้องการให้พนักงานเข้าออฟฟิศอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ ในช่วงปีใหม่นี้ และขอให้พนักงานมากกว่า 150,000 คนอัปโหลดสถานะการฉีดวัคซีนไปยังระบบภายในของตน ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานที่สำนักงานหรือไม่ก็ตาม และบริษัทระบุว่ามีแผนที่จะปฏิบัติตามคำสั่งผู้บริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน

โดย ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้สั่งให้บริษัทในสหรัฐฯ ที่มีคนงาน 100 คนขึ้นไปตรวจสอบให้แน่ใจว่าพนักงานของพวกเขาได้รับการฉีดวัคซีนอย่างครบถ้วนหรือได้รับการทดสอบสำหรับ COVID-19 อย่างสม่ำเสมอภายในวันที่ 18 มกราคม

“ใครก็ตามที่เข้ามาในอาคารของ Google จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนอย่างครบถ้วน หรือมีที่พักที่ได้รับอนุญาตซึ่งอนุญาตให้พวกเขาทำงานหรือเข้ามาในสถานที่ได้” บริษัทกล่าว

Source

]]>
1367693
WHO เตือนประเทศร่ำรวย อย่า ‘กักตุนวัคซีน’ ฉีดกระตุ้นสู้โอมิครอน กระทบประเทศยากจน https://positioningmag.com/1366359 Fri, 10 Dec 2021 11:23:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1366359 องค์การอนามัยโลก เตือนเหล่าประเทศร่ำรวย อย่า ‘กักตุนวัคซีนโควิด’ สำหรับฉีดกระตุ้นเพื่อสกัดสายพันธุ์โอมิครอน เพราะจะส่งผลไปยังประเทศยากจนที่ยังมีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ

ประเทศตะวันตกกำลังเริ่มออกมาตรการฉีดวัคซีน ‘เข็มกระตุ้น’ หรือ booster shots โดยมุ่งไปที่ประชนชนกลุ่มเสี่ยง
ทั้งผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ แต่ความน่ากังวลของโอมิครอนที่มีการเเพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ทำให้บางประเทศเริ่มขยายการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ยังประชากรกลุ่มอื่นๆ ด้วย

ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้มีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น สำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ หรือผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแบบเชื้อตาย (Inactivated Vaccine)

Kate O’Brien ผู้อำนวยการด้านวัคซีนของ WHO กล่าวว่า ในช่วงที่เรากำลังมุ่งหน้าไปสู่สถานการณ์ใดก็ตาม
ที่กำลังจะเกิดขึ้นเกี่ยวกับโอมิครอน มีความเสี่ยงที่อุปทานของวัคซีนทั่วโลกจะกลับไปสู่ประเทศรายได้สูงที่กักตุนวัคซีนไว้อีกครั้ง ซึ่งนั้นจะไม่เป็นผลดีต่อการป้องกันโรคระบาด เว้นแต่ว่าจะมีการกระจายวัคซีนไปยังทุกประเทศจริงๆ

ปัจจุบันวัคซีนโควิดที่มีอยู่ ประสบผลสำเร็จในการช่วยชะลอการแพร่ระบาดของโควิดและลดจำนวนผู้ป่วยหนักลงได้
เเต่ในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำนั้น ยังคงเผชิญความเสี่ยงมากกว่าในสถานการณ์ที่มีเชื้อโควิดกลายพันธุ์
เเละปัญหาสำคัญของโครงการ COVAX คือวัคซีนจำนวนมากที่ได้รับบริจาคจากประเทศร่ำรวย มักจะมีอายุในการเก็บรักษาที่ค่อนข้างสั้น

ด้านไฟเซอร์และไบออนเทค ประกาศว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโควิดสูตรของบริษัท 2 เข็ม จะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันโอมิครอนลดลง อย่างมีนัยสำคัญ แต่การฉีดวัคซีน ‘เข็ม ‘ จะเพิ่มภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น 25 เท่า

 

ที่มา : Reuters 

]]>
1366359
คนไทยค้นหา “เราชนะ-คนละครึ่ง” ใน Google มากที่สุดประจำปี 2564 https://positioningmag.com/1366085 Thu, 09 Dec 2021 04:02:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1366085 คำค้นหาจาก Google ในปีนี้ พบว่า 3 โครงการจากรัฐบาลติดอันดับ 3 ใน 10 คำยอดนิยม ได้แก่ เราชนะ, คนละครึ่ง และ ม.33 เรารักกัน อีกทั้งการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ COVID-19 ก็ยังยอดนิยมอยู่

Google ประเทศไทย ประกาศคำค้นหายอดนิยมประจำปี 2564 ที่แสดงให้เห็นถึงภาพรวมของตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ที่ผ่านสายตาและจากคำค้นหาของผู้คนในประเทศไทย รวมทั้งการใช้ข้อมูลจาก Google Trends ที่นำเสนอมุมมองที่โดดเด่นและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการค้นหาของผู้คนตลอดทั้งปี ซึ่งมีผลมาจากเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตลอดจนเทรนด์การค้นหาเพื่อช่วยการเยียวยาที่มาแรงในประเทศไทยในปีนี้

โควิด-19 อยู่ในเทรนด์

เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปีนี้ยังคงส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และต่อภาคธุรกิจของประชาชนทั้งประเทศอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้คนไทยให้ความสนใจและขานรับต่อโครงการที่รัฐบาลให้การสนับสนุนวงเงินช่วยเหลือเพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนและช่วยฟื้นฟูกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ 3 ใน 10 ของหมวดคำค้นหายอดนิยมปีนี้มาจากโครงการรัฐบาล ได้แก่ “เราชนะ” “คนละครึ่ง” และ “ม.33 เรารักกัน” 

นอกจากนี้ ตลอดทั้งปีผู้คนยังคงให้ความสนใจ และค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดย “วัคซีนโควิด” “โควิดวันนี้” และ “อาการโควิด” ติดโผ 3 ใน 10 คำค้นหายอดนิยมประจำปี ส่วนคำค้นหาด้านการศึกษาอย่าง “SGS” ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับการประเมินผลการเรียนรูปแบบใหม่ ตลอดจนคำค้นหาเพื่อความบันเทิง ผ่อนคลายและเฉลิมฉลอง เช่น “Popcat” เกมคลิกหน้าแมวที่เป็นกระแสไวรัลไปทั่วโลก “กระเช้าสีดา” ละครดราม่าที่นำมารีเมกใหม่ และ “ลอยกระทงออนไลน์” ก็ติดโผคำค้นหายอดนิยมในปีนี้ด้วยเช่นกัน

ด้านข่าวเด่นยอดนิยมในปีนี้ ผู้คนให้ความสนใจต่อเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาพ โดยมีการค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้แก่ “ข่าวโควิดวันนี้” ที่ติดโผอันดับ 1 รวมทั้ง “ข่าวเคอร์ฟิวล่าสุด” และ “ข่าววัคซีน” ที่มาในอันดับ 5 และ 7 ตามลำดับ

นอกจากนี้ 4 ใน 10 ของคำค้นหายอดนิยมในหมวดข่าวเป็นข่าวอุบัติเหตุสะเทือนขวัญที่คนไทยติดตามและให้ความสนใจ ได้แก่ “ข่าวไฟไหม้” จากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ของโรงงานในจังหวัดสมุทรปราการ “ข่าวน้ำท่วม” อุทกภัยจากอิทธิพลพายุเตี้ยนหมู่ “ข่าว BMW Z4” อุบัติเหตุทางถนนซึ่งมีผู้เสียชีวิตหลายรายจากรถ BMW Z4 ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ และ “ข่าวเรือล่ม” ในจังหวัดอยุธยา ด้านข่าวการเมืองระดับโลกอย่าง “ข่าวพม่า” จากสถานการณ์การทำรัฐประหาร ติดโผในอันดับที่ 3 ส่วน “ข่าวอัฟกานิสถาน” และ “ข่าวอิสราเอล” ก็ติดอันดับในปีนี้ด้วยเช่นกัน

หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ผู้คนเริ่มมีความต้องการออกเดินทางท่องเที่ยวกันมากขึ้น ส่งผลให้หมวดสถานที่ท่องเที่ยวเป็นอีกหนึ่งหมวดที่เข้ามาช่วยเยียวยาและผ่อนคลายจิตใจคนไทย โดยการค้นหาคำเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวตามจังหวัดต่างๆ และชื่อเมืองรองยอดนิยมประจำปีนี้ ปรากฏว่า “ระยอง” มาเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วย “จันทบุรี” “กาญจนบุรี” ”กระบี่” และ “ชลบุรี” ในอันดับ 2-5 ตามลำดับ

สำหรับหมวดที่สามารถช่วยเยียวยาคนไทยคือหมวดการค้นหาคำว่า “วิธี” และในปีนี้ผู้คนยังให้ความสนใจการค้นหาวิธีต่างๆ เพื่อรับมือกับสถานการณ์วิกฤตอย่างต่อเนื่อง โดย “วิธียืนยันตัวตน เราชนะ” ติดโผอันดับ 1 ส่วน “วิธีใช้คนละครึ่ง” “วิธีทำกระทง” “วิธีตรวจโควิด” และ “วิธีต้มน้ำขิง” ติดโผในอันดับ 2-5 ตามลำดับ

อีกหนึ่งหมวดที่มาแรงและติดอันดับการค้นหาเป็นปีแรกได้แก่หมวด “ต้นไม้” ที่ผู้คนเริ่มนิยมค้นหาพันธุ์ไม้ต่างๆ ตามกระแสในช่วงที่ต้องกักตัวอยู่บ้าน โดย “ต้นบอนสี” มาแรงเป็นอันดับ 1 ตามด้วย “ต้นดีหมี” “ต้นกระท่อม” “ต้นฟ้าทะลายโจร” และ “ต้นกล้วยด่าง” ในอันดับ 2-5  ตามลำดับ ซึ่งนอกจากต้นไม้เหล่านี้จะช่วยให้ผู้คนผ่อนคลายแล้วยังสามารถช่วยสร้างอาชีพและรายได้ให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีอีกด้วย

คำค้นหายอดนิยมประจำปี 2564

 

]]>
1366085
‘เยอรมนี’ เล็ง ‘บังคับฉีดวัคซีน’ พ่วงล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ หลังผู้ติดเชื้อพุ่ง https://positioningmag.com/1363887 Wed, 24 Nov 2021 15:52:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1363887 เยอรมนีเตรียมตัดสินใจเกี่ยวกับข้อจำกัดด้าน COVID-19 ที่เข้มงวดยิ่งขึ้น และอาจถึงขั้นปิดเมืองแบบเต็มรูปแบบ นอกจากนี้อาจจะ บังคับให้ประชาชนฉีดวัคซีน เนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อรายวันทะลุ 66,884 ราย และซึ่งส่งผลต่อเตียงโรงพยาบาลที่อาจไม่เพียงพอ

เยนส์ สปาห์น รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของประเทศ ได้ออกคำเตือนต่อชาวเยอรมันว่า อาจจะจำกัดพื้นที่สาธารณะให้มากขึ้น เช่น บาร์ ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ และพิพิธภัณฑ์ โดยจะจำกัดการเข้าถึงเฉพาะผู้ที่ได้รับวัคซีนเท่านั้น เนื่องจากปัจจุบันโรงพยาบาลอาจไม่มีกำลังมากพอในการรับผู้ป่วย เพราะห้องไอซียูเต็ม และนั่นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย COVID-19 เท่านั้น

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เยอรมนีมีผู้ป่วยรายใหม่ 66,884 ราย จากเมื่อวันอังคารมีผู้ป่วยรายใหม่ 45,326 ราย และมีจำนวนผู้เสียชีวิตสะสมกว่า 100,000 ราย  

นอกจากนี้ รัฐบาลของเยอรมนีกำลังพิจารณา บังคับฉีดวัคซีน โดยได้ขอร้องให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน เข้ารับการฉีดวัคซีน ซึ่งปัจจุบันเยอรมนีมีอัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำกว่าหลายประเทศในยุโรปตะวันตก โดยมีเพียง 68% ของประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน

เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรป เยอรมนีพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะส่งเสริมการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 เนื่องจากการแพร่กระจายของโควิดสายพันธุ์เดลตาที่แพร่เชื้อได้สูง และรุนแรงกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้ามาก อย่างไรก็ตาม แนวคิดเรื่องการฉีดวัคซีนบังคับเป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกันในยุโรป แต่เจ้าหน้าที่บางคนเชื่อว่าการให้วัคซีน เป็นวิธีเดียวที่จะหยุดไวรัสได้

ทั้งนี้ วัคซีนโควิดช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อรุนแรง การรักษาในโรงพยาบาล และการเสียชีวิตจากไวรัสได้อย่างมาก แต่ภูมิคุ้มกันของวัคซีนจะลดลงหลังจากผ่านไปประมาณ 6 เดือน และไม่ได้ผล 100% ในการลดการแพร่กระจาย

Source

]]>
1363887
ชาวออสเตรเลียกว่าหมื่นคน จี้รัฐบาลจ่ายเงินชดเชย หลังเจอ ‘ผลข้างเคียง’ จากวัคซีนโควิด https://positioningmag.com/1362413 Tue, 16 Nov 2021 11:46:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1362413 รัฐบาลออสเตรเลีย อาจต้องจ่ายเงินชดเชยกว่า 1.2 พันล้านบาท ให้กับประชาชนนับหมื่นคนที่ได้รับผลข้างเคียงจากการฉีดวัควีนโควิด-19

ตอนนี้ ชาวออสเตรเลียมากกว่า 10,000 คน ได้ลงทะเบียนขอรับเงินชดเชยจากการสูญเสียรายได้หลังต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จากผลข้างเคียงของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19

สื่อท้องถิ่นอย่าง Sydney Morning Herald รายงานว่า เงินชดเชยในกรณีดังกล่าว จะเริ่มต้นที่คนละ 5,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 1.2 เเสนบาท) หมายความว่า รัฐบาลออสเตรเลียอาจจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับประชาชนทั้งหมด อย่างน้อย 50 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 1.2 พันล้านบาท) หากคำขอของพวกเขาครั้งนี้ได้รับการอนุมัติ

ด้านเว็บไซต์ Therapeutic Goods Administration (TGA) ของออสเตรเลีย ได้รับรายงานอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์เกือบ 79,000 รายการ จากยอดฉีดวัคซีนโควิดทั้งหมด 3.68 ล้านโดส โดยอาการข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ เจ็บแขน ปวดหัว มีไข้ และหนาวสั่น

ในจำนวนนี้มี 288 รายการ ที่ถูกประเมินว่ามีแนวโน้มที่จะเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งเชื่อมโยงกับการฉีดวัคซีนของ Pfizer รวมถึง 160 รายการ ที่มีอาการเกี่ยวกับลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งเชื่อมโยงกับการฉีดวัคซีน AstraZeneca

TGA ระบุว่า มีผู้เสียชีวิต 9 รายที่เชื่อมโยงกับการฉีดวัคซีน เเละส่วนใหญ่มักมีอายุ 65 ปีขึ้นไป

ออสเตรเลียกำลังเร่งฉีดวัคซีนโควิดในช่วงครึ่งหลังของปีหลังสายพันธุ์เดลตาทำให้เมืองใหญ่ที่สุดของประเทศอย่างซิดนีย์และเมลเบิร์นต้องล็อกดาวน์นานหลายเดือน โดยเริ่มมีการคลายข้อจำกัดต่างๆ ลงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากมีอัตราการกระจายวัคซีนเพิ่มขึ้น

ล่าสุด ชาวออสเตรเลียประมาณ 17.9 ล้านคน หรือคิดเป็นกว่า 69.6% ของประชากรทั้งหมดได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว นับเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุดในโลก

อย่างไรก็ตาม มีประชาชนจำนวนหนึ่งรวมตัวกันประท้วงรัฐบาล เพื่อต่อต้านคำสั่ง ‘บังคับฉีดวัคซีน’ สอดคล้องกับการประท้วงที่เกิดขึ้นในหลายเมืองใหญ่ทั่วประเทศ

โดยกฎที่ห้ามให้ผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนโควิด เข้าบาร์เเละร้านอาหารต่างๆ เพื่อควบคุมโรคเเละกระตุ้นการกระจายวัคซีนนั้น ในอีกมุมหนึ่งก็ทำให้มีการขาย ‘ใบรับรองฉีดวัคซีนโควิดปลอม’ เพิ่มขึ้นในตลาดมืดทางออนไลน์ด้วย

 

ที่มา : Bloomberg , Sydney Morning Herald

]]>
1362413