ส่งผลให้ ความเป็นไทยไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่กลายเป็นพลังที่ช่วยขับเคลื่อนทั้งเศรษฐกิจ อีกด้วย สะท้อนจากการใช้จ่ายของคนไทยที่มีต่อสินค้าไทยต่อเนื่อง
โดย 3 อันดับหมวดหมู่สินค้าไทยที่มียอดใช้จ่ายต่อเดือนสูงสุด คือ
1.แฟชั่นไทย
2.เทศกาลและประเพณีไทย
3.เพลงไทย
หากจำแนกความสนใจ Thai made ตาม Generation พบว่า
จากกระแส Thai made ฮาคูโฮโด ได้แนะนำแบรนด์ให้นำอินไซด์ไปปรับใช้ให้ตรงกับกระแสและความต้องการของผู้บริโภค 2 ข้อ ดังนี้
1. Do Good, Feel Close Campaign
การทำบุญถือเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทย แบรนด์ต่าง ๆ สามารถเชื่อมโยงกับคนไทยได้อย่างมีความหมายผ่านแคมเปญ Do Good, Feel Close ด้วย Virtual Merit ที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนสามารถเข้าร่วมไลฟ์ส่วนตัวกับศิลปินคนโปรด โดยศิลปินจะร้องเพลงและร่วมทำบุญไปพร้อมกัน
การเข้าร่วมแคมเปญนี้ทำได้โดยการซื้อชุดทำบุญสุดพิเศษ ซึ่งประกอบไปด้วย ดอกไม้ หนังสือสวดมนต์ ที่ล้วนผลิตจากแบรนด์ และการ์ดขอบคุณจากศิลปิน ซึ่งแคมเปญนี้จะช่วยให้แฟน ๆ ของศิลปินมีส่วนร่วมกับแบรนด์มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังได้ทำบุญร่วมกันอีกด้วย
2. Heart & Heal: เติมเต็มหัวใจ ใส่ใจตัวเอง
กระแสรักตัวเอง หรือ Self-Love ยังคงมาแรงในคนไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญในการดูแลเอาใจใส่ตนเอง แบรนด์สามารถสร้าง Engagement ผ่าน ‘Message To Me: เขียนถึงตัวเองในอนาคต’ ด้วยการสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ให้ทุกคนสามารถเขียนข้อความให้กำลังใจตัวเอง
ซึ่งข้อความเหล่านี้จะถูกส่งกลับไปให้ผู้เขียนในอีก 3 หรือ 6 เดือนข้างหน้า เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้รักและเห็นคุณค่าในตัวเองมากยิ่งขึ้น
]]>เป็นไปในทิศทางเดียวกับการใช้จ่ายในเดือนนี้ที่ภาพรวมชะลอตัวลง -1% หลัก ๆ เป็น กทม. ปริมณฑล และภาคกลาง ลดลงสูงสุด -4% (ภาคอื่น ๆ ลดลง 0 ไปจนถึง -1%)
ส่วน แนวโน้มความต้องการใช้จ่ายสินค้า ภาพรวมลดลง 1% เมื่อเทียบกับเดือน ธ.ค. 67 โดยมีสินค้า 10 อันดับแรกแยกตามประเภท ที่เป็นที่ต้องการ ดังนี้
อย่างไรก็ดี ถึงเศรษฐกิจจะแย่แค่ไหน ในเดือนแห่งความรักการซื้อของขวัญให้คนที่รักยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง +2%
]]>จากคำตอบของผู้เข้าร่วมทำแบบทดสอบกว่า 1,200 คน ทั่วประเทศไทย พบว่า กว่า 88% เชื่อเรื่องการมู และกว่า 52% มองว่า การมูเป็น เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และแม้ว่าคนไทยจะเน้นเรื่องครอบครัวเป็นศูนย์กลาง แต่ 65% ขอพรเพื่อตัวเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่คิดถึงครอบครัว แต่อาจจะมีปัญหาบางอย่าง ความปรารถนาบางสิ่งที่ไม่สามารถบอกใครได้ เลยมาขอกับการมู
ที่น่าสนใจคือ อันดับ 1 ในการขอก็คือ เรื่องเงิน (44%) ตามด้วย เรื่องโชคลาภ (17%) ซึ่งก็ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินอยู่ดี ตามด้วยการมูเรื่อง สุขภาพ (12%) ส่วนการมูเรื่อง การงาน มีเพียง 8% เท่านั้น เนื่องจากคนไทยมองว่า การทำงานเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ใช่คำตอบสำหรับการนำไปสู่ความมั่นคงทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงกับผู้ชายก็มีความต้องการการมูที่ต่างกัน โดยผู้ชายมีแนวโน้มที่จะต้องการผู้รับฟัง แต่ผู้หญิงต้องการการฟันธง
“พฤติกรรมการมูสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะเศรษฐกิจ สังคม ความเหลื่อมล้ำต่าง ๆ เขามองว่าเขาไร้ที่พึ่ง การมูเตลูจึงเป็นเสมือนครึ่งยึดยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นเครื่องเสริมความมั่นใจ” กรรณ ทองศรี ผู้จัดการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ กล่าว
แม้ว่าจะเชื่อเรื่องมูเหมือนกัน แต่ใช่ว่าแต่ละเจนจะใช้วิธีมูเหมือน ๆ กัน โดย Gen X #มูแบบtraditional โดยคนที่อยู่ในช่วงอายุ 43 – 58 ปี เน้นเรื่องการ สวดมนต์ ไหว้พระ ทำบุญทำทาน โดยมองว่าเรื่องเหล่านี้เป็น Booster หรือเป็นตัวช่วย Top up ความพยายาม เสริมความหวังและกำลังใจให้แก่ตนเอง และด้วยช่วงอายุที่มากขึ้น ทำให้ชาว Gen X มีการมูเตลูเพื่อ ขอเรื่องสุขภาพมากกว่า เจนอื่น ๆ เพราะการมีสุขภาพที่ดี คือการเพิ่มความมั่นใจว่าชีวิตจะไม่สะดุด สามารถลุยงานและเอ็นจอยชีวิตได้อย่างเต็มที่ และยังลดความเสี่ยงในการเป็นภาระของคนรอบข้างอีกด้วย
“Gen X เติบโตในช่วงเริ่มต้นทุนนิยมในไทย เน้นการยึดหลักปฏิบัติและธรรมเนียมที่มีมาแต่รุ่นก่อน และมองว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องนี้ภูมิใจ และยืนหนึ่งเรื่องความพยายาม ทำให้การมูเป็นตัวเสริมความพยายามที่ทำ” ดวงแก้ว ไชยสุริวิรัตน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ กล่าว
Gen Y มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวคือ เปิดรับ และ ปรับตัวเก่ง โดยเปิดกว้างให้กับความศรัทธาแบบไร้ขีดจำกัด ได้ทุกศาสนาและความเชื่อ ขอแค่มอบผลลัพธ์ในสิ่งที่ตัวเองต้องการแบบเฉพาะเรื่องได้ โดย Gen Y เอง ถือเป็นช่วงอายุที่เป็นวัยสร้างตัว จึงมักได้ชื่อเล่นว่าเป็น เดอะแบก มีภาระหน้าที่ที่ต้องดูแลทั้งพ่อแม่และครอบครัวของตัวเอง ดังนั้นจึงโฟกัสกับ การเงินและการงานมากกว่าเจนอื่น เพื่อความมั่นคงและก้าวหน้าในชีวิต
“คนในช่วงอายุ 27 – 42 ปี เติบโตมาในช่วงจุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ อีกทั้งยังเป็นยุครอยต่อระหว่าง analog-to-digital จึงมีการเปิดรับและปรับตัวกับสิ่งใหม่ ๆ ได้เป็นอย่างดี” พร้อมพร สุภัทรวณิช รองผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลุยทธ์ กล่าว
สำหรับการมูแบบ Gen Z จะเป็นการ blend in แบบเนียน ๆ จะไม่ใช่การใส่เครื่องรางของขลังแบบเด่น ๆ แต่จะอยู่ในรูปแบบของ แฟชั่นและสีสันในชีวิตประจำวัน ใช้เพื่อเป็น Gimmick ทั้งในด้านการซัพพอร์ตและฮีลใจนั้น ไม่ว่าจะเป็นการ ใส่เสื้อผ้าสีมงคล เครื่องประดับมงคลชิ้นเล็ก ๆ หรือตั้ง วอลเปเปอร์บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากผู้ที่อยู่ในช่วงอายุ 11 – 26 ปี เติบโตในยุคดิจิทัลพร้อมปรับเปลี่ยน เพื่อสิ่งใหม่ ๆ และเอ็นจอยชีวิตได้ทุกสถานการณ์
โดย Gen Z จะเน้นมูไปที่ การงานและการเรียน เนื่องจากคนกลุ่มนี้ยังอยู่ทั้งในวัยเรียนและกำลังก้าวเข้าสู่วัยทำงาน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการค้นหาตัวเอง เลือกทางเดินในการมีอาชีพ และรายได้ที่มั่นคง เพื่ออนาคตที่สดใสและชีวิตที่ดีกว่าเดิม
“Gen Z เน้นมูแบบ blend in เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวัน มองการมูเป็น Gimmick เป็นลูกเล่น สีสัน เสริมพลังใจและใช้เป็น Topic ในการไปคุยกับเพื่อน ๆ ได้ ไม่ใช่แค่สร้างความมั่นใจแต่ยังเพิ่มเรื่อง Relationship ได้”
จากผลสำรวจดังกล่าวจะเห็นว่าผู้บริโภคเปิดใจกับการมูมาก และการมูก็มีผลต่อเรื่องการตัดสินใจจะซื้อสินค้า เพราะนอกจากฟังก์ชันนอลที่ลูกค้ามองหา เรื่องมูจะเข้ามาช่วยเรื่องอีโมชันนอล ดังนั้น จะเห็นว่าแบรนด์ใหญ่ ๆ ลงมาทำการตลาดเรื่องมู แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แบรนด์ก็ต้องทำให้เหมาะกับแบรนด์ และจะจับ Gen ไหนต้องชัดเจน
สำหรับ Gen X อาจจะเน้นการส่งเสริมไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อสุขภาพเป็นหลัก โดยสามารถเพิ่มความน่าสนใจและคุณค่าในแง่ของความสุขทางใจ ด้วยกิจกรรมมูเตลูที่พวกเขาคุ้นเคย เช่น กิจกรรมเดิน-วิ่ง 9 วัด ให้คน Gen X ได้สวดมนต์ ทำบุญขอพรและได้ออกกำลังกายไปพร้อม ๆ กัน หรือจัดทำ Packaging บทสวดมนต์/บทอวยพรมงคล ที่ช่วยให้สามารถสวดเพิ่มกำลังใจได้ทุกที่ทุกเวลา แต่แบรนด์ควรคำนึงถึงขอบเขต และความเหมาะสมตามธรรมเนียมและวิถีปฏิบัติที่ชาว Gen X ยึดถือด้วย
ส่วน Gen Y มีนิสัยเปิดกว้าง ชอบลองของใหม่ ชอบโพสต์และแชร์ชีวิตแบบฮิป ๆ ของตัวเอง ดังนั้น แบรนด์อาจ recommend การมูแบบใหม่ ๆ ที่ไม่มีมาก่อน โดยยึดหลัก จุดประสงค์ชัด ประสบการณ์ใหม่ ถ่ายรูปสวย เช่น “Meet and Mu” ทริปมูเตลูที่เน้น new spot ทั้งในและนอกประเทศ พร้อมการ tie-in สินค้าหรือบริการของแบรนด์ นอกจากจะได้มูตามศรัทธาแล้ว ยังเป็นโอกาสที่จะได้เที่ยวและพบปะเพื่อนใหม่ ๆ คอเดียวกัน และยังได้รูปสวย ๆ ไปโพสต์ได้ด้วย แต่ท้ายที่สุดแบรนด์ควรระวังความถูกต้องชัดเจนของข้อมูลต่าง ๆ เพราะคนเจนนี้ชอบค้นหา และแชร์ข้อมูลกับคนรอบข้าง
มูแบบมินิมอล หรือ มูแบบไม่ตะโกน คือ มอบความสนุก ความมั่นใจ ไม่ใช่ขายความเชื่อ จะถูกจริตชาว Gen Z ที่สุด แบรนด์สามารถเพิ่มโอกาสในการเชื่อมต่อกับคน Gen Z ได้ด้วยการเสริมเรื่องราวมูเตลูที่ ดูดีมีสไตล์ และ เอ็นจอยร่วมกันกับเพื่อน ๆ ให้กับสินค้าหรือบริการ เช่น จัดแพ็กสินค้าสีมงคล สำหรับทุก ๆ วัน หรือ สติกเกอร์รวมพลังเทพครบเซต อีกหรือทำสินค้าแฟชั่น/ accessories หรือกลุ่มบิวตี้ ที่มี สีมงคลพาสเทล เสริมความสนุกและความมั่นใจ ให้กับพวกเขาทั้งในชีวิตประจำวันและโลกออนไลน์
]]>สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) ร่วมกับ บริษัท ฮาคูโฮโด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ทำการสำรวจรอบเดือนธันวาคม 2565 พบว่า ความรู้สึกของคนไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และความต้องการซื้ออยู่ในจุดที่ดีที่สุดในรอบ 2 ปี เนื่องจากเป็นช่วงปลายปีซึ่งทำให้คนไทยต้องการเฉลิมฉลอง จับจ่ายซื้อของเพื่อตัวเองหรือครอบครัว จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ หรือเตรียมเดินทางไปท่องเที่ยว/กลับภูมิลำเนา
ในภาพรวมความสนใจข่าวสารของคนไทยจะสะท้อนได้ว่า คนไทยกำลังรู้สึกอย่างไรและสนใจเรื่องใดเป็นพิเศษ ซึ่งในช่วงปลายปีนี้ Top 10 ข่าวสารที่คนไทยสนใจ ‘ไม่มีเรื่องโควิด-19’ ส่วนกลุ่มเรื่องที่คนไทยสนใจช่วงนี้ เช่น น้ำท่วม พายุ เศรษฐกิจ ข่าวอาชญากรรม และเรื่องที่เกี่ยวพันกับการเมือง เห็นได้ว่าจะแตกต่างจากการสำรวจเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งข่าวไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนได้รับความสนใจอันดับ 1
ด้านอินไซต์ความต้องการซื้อสินค้าของคนไทย พบว่า แนวโน้มความต้องการซื้อ “สูงที่สุดในรอบ 2 ปี” โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 69 คะแนน จาก 100 คะแนน (เทียบกับเมื่อเดือนเมษายนเฉลี่ยอยู่ที่ 63 คะแนน) และถ้าแยกเป็นกลุ่มเพศ “ผู้หญิง” จะมีคะแนนความต้องการจับจ่ายมากกว่าค่าเฉลี่ย อยู่ที่ 70 คะแนน ซึ่งคาดว่าเกิดจากผู้หญิงมักจะนิยมซื้อของขวัญให้คนรอบข้างในช่วงสิ้นปี รวมถึงมี ‘emotional drive’ ซื้อด้วยอารมณ์อยากซื้อมากกว่า
ฮาคูโฮโดประเมินว่า ภาพรวมความต้องการซื้อที่มากขึ้นสัมพันธ์กับช่วงเทศกาลปลายปีซึ่งแบรนด์ต่างๆ จะจัดโปรโมชันสูง และบรรยากาศที่ทำให้คนไทยต้องการปลดล็อกออกมาจับจ่ายซื้อสินค้า ไม่ว่าจะให้กับตัวเองหรือเป็นของขวัญ
ในแง่สินค้าที่ผู้บริโภคต้องการจะซื้อสูงสุดในช่วงสิ้นปี 5 อันดับแรก ได้แก่ อาหาร, โทรศัพท์มือถือ, ของใช้ในชีวิตประจำวัน, เสื้อผ้า และการท่องเที่ยว
แต่ถ้ามองในกลุ่มสินค้าที่มีความต้องการซื้อ “เติบโตสูงสุด” ในช่วงสิ้นปี ได้แก่ เสื้อผ้า, โทรศัพท์มือถือ, การท่องเที่ยว, การทานอาหารนอกบ้าน และรถจักรยานยนต์
กลุ่มที่น่าสนใจคือการซื้อ ‘เสื้อผ้า’ ที่กลับมาเติบโตเพราะการออกนอกบ้านมากขึ้น รวมถึงการทานอาหารนอกบ้านก็กลับมาคึกคัก ทั้งหมดเพราะคนไทยไม่กังวลกับโควิด-19 แล้ว
หากแยกความต้องการซื้อเป็นแต่ละช่วงวัย ผลปรากฏว่า คน Gen X คือวัยที่สนใจซื้อสินค้าเพิ่มมากที่สุดในช่วงปลายปี โดยคนวัย 40-49 ปี มีความต้องการซื้อ 72 คะแนน และวัย 50-59 ปี มีความต้องการซื้อ 74 คะแนน เห็นได้ว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยมาก
ฮาคูโฮโดพบจากการวิจัยว่า คนในวัยนี้ซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีเพราะต้องการซื้อ “ของขวัญ” ให้คนรอบตัว สำหรับสานสัมพันธ์กับญาติสนิทมิตรสหายหรือให้ลูกหลาน รวมถึงเป็นกลุ่มที่นิยมหาโปรโมชันดีๆ เพื่อกักตุนสินค้าจำเป็น
อินไซต์นี้จะต่างจากคนวัย 20-29 ปี และวัย 30-39 ปี หรือกลุ่ม Gen Y จนถึง Gen Z ซึ่งจะใช้จ่ายไปกับการซื้อสินค้าเพื่อสร้าง ‘self-branding’ เช่น เสื้อผ้า ทานอาหารนอกบ้าน ไปร่วมงานอีเวนต์ เป็นสินค้าหรือกิจกรรมที่สามารถถ่ายรูปทำคอนเทนต์ลงโซเชียลได้
จากข้อมูลอินไซต์ข้างต้น “ธีรเมศร์ นิติจรรยาวงศ์” ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ บริษัท ฮาคูโฮโด อินเตอร์เนชั่นแนล (จำกัด) ให้แนวทางการตลาดที่ควรมีในช่วงปลายปีดังนี้
การจับจ่ายในช่วงท้ายปี คนไทยกำลังอินกับการเปิดรับสิ่งใหม่ ไม่ใช่แค่ให้รางวัลกับตัวเองแต่ซื้อเพื่อเติมเต็มความรู้สึกของผู้อื่นด้วย เช่น การแสดงความขอบคุณ ความรัก หรือ reconnect กับครอบครัว เพื่อก้าวสู่ปีใหม่ที่ดีกว่าเดิม ดังนั้น แบรนด์ควรกระตุ้นให้คนออกมาเปิดหูเปิดตา ด้วยกิจกรรมใหม่ๆ โดยใช้ keyword ‘การเปิด’ เพื่อสร้างอารมณ์การมีส่วนร่วมกับแบรนด์ทั้งในด้านการสื่อสาร (communication) และการสร้างประสบการณ์ร่วม (engagement) เช่น เปิดตู้เสื้อผ้าอัพลุคใหม่ เปิดประตูออกเดินทางไปเที่ยว
โควิด-19 ทำให้วิถีชิวิตคนไทยเปลี่ยนอย่างถาวร ช่องทางจับจ่ายเปลี่ยนไป แบรนด์จึงต้องประเมินช่องทางสร้างประสบการณ์กับลูกค้า (touchpoint) ทุกมิติทั้งออนไลน์หรือออฟไลน์ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางจำหน่าย การสื่อสาร หรือการจัดกิจกรรมกับลูกค้า จะต้องมีการผสมผสานกันไป เพราะลูกค้าจะเริ่มกลับมาหน้าร้านทางกายภาพ (physical) มากขึ้นในช่วงปลายปี ทำให้แบรนด์ที่เน้นออนไลน์มาก อาจจะต้องกลับมาพิจารณาออฟไลน์ด้วยเช่นกัน
ให้ข้อมูลโดย
]]>สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) จัดสำรวจ “ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคม” (Sei-katsu-sha) ทุกๆ 2 เดือน โดยในประเทศไทยรอบล่าสุดสำรวจเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม 2565 กลุ่มตัวอย่างเป็นคนไทยวัย 20-59 ปีจาก 6 ภูมิภาค จำนวน 1,200 คน
ผลสำรวจรอบนี้จัดทำเป็นรายงานประจำเดือนเมษายน 2565 ในด้าน “ความสุข” ของคนไทยอยู่ที่ 63 คะแนน ลดลง -2 คะแนน เทียบกับรายงานรอบเดือนกุมภาพันธ์ 2565 เนื่องจากโรค COVID-19 ยังระบาดอยู่ และมีปัจจัยความกังวลด้านเศรษฐกิจฝืดเคืองเข้ามาเสริม
เมื่อสำรวจประเด็นข่าวที่คนไทยให้ความสนใจมากที่สุด 10 อันดับ จะเห็นได้ว่าคนไทยสนใจเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และอาชญากรรมสูง ส่วนไวรัสโอมิครอนแม้จะยังอยู่อันดับ 1 แต่ได้รับความสนใจลดลงมาก ดังนี้
“จริงๆ แล้วคนไทยนั้นชอบช้อป แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ต่างๆ ตอนนี้ ทำให้สินค้าหลายๆ อย่างมีราคาสูงขึ้น ทั้งสินค้าอุปโภคและบริโภค ทำให้คนไทยระมัดระวังเรื่องของการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และซื้อของที่ไม่จำเป็นลดลง” ชุติมา วิริยะมหากุล ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) กล่าว
นั่นทำให้ผลสำรวจความต้องการซื้อสินค้าของคนไทย กลุ่มที่เพิ่มมากขึ้นคือ “อาหาร” มาเป็นอันดับ 1 สัดส่วน 25% และเติบโต 5% “ของใช้ในชีวิตประจำวัน” อันดับ 2 สัดส่วน 15% เติบโต 2% “ตู้เย็น/เครื่องใช้ไฟฟ้า” อันดับ 5 สัดส่วน 5% เติบโต 1% และ “รถยนต์” อันดับ 9 สัดส่วน 4% เติบโต 2%
ส่วนสินค้าที่คนไทยลดความต้องการลงคือ “เสื้อผ้า” “ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม” “การท่องเที่ยว” และ “คอมพิวเตอร์/แท็บเล็ต”
ในมุมนักการตลาด เมื่อพบว่าคนไทยมีความสุขลดลง และเคร่งเครียดจากข่าวอาชญากรรม เศรษฐกิจ คนไทยมองหาความมั่งคั่งมากกว่างานที่มั่นคง ต้องการรายได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้เป็นช่วง “สงกรานต์” ที่คนไทยยังให้ความสำคัญกับครอบครัวและยังมองหาของขวัญให้ญาติผู้ใหญ่อยู่ แม้จะรัดเข็มขัดมากก็ตาม
“พรนภัส สุลัยมณี” นักวางแผนกลยุทธ์ ฮาคูโฮโด เฟิร์ส (ประเทศไทย) จึงให้คำแนะนำแบรนด์ในการทำการตลาดที่ช่วยคลายเครียดและเน้นไปที่ครอบครัวเป็นหลัก ดังนี้
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม
]]>ชุติมา วิริยะมหากุล ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) เปิดเผยผลสำรวจทางออนไลน์ “การคาดการณ์พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศไทย” ซึ่งเป็นการสำรวจทุกๆ 2 เดือน รอบเดือนมิถุนายน 2564 มีการสำรวจชายหญิงจำนวน 1,200 คนจาก 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ พบข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้
1.แนวโน้มความต้องการใช้จ่ายลดลงอีกครั้ง – จาก 100 คะแนน ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อเฉลี่ย 54 คะแนน ลดลงจากรอบสำรวจรอบก่อน (เดือนเม.ย.64) ที่อยู่ที่ 56 คะแนน ทั้งนี้ เพศชายมีความต้องการซื้อลดลงมากกว่าเพศหญิง
2.ซื้อของจำเป็น – อาหาร ยังเป็นสินค้าที่คนต้องการซื้อมากที่สุด รองลงมาคือของใช้จำเป็น, เครื่องดื่ม, เสื้อผ้า, ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม โดยกลุ่มบิวตี้นี้ยังมีความต้องการซื้อแม้คนออกนอกบ้านน้อยลง เพราะถือเป็นสิ่งที่ช่วยในด้านจิตใจ3.ซื้อของใหญ่น้อยลง ยกเว้นจำเป็น – ในแง่สินค้าที่มีแนวโน้มการซื้อลดลงคือ เสื้อผ้า, การทานอาหารนอกบ้าน, โทรศัพท์มือถือ, เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน, รองเท้า-กระเป๋า สำหรับสินค้าอย่างมือถือและเครื่องใช้ไฟฟ้า ผู้บริโภคซื้อน้อยลงเพราะมีราคาสูง ต้องการระวังการใช้จ่าย แต่กลุ่มคนที่ซื้อเพราะต้องการนำมาใช้ประกอบอาชีพ เช่น ขายของออนไลน์ ลงทุนหุ้น-บิทคอยน์
4.คนไทยคาดว่าจะมีความสุขลดลง – จากคะแนน 100 คะแนน คนไทยให้คะแนนความสุขขณะนี้ที่ 65 คะแนน แต่อีก 3 เดือนข้างหน้า มีกลุ่มที่มองว่าจะมีความสุขลดลงเป็นสัดส่วน 11% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการสำรวจรอบก่อน
5.คนภาคตะวันออกรัดเข็มขัดหนักสุด – เมื่อแบ่งตามภูมิภาค พบว่า กลุ่มที่มีความต้องการใช้จ่ายลดลงมากและต่ำกว่าค่าเฉลี่ยคือ ภาคตะวันออก ซึ่งมีคะแนนเพียง 51 คะแนน โดยกลุ่มที่สำรวจให้เหตุผลว่าเพราะตนซื้อของตุนไว้เผื่อฤดูท่องเที่ยวแล้ว ทำให้ไม่ต้องการซื้อเพิ่ม และโควิดระลอกสามทำให้ไม่ได้ออกไปไหน ต้องประหยัดมากขึ้น
6.คนวัย 30-39 ปีต้องการประหยัด – กลุ่มวัยที่มีความต้องการใช้จ่ายต่ำลงมากคือวัย 30-39 ปี และรองลงมาคือ 20-29 ปี เนื่องจากรายได้ในวัยนี้ยังไม่มั่นคง จึงมีความกังวลมากกว่า และปกติมักจะใช้จ่ายในการทานข้าวนอกบ้านกับการท่องเที่ยว แต่ขณะนี้ยังต้องหลีกเลี่ยง อย่างไรก็ตาม วัยที่คาดว่าจะใช้จ่ายมากขึ้นกลับเป็นวัย 40-49 ปี
7.ข่าวโควิดกลับมาแรง – จากการสำรวจรอบก่อนที่ข่าวโควิดแม้จะเป็นอันดับ 1 ที่ถูกพูดถึงแต่กระแสเริ่มซาลง มาเดือนนี้ข่าวโควิดกลับมาแรงอีกครั้ง รวมถึงเรื่องวัคซีนก็กลายเป็นข่าวเกี่ยวเนื่องที่คนสนใจมาก ขณะที่ข่าวการเมืองเริ่มซาลงไปแทน อย่างไรก็ตาม มีเทรนด์ข่าวที่คนยังสนใจต่อเนื่องจากรอบก่อนคือ “หุ้นและบิทคอยน์” ซึ่งน่าจะมาจากการหาทางใหม่ในการสร้างรายได้ยุคนี้
ย้อนอ่านผลสำรวจรอบก่อนจากฮาคูโฮโด คลิก >> https://positioningmag.com/1326150
]]>Gen Z หรือกลุ่มคนที่มีอายุ 9-24 ปี (เกิด 1997 – 2012) ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนนักศึกษาและ First Jobber โดย Gen Z ถือเป็น Gen ที่จะกลายมาเป็นกำลังซื้อหลักในอนาคต เนื่องจากมีจำนวนถึง 25% ของประชากรในอาเซียน อย่างไรก็ตาม แม้คน Gen Z จะมีช่วงอายุที่ใกล้กับคนยุค Millennials แต่ก็มีความแตกต่างกันพอสมควร
ด้วยความที่ Gen Z เกินมาพร้อมอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย ไม่ได้ผ่านยุคแอนะล็อกเหมือนกับคน Gen อื่น ๆ ทำให้มีความเปิดโลกมากขึ้น อีกทั้ง Gen Z ยังเกิดมาในสภาวะเศรษฐกิจที่ดีกว่า Gen อื่น ทำให้สถานะครอบครัวมีความมั่นคงกว่า
อย่างไรก็ตาม Gen Z มักจะถูกมองว่าเป็น Gen ที่ ไม่ค่อยแคร์สังคม เน้นที่ความคิดตัวเองเป็นหลัก ติดมือถือชอบใช้โซเชียลตลอดเวลาโดยไม่ได้คิด ซึ่งพวกเขานั้นมองว่ากำลังถูกเข้าใจผิด
ในความเป็นจริงแล้ว Gen Z ไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่ที่ดูเป็นแบบนั้นเพราะ 48% รู้สึกว่ามีความสัมพันธ์แบบเพื่อน ค่อนข้างสนิท เพราะพ่อแม่ไม่ชอบการเลี้ยงดูแบบยุคเก่า และ 46% ถูกสอนให้ตั้งคำถามและมีมุมมองของตัวเอง เปิดกว้างต่อความคิดเห็นต่าง ๆ ได้มาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเข้าถึงโซเชียล ทำให้เปิดรับความเชื่อต่าง ๆ ได้มากกว่า
ขณะที่ 63% ของ Gen Z ถูกสั่งสอนให้เคารพต่อสังคมและประเพณี และคิดถึงครอบครัวเป็นหลัก โดย 67% โดยจุดมุ่งหมายทำให้พ่อแม่ภูมิใจ อยากทำงานดี ๆ จะได้เลี้ยงดูพ่อแม่ 61% มองว่าความสุขคือการ ถูกยอมรับจากคนรอบข้าง และ 70% ต้องการมีเพื่อนจำนวนมาก แต่ไม่ได้แปลว่าจะละทิ้งความเป็นตัวเองเพื่อให้เข้ากับเพื่อน
ในส่วนของการ ‘ให้ความสำคัญกับชีวิต’ (Life Value) ไม่น่าเชื่อว่า Gen Z ให้ความน้ำหนักกับความมั่นคง ครอบครัว และ Inner peace (ความสงบภายใน) เท่า ๆ กัน โดย Gen Z มองว่า ความสำเร็จเกิดจากความสุขของเขาและคนรอบข้าง โดย Gen Z ถือว่าเป็น Gen ที่พยายาม ‘บาลานซ์’ ความสุขของตัวเองและคนรอบข้าง
โดย 86% เห็นด้วยกับข้อความที่ว่า ชีวิตเป็นการเติมเต็มความรับผิดชอบ และ ชีวิตเป็นเรื่องของการรักตัวเอง และ 74% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นด้วยว่า ความสำเร็จ คือ การมีความสุขกับสิ่งที่เราเป็น ไม่ว่าคนอื่นจะว่าอย่างไร ชี้ให้เห็นว่า ตำแหน่งใหญ่โตและการหาเงินทองไม่ใช่สิ่งพิสูจน์ความสำเร็จสำหรับพวกเขา
“คนชอบบอกว่า Gen Z มีความสุดโต่ง สนใจเรื่องตัวเองมากกว่าสังคม อยากได้เงิน งาน เที่ยว ครอบครัว แต่จริง ๆ แล้ว เขามองว่าความสำเร็จในชีวิตขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ แค่มีความสุขในทุกวันก็ประสบความสำเร็จแล้ว” พร้อมพร สุภัทรวณิช ผู้จัดการแผนกวางแผนกลยุทธ์ บริษัท ฮิลล์ เอเชีย จำกัด กล่าว
พิมพ์พิชญ์ ธีระพิทยานนท์ นักวางแผนกลยุทธ์ดิจิทัลอาวุโส บริษัท ไอ-ดีเอซี (แบงค็อก) กล่าวว่า Gen Z มีการใช้งานโซเชียลมีเดียแต่ละแพลตฟอร์มด้วยจุดประสงค์ที่ต่างกัน โดยใช้ Facebook เพื่ออ่านข่าวต่าง ๆ ส่วน Instagram จะเน้นใช้แชร์เรื่องราวชีวิต โดยเฉพาะใน IG Story ด้าน Twitter เปรียบเสมือนที่ระบายคลายเหงา และเป็นแพลตฟอร์มสำหรับผลักดันเทรนด์ต่าง ๆ ส่วน TikTok ใช้เน้นคลายเครียด มีอีกสิ่งที่น่าสนใจสำหรับ Gen Z ชาวไทยคือ ชอบซื้อของผ่าน ‘ไลฟ์สด’ และเน้นซื้อ-ขายบน Instagram กับ Twitter
นอกจากนี้ Gen Z มักจะมีแอคเคานต์มากกว่า 1 บัญชี แต่ไม่ได้ สร้างตัวตนปลอม แต่มีไว้ก็เพื่อ แสดงตัวตนในแต่ละแบบ โดย 82% แคร์เรื่องคาแร็กเตอร์ของตัวเอง และ 68% ต้องการแสดงตัวตนที่เป็นธรรมชาติของฉันในโซเชียลมีเดีย และนอกจากนี้ Gen Z มักใช้โซเชียลมีเดียเพื่อทำให้สังคมดีขึ้นและขับเคลื่อนเรื่องบางอย่าง เช่น ความเท่าเทียม, ประเด็น LGBTQ และการเมือง เป็นต้น
จากข้อมูลทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วเป็นคนมีเหตุมีผล โดย Gen Z จะชอบเปรียบเทียบทุกอย่าง โดย Gen Z จะเป็น Gen ที่คาดหวังกับแบรนด์สูงกว่า Gen อื่น ๆ แต่ถ้าได้สินค้าที่ตรงตามความต้องการหรือตรงตามคาดหวังก็พร้อมจะจ่ายในราคาที่แพงขึ้น โดย 80% เต็มใจจ่ายมากขึ้นให้กับแบรนด์ที่ช่วยเหลือสังคม
ขณะที่ Influencers ยังมีผู้มีมีอิทธิพลทำให้พวกเขารู้จักสินค้า และแม้เทรนด์เช่าใช้มาแรงแต่ 94% อยากเป็นเจ้าของเพราะเขาต้องการความมั่นคง
“ถ้าตอบโจทย์ความคาดหวังได้นอกจากจะได้เงินยังได้ใจด้วย” วรรณรัตน์ วิศวสุขมงคล รองผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ บริษัท ฮาคูโฮโด (กรุงเทพ) จำกัด กล่าว
“แน่นอนว่าแต่ละแบรนด์มีกลุ่มเป้าหมายไม่เหมือนกัน แต่สำหรับการสร้างฐานลูกค้าในระยะยาวแล้ว Gen Z ก็เป็นอีกกลุ่มที่ต้องเร่งมัดใจเพื่อให้มีความภักดีกับแบรนด์ ขณะที่ความสัมพันธ์ของ Gen Z กับคนในครอบครัวค่อนข้างมีความใกล้ชิด ดังนั้น มีโอกาสที่ Gen Z จะพูดคุยและแนะนำแบรนด์ให้กับคนในครอบครัวได้”
ทั้งนี้ Gen Z ในอาเซียนมีความยูนีคที่ต่างจาก Gen Z ทั่วโลกก็คือ การมีจุดยืนที่ชัดเจนเกินไป ไม่ว่าจะเรื่องการเมืองหรือปัญหาสังคมก็ตาม ถ้ามีความสุดโต่งในด้านใดด้านหนึ่งจะทำให้ Gen Z รู้สึกว่าการสนับสนุนเป็นเรื่องยาก เพราะกลัวว่าคนรอบข้างจะรู้สึกว่าสนับสนุนหรือมีความเห็นไปทางเดียวกับแบรนด์ ดังนั้น ควรแสดงจุดยืนในด้านของ ศีลธรรม เป็นหลัก
“ไม่ใช่แค่ GenZ ที่ล่าแม่มด แต่น่าจะเป็นทุก Gen แต่ถ้าเกิดเราถูกต่อต้านจาก Gen Z เราควรรีบเข้าไปดูว่ามันเกิดจากอะไร และสามารถแก้ไขอย่างไรได้บ้าง โดยการสื่อสารต้องทำอย่างตรงไปตรงมาและต้องรีบทำ เพราะ Gen Z ต้องการความรวดเร็ว”
สรุปแล้ว Gen Z ไม่ได้สุดโต่ง แต่แสวงหาความลงตัวกับทุก ๆ ด้านของชีวิต พร้อมกับแบ่งจุดประสงค์ในการใช้งานโซเชียลฯ แต่ละช่องทาง และเชื่อว่าโซเชียลฯ มีพลังในการเปลี่ยนแปลงขึ้น ดังนั้น Gen Z คือ นักผสานความลงตัว หรือ SynergiZers ที่จะสามารถผสานทุกอย่างให้มีความลงรอยและสอดคล้องกันในทุกมิติ ไม่ได้แคร์แค่ตัวเองแต่แคร์ครอบครัวและคนรอบข้าง
]]>พบว่าคนไทยเตรียมตัวควักกระเป๋าเพื่อความสุขของตนเอง และครอบครัว ทั้งการซื้อเสื้อผ้า และของแต่งตัว ทานอาหารนอกบ้าน ซื้อเครื่องใช้ภายในบ้านเพื่อความสะดวกสบาย และการท่องเที่ยวในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุ 30 ปีขึ้นไป และภาคตะวันออกมีแนวโน้มความต้องการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสูงสุด
ทางสถาบันวิจัยฯ ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับแนวโน้มการบริโภคของคนไทยทุกๆ 2 เดือน โดยครั้งล่าสุดเป็นการสำรวจทางออนไลน์ระหว่างวันที่ 17-26 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้ร่วมตอบแบบสอบถามประกอบด้วยเพศชายและหญิงจำนวน 1,200 คน อายุ 20-59 ปี จาก 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ
ชุติมา วิริยะมหากุล ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า
“แม้สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จะยังอยู่ในชีวิตคนไทยต่อไป แต่พลังของเทศกาลวันหยุดยาวหน้าร้อนทำให้คนไทยเริ่มปลดล็อคการใช้จ่ายในหลายด้านมากขึ้น ทั้งการเตรียมตัวออกไปท่องเที่ยว การสังสรรค์นอกบ้าน และการกลับมาพบกันของครอบครัวและคนใกล้ชิด ทำให้ระดับความสุขของผู้บริโภคไทยกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง”
จากผลสำรวจพบข้อบ่งชี้เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศไทยที่สำคัญ 2 ข้อ ได้แก่
1. ผู้บริโภคกล้าใช้จ่ายมากขึ้นแม้ COVID-19 จะยังอยู่
คนไทยเริ่มผ่อนคลายกับการใช้จ่ายมากขึ้น เห็นได้จากความต้องการใช้จ่ายไปกับการทานอาหารนอกบ้านหรือการซื้อเสื้อผ้าใหม่ การอยู่บ้านมากขึ้นยังทำให้เกิดวิถีใหม่ “สร้างสุขได้เองที่บ้าน” เห็นได้จากความต้องการซื้อสินค้าเครื่องใช้เพื่อความสะดวกสบายในบ้านมากขึ้น
ในขณะที่การซื้อของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันเริ่มน้อยลงเมื่อเทียบกับการสำรวจครั้งก่อน สินค้าและบริการที่ผู้บริโภคอยากซื้อมากที่สุดในเดือนเมษายน 5 อันดับแรก คือ อาหาร ของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวัน โทรศัพท์มือถือ และสมาร์ทโฟน เครื่องใช้ภายในบ้าน และเสื้อผ้า อีกทั้งมีความต้องการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มขึ้นด้วย
2. อานิสงส์จากเทศกาลสงกรานต์และวันหยุดยาว
เทศกาลแห่งความสุข และวันหยุดยาวช่วงหน้าร้อนนี้เป็นตัวขับเคลื่อนการใช้จ่าย เพื่อเตรียมตัวสำหรับการพักผ่อน การรวมญาติ ทั้งยังมีเทศกาลลดราคาต่างๆ มาจูงใจ สัญญาณความสุขนี้ส่งผลต่อระดับความคาดหวังถึงความสุขในอนาคตที่เพิ่มขึ้นด้วย โดยระดับความสุขในปัจจุบันอยู่ที่ 65 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน เพิ่มขึ้นจาก 64 คะแนนในการสำรวจครั้งก่อน
ส่วนการคาดการณ์ระดับความสุขใน 3 เดือนข้างหน้า ผู้บริโภคคาดว่าจะมีความสุขเท่ากับตอนนี้ 51% เพิ่มขึ้น 2% จากการสำรวจครั้งก่อน คาดว่าจะมีความสุขมากขึ้น 43% เพิ่มขึ้น 2% และคาดว่าจะมีความสุขน้อยลง 6% ลดลง 4%
วรีมน เบญจพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ และดวงแก้ว ไชยสุริวิรัตน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ บริษัท เดลฟิส ฮาคูโฮโด (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า
สำหรับแนวโน้มความต้องการใช้จ่ายในเดือนเมษายน 2564 อยู่ที่ 56 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน เพิ่มขึ้นจาก 54 คะแนนในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดยผู้บริโภคมีความต้องการใช้จ่ายไปกับการซื้อ เสื้อผ้า ทานอาหารนอกบ้าน เครื่องใช้ภายในบ้าน รองเท้า-กระเป๋า โทรศัพท์มือถือ และสมาร์ทโฟน เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อจำแนกตามภาค พบแนวโน้มความต้องการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือ ภาคตะวันออกมีความต้องการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากที่สุดโดยเฉพาะจังหวัดชลบุรี และระยอง จากสินค้ากลุ่มอาหาร ของใช้ในชีวิตประจำวัน และเสื้อผ้า ซึ่งอาจเป็นผลจากการซื้อทดแทนของที่หมดไปในช่วงล็อกดาวน์ สำหรับการประกอบอาชีพเพื่อรองรับฤดูกาลท่องเที่ยวที่จะมาถึงอีกครั้ง ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ มีแนวโน้มความต้องการใช้จ่ายลดลง
เมื่อแบ่งตามช่วงอายุ พบว่าแนวโน้มความต้องการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในกลุ่มอายุ 30 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นผู้หารายได้หลักของครอบครัว โดยอาจเป็นการจับจ่ายเพื่อเตรียมตัวสำหรับเทศกาล และวันหยุดยาว เช่น ซื้อของขวัญให้ครอบครัว และคนพิเศษ หรือซื้อของตามที่วางแผนไว้แล้วเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้น
สำหรับข่าวที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในช่วงที่ผ่านมา แม้เรื่อง COVID-19 จะยังคงเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุด แต่ความสนใจลดฮวบเหลือ 24% จาก 81% ในการสำรวจครั้งก่อน โดยผู้บริโภคเบนความสนใจไปสู่มาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาลมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการเราชนะ เรารักกัน หรือวัคซีน
อีกทั้งต้องการเห็นความชัดเจนเรื่องความเป็นธรรมในสังคม และความโปร่งใสของภาครัฐ จากการติดตามข่าวการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ม็อบเมียนมา ลุงพลกับคดีน้องชมพู่ หรือข่าวเมียหลวงบุกงานแต่ง สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยอยากเห็นความถูกต้องและโปร่งใส ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สื่อน้องใหม่อย่างแอปพลิเคชัน Clubhouse กลายเป็นสื่อยอดนิยมในช่วงนี้ เพราะเป็นพื้นที่ในการ
แลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระเสรีและตรงไปตรงมา นอกจากนี้ผู้บริโภคยังสนใจข่าวเกี่ยวกับการหาช่องทางสร้างรายได้จากการลงทุน เช่น บิตคอยน์ หุ้นโออาร์ และทองคำ
การคาดการณ์พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศไทย เป็นการสำรวจทุก 2 เดือนร่วมกันระหว่างสถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) ร่วมกับบริษัทในเครือฮาคูโฮโด เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวและคาดการณ์พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศไทย ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/hakuhodohillasean
]]>“ชุติมา วิริยะมหากุล” ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) เปิดเผยข้อมูลจากการสำรวจคนไทยทั้งชายและหญิง 1,200 คน อายุ 20-59 ปี โดยสำรวจผ่านทางออนไลน์ระหว่างวันที่ 8-15 มกราคม 2564 ทั้งนี้ เป็นการจัดสำรวจทุกๆ 2 เดือน การสำรวจรอบนี้พบข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้
ผู้ถูกสำรวจมีแนวโน้มความต้องการใช้จ่าย 54 คะแนนจากเต็ม 100 คะแนน โดยลดลงจากการสำรวจรอบเดือนพฤศจิกายน 2563 ที่มีความต้องการใช้จ่าย 57 คะแนน เนื่องจากความกังวลด้านเศรษฐกิจที่มากขึ้น
สำหรับผู้ถูกสำรวจที่ยังต้องการใช้จ่ายมากกว่าค่าเฉลี่ย ระบุเหตุผลคือ ต้องการเลี่ยงออกไปข้างนอกทำให้ใช้จ่ายไปกับการกักตุนสินค้าและซื้อผ่านเดลิเวอรี่ หรือมีการซื้อของเพื่อให้รางวัลตัวเอง/เป็นของขวัญให้คนอื่น
ส่วนผู้ถูกสำรวจที่ต้องการใช้จ่ายน้อยกว่าค่าเฉลี่ย เหตุผลคือ รายได้ลดลงหรือว่างงานจากเศรษฐกิจตกต่ำ หรือรัดเข็มขัดซื้อสินค้าเฉพาะเมื่อจะทดแทนของเก่าเท่านั้น
สินค้า 3 อันดับแรกที่คนไทยสนใจซื้อ ได้แก่ อาหาร (23%) , ของใช้ (19%) และโทรศัพท์มือถือ/สมาร์ทโฟน (9%) สำหรับสมาร์ทโฟนนั้นคนไทยยังสนใจซื้อมากแม้จะรัดเข็มขัด เพราะถือเป็นของจำเป็นสำหรับการเรียนออนไลน์ของลูกๆ การทำงานประจำ และใช้หารายได้เสริม
ส่วนสินค้าในระดับรองๆ ลงมาที่คนสนใจซื้อ เช่น เสื้อผ้า (5%) , คอมพิวเตอร์/แท็บเล็ต (5%), สกินแคร์/เครื่องสำอาง (5%)
ขณะที่สินค้าที่คนไทยสนใจซื้อน้อยที่สุดคือ บริการความงาม (2%), รถมอเตอร์ไซค์ (2%), การทานอาหารนอกบ้าน (2%) และเฟอร์นิเจอร์/ตกแต่งบ้าน (2%)
เมื่อแบ่งตามภูมิภาค ผู้บริโภคไทยลดการใช้จ่ายทุกภูมิภาค ยกเว้น “ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” มีคะแนนแนวโน้มต้องการใช้จ่าย 58 คะแนน เพิ่มขึ้น 4 คะแนน โดยฮาคูโฮโดคาดว่าเกิดจากประชากรเคลื่อนย้ายจากแหล่งงานกลับภูมิลำเนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้เป็นช่วงที่มีการใช้จ่ายสูง
ส่วนถ้าหากแบ่งตามช่วงวัย กลุ่มที่ยังไม่ลดการใช้จ่าย ทรงตัวเท่าเดิม คือวัย 20-29 ปี ขณะที่วัยที่ลดการใช้จ่ายมากที่สุดคือวัย 50-59 ปี ลดคะแนนแนวโน้มใช้จ่ายลง 5 คะแนน
ด้านอารมณ์ความรู้สึกของคน วัดจากความสนใจประเด็นข่าว พบว่า ข่าวที่ถูกพูดถึงมากที่สุด 3 อันดับคือ COVID-19 (81%), การเมือง (3%) และพิมรี่พาย (3%) ประเด็นนี้สลับกับการสำรวจรอบก่อนเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 ซึ่งเรื่องการเมืองมาแรงเป็นอันดับ 1 ที่ 57%
]]>