วิตามิน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 23 May 2023 04:29:33 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 อินไซต์ตลาด “อาหารเสริม” ขายดีที่สุดใน “กรุงเทพฯ” กลุ่มลูกค้าผู้ใหญ่วัย 50 ปี+ เติบโตสูง! https://positioningmag.com/1431268 Mon, 22 May 2023 15:14:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1431268 Kantar เผยข้อมูลอินไซต์ตลาด “อาหารเสริม” สินค้าประเภทไหนขายดี? ตลาดภาคไหนขายดีที่สุด? และกลุ่มวัยที่ซื้ออาหารเสริมมากคือกลุ่มไหน? ติดตามได้ในรายงานชิ้นนี้

บริษัทวิจัยการตลาด Kantar จัดทำรายงาน Kantar: Health is Wealth: Thailand’s Supplement Market in 2023 ศึกษาตลาดสินค้า “อาหารเสริม” ซึ่งเติบโตดีในช่วงหลังโควิด-19 เพราะคนใส่ใจสุขภาพมากขึ้น บวกกับสภาวะสังคมผู้สูงอายุในไทย ทำให้กลายเป็นสินค้าขายดี

สำหรับประเภท “อาหารเสริม” ที่มีสัดส่วนในตลาดมากที่สุด มีดังนี้

  • 29% ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพแบบองค์รวม (general wellbeing) เช่น วิตามินรวม, สารสกัดจากโสม, สารสกัดจากพืช
  • 21% อาหารเสริมเพื่อผิวพรรณและความงาม (skin & beauty) เช่น คอลลาเจน, แอล-กลูตาไธโอน
  • 19% อาหารเสริมโปรตีน (protein) เช่น เวย์โปรตีน
  • 8% อาหารเสริมภูมิคุ้มกัน (immunity) เช่น วิตามินซี, สังกะสี
  • 7% อาหารเสริมเพื่อควบคุมน้ำหนัก (body care) เช่น ไฟเบอร์, ผลิตภัณฑ์ทดแทนอาหาร
  • 6% อาหารเสริมบำรุงสายตา (eyes) เช่น สารสกัดจากพืช
  • 4% อาหารเสริมบำรุงกระดูกและข้อ (bone & joint care) เช่น แคลเซียม
  • 4% อาหารเสริมบำรุงสมอง บำรุงกำลัง และผ่อนคลายความเครียด (brain, energy & stress) เช่น สารสกัดจากถั่วเหลือง, วิตามินบี
  • 2% อื่นๆ เช่น อาหารเสริมด้านการนอนหลับ
อาหารเสริม
ตลาดอาหารเสริมแบ่งสัดส่วนตามประเภทผลิตภัณฑ์

 

กลุ่ม “โปรตีน-คุมน้ำหนัก” กลับมาฮิต

รายงานของ Kantar พบว่า อาหารเสริมประเภทที่เติบโตดีในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาคือ กลุ่ม “โปรตีน” และ “ควบคุมน้ำหนัก” ซึ่งน่าจะเกิดจากการหมดช่วงล็อกดาวน์ ผู้บริโภคกลับมาใช้ชีวิตปกติ ทำกิจกรรมนอกบ้าน จึงหันมาออกกำลังกายและดูแลรูปร่างสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม เรื่องสุขภาพก็ยังสำคัญกับผู้บริโภค ทำให้ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวมยังคงมีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด และมักจะเป็นอาหารเสริมประเภทแรกที่ผู้บริโภคกลุ่มใหม่เลือกซื้อ

ส่วนอาหารเสริมที่พบว่าลดความนิยมลงไปคือ อาหารเสริม “บำรุงสายตา” ซึ่งอาจจะเป็นเพราะคนไทยเริ่มใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น อยู่หน้าจอน้อยลง จึงกังวลเรื่องสุขภาพตาน้อยลงด้วย

 

“กรุงเทพฯ” ตลาดใหญ่ที่สุด กลุ่มวัย “50+” มาแรง

ด้านตลาดที่เป็นตลาดใหญ่ที่สุดของอาหารเสริมคือ “กรุงเทพฯ และปริมณฑล” ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 33% ของตลาดรวม รองลงมาจะเป็น ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคเหนือ Kantar ยังรายงานด้วยว่า ยอดขายอาหารเสริมเติบโตขึ้นในทุกภาคของไทย ยกเว้น “ภาคใต้” ที่หดตัวลง

Photo by RDNE Stock project / Pexels

ส่วนกลุ่มผู้ซื้อในกรุงเทพฯ และปริมณฑลกลุ่มใหญ่ที่สุดของอาหารเสริมคือ วัย 35 ปีขึ้นไป มีการซื้อครอบคลุมทุกระดับรายได้ และมักจะเป็นครัวเรือนที่ไม่มีทารก (สมาชิกในครอบครัวมีอายุ 13 ปีขึ้นไป) ที่น่าสนใจคือ กลุ่มผู้ซื้อวัย 50 ปีขึ้นไปเป็นกลุ่มที่เติบโตแรงที่สุดในปีที่ผ่านมา โดยเติบโตถึง 60%

ในแง่รูปแบบ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ขายดีที่สุด จะเป็น “แบบผง” ยังคงมีสัดส่วนในตลาดสูงสุด ซึ่งเกิดจากอาหารเสริมทุกคุณสมบัติสามารถผลิตเป็นรูปแบบผงได้ และยังทำให้ผลิตเป็นขนาดบรรจุภัณฑ์แบบซองเล็ก (sachet) เพื่อบริโภคครั้งเดียวได้ เมื่อนำไปทำการตลาดจึงสามารถขายได้ง่ายขึ้นด้วยราคาต่อแพ็กเกจที่ถูกกว่า ดึงดูดผู้บริโภคหน้าใหม่ให้เข้ามาทดลอง ส่วนรูปแบบรองลงมาที่นิยมก็คือ “แบบเม็ด/แคปซูล” ซึ่งพกพาสะดวกไม่แพ้กัน ขณะที่ “แบบน้ำ” จะไม่นิยมในไทย เพราะพกพายาก

ตลาด “อาหารเสริม” นั้นเติบโตได้ดีมาก ดร.มลฤดี เลิศอุทัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่าย New Business, Health & Wellness บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) เคยประเมินไว้เมื่อปี 2565 ว่า ตลาดอาหารเสริมและวิตามินในไทยมีมูลค่ากว่า 64,000 ล้านบาท และเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% ซึ่งทำให้ CRC เข้ามาลุยธุรกิจร้านขายยาและร้านขายวิตามิน-อาหารเสริมมากขึ้น (อ่านต่อได้ที่นี่)

]]>
1431268
ครั้งแรกในรอบ 25 ปีที่ “บู๊ทส์” จัดโปรฯ “ซิกเนเจอร์ แคมเปญ” ซื้อ 1 แถม 1 สู้ศึกเศรษฐกิจฝืด https://positioningmag.com/1426010 Mon, 03 Apr 2023 10:46:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1426010
  • ตลอด 25 ปีของ “บู๊ทส์” ในประเทศไทย นี่เป็นครั้งแรกที่มี “ซิกเนเจอร์ แคมเปญ” จัดโปรโมชันต่อเนื่องทุกปี โดยเลือกจัดแบบ “1 แถม 1” คละได้ เพื่อตอบโจทย์คนไทยในยุคเศรษฐกิจฝืด ต้องการโปรฯ แรงช่วยกระตุ้น
  • ผลจากการจัดแคมเปญ ทำให้บู๊ทส์มียอดขายเพิ่มแบบ “ดับเบิลดิจิต” ทุกครั้งที่มีโปรโมชัน
  • อัปเดตพฤติกรรมลูกค้าหลังโควิด-19 กลุ่มสินค้า “วิตามิน-อาหารเสริม” ขายดีต่อเนื่อง คนไทยหันมาป้องกันก่อนเจ็บป่วย และทานอาหารเสริมความงาม
  • “บู๊ทส์” (Boots) เป็นดรักสโตร์จากอังกฤษที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยนานถึง 25 ปี ปัจจุบันมี 240 สาขาทั่วประเทศ ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดรีเทลที่ขายสินค้าประเภทสุขภาพและความงาม และภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย ทำให้บู๊ทส์ต้องหันมาทำการตลาดชัดเจนยิ่งขึ้น

    “อรพรรณ พงศ์พานิช” Head of Customer Experience บู๊ทส์ รีเทล ประเทศไทย เปิดเผยความเคลื่อนไหวทางการตลาดของบู๊ทส์ เริ่มมีการจัด “ซิกเนเจอร์ แคมเปญ” ด้วยกลยุทธ์ “บู๊ทส์ มิกซ์แอนด์แมทช์ 1 แถม 1 คละได้” เริ่มครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม 2564 จนถึงรอบล่าสุดนี้มีการจัดเป็นครั้งที่ 5

    แคมเปญนี้ถือเป็นการจัดซิกเนเจอร์ แคมเปญที่มีการโฆษณาทำการตลาดอย่างต่อเนื่องทุกปีเป็นครั้งแรกของบู๊ทส์ นับตั้งแต่เริ่มบุกตลาดประเทศไทย

    บู๊ทส์
    “อรพรรณ พงศ์พานิช” Head of Customer Experience บู๊ทส์ รีเทล ประเทศไทย

    เหตุที่ต้องเริ่มมีซิกเนเจอร์ แคมเปญ มากกว่าแคมเปญลดราคาทั่วไปที่มักจะมีเกือบทุกเดือน เพราะช่วงโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจฝืด และลูกค้าต้องการโปรโมชันมากขึ้น ถือเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจซื้อ ขณะที่ตลาดก็แข่งกันแรง ทุกร้านต่างอัดโปรโมชันในระยะนี้

    บู๊ทส์จึงศึกษาตลาดและตัดสินใจเลือกโปรฯ “1 แถม 1” แต่ให้มากกว่าโปรฯ ทั่วไปคือลูกค้าสามารถ “คละสินค้า” ได้อย่างอิสระในกลุ่มสินค้ากว่า 1,200 รายการที่นำมาจัดโปรฯ ครอบคลุมทุกหมวดไม่ว่าจะเป็นวิตามิน อาหารเสริม สกินแคร์ ของใช้ส่วนตัว ฯลฯ

     

    ยอดขายโต “ดับเบิลดิจิต” ในช่วงโปรฯ

    อรพรรณกล่าวต่อว่า หลังจัดโปรฯ 1 แถม 1 ไปพบว่าแคมเปญประสบผลสำเร็จ เพราะในครั้งแรกที่จัดทำให้บู๊ทส์มียอดขายและทราฟฟิกลูกค้าเข้าร้านเพิ่มขึ้นจากช่วงปกติ 2 เท่า หลังจากนั้นในครั้งต่อๆ มา ยอดขายในช่วงมีโปรฯ จะเพิ่มขึ้นแบบ “ดับเบิลดิจิต” เทียบกับช่วงปกติ

    บู๊ทส์
    โปรโมชัน 1 แถม 1 มิกซ์แอนด์แมทช์

    เมื่อรวมทั้งปี 2565 แล้ว บู๊ทส์ทำยอดขายได้สูงกว่าตลาดรวม โดยข้อมูลจากนีลเส็นระบุว่า ตลาดรีเทลที่มีมูลค่ากว่า 1.21 แสนล้านบาทนั้นเมื่อปีก่อนเติบโต 10%

    สำหรับปี 2566 บู๊ทส์จะจัดซิกเนเจอร์ แคมเปญ 1 แถม 1 ต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยจะจัดทุกไตรมาส และเลือกจัดในช่วงสิ้นเดือนต่อต้นเดือนต่อไป เพื่อให้ตรงกับรอบการช้อปปิ้งช่วงเงินเดือนออกของผู้บริโภค

    อรพรรณเชื่อว่าด้วยแคมเปญนี้จะยังดันให้บู๊ทส์โตได้มากกว่าตลาดอีกครั้ง โดยข้อมูลจาก SCB EIC คาดการณ์ว่าตลาดรีเทลปีนี้จะเติบโต 9% และเฉพาะตลาดรีเทลกลุ่มสุขภาพและบิวตี้จะโต 13%

     

    “วิตามิน-อาหารเสริม” ฮิตสุดขีด

    แม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่สู้ดีนัก แต่เทรนด์ที่ช่วยผลักดันให้รีเทลสายสุขภาพและบิวตี้ขายดี คือเทรนด์การบริโภควิตามินและอาหารเสริมของคนไทย

    “ตั้งแต่เกิดโควิด-19 ทำให้คนไทยหันมาทานวิตามินเพื่อป้องกันก่อนเจ็บป่วยกันมากขึ้น และสนใจการทานอาหารเสริมเพื่อผลด้านความงาม ขณะเดียวกันบริษัทผู้ผลิตก็จับเทรนด์เหล่านี้ พัฒนาสินค้าที่หลากหลาย ตอบโจทย์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น จึงทำให้ตลาดเติบโตรวดเร็ว” อรพรรณกล่าว

    บู๊ทส์

    ข้อมูลจากนีลเส็นสอดคล้องตรงกัน โดยสำรวจเมื่อปี 2565 พบว่า 84% ของคนไทยมีการซื้อสินค้ากลุ่มสุขภาพและความงาม ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ถึง 229%

    ในร้านบู๊ทส์นั้น จะมีสินค้า 3 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มสุขภาพ เช่น วิตามิน อาหารเสริม, กลุ่มบิวตี้ เช่น สกินแคร์ เวชสำอาง และกลุ่มของใช้ส่วนตัว เช่น ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับช่องปาก

    เมื่อเทรนด์สุขภาพมาแรงจึงทำให้บู๊ทส์ได้อานิสงส์ จนปัจจุบันสินค้ากลุ่มสุขภาพขึ้นมาทำยอดขายอันดับ 1 ของร้าน มีสินค้าสำคัญที่เป็นแม่เหล็กดึงลูกค้าได้ดี เช่น วิตามินซี บู๊ทส์ ซึ่งเป็นเฮาส์แบรนด์ของร้านเอง

     

    สู้ด้วย “ความน่าเชื่อถือ” ผู้บริโภคไว้ใจ

    ตลาดดรักสโตร์นั้นแข่งขันสูงขึ้นมากในระยะหลังเพราะมีเจ้าใหม่ๆ เข้ามาลุยตลาด โดยเฉพาะเจ้าที่มาพร้อมกับพื้นที่ขายของตนเอง เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งทำให้ได้เปรียบมากในแง่ทำเลการขาย สะดวกต่อผู้ซื้อ

    อย่างไรก็ตาม อรพรรณมองว่าบู๊ทส์ยังมี “แต้มต่อ” ในหลายๆ ด้าน เช่น การเป็นแบรนด์ที่ “น่าเชื่อถือ” ในสายตาผู้บริโภค, มีเภสัชกรที่เป็นมิตร สามารถให้คำปรึกษาได้ดีทั้งหน้าร้านและออนไลน์, เป็นร้านที่มีเวชสำอางให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ, มีเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์จากอังกฤษที่ลูกค้าเลือกใช้ เช่น No 7, Soap & Glory, Ted Baker

    เหล่านี้น่าจะเป็นจุดแข็งที่ส่งให้ลูกค้าเลือกบู๊ทส์มากกว่าร้านใหม่ๆ ที่เข้ามา!

     

    ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “บู๊ทส์ ประเทศไทย”

    • บู๊ทส์มี 5 สาขาแฟลกชิปสโตร์ ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, สยามพารากอน, เอ็มควอเทียร์, เอ็มโพเรียม และสามย่านมิตรทาวน์
    • ร้านแต่ละสาขาจะจัดส่วนผสมประเภทสินค้าในร้านไม่เหมือนกัน โดยแบ่งคร่าวๆ เป็น 2 แบบ คือ “Healthcare Lead” สาขาที่เน้นสินค้าสุขภาพ และ “Beauty Care Lead” สาขาที่เน้นสินค้าบิวตี้
    • กลุ่มเป้าหมายหลักของร้านคือ กลุ่มผู้หญิงเจนเอ็กซ์จนถึงเจนวาย แต่มีสินค้าสำหรับทุกเพศทุกวัย เพราะผู้หญิงกลุ่มนี้มักจะเป็นผู้ซื้อของใช้ให้กับทั้งครอบครัว
    • ปัจจุบัน บู๊ทส์ ประเทศไทย เป็นประเทศที่ทำยอดขายอันดับ 1 ของบู๊ทส์ในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้ ในเอเชียมีร้านบู๊ทส์อยู่ในไทย อินโดนีเซีย และกลุ่มตะวันออกกลางอย่าง คูเวต UAE กาตาร์ ซาอุดิอาระเบีย บาห์เรน โอมาน
    ]]>
    1426010
    “เซ็นทรัล รีเทล” ร่วมวงตลาด “ธุรกิจสุขภาพ” เปิดร้านขายยา อาหารเสริม สินค้าสัตว์เลี้ยง https://positioningmag.com/1401156 Wed, 21 Sep 2022 09:44:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1401156 “เซ็นทรัล รีเทล” (CRC) มองหาธุรกิจใหม่ใน “ธุรกิจสุขภาพ” วางแผนปูพรมทั้งร้านขายยา “Tops Care” ร้านขายวิตามิน-อาหารเสริม “Tops Vita” พ่วงด้วยร้านขายสินค้าสัตว์เลี้ยง “PET’N ME” โดยเห็นโอกาสจากมูลค่าตลาดกลุ่มเฮลธ์แอนด์เวลเนสที่สูงถึง 2 แสนล้านบาท เติบโตปีละ 8% และยังคงเป็นเทรนด์ขาขึ้นเพราะคนไทยหันมาดูแลสุขภาพ

    ธุรกิจสุขภาพกลายเป็นกลุ่มธุรกิจเนื้อหอมในช่วงไม่กี่ปีมานี้ รวมถึงยักษ์ใหญ่รีเทลอย่าง บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ก็เริ่มเข้าสู่ธุรกิจนี้ โดยตั้งเป็น Business Unit ใหม่ภายในเครือเมื่อปีก่อน

    ดร.มลฤดี เลิศอุทัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่าย New Business, Health&Wellness CRC ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันธุรกิจเฮลธ์แอนด์เวลเนสของเครือ มีแบรนด์ร้านค้าแล้ว 3 แบรนด์ ได้แก่

    • Tops Vita (ท็อปส์วีต้า)ร้านขายวิตามินและอาหารเสริม ปัจจุบันเปิดแล้ว 21 สาขา เป้าหมายสิ้นปีนี้เพิ่มเป็น 40 สาขา
    • Tops Care (ท็อปส์แคร์) ร้านขายยา เวชภัณฑ์ และเวชสำอาง ปัจจุบันเปิดแล้ว 4 สาขา เป้าหมายสิ้นปีนี้เพิ่มเป็น 16 สาขา
    • PET’N ME (เพ็ท แอนด์ มี)ร้านขายสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ปัจจุบันเปิดแล้ว 2 สาขา เป้าหมายสิ้นปีนี้เพิ่มเป็น 4 สาขา
    เซ็นทรัล รีเทล ร้านขายยา
    Tops Care สาขาแอท เอกมัย

    โดยเฉพาะร้าน Tops Vita และ Tops Care นั้นจะปูพรมทั่วประเทศในระยะยาว ภายใน 5 ปีข้างหน้า Tops Vita มีเป้าหมายจะเปิดบริการ 700 สาขา และ Tops Care จะเปิดบริการ 300 สาขา

    ที่สามารถเปิดได้มากและเร็วเพราะโมเดลธุรกิจจะเน้นพ่วงไปกับซูเปอร์มาร์เก็ตของเครือ CRC ไม่ว่าจะเป็น Tops Market หรือ Central Food Hall ก็ตาม ลักษณะเป็น Shop-in-shop ที่ใช้พื้นที่ไม่มาก

    เซ็นทรัล รีเทล ร้านขายยา
    Tops Vita แบบ Shop-in-shop ในซูเปอร์มาร์เก็ตที่ Central Food Hall สาขาเซ็นทรัลเวิลด์

    เรียกได้ว่าในอนาคต Tops Vita ซึ่งเป็นร้านขายอาหารเสริมและวิตามินจะเข้าไปอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตเครือ CRC ทุกแห่ง รวมถึงพ่วงเข้าไปอยู่ในร้านขายยา Tops Care ที่อาจจะเปิดได้ทั้งในซูเปอร์มาร์เก็ต, โซนอื่นๆ ของศูนย์การค้าเครือเซ็นทรัล และมีกลยุทธ์อนาคตจะไปเปิดในศูนย์ฯ ของเครืออื่นด้วย

     

    คนไทยใส่ใจสุขภาพ ยอดขายพุ่ง

    การค้นหาน่านน้ำใหม่เพิ่มเติมของเซ็นทรัล รีเทล มาลงตัวที่ธุรกิจสุขภาพ ดร.มลฤดีกล่าวว่าเป็นเพราะตลาดนี้เติบโตได้ดี ถ้ามองภาพรวมธุรกิจเฮลธ์แอนด์เวลเนสทั้งหมดมีมูลค่าถึง 2 แสนล้านบาท (รวมกลุ่มโรงพยาบาล ร้านขายยา สปา ฯลฯ) ทั้งตลาดนี้โตปีละ 8%

    แต่ถ้ามองเฉพาะธุรกิจขายอาหารเสริมและวิตามิน มูลค่าจะอยู่ที่ 64,000 ล้านบาท โตปีละ 10% คือโตมากกว่าค่าเฉลี่ยทั้งอุตสาหกรรม

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและวิตามินมาแรงมากในช่วงหลังเกิดโรคระบาด

    จุดพลิกผันสำคัญที่ทำให้คนไทยหันมาสนใจเวชศาสตร์เชิงป้องกัน (Preventive Care) มีการทานอาหารเสริม วิตามินกันมากขึ้น เพราะโรคระบาด COVID-19 ทำให้คนตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพ

    จากแต่เดิมคนที่ทานอาหารเสริมมักจะเป็นคนวัย 40 ปีขึ้นไป เน้นการป้องกันโรคไขข้อและกระดูก ปัจจุบันคนวัย 25-40 ปีซึ่งยังเป็นคนวัยหนุ่มสาว ก็เริ่มหันมาทานวิตามิน-อาหารเสริม คนในวัยนี้จะเน้นทานเพื่อหาตัวช่วยเรื่องการผ่อนคลายอารมณ์ ทำให้นอนหลับดีขึ้น และทานเพื่อความงาม โดยเฉพาะอาหารเสริมที่ทำให้ผิวพรรณดี ผ่องใสขึ้น

     

    เน้นจุดขาย “สะดวกที่สุด” และ “มีครบที่สุด”

    สำหรับแบรนด์ที่จะเป็นหัวหอกให้ BU นี้อย่าง Tops Vita ดร.มลฤดีบอกว่า ร้านแบรนด์ใหม่นี้จะใช้จุดขาย คือ

    1.เข้าถึงได้ง่ายและสะดวก เพราะจะใช้กลยุทธ์ Omnichannel หน้าสาขาออฟไลน์ตั้งอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต ทำให้ลูกค้าหาซื้อง่าย ขณะที่บนออนไลน์ก็มีเช่นกัน สามารถซื้อหาได้ทุกช่องทาง

    2.มีสินค้าครบที่สุด ปัจจุบัน Tops Vita มีสินค้ามากกว่า 1,000 SKUs เชื่อว่าเป็นร้านขายอาหารเสริมที่มีสินค้ามากชนิดที่สุดในประเทศ ลูกค้าซื้อครบจบในที่เดียว

    3.มองหา Exclusive Brand เติมพอร์ต ขณะนี้ร้านมีสินค้าที่ร้านเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในไทยอยู่ราว 5% ของพอร์ต เช่น แบรนด์ Nature’s Truth จากสหรัฐฯ แต่อนาคตจะเติมสินค้า Exclusive Brand ให้มากขึ้นเรื่อยๆ และคาดว่าเรื่องนี้จะเป็นปัจจัยแข่งขันสำคัญในอนาคต ทุกร้านจะแข่งกันมี Exclusive Brand ให้มากที่สุด

    เซ็นทรัล รีเทล ร้านขายยา
    แบบสอบถามของ Tops Vita ที่จะวัดผลความต้องการอาหารเสริมของแต่ละบุคคล

    ในส่วนของการขายออนไลน์ ขณะนี้จะมีทางหน้าเว็บไซต์ www.topsvita.com และ LINE Official ด้านการขายผ่านมาร์เก็ตเพลสต่างๆ จะทยอยเปิดจนครบภายในปี 2566

    ไฮไลต์ที่จะชวนคนให้เข้าสู่เว็บไซต์คือจะมี “แบบประเมินสุขภาพอัจฉริยะ” ที่ออกแบบโดยแพทย์ ลูกค้าเพียงตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพร่างกายตนเอง ไลฟ์สไตล์ด้านสุขภาพ และเป้าหมายสุขภาพ ใช้เวลา 2-3 นาทีในการตอบแล้วระบบจะแนะนำวิตามินและอาหารเสริมที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลให้

    ดร.มลฤดีระบุว่า บริษัทตั้งเป้าทำยอดขายในกลุ่มร้านขายวิตามินและอาหารเสริมที่ 1,500 ล้านบาทในปี 2570 ส่วนกลุ่มร้านยาและสินค้าสัตว์เลี้ยงยังไม่สามารถเปิดเผยเป้าหมายได้

    ]]>
    1401156
    “ไฮ่!” งัดไม้ตายจับมือ DHC วิตามินซีตัวท็อปจากญี่ปุ่นลงขวดครั้งแรกของโลก! https://positioningmag.com/1362642 Wed, 17 Nov 2021 10:17:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1362642 ตลาดน้ำวิตามินซียังหอมหวาน มีผู้เล่นหน้าใหม่ลงตลาด ทำให้การแข่งขันในตลาดดุเดือด “ไฮ่!” จากค่าย TCP จึงของัดไม้ตาย ด้วยการจับมือกับ DHC แบรนด์วิตามินชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่น อาศัยความเป็นวิตามินตัวท็อปสร้างจุดขาย ตั้งเป้ามีส่วนแบ่งตลาดติด Top 3 ให้ได้

    สร้างจุดขายด้วย DHC วิตามินในตำนาน

    ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริ้งก์เริ่มกลับมามีสีสัน และมีการเติบโตมากขึ้น เนื่องจากคนสนใจดูแลสุขภาพมากขึ้น แต่เมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา มีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยิ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ตลาดนี้กลับมาบูมยิ่งขึ้น ทำให้ได้เห็นผู้เล่นตลาดเครื่องดื่ม หรือไม่ได้อยู่ในตลาดนี้ ต่างออกเครื่องดื่มผสมวิตามินทั้งสิ้น จับเทรนด์การดูแลสุขภาพ สร้างภูมิคุ้มกันมากขึ้น

    จะเห็นได้ว่าปีที่ผ่านมามีเครื่องดื่มมากหน้าหลายตาออกสู่ตลาดจนเต็มเชลฟ์ มีทั้งน้ำผสมวิตามิน หรือ Vitamin Water รวมถึงน้ำวิตามินซีแบบช็อต เรียกว่าเป็นเครื่องดื่มดาวรุ่ง เพราะหลายคนมองหาวิตามิน หรืออาหารเสริม เพื่อต้องการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

    ค่าย TCP เองก็ไม่ตกขบวนน้ำวิตามินซี ได้ออกแบรนด์ “ไฮ่!” ในปีที่แล้ว น้ำวิตามินซี 200% เมื่อไม่นานมานี้ได้ “อั้ม พัชราภา” เป็นพรีเซ็นเตอร์ด้วย

    แต่ด้วยการแข่งขันที่ดุเดือด ปัจจุบันมีผู้เล่นในตลาดมากกว่า 10 แบรนด์ แต่ละแบรนด์ต่างชูจุดเด่นเรื่องวิตามินซี 200% เหมือนกัน สร้างภูมิคุ้มกันเหมือนกัน มีรสชาติใกล้เคียงกัน ทำให้ TCP ต้องแก้เกมใหม่ ด้วยการหาจุดขายใหม่ที่แตกต่างจากพวก

    งานนี้จึงได้จับมือกับ DHC วิตามินในตำนานจากประเทศญี่ปุ่น เปิดตัวเป็น ไฮ่! x DHC ปรับสูตรใหม่โดยได้ผสมวิตามินจาก DHC เพิ่มเติม มีทั้งหมด 3 รสชาติ ได้แก่ มิกซ์เบอร์รี่ เลมอนเซโตซิ และส้มยูซุ

    เบื้องหลังของดีลนี้ ทาง TCP บอกว่าได้ปรึกษาแลพูดคุยกับทาง DHC เป็นเวลาพอสมควร ใช้เวลาร่วมปี ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค จนออกมาเป็นน้ำวิตามินซีร่วมกัน ในครั้งนี้ถือว่าเป็นการออกน้ำวิตามินซีแบบขวดครั้งแรกของโลกของ DHC เช่นเดียวกัน เป็นดีลแบบเอ็กซ์คลูซีฟ

    ประไพภักตร์ ไวเกิล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดโกลเบิล (F&B) กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า

    “ในช่วงการระบาดของ COVID-19 ผู้บริโภคได้เปลี่ยนพฤติกรรมจากการดูแล และรักษาสุขภาพมาเป็นการป้องกันมากขึ้น การเป็นพันธมิตรกับ DHC แบรนด์อาหารเสริมอันดับหนึ่งที่ได้รับความเชื่อถือในระดับสากลจากประเทศญี่ปุ่นนี้ ทำให้เราสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพแก่ผู้บริโภคในราคาที่จับต้องได้ ไฮ่! X DHC จะช่วยผลักดันการเติบโตให้กับกลุ่มธุรกิจ TCP โดยเป็นหนึ่งในสามแบรนด์ที่ขายดีที่สุดในตลาดเซกเมนต์นี้ และเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 50% ในปีหน้า”

    DHC เป็นแบรนด์อาหารเสริมอันดับ 1 ในญี่ปุ่น ทำตลาดมา 20 ปี ปัจจุบันมียอดขาย 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้แบรนด์ค่อนข้างน่าเชื่อถือ มีฐานลูกค้ากว่า 15.47 ล้านคนในญี่ปุ่น มีดีลเลอร์มากกว่า 72,708 รายทั่วญี่ปุ่น

    สำหรับในประเทศไทยก็ถือว่ารู้จักแบรนด์ DHC เป็นอย่างดี ใครที่ได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นก็ต้องมีหยิบ DHC ติดไม้ติดมือกลับบ้านมาทานเอง หรือเป็นของฝาก เพราะมีวิตามินที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทั้งชายหญิง และทุกช่วงวัย อีกทั้งยังราคาไม่แรงเท่าไหร่นัก

    คนไทยสนใจสร้างภูมิคุ้มกัน

    จากเทรนด์การดูแลสุขภาพของคนไทย ทำให้ตลาดฟังก์ชันนอลดริ้งก์มีการเติบโตเฉลี่ย 10% มาโดยตลอด เพียงแต่ในปีนี้คาดว่าจะลดลง 5% มีมูลค่า 8,600 ล้านบาท เนื่องจากมีการล็อกดาวน์นานกว่าปีที่แล้ว แต่คาดการณ์ว่าปีหน้าตลาดจะกลับมาเติบโต 9% หรือมีมูลค่า 9,330 ล้านบาท

    ทาง TCP ได้นำผลการศึกษาจากกันตาร์ พบว่ากลุ่มตัวอย่างทั่วโลกให้ความสำคัญในการเพิ่มภูมิคุ้มกัน 70% ส่วนในประเทศไทยให้ความสำคัญถึง 80% เรียกว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยในระดับโลก หรือ 4 ใน 5 คนมองหาโซลูชันที่จะเพิ่มภูมิคุ้มกันมากขึ้น

    เมื่อมาดูวิธีการการเพิ่มภูมิคุ้มกันของคนไทย ส่วนใหญ่จะเป็นการพักผ่อนให้เพียงพอ และรักษาสุขอนามัยให้มากขึ้น โดยสิง่ที่น่าสนใจคือคนไทยมองว่าการเข้าถึงสินค้าที่ดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพ ยังเป็นช่องว่างของเขาอยู่ พบว่า 96% ของคนไทยไม่มีเวลาดูแลสุขภาพมากพอ 47% ดูแลสุขภาพผ่านการกินอาหาร และเครื่องดื่มต่างๆ หาโซลูชันง่ายๆ ให้ตัวเอง

    กลายเป็นว่าการดื่มเครื่องดื่มวิตามิน น้ำวิตามินซี หรืออาหารเสริม จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์คนไทยในยุคนี้ หลายคนมองว่าสะดวก และเข้าถึงได้ง่าย จากผลสำรวจพบว่าคนไทยมีความถี่ในการดื่มเฉลี่ย 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือดื่มเกือบทุกวัน

    อีกหนึ่งความน่าสนใจก็คือ การออกไฮ่! x DHC ในครั้งนี้ จะไม่มีการใช้พรีเซ็นเตอร์เหมือนการเปิดตัวสินค้าในปีที่แล้ว ประไพภักตร์บอกว่า 2 แบรนด์นี้เป็นพระเอกอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีพรีเซ็นเตอร์ พร้อมกับตั้งเป้าจะมีส่วนแบ่งตลาดติด Top 3 ในตลาดให้ได้

    ]]>
    1362642