สหรัฐฯ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 27 May 2024 12:21:06 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘จีน’ เตรียมเปิดกองทุนมูลค่า 3.44 แสนล้านหยวน เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม ‘เซมิคอนดักเตอร์’ หลังโดนสหรัฐฯ ปิดกั้นหนัก https://positioningmag.com/1475269 Mon, 27 May 2024 10:18:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1475269 หลังจากที่โดน สหรัฐอเมริกา กีดกันไม่ให้เข้าถึงเทคโนโลยี ชิป หรือ เซมิคอนดักเตอร์ ทำให้ล่าสุด จีน ก็เตรียมเปิดกองทุนใหม่ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลจีน เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศจีน

จีน ได้จัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐตามแผนครั้งที่สาม เพื่อ ส่งเสริมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ด้วยทุนจดทะเบียน 3.44 แสนล้านหยวน (ราว 1.77 ล้านล้านบาท) เพื่อการรันตีว่าจีนจะสามารถผลิตชิปได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการ

กองทุนดังกล่าวถือเป็นเรื่องเร่งด่วนอีกครั้ง หลังจากที่สหรัฐฯ กำหนดมาตรการควบคุมการส่งออกหลายชุดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยอ้างถึงความกังวลว่าจีนอาจใช้ชิปขั้นสูงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการทหาร และจากมาตรการดังกล่าวทำให้หุ้นชิปของจีนเพิ่มขึ้น โดยดัชนี CES CN Semiconductor พุ่งขึ้นมากกว่า +3%

สำหรับกองทุนเพื่อการลงทุนอุตสาหกรรมวงจรรวมของจีนระยะที่ 3 ได้รับการจัดตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม และจดทะเบียนภายใต้สำนักงานบริหารเทศบาลนครปักกิ่งเพื่อการควบคุมตลาด โดย กระทรวงการคลังของจีนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด ด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 17% และมีทุนชำระแล้ว 6 หมื่นล้านหยวน ตามข้อมูลของ Tianyancha บริษัทฐานข้อมูล ตามด้วยบริษัท China Development Bank Capital เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับสองด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 10.5%

นอกจากนี้ มีหน่วยงานอื่น ๆ อีก 17 แห่งที่จดทะเบียนเป็นนักลงทุน ซึ่งรวมถึงธนาคารจีนรายใหญ่ 5 แห่ง ได้แก่ Industrial and Commercial Bank of China, China Construction Bank, Agricultural Bank of China, Bank of China และ Bank of Communications โดยแต่ละแห่งมีสัดส่วนประมาณ 6% ของเงินทุนทั้งหมด

กองทุนระยะแรกก่อตั้งขึ้นในปี 2557 ด้วยทุนจดทะเบียน 138.7 พันล้านหยวน และระยะที่สองตามมาในปี 2562 ด้วยทุนจดทะเบียน 2.04 แสนล้านหยวน ส่วนกองทุนระยะสามแห่งนี้ ถือเป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดที่ก่อตั้งโดยกองทุนเพื่อการลงทุนในอุตสาหกรรมวงจรรวมของจีน หรือที่รู้จักกันในชื่อ บิ๊กฟันด์ (Big Fund)

โดย Big Fund ได้จัดหาเงินทุนให้กับโรงหล่อชิปรายใหญ่ที่สุดของจีนสองแห่ง ได้แก่ Semiconductor Manufacturing International Corporation และ Hua Hong Semiconductor รวมถึง Yangtze Memory Technologies ผู้ผลิตหน่วยความจำแฟลช รวมถึงบริษัทและกองทุนขนาดเล็กอีกหลายแห่ง และปัจจุบัน กองทุนกำลังพิจารณาจ้างสถาบันอย่างน้อย 2 แห่งเพื่อลงทุน

Source

]]>
1475269
จีนนำเข้าชิปลดลงเกือบ 15% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2023 ผลจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ผลิตเองในประเทศ https://positioningmag.com/1448027 Sun, 15 Oct 2023 08:50:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1448027 ปริมาณการนำเข้าชิปของประเทศจีน 9 เดือนแรกของในปี 2023 นั้นลดลงเกือบ 15% สาเหตุสำคัญคือมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังรวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศที่ต้องการหลีกเลี่ยงมาตรการดังกล่าว

South China Morning Post รายงานข่าวโดยอ้างอิงข้อมูลของสำนักงานศุลกากรของจีนว่าในช่วง 9 เดือนแรกจีนมีปริมาณนำเข้าชิป 355,900 ล้านชิ้น ลดลงเกือบ 15% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2022 ซึ่งอยู่ที่ 416,700 ล้านชิ้น

ไม่เพียงเท่านี้การนำเข้าชิปจากพันธมิตรสหรัฐฯ ของจีน ไม่ว่าจะเป็น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้เล่นหลักอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ด้วย โดยการนำเข้าชิปจากเกาหลีใต้ลดลง 23% จากไต้หวันลดลง 20% และญี่ปุ่นลดลง 16.3%

ถ้าหากมองมูลค่าการนำเข้าชิปในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้จะพบว่าอยู่ที่ 252,900 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงมากถึง 19.8% เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่ผ่านมา

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนนำเข้าสินค้าประเภทเซมิคอนดักเตอร์ลดลงนั้นมากจากมาตรการคว่ำบาตรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งประเด็นของเทคโนโลยีได้กลายเป็นประเด็นสำคัญของความขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

ความไม่แน่ใจของบริษัทเทคโนโลยีจีนจำนวนมากที่พบว่าตัวเองต้องเผชิญ แต่บริษัทเทคโนโลยีจีนหลายแห่งทั้ง Tencent และ Alibaba หรือแม้แต่ ByteDance ฯลฯ ยังคงดำเนินโครงการพัฒนาต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพัฒนาด้าน AI ที่มีการนำเข้าชิปของ Nvidia ล่วงหน้าเป็นมูลค่ารวมกันมากถึง 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

บริษัทเทคโนโลยีจีนเหล่านี้ต้องรีบนำเข้าชิปจากสหรัฐอเมริกา หรือประเทศพันธมิตร เนื่องจากกังวลถึงมาตรการที่สหรัฐเตรียมห้ามส่งออกชิปไว้สำหรับเร่งการประมวลผล เนื่องจากกังวลว่าจีนจะนำไปใช้ในการฝึก AI ซึ่งอาจสร้างผลกระทบต่อแดนมะกันหลังจากนี้ได้

ขณะเดียวกันจีนได้ตั้งเป้าที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เป็นของตัวเองมากขึ้นในปี 2023 นี้ ไม่ว่าจะโรงงานผลิตชิปของ Huawei ซึ่งเป็นโครงการลับ และได้รับการสนับสนุนเม็ดเงินจากรัฐบาลจีนเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านหยวน เพื่อผลิตชิปภายในประเทศ ลดการนำเข้าและหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดีสหรัฐอเมริกาเองเตรียมที่จะออกมาตรการห้ามส่งออกเพิ่มเติม หลังจากที่บริษัทจีนหลายแห่งอาจใช้บางประเทศในตะวันออกกลางในการนำเข้าชิป โดยมาตรการล่าสุดคือทางการสหรัฐอเมริกาห้ามไม่ให้ Nvidia ส่งออกชิปประมวลผล AI ไปยังบางประเทศในตะวันออกกลางแล้ว รวมถึงมาตรการที่เกี่ยวข้องอื่นๆ

]]>
1448027
บริกรปาดเหงื่อ! ผู้บริโภค “อเมริกัน” เริ่มให้ “ทิป” น้อยลง หลังค่าครองชีพสูง-เศรษฐกิจผันผวน https://positioningmag.com/1439222 Sat, 29 Jul 2023 12:21:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439222 หลังผ่านพ้นโควิด-19 ชาวอเมริกันต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจผันผวนและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้ 2 ใน 3 ของชาวอเมริกันเริ่มรู้สึกแย่กับการให้ “ทิป” ซึ่งเริ่มคิดในอัตราสูงขึ้นและคิดทิปในหลายธุรกิจมากขึ้น

สังคมอเมริกันเริ่มมีการคิด “ทิป” รวมไปในค่าบริการหลายโอกาสมากกว่าที่เคย ไม่ว่าจะเป็นบริการในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดไปจนถึงแอปส่งสินค้าเดลิเวอรีต่างก็เรียกร้องให้ผู้บริโภคจ่ายทิป

แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มผันผวนและค่าครองชีพสูงขึ้น ผู้บริโภคจึงเริ่มต้องการจะลดการให้ทิปลง และเริ่มหงุดหงิดใจกับการบังคับทิปมากขึ้นทุกที

Bankrate มีการสำรวจผู้บริโภคอเมริกัน และพบว่าผู้บริโภคที่ตอบว่าตนให้ทิป “ทุกครั้ง” เมื่อใช้บริการต่างๆ เริ่มมีสัดส่วนน้อยลงเมื่อเทียบกับการสำรวจปีก่อน โดยการบริการที่มีการให้ทิป เช่น ทานอาหารนอกบ้าน บริการเรียกรถ ตัดผม เดลิเวอรี แม่บ้าน ช่างซ่อมบ้าน ฯลฯ

“เงินเฟ้อและเศรษฐกิจที่ไม่ดีดูเหมือนจะทำให้ชาวอเมริกันประหยัดขึ้นกับการให้ทิป ในขณะเดียวกัน เราต้องเผชิญหน้ากับการเชิญชวนให้ช่วยทิปมากกว่าที่เคยเป็นมา” Ted Rossman นักวิเคราะห์อาวุโสที่ Bankrate กล่าว

NerdWallet มีการสำรวจผู้บริโภคเช่นกัน และพบว่าหลายคนรู้สึกถูก “กดดัน” ว่าต้องให้ทิปมากกว่าปีก่อน

Bankrate บอกด้วยว่า 2 ใน 3 ของชาวอเมริกันมีมุมมองเชิงลบต่อการ “ทิป” โดยเฉพาะเมื่อต้องให้ทิปผ่านระบบชำระเงินดิจิทัลซึ่งมักจะสร้างตัวเลือกการทิปมาให้อย่างชัดเจนล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องทิปเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ร้านมักจะตั้งอัตราการทิปอยู่ระหว่าง 15% ถึง 35% ของราคาสินค้า/บริการ

ผู้เชี่ยวชาญด้านมารยาทให้ความเห็นว่าการทิปประมาณ 20% ในร้านอาหารประเภทนั่งรับประทาน มีบริกรคอยบริการภายในร้าน ยังเป็นมาตรฐานที่คนอเมริกันยอมรับร่วมกัน แต่สำหรับบริการประเภทอื่น เช่น ร้านกาแฟที่เป็น kiosk ซื้อกลับบ้าน ซึ่งไม่เคยมีการคิดทิปมาก่อนในอดีต ดูจะเป็นสิ่งที่คนอเมริกันไม่ค่อยยอมรับว่าจะต้องทิปด้วย

Toast มีการสำรวจการทิปในร้านอาหารต่างๆ พบว่าร้านอาหารประเภทฟูลเซอร์วิสยังได้รับทิปสม่ำเสมอ แต่ในร้านลักษณะฟาสต์ฟู้ดหรือที่ต้องบริการตนเอง ค่าเฉลี่ยอัตราการทิปลดลงมาเหลือ 16.7% ซึ่งต่ำสุดในรอบ 5 ปี

“ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความรู้สึกอ่อนล้าที่จะต้องทิป” Eric Plam ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Uptip สตาร์ทอัปจากซานฟรานซิสโกที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการบริการช่องทางให้ทิปแบบไร้เงินสด กล่าวกับ CNBC “ในช่วงโควิด-19 ทุกคนอยู่ในช่วงช็อกและรู้สึกโอบอ้อมอารีมากกว่าปกติ”

ปัญหาก็คือ เมื่อทิปมากขึ้นในช่วงโควิด-19 ก็ทำให้เกิดมาตรฐานใหม่ในการทิปซึ่งไม่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตในช่วงปกติอีกต่อไป ยิ่งมีการกำหนดอัตราส่วนที่ต้องทิปไว้ให้แล้ว ยิ่งทำให้คนรู้สึกว่าเป็น “การทิปที่น่ารังเกียจ”

อย่างไรก็ตาม Plam มองในอีกมุมหนึ่งว่า การทิปยังคงสำคัญมากกับพนักงานที่ได้ค่าจ้างเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำหรือน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำ เช่น พนักงานร้านฟาสต์ฟู้ดแบบจ้างประจำจะได้ค่าจ้างเฉลี่ย 14.34 เหรียญสหรัฐต่อชั่วโมง ส่วนแบบพาร์ทไทม์จะได้เฉลี่ย 12.14 เหรียญสหรัฐต่อชั่วโมง ซึ่งค่าจ้างที่ว่านี้รวม “ทิป” แล้ว (ข้อมูลจากสำนักงานสถิติด้านแรงงานสหรัฐฯ)

“คนเราควรจะทราบไว้ด้วยว่าชีวิตความเป็นอยู่ของคนคนหนึ่งจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับการทิปมากทิปน้อย” Plam กล่าว

Source

]]>
1439222
จีนเอาคืน! ห้ามนำเข้าชิปจาก ‘Micron Technology’ อ้าง “เป็นความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเครือข่ายร้ายแรง” https://positioningmag.com/1431143 Mon, 22 May 2023 04:00:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1431143 ดูเหมือนความขัดแย้งระหว่าง จีนและสหรัฐอเมริกา ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น กลุ่ม G7 ก็พยายามลดการพึ่งพาจีน ล่าสุด จีนก็ได้ออกมาตอบโต้โดยการ แบนการใช้งานชิปจากสหรัฐฯ ด้วยข้อหาด้านความปลอดภัย

รัฐบาลจีน ได้เปิดประเด็นกับสหรัฐฯ ใหม่ในเรื่องเทคโนโลยีและความปลอดภัย โดยบอกกับผู้ใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ของจีน ให้หยุดซื้อผลิตภัณฑ์จาก Micron Technology ผู้ผลิตชิปหน่วยความจำรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ เนื่องจากผลิตภัณฑ์มี “ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเครือข่ายที่ร้ายแรง” ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลของจีน และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ

“บริษัทผู้ให้บริการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่สำคัญในจีน ควรหยุดซื้อผลิตภัณฑ์จาก Micron Technology” รัฐบาลระบุ

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนย้ำว่า จีนส่งเสริมการเปิดระดับสูงสู่โลกภายนอก และตราบใดที่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของจีน ก็ยินดีต้อนรับองค์กรและผลิตภัณฑ์และบริการแพลตฟอร์มต่างๆ จากนานาประเทศเข้าสู่ตลาดจีน

ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ได้กล่าวหาว่า รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามขัดขวางการพัฒนาของจีน และเขาเรียกร้องให้ประชาชน กล้าที่จะต่อสู้ ขณะที่รัฐบาลเองก็ยังคงตอบโต้อย่างช้า ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่ออุตสาหกรรมของจีนที่ประกอบสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ของโลก พวกเขานำเข้าชิปต่างประเทศมูลค่ามากกว่า 300 พันล้านเหรียญทุกปี โดยจีนเองก็กำลังจะพยายามผลิตชิปประมวลผลของตัวเอง เพื่อให้ผลกระทบไม่ตกสู่บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนของจีนและอุตสาหกรรมอื่น ๆ โดยมีการลงทุนไปหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปัจจุบัน ทั้ง สหรัฐอเมริกา ยุโรป และ ญี่ปุ่น กำลังลดการเข้าถึงการผลิตชิปขั้นสูงของจีนและเทคโนโลยีอื่น ๆ เนื่องจาก จีนขู่ว่าจะโจมตีไต้หวัน และกล้าแสดงออกถึงการคุกคามที่มากขึ้นต่อญี่ปุ่นและเพื่อนบ้านอื่น ๆ ขณะที่ความขัดแย้งดังกล่าวทำให้ทั่วโลกมีความกังวลว่า อาจทำให้ต้นทุนด้านสินค้าเทคโนโลยีพุ่งสูงขึ้น และอาจทำให้การพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ เกิดได้ช้าลง

ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายทศวรรษ เนื่องจากความขัดแย้งเรื่องความมั่นคง การปฏิบัติต่อฮ่องกงและชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมของปักกิ่ง ข้อพิพาทเรื่องดินแดน และการเกินดุลการค้าหลายพันล้านดอลลาร์ของจีน

]]>
1431143
งานวิจัยพบ “อายุคาดเฉลี่ย” ชาวอเมริกันลดฮวบ 2.3 ปี เซ่นพิษ COVID-19 https://positioningmag.com/1361284 Sat, 13 Nov 2021 14:52:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1361284 เว็บไซต์ข่าวไวโอนิวส์ (WIONEWS) ของอินเดีย อ้างอิงผลการศึกษาเมื่อไม่นานนี้ ระบุว่าอายุคาดเฉลี่ยของผู้คนในสหรัฐฯ ลดลงสูงเป็นอันดับ 2 ในหมู่ประเทศและภูมิภาค 37 แห่ง ระหว่างช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19 เมื่อปีก่อน

ผลการศึกษาดังกล่าวที่ตีพิมพ์ในวารสารบริติช เมดิคัล เจอร์นัล (BMJ) ประเมินการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในประเทศหรือภูมิภาคที่มีรายได้ปานกลางระดับสูง และรายได้สูง 37 แห่ง ด้วยข้อมูลการเสียชีวิตที่น่าเชื่อถือและสมบูรณ์

อายุคาดเฉลี่ยของชาวสหรัฐฯ เพศชาย ลดลงเกือบ 2.3 ปี จากราว 76.7 ปี เหลือ 74.4 ปี ขณะอายุคาดเฉลี่ยของชาวสหรัฐฯ เพศหญิง ลดลงจากราว 81.8 ปี เหลือ 80.2 ปี โดยการลดลงเป็นผลจากการเสียชีวิตของคนหนุ่มสาวระหว่างเกิดโรคระบาดใหญ่ ซึ่งบ่งชี้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้ปกป้องคนรุ่นใหม่ดีพอ

อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาระบุว่าโรคระบาดใหญ่ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้อายุคาดเฉลี่ยของสหรัฐฯ ลดลง เนื่องจากสหรัฐฯ พบการเสียชีวิตจากเหตุฆาตกรรมและการเสพยาเกินขนาดเพิ่มขึ้นในปีก่อน ซึ่งอาจเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้อายุคาดเฉลี่ยลดลง

]]>
1361284
“สหรัฐฯ” เปิดประเทศ! สายการบินฟื้น 70% “สวนสนุกดิสนีย์-ลาสเวกัส” แม่เหล็กดึงต่างชาติ https://positioningmag.com/1361016 Tue, 09 Nov 2021 07:04:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1361016 ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. 2021 สหรัฐฯ ประกาศเปิดประเทศ อ้าแขนรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วทั้งหมด ข่าวดีนี้ทำให้ยอดจองตั๋วสายการบินทั้งในประเทศและระหว่างประเทศฟื้น 70% เทียบกับช่วงก่อนเกิด COVID-19 “นิวยอร์ก” ที่สุดของปลายทางยอดฮิต ขณะที่ “สวนสนุกดิสนีย์” ในออร์แลนโด และเมืองคาสิโน “ลาสเวกัส” คือแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ

สิ้นสุดการปิดพรมแดนกว่า 20 เดือนของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2021 นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และมีผลตรวจ COVID-19 เป็นลบภายใน 72 ชั่วโมงก่อนมาถึง สามารถเข้าสู่สหรัฐฯ ได้โดยไม่ต้องกักตัว

ข้อมูลจาก Travelport บริษัทเทคโนโลยีด้านการจองการท่องเที่ยว ระบุว่า เที่ยวบินทั้งภายในประเทศสหรัฐฯ และระหว่างประเทศ ถูกจองขึ้นไปถึงระดับ 70% ของที่เคยทำได้ในช่วงก่อนเกิด COVID-19 เป็นสัญญาณแห่งความหวังว่าเศรษฐกิจการท่องเที่ยวสหรัฐฯ จะฟื้นตัวเร็ว

โดยสมาคมการท่องเที่ยวสหรัฐฯ ให้ข้อมูลก่อนหน้านี้ว่า มูลค่าตลาดท่องเที่ยวสหรัฐฯ มีเม็ดเงินถึง 2.33 แสนล้านเหรียญต่อปี และต้องสูญเสียรายได้ถึง 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐต่อสัปดาห์ ในช่วงที่ภาครัฐปิดประเทศไม่ให้ชาวแคนาดา ชาวยุโรป และชาวอังกฤษข้ามพรมแดน

นิวยอร์ก เมืองท่องเที่ยวสุดฮิตของสหรัฐฯ หลังเปิดประเทศ (Photo: Shutterstock)

การเปิดประเทศรอบล่าสุดนั้น มีจุดสำคัญคือการเปิดให้ชาวต่างชาติ 33 ประเทศเข้าได้โดยไม่ต้องกักตัว ได้แก่ 26 ประเทศเชงเก้น (ยุโรป), สหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์, จีน, อินเดีย, แอฟริกาใต้, อิหร่าน และบราซิล ซึ่งก่อนหน้านี้สหรัฐฯ อนุญาตให้เข้า 150 ประเทศแต่ไม่รวมประเทศข้างต้น ทั้งที่กลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรปและอังกฤษนั้นสำคัญมากกับเศรษฐกิจท่องเที่ยว และมีอัตราการฉีดวัคซีน-ควบคุมโรคระบาดที่ดีกว่าพื้นที่อื่นๆ ของโลก

สำหรับ 5 จุดหมายปลายทางในสหรัฐฯ ที่มีการจองมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายนนี้ (นับทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ) ตามข้อมูลของ Travelport ได้แก่

1)นิวยอร์ก
2)ไมอามี
3)ออร์แลนโด
4)ลอสแอนเจลิส
5)ซานฟรานซิสโก

อย่างไรก็ตาม ถ้าวัดจุดหมายปลายทางที่มีนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติมากที่สุด และมาจากต่างประเทศมากที่สุดคือ “ลาสเวกัส” ส่วนชาติที่นิยมบินไปสหรัฐฯ มากที่สุดคือ “ชาวอังกฤษ”

กลุ่ม Top 5 จุดหมายปลายทางมีแรงดึงดูดของตนเอง เช่น “นิวยอร์ก” เป็นเมืองยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวนิยมไปฉลองคริสต์มาสและปีใหม่ “ไมอามี” เป็นเมืองพักผ่อนชายทะเล ขณะที่ “ออร์แลนโด” เป็นที่ตั้งของ “ดิสนีย์ เวิลด์” (46% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จองตอนนี้คือชาวอังกฤษ!) “ลอสแอนเจลิส” กลิ่นอายแห่งฮอลลีวูดทำให้แฟนๆ ภาพยนตร์นิยมเดินทางมา “ซานฟรานซิสโก” เมืองแห่งเทคโนโลยี และมีเทศกาลที่จัดกลางแจ้งมากมายให้เข้าร่วม

Source

]]>
1361016
“รัสเซีย-สหรัฐฯ” สองประเทศที่มีคน “ปฏิเสธวัคซีน” มากที่สุด นักวิทย์เกรงเกิดไวรัสกลายพันธุ์ https://positioningmag.com/1350407 Mon, 06 Sep 2021 08:33:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1350407 บริษัทวิจัยสำรวจความคิดเห็นประชากรใน 15 ประเทศ พบว่า “รัสเซีย” และ “สหรัฐฯ” คือสองประเทศที่มีคนปฏิเสธหรือลังเลที่จะเข้ารับวัคซีนป้องกัน COVID-19 สูงที่สุด นักวิทยาศาสตร์กังวล ประเทศที่ประชากรมีอัตราเข้ารับวัคซีนช้าลง และประเทศยากจนที่เข้าถึงวัคซีนได้น้อย จะเป็นแหล่งเพาะไวรัสกลายพันธุ์

Morning Consult บริษัทวิจัยและที่ปรึกษา ติดตามความคิดเห็นของประชากรใน 15 ประเทศเกี่ยวกับการรับวัคซีน โดยมีการสุ่มสอบถามทุกสัปดาห์ เก็บตัวอย่างรวมกว่า 75,000 ตัวอย่าง เริ่มเก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนมีนาคม 2021

บริษัทมีคำถามสั้นๆ ในการเก็บข้อมูลคือ “คุณได้รับวัคซีนแล้วหรือยัง?” และมีคำตอบให้เลือก 4 ข้อคือ “ได้รับแล้ว” “ยัง แต่มีแผนจะรับวัคซีนในอนาคต” “ยัง และยังไม่แน่ใจว่าจะเข้ารับวัคซีนหรือไม่” และ “ยัง และวางแผนว่าจะไม่เข้ารับวัคซีน”

รอบการสอบถามครั้งล่าสุดคือ ระหว่างวันที่ 24-30 สิงหาคม 2021 พบว่า “รัสเซีย” ยังคงเป็นประเทศอันดับ 1 ที่มีผู้ตอบว่าจะไม่รับวัคซีนและไม่แน่ใจว่าจะรับวัคซีนหรือไม่รวมกันเป็นอัตราส่วนสูงที่สุด โดยสูงถึง 43% ของกลุ่มตัวอย่าง

รองลงมาเป็นอันดับ 2 คือ “สหรัฐอเมริกา” ซึ่งมีผู้ที่จะไม่รับวัคซีนและคนที่ยังไม่แน่ใจรวมกันเป็นอัตราส่วน 27%

ผลสำรวจระหว่างวันที่ 24-30 สิงหาคม 2021

ค่าเฉลี่ยของทั้ง 15 ประเทศรวมกัน สำหรับกลุ่มที่จะไม่รับวัคซีนและไม่แน่ใจอยู่ที่ 14% โดยมีประเทศที่มีคนกลุ่มนี้เกินค่าเฉลี่ย นอกจากรัสเซียกับสหรัฐฯ คือ เยอรมนี (19%) ออสเตรเลีย (18%) ญี่ปุ่น (17%) เกาหลีใต้ (16%) และแคนาดา (15%)

ส่วนประเทศที่มีคนไม่รับวัคซีนและคนที่ยังไม่แน่ใจ เท่ากับหรือน้อยกว่าค่าเฉลี่ย ได้แก่ ฝรั่งเศส (14%) อิตาลี (14%) สหราชอาณาจักร (12%) สเปน (9%) บราซิล (8%) เม็กซิโก (8%) อินเดีย (6%) และจีน (2%)

 

เหตุผลหลัก “กลัวผลข้างเคียง”

ที่ผ่านมาเรามักจะเข้าใจว่าคนที่ปฏิเสธวัคซีนเป็นกลุ่มต่อต้านวัคซีนทุกชนิดหรือที่เรียกว่า Anti-Vaxxer แต่การสำรวจนี้ทำให้เห็นว่าจริงๆ แล้วเหตุผลหลักเป็นประเด็นอื่น

อีกหนึ่งคำถามจากงานวิจัยคือถามว่ากลุ่มที่ปฏิเสธไม่รับวัคซีนหรือลังเลใจ ทำไมจึงคิดเช่นนั้น ผลปรากฏว่าเหตุผลอันดับ 1 และ 2 ของทุกประเทศ คือ “กลัวผลข้างเคียงจากวัคซีน” และ “กังวลว่าการวิจัยวัคซีนพัฒนาเร็วเกินไป”

ผลสำรวจระหว่างวันที่ 24-30 สิงหาคม 2021

ส่วนเหตุผลอื่นๆ ที่ทำให้คนไม่รับวัคซีน เช่น มองว่าวัคซีนไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ไว้ใจบริษัทผู้ผลิตวัคซีน มองว่าตนเองมีความเสี่ยงน้อยที่จะติดเชื้อโรค COVID-19

 

กลุ่มคนไม่รับวัคซีน และประเทศยากจน น่ากังวลสูง

ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดกำลังกังวลกับอัตราการฉีดวัคซีนในโลกที่ช้าลง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ประชากรปฏิเสธวัคซีนเป็นอัตราสูง อย่างรัสเซียและสหรัฐฯ รวมถึงกลุ่มประเทศยากจนที่เข้าถึงวัคซีนได้ยาก โดยข้อมูลจาก Our World in Data ระบุว่าประเทศรายได้น้อย มีประชากรที่รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดสเพียง 1.8% ของประชากรทั้งหมด เทียบกับค่าเฉลี่ยโลกอยู่ที่ 40.3%

แม้แต่ในประเทศแถบยุโรปก็มีปัญหาซ่อนอยู่ โดย ดร.ฮานส์ คลูจ ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคยุโรป องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า คนที่มีรายได้ต่ำและกลางค่อนต่ำในกลุ่มประเทศยุโรป เข้าถึงวัคซีนครบโดสแล้วเพียงแค่ 6%

ปฏิเสธวัคซีน
กลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านการฉีดวัคซีนและข้อบังคับให้สวมหน้ากากอนามัย เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2021 ที่เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐหลุยส์เซียนา (Photo : Shutterstock)

การไม่ได้รับวัคซีนไม่ใช่ความเสี่ยงของคนคนเดียว แต่เป็นความเสี่ยงร่วมกันของคนทั้งโลก เพราะอาจจะทำให้มีการระบาดมากขึ้น และนำไปสู่การเกิดไวรัสกลายพันธุ์เพิ่มขึ้น

คลูจกล่าวว่า ใน 53 ประเทศแถบยุโรป รวมรัสเซียและประเทศโดยรอบ มี 33 ประเทศที่เกิดมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% ภายในรอบ 14 วันที่ผ่านมา

ขณะที่สำนักข่าว CNBC ให้ข้อมูลสถานการณ์ในสหรัฐฯ ซึ่งถูกไวรัสสายพันธุ์เดลตาโจมตีเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่ารัฐที่ติดเชื้อมากคือรัฐที่มีอัตราประชากรปฏิเสธวัคซีนสูง เช่น หลุยส์เซียนา ไอดาโฮ มิสซิสซิปปี เป็นต้น

Source: Morning Consult, CNBC

]]>
1350407
สหรัฐฯ บริจาควัคซีนให้เวียดนามแล้ว 6 ล้านโดส เตรียมเปิดสนง.ศูนย์ควบคุมโรคในฮานอย https://positioningmag.com/1348854 Wed, 01 Sep 2021 14:26:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1348854 วันที่ 25 ส.ค. กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่า จะจัดหาวัคซีนป้องกันไวรัส COVID-19 ให้กับเวียดนามเพิ่ม 1 ล้านโดส โดยเสนอความช่วยเหลือเพิ่มเติมให้กับประเทศที่กำลังเผชิญกับการระบาดของ COVID-19 ที่พุ่งสูง และอัตราการฉีดวัคซีนที่อยู่ในระดับต่ำ

แฮร์ริสกล่าวในที่ประชุมทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีฝ่าม มีง จีง ของเวียดนามว่า วัคซีนจะมาถึงเวียดนามใน 24 ชั่วโมงข้างหน้า ที่ทำให้ยอดวัคซีนที่สหรัฐฯ บริจาคให้กับเวียดนามรวมเป็น 6 ล้านโดส

นอกจากวัคซีนล็อตใหม่แล้ว สหรัฐฯ จะมอบทุน 23 ล้านดอลลาร์ในแผนช่วยเหลือชาวอเมริกัน และเงินทุนฉุกเฉินผ่านทางศูนย์ควบคุมโรค และองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) เพื่อช่วยเวียดนามขยายการแจกจ่าย และการเข้าถึงวัคซีน ต่อสู้กับการะบาดของ COVID-19 และเตรียมพร้อมรับภัยคุกคามจากโรคในอนาคต นอกจากนี้กระทรวงกลาโหมยังส่งมอบตู้แช่แข็ง 77 ตู้สำหรับจัดเก็บวัคซีนทั่วประเทศ

หลังการหารือทวิภาคี แฮร์ริสได้ยืนสงบนิ่งไว้อาลัยท่ามกลางสายฝนและวางดอกไม้ยังอนุสรณ์ซึ่งเป็นจุดที่เครื่องบินของจอห์น แมคเคน ถูกกองกำลังเวียดนามเหนือยิงตกในปี 2510 เนื่องในวันครบรอบ 3 ปี การเสียชีวิตของวุฒิสมาชิกแมคเคน

ความช่วยเหลือเกี่ยวกับ COVID-19 นี้ เป็นส่วนหนึ่งของการประกาศการเป็นหุ้นส่วน และการสนับสนุนเวียดนามในหลากหลายด้าน ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการเยือนของแฮร์ริส ระหว่างการเดินทางทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นาน 1 สัปดาห์ ซึ่งรวมทั้งการเยือนสิงคโปร์ในช่วงต้นสัปดาห์ ที่มีเป้าหมายเพื่อกระชับความสัมพันธ์ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เพื่อต่อต้านอิทธิพลจีน

เวียดนาม
Photo : Shutterstock

การประกาศยังรวมถึงการลงทุนครั้งใหม่เพื่อช่วยเวียดนามเปลี่ยนไปสู่ระบบพลังงานสะอาด และขยายการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า การลดอัตราภาษีการส่งออกสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ และความช่วยเหลือในการกำจัดอาวุธที่ยังไม่ระเบิดที่ตกค้างจากสงครามเวียดนาม

ระหว่างการพบหารือกับประธานาธิบดีเหวียน ซวน ฟุ้ก แฮร์ริสได้แสดงการสนับสนุนที่จะส่งเรือตรวจการณ์ของหน่วยยามฝั่งของสหรัฐฯ มายังเวียดนาม เพื่อช่วยป้องกันผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของประเทศในทะเลจีนใต้ และได้แสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อการรุกล้ำของปักกิ่งในน่านน้ำพิพาท

แฮร์ริส ที่เป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่เยือนเวียดนาม ได้กล่าวกับประธานาธิบดีเวียดนามว่า “ความสัมพันธ์ของเราเดินทางมาไกลมากในช่วง 25 ปี” และเธอยังประกาศเปิดสำนักงานศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสำนักงานใหม่ของ CDC นี้ เป็น 1 ใน 4 สำนักงานระดับภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งมุ่งเน้นการร่วมมือกับรัฐบาลในภูมิภาคในด้านการวิจัยและฝึกอบรมเพื่อรับมือและป้องกันวิกฤตด้านสุขภาพ

การประกาศเปิดสำนักงาน CDC มีขึ้นในขณะที่เวียดนามกำลังต่อสู้กับการติดเชื้อที่สูงเป็นประวัติการณ์ในประเทศที่เป็นผลจากการระบาดของสายพันธุ์เดลตา และอัตราการฉีดวัคซีนที่อยู่ในระดับต่ำ จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ที่พุ่งสูงขึ้นทำให้ประเทศต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์นครโฮจิมินห์ ศูนย์กลางธุรกิจของประเทศและเป็นศูนย์กลางของการระบาดระลอกล่าสุด

Source

]]>
1348854
สหรัฐฯ ยืนยัน! เคสฉีดวัคซีนครบแล้วติดเชื้อโควิดเสียชีวิต คิดเป็นแค่ 0.001% https://positioningmag.com/1345166 Fri, 06 Aug 2021 14:23:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1345166 สำนักข่าว CNN รายงานข้อมูลล่าสุดของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (CDC) ว่า 99.99% ของเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้อ COVID-19 (breakthrough case) ในสหรัฐฯ อาการไม่รุนแรงถึงขั้นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิต

ข้อมูลดังกล่าวชี้ไปในทิศทางเดียวกับที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขทั่วสหรัฐฯ เน้นย้ำมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาว่า วัคซีน COVID-19 มีประสิทธิภาพสูงมากในการป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตจาก COVID-19 และเป็นอาวุธที่ดีที่สุดของประเทศในการชะลอการแพร่ระบาดของโรคระบาดใหญ่และหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมานไปมากกว่านี้

CDC รายงานว่า มีเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้อ 6,587 รายจนถึงวันที่ 26 กรกฎาคม โดยมี 6,239 คนป่วยหนักถึงขั้นเข้ารักษาตัวในโรงพงพยาบาล และในนั้นเสียชีวิต 1,263 ราย แต่ CNN ระบุว่า ในช่วงเวลาเดียวกันมีประชาชนมากกว่า 163 ล้านคนในสหรัฐฯ ที่ฉีดวัคซีน COVID-19 ครบแล้ว

สำนักข่าว CNN รายงานว่า เมื่อแยกตามอาการของเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้อ พบว่ามีไม่ถึง 0.004% ที่ป่วยหนักถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลและไม่ถึง 0.001% ที่เสียชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น ราว 74% ของเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้อทั้งหมด ยังเกิดขึ้นในกลุ่มคนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป

Photo : Shutterstock

อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวของ CNN ระบุว่า นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ทาง CDC มุ่งเน้นตรวจสอบเฉพาะเคสป่วยหนักและเสียชีวิตจาก COVID-19 ในกลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนครบแล้วเท่านั้น ไม่รวมถึงเคสอาการป่วยเล็กๆ น้อยๆ

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ เผยแพร่รายงานฉบับหนึ่งเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ว่า ตัวกลายพันธุ์เดลตาก่อปริมาณไวรัสพอๆ กับในคนที่ฉีดวัคซีนแล้วกับคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนหากพวกเขาติดเชื้อ และพวกผู้เชี่ยวชาญบอกต่อว่า แม้วัคซีนทำให้ผู้ฉีดมีความเป็นไปได้น้อยลงที่จะติดเชื้อ แต่หากคนเหล่านั้นติดเชื้อ พบว่าพวกเขามีแนวโน้มแพร่กระจายเชื้อได้แบบเดียวกับคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน

ผลการศึกษาดังกล่าวโน้มน้าวให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญของ CDC อัปเดตคำแนะนำด้านการสวมหน้ากากในวันอังคารที่ 3 ส.ค. แนะนำให้คนฉีดวัคซีนครบแล้วกลับมาสวมหน้ากากยามอยู่ในร่ม ตามพื้นที่ต่างๆ ที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในระดับสูง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อตัวกลายพันธุ์เดลตา ส่วนคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนนั้นยังคงแนะนำให้สวมหน้ากากต่อไปจนกว่าจะฉีดวัคซีนครบแล้ว

Photo : Shutterstock

CNN รายงานต่อว่า นอกเหนือจากเคสอาการรุนแรงแล้ว ผลการวิเคราะห์ข้อมูลของทางการโดยมูลนิธิ Kaiser Family Foundation ยังพบว่าเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อในทุกกรณี ทั้งป่วยเล็กน้อย ป่วยหนัก และเสียชีวิตถือว่าเกิดขึ้นน้อยมากๆ

มีราวๆ ครึ่งหนึ่งของรัฐต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ ที่รายงานเกี่ยวกับเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อ COVID-19 และในแต่ละรัฐดังกล่าวมีไม่ถึง 1% ที่เกิดเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้อ ไล่ตั้งแแต่ระดับ 0.01% ในคอนเนตทิคัต ไปจนถึง 0.9% ในโอคลาโฮมา

มูลนิธิ Kaiser Family Foundation ยังพบด้วยว่ามากกว่า 90% ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ และมากกว่า 95% ของผู้ป่วยหนักถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิต เป็นกลุ่มคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน ในนั้นหลายรัฐมีเคสผู้ติดเชื้อใหม่ที่เป็นคนยังไม่ฉีดวัคซีนคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 98% เลยทีเดียว

ผู้เชี่ยวชาญเน้นว่าแม้คนฉีดวัคซีนครบแล้วยังสามารถแพร่กระจายเชื้อไวรัสได้ แต่วัคซีนยังคงปกป้องพวกเขาได้เป็นอย่างดีจากการติดเชื้ออาการหนัก ทั้งนี้ ท่ามกลางจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องจากตัวกลายพันธุ์เดลตา พวกผู้นำท้องถิ่นทั่วอเมริการายงานว่า ผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลส่วนใหญ่ คือกลุ่มคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน

บรรยากาศการต่อคิวเข้ารับวัคซีน COVID-19 ในนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ

ด้วยตัวกลายพันธุ์เดลตาแพร่เชื้อได้ง่ายมาก อดีตเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรัฐฯ รายหนึ่งจึงเตือนว่าประชาชนที่ไม่ได้รับการป้องกัน ทั้งจากวัคซีนและจากการเคยติดเชื้อมาแล้ว ดูเหมือนคงไม่รอดพ้นจากการติดเชื้อ

ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเคสผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นและความอันตรายของสายพันธุ์เดลตา อัตราการเข้าฉีดวัคซีนของประชาชนในสหรัฐฯ กลับมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 สัปดาห์หลังสุด โดยรัฐต่างๆ ที่เคยล้าหลังในโครงการฉีดวัคซีน พบเห็นจำนวนประชาชนฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซีเอ็นเอ็นวิเคราะห์ข้อมูลของซีดีซี

เวลานี้ค่าเฉลี่ย 7 วัน ประชาชนรายใหม่เข้าฉีดวัคซีนในสหรัฐฯ อยู่ที่ 652,084 ราย เพิ่มขึ้นจาก 3 สัปดาห์ที่แล้ว 26%

Source

]]>
1345166
“ไบเดน” ตั้งเป้าปี 2030 รถใหม่ในสหรัฐฯ 50% ต้องเป็น “รถยนต์ไฟฟ้า” https://positioningmag.com/1345513 Fri, 06 Aug 2021 06:53:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1345513 มุ่งสู่พลังงานสะอาด! “โจ ไบเดน” ประกาศเป้าหมายปี 2030 ผลักดันให้รถยนต์ใหม่ในสหรัฐฯ 50% เป็นยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงจะออกนโยบายกำกับมาตรฐานการปล่อยมลพิษของรถยนต์และรถบรรทุก เพื่อแก้ไขต้นเหตุปัญหาโลกร้อนที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา

ทำเนียบขาวเปิดการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2021 ถึงแนวนโยบายการแก้ไขปัญหาโลกร้อนด้วยการลดการปล่อยมลพิษของยานพาหนะ โดยประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” เตรียมเซ็นคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อกำหนดให้รถยนต์และรถบรรทุกที่ออกขายใหม่อย่างน้อย 50% ต้องเป็นยานยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2030

ณ ทำเนียบขาวพร้อมด้วยสักขีพยานคือกลุ่มผู้ประกอบการผลิตรถยนต์และกลุ่มสหภาพแรงงาน ไบเดนได้ประกาศอนาคตของอุตสาหกรรมรถยนต์ว่าจะต้องเป็น “ยานยนต์ไฟฟ้าและไม่มีทางหวนกลับ”

“คำถามก็คือ เราจะเป็นผู้นำหรือผู้ตามในการแข่งขันสู่อนาคต” ประธานาธิบดีไบเดนกล่าว “เราเคยเป็นผู้นำเทคโนโลยีด้านนี้และเราสามารถกลับเป็นผู้นำได้อีกครั้ง แต่เราจะต้องเดินหน้าอย่างรวดเร็ว ส่วนอื่นของโลกได้เดินหน้าไปก่อนเราแล้ว เราจะต้องตามให้ทัน”

โจ ไบเดน ระหว่างแถงนโยบายรถยนต์ไฟฟ้า 2030

นอกจากเป้าหมายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (EPA) และ กระทรวงคมนาคมแห่งสหรัฐฯ ยังกำหนดมาตรฐานใหม่ด้านการเผาไหม้เชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ทั้งหมดด้วย เป็นการขันน็อตมาตรฐานการปล่อยมลพิษให้แน่นขึ้นหลังจากหละหลวมไปในยุคของ “โดนัลด์ ทรัมป์” โดยตั้งแต่ปี 2023 รถยนต์ใหม่จะต้องปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลง 10% เทียบกับปีก่อนหน้า และจะต้องปล่อยลดลงอีก 5% ต่อปีไปจนถึงปี 2026

นโยบายนี้เกิดขึ้นจากการพูดคุยระหว่างรัฐบาลไบเดนกับกลุ่มผู้ประกอบการรถยนต์นานหลายเดือน โดยทำเนียบขาวหวังว่าจะเข้าคู่ลงล็อกพอดีกับกฎหมายใหม่ที่จะออกมาเพื่อวางโครงสร้างพื้นฐานสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า งบประมาณใหม่นี้จะนำมาใช้ยกระดับจุดชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าทั่วสหรัฐฯ

สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า บนไฮเวย์ระหว่างเมืองลอสแอนเจลิสกับลาสเวกัส (Photo : Shutterstock)

รัฐบาลไบเดนระบุว่านโยบายเหล่านี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 2 พันล้านตัน และประหยัดการใช้น้ำมันไป 2 แสนล้านตัน รวมถึงประหยัดค่าเชื้อเพลิงของคนขับทุกคนได้อีกหลายร้อยดอลลาร์

ปัจจุบันรถอีวีมีสัดส่วนไม่ถึง 2% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในสหรัฐฯ ปี 2020 เพราะคนอเมริกันส่วนใหญ่ยังนิยมรถ SUV ขนาดใหญ่ที่กินน้ำมันสูง

อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้ากำลังทำยอดขายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และบรรดาผู้ผลิตต่างแข่งขันกันออกรถอีวีรุ่นใหม่กันอย่างต่อเนื่อง พร้อมตั้งเป้าลุยตลาดอีวี เช่น Ford เพิ่งออกรถอีวีรุ่นใหม่ F-150 ซึ่งต่อมากลายเป็นรถยนต์ที่ขายดีที่สุดของอเมริกานับตั้งแต่ทศวรรษ 1980s

Ford F-150 Lightning

Ford, GM และ Stellantis ยังมีแถลงการณ์ร่วมกันด้วยว่า ภายในปี 2030 บริษัทตั้งเป้าทำให้ 40-50% ของยอดขายรวมของบริษัทมาจากรถยนต์ไฟฟ้า แถลงการณ์ดังกล่าวยังระบุอีกว่า เป้าหมายนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลกลางมีแรงจูงใจให้ประชาชนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จไฟฟ้า และสนับสนุนงบการวิจัยและพัฒนา

ขณะที่กลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมบางส่วนมองว่านโยบายของไบเดนยังคงช้าเกินไป “เราเสียเวลาดำเนินการด้านภาวะโลกร้อนไป 4 ปีแล้วในยุคโดนัลด์ ทรัมป์ และเราไม่สามารถจะเสียเวลามากไปกว่านี้ได้อีก” เบคคา เอลลิสัน ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านนโยบายที่ Evergreen Action กล่าว “เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการต่อต้านภาวะโลกร้อนของเรา และการสร้างอนาคตที่มีมลพิษร้ายน้อยลง รวมถึงสร้างงานดีๆ มากขึ้น ประธานาธิบดีไบเดนควรจะออกนโยบายที่เร่งหนทางไปสู่การใช้รถอีวีที่เร็วกว่านี้”

ไบเดนเคยวางเป้าหมายให้อเมริกา “ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์” ภายในปี 2050 เป็นเป้าหมายที่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเมริกาหยุดขายรถยนต์ใช้น้ำมันภายในปี 2035 การตั้งเป้า “50%” ของไบเดนจึงถูกวิจารณ์จากกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมว่าเป็นเป้าที่ต่ำเกินไป

Source

]]>
1345513