นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ หลังเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อด้านการดึงดูดธุรกิจจากทั่วโลกมายาวนาน ด้วยการเป็นศูนย์กลางการค้าปลอดภาษี อย่างไรก็ตาม ภาษีนิติบุคคลของ UAE จะยังอยู่ในระดับไม่สูงมาก เพื่อให้ยังคงดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้เช่นเดิม
กระทรวงการคลัง ระบุว่า ภาษีนิติบุคคลดังกล่าวจะครอบคลุมธุรกิจ องค์กรและกิจกรรมทางการค้าทั้งหมดในประเทศ ซึ่งจะเรียกเก็บในอัตรา 9% แต่จะคิดภาษีในอัตรา 0% หากมีกำไรทางภาษีไม่เกิน 375,000 ดีแรห์ม (102,107 ดอลลาร์ หรือราว 3.3 ล้านบาท ) เพื่อสนับสนุนธุรกิจรายย่อยและสตาร์ทอัพ
โดยถือว่าเป็นอัตราการเก็บภาษีนิติบุคคลที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่เป็นศูนย์กลางการลงทุนโลก
นอกจากนี้ ‘รายได้ส่วนบุคคล’ ที่มาจากการจ้างงาน อสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในตราสารทุน หรือรายได้ส่วนบุคคลอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการค้าหรือธุรกิจในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จะยังคงไม่มีการจัดเก็บภาษีในส่วนดังกล่าว เเละระบบภาษีนี้จะไม่ถูกนำไปใช้กับนักลงทุนต่างชาติที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจในประเทศ
ทั้งนี้ เมื่อปี 2018 UAE เริ่มเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กับสินค้าและบริการส่วนใหญ่ในอัตรา 5% เเละล่าสุดกับการประกาศใช้แผนเก็บภาษีนิติบุคคลเป็นครั้งแรกนี้ สะท้อนให้เห็นความพยายามของรัฐบาลที่ต้องการ ‘กระจายแหล่งรายได้’ จากเเต่เดิมที่ต้องพึ่งพารายได้หลักจาก ‘น้ำมัน’ หันมามุ่งพัฒนาไปในด้านเทคโนโลยีเเละพลังงานสะอาดมากขึ้น
]]>
หน่วยงานด้านสาธารณสุขของ UAE ประกาศว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตโดยบริษัทซิโนฟาร์ม (Sinopharm) จากจีน ครบ 2 เข็มแล้ว ‘รออีก 6 เดือน’ หลังจากนั้นให้มาเข้ารีบวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ดียิ่งขึ้นเป็น ‘Booster Shot’ หนึ่งในกลยุทธ์ ‘เชิงรุก’ ต่อสู้กับโรคระบาด
เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้อนุมัติให้ใช้วัคซีนโควิด-19 ของซิโนฟาร์ม เป็นการฉุกเฉิน นับเป็นวัคซีนชนิดที่ 5 ของโลก เเละเป็นชนิดเเรกจากฝั่งเอเชีย ที่ได้รับไฟเขียวจาก WHO
‘ซิโนฟาร์ม’ พัฒนาโดย China National Pharmaceutical Group ของรัฐบาลจีน ซึ่งใช้ฉีดเป็นตัวหลักของประเทศ เเละส่งไปยังประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เผยผลการทดลองวัคซีนซิโนฟาร์ม ระยะที่ 3 พบว่ามีประสิทธิภาพ 86% แต่การประกาศดังกล่าวมีรายละเอียดเพียงเล็กน้อย และไม่ได้เปิดเผยว่าตัวเลข 86% นั้นมีการคำนวณอย่างไร
ตอนนี้ ข้อกังวลถึงความรวดเร็วในการกระจายวัคซีนเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อประเทศ ‘เซเชลส์’ หมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งมีอัตราการฉีดวัคซีนมากที่สุดในโลก เเต่ต้องเผชิญกับการระบาดของ COVID-19 ครั้งใหม่ แม้แต่ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนทั้ง 2 โดสก็ยังติดเชื้อ
ซึ่งผู้อยู่อาศัยในเซเชลส์ส่วนใหญ่กว่า 57% ฉีดวัคซีนซิโนฟาร์ม ส่วนอีก 43% ฉีดแอสตราเซเนกา หรือ ‘Covishield’ ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ผลิตในอินเดีย
UAE อยู่ในกลุ่มประเทศที่สามารถกระจายวัคซีนได้เร็วที่สุด เมื่อเทียบกับอัตราประชากร โดยเลือกใช้วัคซีนของซิโนฟาร์มเป็นหลัก เพราะเป็นวัคซีนที่ได้ร่วมทุนพัฒนากับจีน โดย UAE ยังเป็นฐานการผลิตที่อยู่นอกจีนแห่งแรกด้วย
ขณะเดียวกัน ก็มีการขยายวัคซีนทางเลือกให้ประชาชนทั้งจาก ไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค แอสตราเซเนกา และสปุตนิกวี
โดยยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เคยพุ่งสูงสุด 4,000 ตัวต่อวันในช่วงปลายเดือนมกราคม แต่ลดลงเหลือน้อยกว่า 1,500 รายต่อวัน หลังมีมาตรการควบคุมที่เข้มงวดเเละเร่งฉีดวัคซีน ทำให้ขณะนี้เมืองสำคัญอย่าง ‘ดูไบ’ กลายเป็นพื้นที่แรกๆ ในโลก ที่กลับมาดำเนินธุรกิจท่องเที่ยวและจัดประชุมสัมมนาได้
ในช่วงปลายเดือนเมษายน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประกาศว่าจะมีการพิจารณาใช้มาตรการที่เข้มงวด เพื่อจำกัดการเดินทางของผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อรณรงค์ให้ผู้คนหันมาฉีดวัคซีน ซึ่งตอนนี้มีการฉีดไปเเล้วเกือบ 11.5 ล้านโดส จากจำนวนประชากรทั้งหมดราว 10 ล้านคน
]]>
การดำเนินการฉีดวัคซีนเริ่มต้นขึ้นในช่วงเดือนมกราคม 2564 โดยมีการจัดลำดับความสำคัญให้กับบุคลากรที่มีความจำเป็น ซึ่งรวมถึงลูกเรือบนเครื่องบิน นักบิน และหน่วยงานอื่นๆ ที่มุ่งเน้นการปฏิบัติงานแนวหน้า
สายการบินเอมิเรตส์ พร้อมด้วย Dubai National Airline Travel Agency (dnata) ถือเป็นหนึ่งในองค์กรการขนส่งและบริการทางอากาศแห่งแรกๆ ในโลกที่เสนอทางเลือกให้พนักงานฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส COVID-19 ในช่วงของการแพร่ระบาด
โดยสายการบินเอมิเรตส์ และ dnata ได้ดำเนินมาตรการหลายด้านเพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่ ลูกค้า พนักงาน รวมถึงคนในชุมชน เพื่อให้แน่ใจว่ามีการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยในระดับสูงสุด การเปิดตัวโครงการฉีดวัคซีนถือเป็นอีกหนึ่งก้าวที่ช่วยรักษาสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานสายการบิน ที่คอยให้บริการลูกค้าต้องเดินทางและอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าที่จำเป็นไปทั่วโลก
เอมิเรตส์ กรุ๊ป ได้ดำเนินการให้พนักงานเข้าถึงการฉีดวัคซีนได้อย่างสะดวกสบาย ในหลากหลายจุดของบริษัททั่วสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยการใช้วัคซีน Pfizer-BioNTech และ Sinopharm ซึ่งได้รับการรับรองจากหน่วยงานด้านสุขภาพของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
โดยการนัดหมายฉีดวัคซีนจะดำเนินการ 12 ชั่วโมงต่อวัน และ 7 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าบุคลากรของสายการบินได้เข้าถึงวัคซีนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่นเดียวกับประชาชนและผู้อยู่อาศัยทุกคน พนักงานของเอมิเรตส์ กรุ๊ป ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังสามารถเลือกรับการฉีดวัคซีนที่ศูนย์การแพทย์และคลินิกที่รัฐบาลกำหนดได้ เนื่องจากผู้บริหาร และหน่วยงานด้านสุขภาพของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีความตั้งใจที่จะให้ประชากรทุกคนได้รับการฉีดวัคซีนฟรี
ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย Our World In Data ซึ่งเป็นเว็บไซต์วิจัยที่ตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดระบุว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้รับการจัดอันดับอยู่ในอันดับสองของโลกในด้านอัตราการฉีดวัคซีน โดยมีปริมาณมากกว่า 19.04 โดสสำหรับประชากรทุก 100 คน และมีประชากร
รวมถึงผู้อยู่อาศัยที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วเกือบ 1,900,000 ครั้ง นับตั้งแต่การเปิดตัวโครงการในเดือนธันวาคม 2563 โดยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังคงดำเนินการฉีดวัคซีนตามเป้าหมาย เพื่อครอบคลุมให้กับประชากรมากกว่า 50% ภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้
]]>ดูไบ เป็นเมืองสำคัญของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) มีเศรษฐกิจหลักพึ่งพาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและค้าปลีก ในปีที่เเล้วท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ มีนักเดินทางมาใช้บริการสูงถึง 16.7 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ดูไบต้องปิดรับนักท่องเที่ยวมาตั้งเเต่เดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ตามมาตรการสกัดการเเพร่ระบาดของ COVID-19
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หลังจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงต่อเนื่อง ทำให้บรรดาธุรกิจโรงแรม ห้างสรรพสินค้าและสถานบันเทิงในดูไบ เริ่มทยอยกลับมาเปิดทำให้บริการอีกครั้ง รวมไปถึงรัฐบาลได้อนุญาตให้ประชาชนเดินทางไปประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำได้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการพิจารณา
โดยตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค. 2563 เป็นต้นไป ดูไบจะเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่จำเป็นต้องมีใบรับรองผลการตรวจ COVID-19 ว่ามีผลเป็นลบ หรือไม่พบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยจะต้องทำการทดสอบเเบบ PCR ด้วยความเเม่นยำสูงสุดภายใน 4 วัน (96 ชั่วโมง) ก่อนวันเดินทาง
ส่วนบุคคลที่ไม่มีใบรับรองก็สามารถเข้ารับการตรวจเชื้อที่สนามบินได้ และหากมาถึงแล้วพบว่าติดเเชื้อไวรัสดังกล่าว ก็จะต้องเข้ารับการกักกันโรคตามทางการกำหนด เบื้องต้น 14 วันพร้อมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเอง
#Dubai to welcome tourists from 7 July 2020; tourists required to present recent COVID-19 negative certificate or undergo testing at Dubai airports.
— Dubai Media Office (@DXBMediaOffice) June 21, 2020
นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติจะต้องดาวน์โหลดแอป DXV COVID-19 และลงทะเบียนรายละเอียด รวมถึงจะต้องมีประกันสุขภาพที่ถูกต้อง
สำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และจะเดินทางกลับเข้าประเทศ มีข้อกำหนดว่าทุกคนต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส ที่สนามบิน
ที่มา : timeoutdubai , thenational
]]>