“เซ็นทรัล รีเทล” (CRC) มองหาธุรกิจใหม่ใน “ธุรกิจสุขภาพ” วางแผนปูพรมทั้งร้านขายยา “Tops Care” ร้านขายวิตามิน-อาหารเสริม “Tops Vita” พ่วงด้วยร้านขายสินค้าสัตว์เลี้ยง “PET’N ME” โดยเห็นโอกาสจากมูลค่าตลาดกลุ่มเฮลธ์แอนด์เวลเนสที่สูงถึง 2 แสนล้านบาท เติบโตปีละ 8% และยังคงเป็นเทรนด์ขาขึ้นเพราะคนไทยหันมาดูแลสุขภาพ
ธุรกิจสุขภาพกลายเป็นกลุ่มธุรกิจเนื้อหอมในช่วงไม่กี่ปีมานี้ รวมถึงยักษ์ใหญ่รีเทลอย่าง บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ก็เริ่มเข้าสู่ธุรกิจนี้ โดยตั้งเป็น Business Unit ใหม่ภายในเครือเมื่อปีก่อน
ดร.มลฤดี เลิศอุทัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่าย New Business, Health&Wellness CRC ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันธุรกิจเฮลธ์แอนด์เวลเนสของเครือ มีแบรนด์ร้านค้าแล้ว 3 แบรนด์ ได้แก่
- Tops Vita (ท็อปส์วีต้า) – ร้านขายวิตามินและอาหารเสริม ปัจจุบันเปิดแล้ว 21 สาขา เป้าหมายสิ้นปีนี้เพิ่มเป็น 40 สาขา
- Tops Care (ท็อปส์แคร์) – ร้านขายยา เวชภัณฑ์ และเวชสำอาง ปัจจุบันเปิดแล้ว 4 สาขา เป้าหมายสิ้นปีนี้เพิ่มเป็น 16 สาขา
- PET’N ME (เพ็ท แอนด์ มี) – ร้านขายสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ปัจจุบันเปิดแล้ว 2 สาขา เป้าหมายสิ้นปีนี้เพิ่มเป็น 4 สาขา
โดยเฉพาะร้าน Tops Vita และ Tops Care นั้นจะปูพรมทั่วประเทศในระยะยาว ภายใน 5 ปีข้างหน้า Tops Vita มีเป้าหมายจะเปิดบริการ 700 สาขา และ Tops Care จะเปิดบริการ 300 สาขา
ที่สามารถเปิดได้มากและเร็วเพราะโมเดลธุรกิจจะเน้นพ่วงไปกับซูเปอร์มาร์เก็ตของเครือ CRC ไม่ว่าจะเป็น Tops Market หรือ Central Food Hall ก็ตาม ลักษณะเป็น Shop-in-shop ที่ใช้พื้นที่ไม่มาก
เรียกได้ว่าในอนาคต Tops Vita ซึ่งเป็นร้านขายอาหารเสริมและวิตามินจะเข้าไปอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตเครือ CRC ทุกแห่ง รวมถึงพ่วงเข้าไปอยู่ในร้านขายยา Tops Care ที่อาจจะเปิดได้ทั้งในซูเปอร์มาร์เก็ต, โซนอื่นๆ ของศูนย์การค้าเครือเซ็นทรัล และมีกลยุทธ์อนาคตจะไปเปิดในศูนย์ฯ ของเครืออื่นด้วย
คนไทยใส่ใจสุขภาพ ยอดขายพุ่ง
การค้นหาน่านน้ำใหม่เพิ่มเติมของเซ็นทรัล รีเทล มาลงตัวที่ธุรกิจสุขภาพ ดร.มลฤดีกล่าวว่าเป็นเพราะตลาดนี้เติบโตได้ดี ถ้ามองภาพรวมธุรกิจเฮลธ์แอนด์เวลเนสทั้งหมดมีมูลค่าถึง 2 แสนล้านบาท (รวมกลุ่มโรงพยาบาล ร้านขายยา สปา ฯลฯ) ทั้งตลาดนี้โตปีละ 8%
แต่ถ้ามองเฉพาะธุรกิจขายอาหารเสริมและวิตามิน มูลค่าจะอยู่ที่ 64,000 ล้านบาท โตปีละ 10% คือโตมากกว่าค่าเฉลี่ยทั้งอุตสาหกรรม
จุดพลิกผันสำคัญที่ทำให้คนไทยหันมาสนใจเวชศาสตร์เชิงป้องกัน (Preventive Care) มีการทานอาหารเสริม วิตามินกันมากขึ้น เพราะโรคระบาด COVID-19 ทำให้คนตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพ
- “ไฮ่!” งัดไม้ตายจับมือ DHC วิตามินซีตัวท็อปจากญี่ปุ่นลงขวดครั้งแรกของโลก!
- “เดนทิสเต้” เตรียมดึง “ลิซ่า Blackpink” เป็นพรีเซ็นเตอร์ “สมูธไลฟ์” ชิมลางตลาด “อาหารเสริม”
จากแต่เดิมคนที่ทานอาหารเสริมมักจะเป็นคนวัย 40 ปีขึ้นไป เน้นการป้องกันโรคไขข้อและกระดูก ปัจจุบันคนวัย 25-40 ปีซึ่งยังเป็นคนวัยหนุ่มสาว ก็เริ่มหันมาทานวิตามิน-อาหารเสริม คนในวัยนี้จะเน้นทานเพื่อหาตัวช่วยเรื่องการผ่อนคลายอารมณ์ ทำให้นอนหลับดีขึ้น และทานเพื่อความงาม โดยเฉพาะอาหารเสริมที่ทำให้ผิวพรรณดี ผ่องใสขึ้น
เน้นจุดขาย “สะดวกที่สุด” และ “มีครบที่สุด”
สำหรับแบรนด์ที่จะเป็นหัวหอกให้ BU นี้อย่าง Tops Vita ดร.มลฤดีบอกว่า ร้านแบรนด์ใหม่นี้จะใช้จุดขาย คือ
1.เข้าถึงได้ง่ายและสะดวก เพราะจะใช้กลยุทธ์ Omnichannel หน้าสาขาออฟไลน์ตั้งอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต ทำให้ลูกค้าหาซื้อง่าย ขณะที่บนออนไลน์ก็มีเช่นกัน สามารถซื้อหาได้ทุกช่องทาง
2.มีสินค้าครบที่สุด ปัจจุบัน Tops Vita มีสินค้ามากกว่า 1,000 SKUs เชื่อว่าเป็นร้านขายอาหารเสริมที่มีสินค้ามากชนิดที่สุดในประเทศ ลูกค้าซื้อครบจบในที่เดียว
3.มองหา Exclusive Brand เติมพอร์ต ขณะนี้ร้านมีสินค้าที่ร้านเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในไทยอยู่ราว 5% ของพอร์ต เช่น แบรนด์ Nature’s Truth จากสหรัฐฯ แต่อนาคตจะเติมสินค้า Exclusive Brand ให้มากขึ้นเรื่อยๆ และคาดว่าเรื่องนี้จะเป็นปัจจัยแข่งขันสำคัญในอนาคต ทุกร้านจะแข่งกันมี Exclusive Brand ให้มากที่สุด
ในส่วนของการขายออนไลน์ ขณะนี้จะมีทางหน้าเว็บไซต์ www.topsvita.com และ LINE Official ด้านการขายผ่านมาร์เก็ตเพลสต่างๆ จะทยอยเปิดจนครบภายในปี 2566
ไฮไลต์ที่จะชวนคนให้เข้าสู่เว็บไซต์คือจะมี “แบบประเมินสุขภาพอัจฉริยะ” ที่ออกแบบโดยแพทย์ ลูกค้าเพียงตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพร่างกายตนเอง ไลฟ์สไตล์ด้านสุขภาพ และเป้าหมายสุขภาพ ใช้เวลา 2-3 นาทีในการตอบแล้วระบบจะแนะนำวิตามินและอาหารเสริมที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลให้
ดร.มลฤดีระบุว่า บริษัทตั้งเป้าทำยอดขายในกลุ่มร้านขายวิตามินและอาหารเสริมที่ 1,500 ล้านบาทในปี 2570 ส่วนกลุ่มร้านยาและสินค้าสัตว์เลี้ยงยังไม่สามารถเปิดเผยเป้าหมายได้