อาหารสัตว์เลี้ยง – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 17 Nov 2022 03:27:33 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 TU สปินออฟ “ไอ-เทล” บริษัท OEM “อาหารสัตว์เลี้ยง” Top 10 โลก IPO เคาะราคา 30-32 บาท/หุ้น https://positioningmag.com/1408531 Wed, 16 Nov 2022 09:38:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1408531 ไทยยูเนี่ยน (TU) สปินออฟบริษัทลูก “ไอ-เทล” เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิด IPO ราคา 30-32 บาท/หุ้น โดยบริษัทนี้เป็นผู้ผลิต “อาหารสัตว์เลี้ยง” รายใหญ่ในระดับ Top 10 ของโลก มองเทรนด์อนาคตเข้าทางเพราะคนทั่วโลกหันมาเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกครอบครัว ยอมใช้จ่ายสูงขึ้นเพื่อดูแลสัตว์เลี้ยงแสนรัก คาดการณ์ตลาดโลกโตเฉลี่ยปีละ 7.1%

บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC เริ่มเดินหน้าโรดโชว์ก่อนเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) โดยประกาศเปิดขายหุ้น IPO จำนวนรวมไม่เกิน 660 ล้านหุ้น ด้วยช่วงราคาเสนอขาย 30-32 บาทต่อหุ้น รวมคิดเป็นมูลค่าเสนอขายไม่เกิน 21,120 ล้านบาท โดยหุ้น IPO จะคิดเป็นไม่เกิน 22% ของจำนวนหุ้นสามัญหลัง IPO

ITC จะพร้อมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นได้ระหว่างวันที่ 22-25 พฤศจิกายน 2565 และเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในเดือนธันวาคม 2565

คณะผู้บริหาร ITC

“ไอ-เทล” ทำธุรกิจอะไร?

ชื่อบริษัท “ไอ-เทล” อาจฟังไม่คุ้นหูนัก แต่จริงๆ บริษัทดำเนินธุรกิจผลิต “อาหารสัตว์เลี้ยง” มานาน 45 ปี ภายใต้เครือไทยยูเนี่ยน (TU) และเพิ่งปรับโครงสร้าง เปลี่ยนชื่อบริษัทเพื่อเตรียมเข้าตลาดหุ้นเมื่อปี 2564 นี้เอง

“พิชิตชัย วงศ์ปิยะ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงประวัติบริษัทว่า แต่เดิมเริ่มต้นจากการนำ by-products เศษเหลือของการผลิตอาหารทะเลที่เป็นอาหารมนุษย์ของ TU มาเพิ่มมูลค่าด้วยการผลิตเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง

แต่พฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ TU ตั้ง “Global Pet Care Business Unit” ขึ้นในปี 2558 เห็นได้ชัดว่า วันนี้อาหารสัตว์เลี้ยงไม่ใช่ by-products ของอาหารคนอีกต่อไป แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องสร้างนวัตกรรมเพื่อสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ

 

ตลาดใหญ่อยู่ในอเมริกา เน้นหนักอาหาร “แมว”

ลักษณะธุรกิจของไอ-เทล ทำรายได้ 99% จากการรับจ้างผลิต (OEM) มีรายได้จากแบรนด์ของตนเอง (own brand) เพียง 1% โดยมีแหล่งผลิตอยู่ 2 แห่ง คือ โรงงานจ.สมุทรสาคร และโรงงานจ.สงขลา

การรับ OEM อาหารสัตว์เลี้ยงของบริษัท ถือเป็นรายใหญ่ระดับ Top 10 ของโลก ปัจจุบันไอ-เทลส่งออกไปกว่า 45 ประเทศทั่วโลก มีคู่ค้าสำคัญที่สั่งซื้อสินค้าไปขายภายใต้แบรนด์อย่าง Mars Petcare และ The J.M.Smucker Co. ซึ่งเป็นแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำในสหรัฐฯ รวมถึง Aixia แบรนด์ชั้นนำของญี่ปุ่น

ITC ไอ-เทล IPO

หากคิดเป็นสัดส่วน ขณะนี้ตลาดใหญ่ที่สุดของไอ-เทล คือ ทวีปอเมริกา 46.2% รองมาคือทวีปเอเชียและโอเชียเนีย 34.4% และตามด้วยทวีปยุโรป 19.4%

พิชิตชัยยังอธิบายถึง “ความแข็งแรง” ของบริษัท มีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงประเภท “อาหารเปียก” และ “ขนมสัตว์เลี้ยง” และสัดส่วนใหญ่ของสินค้าจะอยู่ในกลุ่มอาหารแมวถึง 83% ที่เหลือ 17% เป็นอาหารสุนัข

IPO ไอ-เทล

ความแข็งแรงในนวัตกรรมขนมสัตว์เลี้ยงและอาหารแมวนั้นไอ-เทลคาดว่าจะเป็นข้อได้เปรียบของบริษัท โดยพิชิตชัยเสนอให้เห็นเทรนด์การเลี้ยงสัตว์ของคนในปัจจุบันมีการ ‘Humanization’ เลี้ยงสัตว์เหมือนเป็นสมาชิกของครอบครัวคนหนึ่ง ทำให้ตลาดจะต้องการ “ขนมสัตว์เลี้ยง” มากขึ้น

รวมถึงไอ-เทลยังพบว่า ตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่นนั้นนิยมเลี้ยงแมวมากขึ้น โอกาสเติบโตของ “อาหารแมว” จะมีมากกว่าอาหารสุนัข

 

OEM ที่คิดค้นนวัตกรรมพร้อมเสิร์ฟลูกค้า

ด้าน “นคร นิรุตตินานนท์” ประธานเจ้าหน้าที่ด้านปฏิบัติการของ ITC อธิบายถึงจุดแข็งของบริษัทที่ทำให้ได้เปรียบคู่แข่ง มาจากการเน้นหนักการเป็นอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียมที่มาจากการคิดค้น “นวัตกรรม” ทำให้ลอกเลียนแบบสูตรได้ยาก

“ฐานข้อมูลด้านสารอาหารของเราเชื่อว่านำหน้าคนอื่นไปกว่า 10 ปี” นครกล่าว

ปัจจุบันไอ-เทลจึงมีสินค้าถึง 5,187 SKUs และมีการคิดค้นเพิ่มปีละกว่า 1,000 รายการ เพื่อตอบโจทย์ทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงทุกช่วงวัย ทุกความต้องการทางสุขภาพ ลักษณะอาหารหรือรสชาติที่ต้องการ และบริษัทยังพร้อมจะ ‘customize’ ให้ลูกค้าที่ต้องการลักษณะเฉพาะสำหรับแบรนด์ตนเอง ซึ่งทำได้ก็เพราะมีศูนย์ R&D ของตนเอง จึงเป็น OEM ที่ไม่ได้หยุดนิ่งรอการสั่งซื้อเท่านั้น

 

กินตลาดใหญ่แล้วแต่ยังโตได้อีก

ITC รายงานผลประกอบการปี 2564 ทำรายได้ 14,500 ล้านบาท และมีการเติบโตเฉลี่ย 15% ในช่วง 3 ปีย้อนหลัง (2562-64) โดยมีอัตราการทำกำไรจากการดำเนินงานเฉลี่ยอยู่ในช่วง 15-20% มาโดยตลอด

ขณะที่รอบ 9 เดือนแรกปี 2565 ทำรายได้ไป 15,829 ล้านบาท เติบโต 52.5% YoY และทำกำไรสุทธิ 3,700 ล้านบาท

ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกมีการเติบโตที่ดี โตเฉลี่ยปีละ 5.8% ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา (2558-2564) แต่แนวโน้มอนาคตก็ยังจะโตมากขึ้น อ้างอิงการวิจัยโดย Frost & Sullivan คาดว่าตลาดมูลค่า 5 ล้านล้านบาทนี้ จะโตเฉลี่ยปีละ 7.1% ในรอบ 5 ปีข้างหน้า (2565-69) เพราะเทรนด์การเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกในครอบครัว และเทรนด์ครัวเรือนที่ไม่มีบุตรแต่จะเลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อนแทน

ทำให้แผนของไอ-เทลต้องการจะหาโอกาสเติบโตต่อไป “พรชัย ตติยชัยทวีสุข” รักษาการประธานเจ้าหน้าที่ด้านการพาณิชย์ของ ITC เปิดกลยุทธ์ 3 ด้านที่จะสร้างการเติบโตให้ ITC ดังนี้

1.ขยายส่วนแบ่งในตลาดเดิม เช่น สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น
  • เจาะกลุ่มลูกค้าห้างค้าปลีกที่ต้องการมีแบรนด์ของตนเอง (Private Label)
  • เพิ่มสินค้านวัตกรรม เช่น ขนมสัตว์เลี้ยง ซึ่งคาดว่าจะโต 11.0% ต่อปีในรอบ 5 ปีข้างหน้า (สูงกว่าค่าเฉลี่ยรวมของตลาด)
2.เพิ่มน่านน้ำใหม่ ในตลาดใหม่ที่กำลังเติบโตสูง เช่น จีน อังกฤษ
  • ร่วมมือกับแบรนด์คู่ค้านอกประเทศจีนที่ต้องการส่งแบรนด์เข้าเจาะตลาดจีน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเข้าสู่ตลาดจีนได้ง่ายขึ้น
  • รับจ้างผลิตให้กับแบรนด์ท้องถิ่นจีนซึ่งต้องการสินค้าระดับพรีเมียม โดยขณะนี้บริษัทมีข้อตกลงกับอีคอมเมิร์ซรายใหญ่รายหนึ่งให้ผลิตสินค้าภายใต้ Private Label ของอีคอมเมิร์ซเรียบร้อยแล้ว
  • รับจ้างผลิตให้กับห้างค้าปลีกที่ต้องการ Private Label ของอังกฤษ โดยไอ-เทลมีจุดแข็งที่สนองตลาดอังกฤษได้เนื่องจากมีนโยบาย ESG ร่วมกับ TU บริษัทแม่มาโดยตลอด
3.ผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มมูลค่า
  • อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีคุณค่าทางสารอาหารและให้ผลจริง
  • อาหารสัตว์เลี้ยงที่ทำจากโปรตีนทางเลือก เช่น แมลง
  • อาหารและเครื่องดื่มสัตว์เลี้ยงที่ผลิตเลียนแบบอาหารคน ตอบโจทย์ Humanization เช่น เบียร์สัตว์เลี้ยง ให้เจ้าของได้ทำกิจกรรมร่วมกับสัตว์เลี้ยงในแบบเดียวกัน
อาหารสัตว์เลี้ยง ไอ-เทล
อาหารสัตว์เลี้ยงที่ทำเลียนแบบอาหารคน ให้สัตว์เลี้ยงได้มีไลฟ์สไตล์เดียวกับเจ้าของ

 

ระดมทุนสร้างโรงงานใหม่และการ R&D

จากแผนการเติบโตทั้งหมดของไอ-เทล ทำให้การระดมทุนครั้งนี้มีขึ้นเพื่อนำไปใช้ในการลงทุนต่างๆ เหล่านี้

  • สร้างโรงงานแห่งใหม่ ในบริเวณเดียวกับโรงงาน จ.สมุทรสาคร จะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 7%
  • ซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์เพิ่มเติมสำหรับโรงงานต้นแบบ
  • ปรับปรุงโรงงานและเครื่องจักรในโรงงานเดิม
  • ระบบอัตโนมัติในการติดฉลากและบรรจุสินค้า
  • เพิ่มคลังสินค้าระบบอัตโนมัติทั้งที่สมุทรสาครและสงขลา
  • สร้างศูนย์ปฏิบัติการทดสอบรสชาติอาหารแมว “Cattery”
  • ดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม
]]>
1408531
ทำไม “เนสท์เล่” ต้องลงทุนใหญ่ 4,500 ล้าน ขยาย 3 โรงงานในไทย เร่งเสริมพอร์ต “อาหารสัตว์เลี้ยง” https://positioningmag.com/1307826 Thu, 26 Nov 2020 17:18:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1307826 เเม้วิกฤต COVID-19 จะทำให้ผู้คนซื้อสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภคมากขึ้น เเต่ภาพรวมของธุรกิจ FMCG (Fast Moving Consumer Goods) ก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย

วันนี้เนสท์เล่” (Nestlé) ผู้ผลิตอาหารเเละเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลก ฉายภาพธุรกิจในไทย เทรนด์ผลิตภัณฑ์ที่ยังเติบโต กลยุทธ์รุกตลาดอีคอมเมิร์ซ พร้อมประกาศเเผนลงทุนปีนี้และปีหน้า ด้วยการขยาย 3 โรงงานในไทย เป็นเม็ดเงินถึง 4,500 ล้านบาท เสริมพอร์ตสินค้ากลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง ไอศกรีม เเละยูเอชที

อะไรเป็นเหตุผลที่เนสท์เล่ตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ในรอบหลายปีกับสินค้าเหล่านี้เราจะมาหาคำตอบกัน

เนสท์เล่เข้ามาทำตลาดไทยได้ 126 ปีเเล้ว ปัจจุบันมีโรงงานในไทยทั้งสิ้น 7 เเห่ง มีพนักงานราว 3,300 คน (จากทั่วโลก 3 เเสนคน) โดยเเผนขยายโรงงาน 3 เเห่งดังกล่าวจะเป็นการสร้างใหม่ 2 เเห่ง เเละขยายจากโรงงานเดิม 1 เเห่ง

วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า ให้สัมภาษณ์ว่า เนสท์เล่ ก็เป็นเหมือนหลายบริษัททั่วโลกที่ต้องปรับตัวเพราะสถานการณ์ COVID-19 โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบหลักๆ คือ สินค้ากลุ่มบริโภคนอกบ้าน อย่างเช่น น้ำดื่ม ไอศกรีมเเละขนม

ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มสินค้าที่เติบโตได้ดี เเละช่วยพยุงรายได้ของบริษัทไว้ได้ คือกลุ่มสินค้าในครัวเรือน เช่น กาแฟ นม ซอสปรุงรส เพราะผู้คนต้องใช้เวลาอยู่บ้านเเละทำอาหารกินเองมากขึ้นนั่นเอง

ผลประกอบการยังเป็นไปตามเป้า ภาพรวมยังเป็นที่น่าพอใจ เพราะเหมือนเป็นการปรับพอร์ตสินค้าในการเติบโต โดยคาดว่ารายได้ของเนสท์เล่ในไทยปีนี้ จะเติบโตราว 1 digit”

วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า

แม้ว่าการทำธุรกิจในช่วงนี้ จะเจอกับความท้าทายหลายด้าน แต่ผู้บริหารเนสท์เล่บอกว่ายังเชื่อมั่นในศักยภาพของไทย เเละมองว่างบลงทุนกว่า 4.5 พันล้านบาทครั้งนี้ จะเป็นการสร้างการเติบโตในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีไปยังธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างกัมพูชา ลาว และเมียนมาด้วย

ประกอบกับเนสท์เล่มีการทำสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่า พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนแปลงใน 5 ด้าน ได้แก่

  • เลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
  • ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการมองหาของกินเล่น เพื่อเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างวัน
  • ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของสินค้าจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เเน่นอน
  • ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนทั้งด้านบรรจุภัณฑ์ที่ต้องรีไซเคิลได้ มีกระบวนการผลิตที่ไม่เป็นพิษต่อโลก
  • นิยมใช้บริการอีคอมเมิร์ซ สั่งอาหารเเละซื้อสินค้าเเบบเดลิเวอรี่ เพิ่มขึ้นมากหลังวิกฤต COVID-19

อินไซต์เทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปนี้ ทำให้บริษัทต้องออกสินค้าใหม่ เเละขยายกำลังผลิตในสินค้าที่จะเติบโตได้ดี โดยเนสท์เล่เลือกที่จะขยายการลงทุนใน 3 โรงงาน กับ 3 กลุ่มสินค้าด้วยกันคือ อาหารสัตว์เลี้ยง ไอศกรีม เเละยูเอชที

อาหารสัตว์เลี้ยงคนซื้อราคาพรีเมียม เเม้ต้องประหยัด

ปัจจุบันมีคนจำนวนมากหันมาดูเเลสัตว์เลี้ยงเพื่อคลายเหงามากขึ้น ทำให้ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในไทยเติบโต 9% จากปีที่ผ่านมา

“เเม้ในช่วง COVID-19 ที่หลายครอบครัวเริ่มลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เเต่กำลังซื้อในตลาดสัตว์เลี้ยงยังไม่มีตก” 

สอดคล้องกับเทรนด์โลกที่พบว่า ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเเบบ “พรีเมียม” ขยายตัวสูงเช่นกัน เเละมีประชากรสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะเเมวเเละสุนัข โดยคนไทยนิยมดูเเลสัตว์เลี้ยงเหมือนคนในครอบครัว ซึ่งการที่คนรุ่นใหม่เเต่งงานช้า มีลูกน้อยลงเเละใช้ชีวิตคนเดียวมากขึ้นก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดนี้เติบโต

“ผู้คนยอมตัดค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ เเต่ไม่ยอมตัดค่าใช้จ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยง เเถมยังยินดีจ่ายมากขึ้นเพื่ออาหารพรีเมียมให้สัตว์เลี้ยง

จากเเนวโน้มการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้กับสัตว์เลี้ยงของตัวเอง เนสท์เล่ จึงตัดสินใจทุ่มลงทุนกว่า 2,550 ล้านบาท “สร้างโรงงานแห่งใหม่” ในนิคมอมตะนคร มีกำหนดเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงกลางปี 2021 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และเสริมพอร์ตโฟลิโอในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงของเนสท์เล่ ซึ่งมีเเบรนด์ที่ติดตลาดอยู่ในมือเเล้ว อย่างเพียวริน่า, ฟริสกี้ส์, อัลโป เเละซุปเปอร์โค้ท เป็นต้น

ภาพจำลองโรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงเเห่งใหม่ของเนสท์เล่ จะเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงกลางปี 2021

ปั้นรสชาติใหม่ๆ ตีตลาดไอศกรีมไทย 

ไอศกรีมยังเป็นสินค้าที่ขายดี “เมื่อคนเครียด” อยากหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาที่ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการมองหาของกินเล่น

เเม้ไอศกรีมของเนสท์เล่จะโดนผลกระทบจาก COVID-19 แต่เชื่อว่าเมื่อสถานการณ์กลับมาปกติ ยอดขายก็จะกลับมาเหมือนเดิม การทุ่มลงทุน 440 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังผลิตไอศกรีม ณ โรงงานบางชันครั้งนี้ จึงเป็นการลงทุนเพื่อตลาดระยะยาว เพื่อออกไอศกรีมรสชาติใหม่ๆ ออกมาสู่ตลาด

ปัจจุบันสินค้าประเภทไอศกรีมคิดเป็นส่วนแบ่งราว 10% ของเนสท์เล่ มียอดขายเติบโตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้มีการเจาะตลาดคนไทยด้วยการนำ “ไอศกรีมโมจิ” ที่นำเทรนด์จากเกาหลีและญี่ปุ่นมาเปิดตลาดในไทย รวมถึง “ไอศกรีมคิทแคทและโอริโอ” ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดี

นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังไม่ได้มองหาเเค่ไอศกรีมรสชาติใหม่ๆ แต่ยังมองหาสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ทำให้เนสท์เล่ต้องขยับมาทำบรรจุภัณฑ์ไอศกรีมที่ทำจากกระดาษ ไม่มีส่วนผสมของพลาสติก และสามารถรีไซเคิลได้ 100%

ยูเอชที : ต้องดีต่อสุขภาพ พกพาสะดวก

จากผลวิจัยของ Nielson พบว่า เครื่องดื่มยูเอชทีประเภทนมวัวและเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ยูเอสที จะมีการเติบโต 3% ในอีก 3 ปีข้างหน้า ชี้ให้เห็นว่าคนไทยกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ดีกับสุขภาพเเละพกพาสะดวก

ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้เนสท์เล่หันมาจับเทรนด์รักสุขภาพและต้องพกพาสะดวก โดยการออกผลิตใหม่อย่าง นมตราหมีในรูปแบบกล่อง (จากเดิมเป็นกระป๋อง) เเละออกไมโลรสชาติใหม่ สูตรไม่มีน้ำตาลทราย ตามเเนวโน้มผู้บริโภคคนไทยที่เลือกซื้อผลิตภัณฑ์น้ำตาล 0% มากขึ้นในอนาคต

โดยโรงงานแห่งสุดท้ายจะใช้งบลงทุนราว 1,530 ล้านบาท ซึ่งจะตั้งอยู่ที่นวนคร 7 เพื่อเพิ่มกำลังผลิตในเครื่องดื่มยูเอชที อย่างไมโลและนมตราหมี

“การลงทุนในครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์ของผู้บริโภคเป็นหลัก และจะช่วยสร้างการเติบโตในประเทศไทย”

ภาพโรงงานผลิตเครื่องดื่มยูเอชทีของเนสท์เล่ ที่นวนคร 7

ด้านการพัฒนา “อีคอมเมิร์ซ” ของเนสท์เล่นั้น ก่อนหน้าที่จะเกิด COVID-19 ไทยมีอัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซอยู่ที่ 30% แต่ตอนนี้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 100% ส่งผลให้ยอดขายออนไลน์ของเนสท์เล่โตกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 2 เท่า นำมาสู่การทุ่มงบอีก 50 ล้านบาทในปีนี้

“เราเริ่มตั้งทีมอีบิสซิเนส มาตั้งเเต่ปี 2018 ตอนนี้มีทีมงานเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า มีการลงทุนด้านระบบเเละบุคลากรต่อเนื่อง สร้างเทคโนโลยีด้านการตลาดโฆษณา และระบบการจัดการข้อมูลของเราเอง เพื่อนำเสนอสินค้า บริการ และพัฒนาการสื่อสารที่ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้า”

กำลังศึกษา “น้ำผสมวิตามิน” 

อีกหนึ่งเทรนด์เครื่องดื่มที่กำลังมาเเรงในเมืองไทย ตอนนี้บริษัทใหญ่-เล็ก กระโจนลงมาเล่นตลาด “น้ำผสมวิตามิน” กันไม่หยุด จากปีที่เเล้วตีตลาดเจ้าเดียว มาปีนี้เจอผู้ท้าชิงอีก 7-8 เจ้า ปล่อยทีเด็ดส่งเสริมการขายกันอย่างหนัก ตามเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง ทำให้เกิดคำถามว่า ยักษ์ใหญ่ FMCG อย่าง เนสท์เล่ จะลงมาเล่นสนามนี้หรือไม่ 

วิคเตอร์ เซียห์ ตอบว่า เนสท์เล่ยังอยู่ “ระหว่างการศึกษา” ตลาดของน้ำวิตามิน เพราะตลาดนี้ยังมีขนาดเล็กอยู่ไม่ถึง 5% ของตลาดเครื่องดื่ม “ยังไม่รู้ว่าจะเป็นกระแสที่คงอยู่ในระยะยาว หรือจะอยู่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ แล้วหายไป” เเต่มีเเผนจะเปิดตัวสินค้าเพื่อสุขภาพเเนวๆ นี้ อยู่ในช่วงปีหน้า เเต่ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุรายละเอียดที่เเน่ชัดได้

ต้องจับตาดูว่า หลังทุ่มงบสร้างโรงงานในไทยเเล้ว “เนสท์เล่” จะมีความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ อะไรออกมาเขย่าตลาดอีก 

 

 

]]>
1307826