เศรษฐี – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 08 Oct 2025 15:45:34 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ครึ่งปีแรกจำนวน ‘มหาเศรษฐี’ เพิ่มขึ้นกว่า 5 แสนคน และภายใน 15 ปี เศรษฐี ‘อายุน้อย’ จะครอง 1 ใน 3 ความมั่งคั่งทั้งหมด https://positioningmag.com/1541831 Wed, 08 Oct 2025 04:05:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1541831 จากรายงานของบริษัทวิเคราะห์ความมั่งคั่ง Altrata ระบุว่า ช่วงครึ่งปีแรก จำนวนบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูงเป็นพิเศษ (Ultra-High-Net-Worth Individuals หรือ UHNWI) ซึ่งหมายถึง ผู้ที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอย่างน้อย 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้เพิ่มขึ้นถึง 510,810 คน ทั่วโลก (+5.4%) ที่น่าสนใจคือ กลุ่มเศรษฐีอายุน้อยใน Gen Y และ Gen Z คาดว่าจะมีจำนวนถึง 1 ใน 3 ของมหาเศรษฐีทั้งหมดใน 15 ปีข้างหน้า

ปัจจุบัน กลุ่ม Gen Y และ Gen Z มีสัดส่วนเพียง 8% ของจำนวนมหาเศรษฐีทั้งหมด ซึ่งมีความมั่งคั่งสุทธิรวมกันถึง 59.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่กลุ่ม Baby Boomer ยังคงครองสัดส่วนมากที่สุดที่เกือบ 45% และกลุ่มคนที่เกิดในปี 1945 หรือก่อนหน้านั้นคิดเป็นอีก 22% อย่างไรก็ตาม สัดส่วนนี้กำลังจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากปรากฏการณ์การถ่ายโอนความมั่งคั่งครั้งใหญ่ (Great Wealth Transfer)

โดย Altrata ประเมินว่า ภายในปี 2040 สัดส่วนของกลุ่ม Gen Y และ Gen Z จะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1 ใน 3 ของประชากรอภิมหาเศรษฐี ทั้งหมด ในขณะที่สัดส่วนของกลุ่ม Baby Boomer และ Silent Generation จะลดลงจากกว่า 2 ใน 3 เหลือเพียง 1 ใน 5 เท่านั้น และกลุ่ม Gen X จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้วยสัดส่วน 45%

Maeen Shaban ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและวิเคราะห์ของ Altrata ให้ความเห็นกับ Inside Wealth ว่า ส่วนหนึ่งของการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้มาจากการใช้ ทรัสต์ (Trusts) และ สำนักงานครอบครัว (Family Offices) ที่เพิ่มขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อ ถ่ายโอนความมั่งคั่งไปยังทายาทในวัยที่อายุน้อยลง นั่นหมายความว่า คนหนุ่มสาวสามารถเข้าถึงความมั่งคั่งนั้นได้ โดยที่ไม่ต้องรอให้ผู้ก่อตั้งเสียชีวิต

โดย ความแตกต่าง ระหว่าง มหาเศรษฐีรุ่นใหม่และรุ่นใหญ่ คือ ประเภทของ อุตสาหกรรมที่สร้างความมั่งคั่ง โดย 

  • 15% ของมหาเศรษฐีอายุน้อย สร้างความมั่งคั่งจาก อุตสาหกรรมการบริการและความบันเทิง ในขณะที่เศรษฐีรุ่นใหญ่สร้างความมั่งคั่งจากอุตสาหกรรมนี้มีสัดส่วนต่ำกว่า 5%
  • เศรษฐีรุ่นใหม่กือบ 9% ที่สร้างความมั่งคั่งจาก อุตสาหกรรมเทคโนโลยี เป็นอุตสาหกรรมหลัก ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่ากลุ่ม Baby Boomer ถึง สองเท่า 
  • อุตสาหกรรมการเงิน ยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในทุกช่วงวัย  แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ที่สร้างความมั่งคั่งจากอุตสาหกรรมนี้ มีสัดส่วน ไม่ถึง 20% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยถึง 10%

ความแตกต่างเหล่านี้สะท้อนถึงการที่ บริษัทเทคโนโลยีสร้างเศรษฐีเงินล้าน รวมถึงการเป็น อินฟลูเอนเซอร์และคนดัง สามารถสร้างรายได้จากโซเชียลมีเดีย

Couple women are relaxing,talking and celebrating their success project on yacht boat in the ocean with happiness and cheerful

อีกความแตกต่างก็คือ พฤติกรรมการใช้เงิน โดยคนรุ่นใหม่ ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับงานการกุศล (philanthropy) แต่จะให้ความสำคัญกับ อสังหาฯ และสินทรัพย์หรูหรา ซึ่งคิดเป็นเกือบ 1 ใน 4 ของความมั่งคั่งของพวกเขา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ มหาเศรษฐีวัยรุ่นเหล่านี้มักจะบริหารธุรกิจที่อาจขาดสภาพคล่อง (Illiquid Assets) ทำให้มีเวลา และเงินสดเหลือน้อยลงที่จะใช้ไปกับงานการกุศล ดังนั้น ในพอร์ตการลงทุนของคนรุ่นใหม่ จะมีสัดส่วนลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์มากกว่า

“พวกเขาอยู่ในช่วงของการซื้อทรัพย์สินมากกว่าคนรุ่นก่อน ๆ พวกเขายังคงซื้อของ สำหรับบางคน พวกเขากำลังซื้อบ้านหลังแรก รถหรูคันแรก บ้านพักตากอากาศหลังแรก หรืออะไรก็ตาม มันเป็นวัฏจักรชีวิตที่แตกต่างกัน”

Maya Imberg หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์และการวิเคราะห์ของ Altrata ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อบริษัทที่ให้บริการกลุ่มอภิมหาเศรษฐี ตั้งแต่ผู้จัดการความมั่งคั่ง ตัวแทนจำหน่ายงานศิลปะ ไปจนถึงองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เพราะความชอบของคนแต่ละ Gen นั้นไม่เหมือนกัน

“รถที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะมีความสำคัญขึ้นไหม? Gen Z จะยังอยากได้เรือยอชต์ไหม? ความชอบที่เปลี่ยนไปจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจเหล่านั้น ดังนั้น พวกเขาต้องคิดล่วงหน้า เพราะระยะเวลา 15 ปีนั้นไม่ได้นานเลย” Imberg ทิ้งท้าย

Source

]]>
1541831
‘ดูไบ’ มีอะไรดี ทำไมคน (รวย) ชอบไปอยู่? https://positioningmag.com/1537022 Sun, 07 Sep 2025 13:56:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1537022 ดูไบ ไม่ใช่ประเทศ แต่เป็นหนึ่งในรัฐของ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE และถือเป็นศูนย์ กลางทางธุรกิจที่สำคัญของประเทศ โดยเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญ มีท่าเรือและสนามบินที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทำให้เป็นจุดเชื่อมต่อการค้าและการขนส่งสินค้าที่สะดวก

ดูไบ ไม่ได้รวยจาก น้ำมัน อย่างที่หลายคนคิด แต่น้ำมันสร้างรายได้ให้กับดูไบเพียง 5% เท่านั้น จากรายได้ทั้งหมด รายได้หลักของดูไบมาจากธุรกิจและการท่องเที่ยวเป็นหลัก ส่วนอีก 20% เป็นการลงทุนจากต่างประเทศ

ดูไบ ไม่มีการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีรายได้จากธุรกิจส่วนใหญ่ก็เก็บใน อัตราที่ต่ำ โดยถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีรายได้รวมผลกำไรไม่เกิน 3.3 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษี ถ้าเกินก็เสียภาษีเพียง 9% เท่านั้น ส่วน VAT ที่ดูไบอยู่ที่ 5% 

นอกจากนี้ ดูไบยังมีการจัดตั้ง Free Zone หลายแห่งที่อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถถือครองธุรกิจได้ 100% โดยไม่มีข้อจำกัด และสามารถโอนเงินทุนและกำไรกลับประเทศได้โดยไม่มีการควบคุม และมีการออก Golden Visa เพื่อดึงดูดนักลงทุนที่มีศักยภาพสูง ผู้ประกอบการ และผู้มีความสามารถพิเศษให้เข้ามาอยู่อาศัยและทำงานในประเทศ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ดูไบจะดึงดูดทั้งแรงงาน และนักลงทุนและคนรวยที่ต้องการย้ายถิ่นฐาน

ที่สำคัญคือ ดูไบแทบไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศใด รวมถึงอัตราการเก็บภาษีที่ต่ำ ทำให้ดูไบเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของเศรษฐีที่มั่งคั่งจากธุรกิจสีเทา รวมถึงเป็นปลายทางจากเหล่าผู้ต้องหาจากประเทศอื่น ๆ ทำให้ปัจจุบันดูไบเป็นเมืองที่ต้องต่อสู้กับการฟอกเงินอย่างมหาศาล และทางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็พยายามจะแก้ไขอยู่

นอกจากนี้ เป็นเมืองที่มีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำมาก และมีเสถียรภาพทางการเมืองสูง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ อีกทั้งยังมีการลงทุนอย่างมหาศาลในการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค การคมนาคม และเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด อีกทั้งยังมีบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง

ในส่วนของการท่องเที่ยวก็น่าสนใจ เพราะมีตึกที่สูงที่สุดในโลก คือ เบิร์จคาลิฟา มีโรงแรมหรู และมีห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เช่น The Dubai Mall ที่มีร้านค้ากว่า 1,200 ร้าน ร้านอาหาร โรงแรม และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ หรือ Mall of the Emirates ที่เป็นห้างที่มีขนาดใหญ่เช่นกัน มีร้านค้ามากมาย และยังเป็นที่ตั้งของลานสกีในร่ม

]]>
1537022
บ้านหรู 100 ล้านบาท มาแรง รับเศรษฐีปลูกบ้านเมืองท่องเที่ยว https://positioningmag.com/1518831 Sat, 19 Apr 2025 11:58:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1518831 เจตน์ กาญจนกูล กรรมการบริหาร บริษัท ดับบลิว เฮ้าส์ จำกัด หรือ W House ผู้รับสร้างบ้านโมเดิร์นหรู เปิดเผยว่า ปัจจุบันที่อยู่อาศัยกลุ่ม Ultra-Luxury ขยายตัวต่อเนื่อง จากดีมานด์ของเศรษฐีที่ต้องการบ้านหรู ในโซนหัวเมืองใหญ่ และเมืองท่องเที่ยว อาทิ เชียงใหม่ เขาใหญ่ และจังหวัดติดทะเล

ส่วนใหญ่กลุ่มลูกค้า Ultra-Luxury เป็นนักธุรกิจ เจ้าของกิจการ และนักลงทุน มีที่ดินเปล่าและต้องการสร้างบ้านขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 1,000 ตร.ม. มูลค่าตั้งแต่ 50–100 ล้านบาทขึ้นไป

เน้นการออกแบบเป็นเอกลักษณ์ และเชื่อมโยงความเป็นตัวตนได้อย่างชัดเจน ไม่ซ้ำใคร และมีความคาดหวังสูงในความประณีต และคุณภาพในทุกมิติ ทั้งในด้านโครงสร้าง สถาปัตยกรรม และบริการครบวงจร

เจตน์ กาญจนกูล กรรมการบริหาร บริษัท ดับบลิว เฮ้าส์ จำกัด

ส่งผลให้ W House ตัดสินใจขยายตลาดใหม่สู่บ้านระดับ Ultra-Luxury ซึ่งยังมีโอกาสสูง จากเดิมที่มีฐานลูกค้าหลักในกลุ่ม 15 ล้านบาทขึ้นไป และมักอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก

ปี 2568 บริษัทฯ มีเป้าหมายเพิ่มการรับรู้แบรนด์ “ดับบลิว เฮ้าส์” ในกลุ่มบ้านหรูระดับ Ultra-Luxury โดยวางแผนการเจรจานัดหมายลูกค้าใหม่ไม่ต่ำกว่า 20 รายภายในงานสถาปนิกปีนี้

และตั้งเป้ายอดจองสร้างบ้านอย่างน้อย 3 หลังภายหลังจากที่งานจบลง และการเปิดตัวแบบบ้านใหม่ พร้อมได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายโดยตรง

เบื้องต้น เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า Ultra-Luxury บริษัทฯ นำร่องเปิดตัวแบบบ้านซีรีส์ใหม่ชื่อว่า “THE WORLD” อาทิ

  • THE MOON คฤหาสน์ 3 ชั้น สไตล์ Modern Classic ขนาด 2,010 ตร.ม. ขนาด 5 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ และ 5 ที่จอดรถ พร้อมพื้นที่ใช้สอยครบครัน เช่น ห้องนอนมาสเตอร์ 2 ห้อง, Party Room, Golf Simulator และโซนรับวิวสระว่ายน้ำพระจันทร์เสี้ยวและสวนยุโรป

  • THE WIND คฤหาสน์ 4 ชั้น สไตล์ Super Luxury Modern ขนาด 1,440 ตร.ม. จำนวน 6 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ และ 4 ที่จอดรถ โดดเด่นด้วยงานออกแบบโดยได้แรงบันดาลใจจากสายลมและพายุ โดดเด่นด้วยการเล่นระดับแบบมีไดนามิก และ Courtyard กลางบ้าน และลิฟต์ส่วนตัว

  • THE OCEAN คฤหาสน์ริมทะเล 3 ชั้น สไตล์ Modern Tropical ขนาด 1,280 ตร.. จำนวน 5 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ และ 4 ที่จอดรถ โดยได้แรงบันดาลใจจากเรือยอร์ชหรู โดดเด่นด้วยการเล่นระดับ และห้องชมวิวในทุกชั้น ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านพักตากอากาศทุกวัน

  • THE FLAME  คฤหาสน์ 4 ชั้น สไตล์ Super Modern Luxury ขนาด 1,530 ตร.. จำนวน 6 ห้องนอน 9ห้องน้ำ และ 5 ที่จอดรถ ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากเปลวไฟ ใช้โทนสีดำและไฟแดงส้มสร้างเอกลักษณ์ให้บ้านดูดุดัน หรูหรา และทรงพลัง พร้อมฟังก์ชันที่จัดจังหวะการใช้ชีวิตแบบไดนามิก

สำหรับภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในไตรมาส 2 ปี 2568 มีแนวโน้มการแข่งขันสูงจากการที่ผู้พัฒนาอสังหารายใหญ่เริ่มเข้ามาในตลาดรับสร้างบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มบ้านระดับกลางถึงบน

อย่างไรก็ตาม “ดับบลิว เฮ้าส์” ยังคงเลือกโฟกัสในตลาด Ultra-Luxury ที่ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะทาง ทั้งในด้านการออกแบบ วิศวกรรม และการควบคุมคุณภาพ

“เราผ่านการสร้างคฤหาสน์หรู บ้านหลังใหญ่มาแล้วมากกว่า 500 หลัง ทำให้เข้าใจความต้องการเชิงลึก และสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงจุด” เจตน์ กล่าว

]]>
1518831
สวรรค์เศรษฐี “ดูไบ” จ่อดึงคนมีฐานะย้ายประเทศเพิ่มอีก หลังพรรคแรงงานชนะเลือกตั้งอังกฤษ https://positioningmag.com/1484411 Tue, 30 Jul 2024 06:43:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484411 วิจัยพบ “ดูไบ” เมืองหลวง UAE มีโอกาสเป็นแหล่งดึงดูด “เศรษฐี” ย้ายประเทศเข้าไปพำนักเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ในขณะที่ “สหราชอาณาจักร” น่าจะได้เห็นเศรษฐีย้ายออกราว 17% ภายใน 4 ปี หลังพรรคแรงงานชนะเลือกตั้งและน่าจะออกนโยบายที่ไม่เอื้อต่อคนมีฐานะ

รายงาน Henley Private Wealth Migration เปิดเผยว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) มีโอกาสเป็นประเทศที่สามารถดึงดูด “เศรษฐี” ย้ายถิ่นฐานเข้าไปพำนักเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลกเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

ขณะเดียวกัน Swiss Bank UBS คาดการณ์ว่า “สหราชอาณาจักร” น่าจะเห็นการย้ายออกของเศรษฐีราวๆ 17% ภายในปี 2028 จากปัจจุบันมีเศรษฐีกว่า 3.06 ล้านคน เชื่อว่าใน 4 ปีจะลดเหลือ 2.54 ล้านคนเท่านั้น

เนื่องจากกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง หรือ High-Net Worth Individuals: HNWIs มักจะตัดสินใจลงหลักปักฐานด้วยสิทธิประโยชน์เรื่อง “ภาษี” เป็นหลัก ทำให้นโยบายปลอดภาษีของ “ดูไบ” กลายเป็นสวรรค์เศรษฐีกลางทะเลทราย

กรุงลอนดอน

ตรงกันข้ามกับสหราชอาณาจักร ซึ่งเพิ่งผ่านการเลือกตั้งและกลายเป็นพรรคแรงงานที่กำชัยชนะในครั้งนี้ ทำให้มีแนวโน้มว่าต่อไปรัฐบาลอังกฤษอาจจะออกนโยบายที่ไม่เอื้อต่อผลประโยชน์ของเศรษฐี

Karim Jetha นักลงทุนรายหนึ่งที่ย้ายออกจากสหราชอาณาจักรไปยัง UAE ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า การเลือกย้ายประเทศไปอยู่ใน UAE แทนนั้นมีทั้งแรงผลักและแรงดึงดูด โดยแรงผลักสำคัญคือ “ภาษี” ที่น่าจะปรับขึ้นในอังกฤษหลังพรรคแรงงานชนะเลือกตั้ง เช่น นโยบายหาเสียงของพรรคแรงงานมีการกล่าวถึงการเก็บภาษี VAT กับโรงเรียนเอกชน ซึ่งจะทำให้ค่าเทอมพุ่งขึ้น 20% ทันที ส่วนแรงดึงดูดจาก UAE เกิดจากการดูแลให้ประเทศมีความปลอดภัยสูงในการอยู่อาศัย และปฏิรูปวีซ่าเพื่อให้การย้ายประเทศเกิดง่ายขึ้น

รายงานของ Henley คาดการณ์ว่า UAE จะมีเศรษฐีใหม่ย้ายเข้าประเทศกว่า 6,700 คนภายในสิ้นปี 2024 ทิ้งห่างอันดับ 2 คือ “สหรัฐอเมริกา” ที่คาดว่าจะมีเศรษฐีย้ายเข้าราว 3,800 คนในสิ้นปีนี้

ดูไบ (Photo : Shutterstock)

รายงานฉบับนี้นำเสนอว่าเหตุที่เศรษฐีนิยมย้ายไป UAE เพราะปัจจัยเรื่องไม่เก็บภาษีเงินได้ มีระบบ “Golden Visa” ไลฟ์สไตล์ลักชัวรี และทำเลที่ตั้งสะดวกในการเดินทางไปทั่วโลก

Golden Visa ของ UAE นั้นมีส่วนสำคัญมากในการดึงดูด เพราะการได้วีซ่านี้หมายถึงสิทธิพำนักถาวรในประเทศ และอนุญาตให้ชาวต่างชาติอาศัย ทำงาน และเรียนในประเทศได้ตามต้องการ

Sunita Singh-Dalal พาร์ทเนอร์บริษัท Hourani Private Wealth & Family Offices ในดูไบ กล่าวเสริมว่า ระบบนิเวศในการจัดการความมั่งคั่งของ UAE มีการพัฒนาสูงมากในช่วง 5 ปีหลังมานี้ โดยมีการสร้างโซลูชันเพื่อทำให้การป้องกัน เก็บรักษา และต่อยอดความมั่งคั่งของผู้มีฐานะทำได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น

UAE สร้างแรงดึงดูดจากโครงสร้างพื้นฐานในประเทศด้วย เช่น ระบบโรงเรียนอินเตอร์แข็งแรง ปราบปรามอาชญากรรมให้อยู่ในอัตราต่ำ และบรรยากาศเมืองที่ทันสมัย

ปัจจุบันเศรษฐีส่วนใหญ่ที่ย้ายไปอยู่ “ดูไบ” มักจะมาจากอินเดีย ตะวันออกกลาง รัสเซีย และทวีปแอฟริกา แต่ในระยะหลังพบว่าเศรษฐีอังกฤษและยุโรปก็เริ่มนิยมย้ายไปอยู่แล้วเช่นกัน

เหตุผลเพราะแต่เดิมภาษีอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษนับว่าไม่จูงใจเศรษฐีอยู่แล้ว ด้วยการเก็บภาษีอสังหาฯ สูงถึง 40% หากครอบครองอสังหาฯ ในราคามากกว่า 325,000 ปอนด์ (ประมาณ 15 ล้านบาท) และอนาคตอันใกล้ รัฐบาลอังกฤษยังเตรียมยกเลิกนโยบายไม่เก็บภาษีเงินได้ผู้พำนักอาศัยหากได้มาจากแหล่งรายได้นอกประเทศ (non-dom tax) โดยจะเริ่มปี 2025 แถมพรรคแรงงานยังมีนโยบายเก็บภาษีโรงเรียนเอกชนซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาบุตรหลานเพิ่มขึ้น

ปัจจัยการรีดภาษีผู้มีฐานะ ทำให้ “เศรษฐี” เหล่านี้เตรียมเก็บกระเป๋าและย้ายประเทศไปอยู่ดูไบมากยิ่งขึ้น

Source

]]>
1484411
‘ฮ่องกง’ ปูพรมแดงรอรับ ‘เศรษฐีจีน’ กลับประเทศ หลัง ‘สิงคโปร์’ เริ่มตรวจสอบเงินชาวต่างชาติจากคดีการ ‘ฟอกเงิน’ https://positioningmag.com/1481939 Tue, 09 Jul 2024 05:51:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481939 จากที่รัฐบาลจีนกำลังเข้มงวดกับการปราบปรามการ หนีภาษี ของบรรดา เศรษฐี รวมถึงการป้องกันทรัพย์สินจากนโยบาย Common Prosperity เพื่อลดความไม่เท่าเทียม ทำให้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เศรษฐีจีนจึงย่องออกนอกประเทศ โดย สิงคโปร์ เป็นหนึ่งในปลายทางยอดนิยม

โดยจากรายงานของ Henley & Partners บริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนและการย้ายถิ่นฐาน เผยว่า ในปีที่ผ่านมา เศรษฐีจีน ที่มีรายได้อย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 36.7 ล้านบาท) อพยพออกนอกประเทศถึง 13,800 คน ทำให้จีนเป็นประเทศที่มีจำนวนเศรษฐีไหลออกนอกประเทศมากสุดในโลก และในปี 2024 นี้ คาดว่าจะพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 15,200 คน

โดย สิงคโปร์ ถือเป็นปลายทาง Top 3 ที่เศรษฐีจีนย้ายไปอยู่มากที่สุด นอกเหนือจากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เนื่องจากรัฐออกมาตรการดึงดูดหลายประการ เช่น การลดหย่อนภาษีสำนักงานครอบครัว, โปรแกรมวีซ่าและจัดหาถิ่นที่อยู่ นอกจากนี้ ประชากรส่วนใหญ่ของสิงคโปร์ยังเป็นคนเชื้อสายจีนอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคดีฟอกเงินมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และมีความผิดฐานพัวพันกับการพนันออนไลน์ ซึ่งสร้างความฮือฮาให้กับสำนักงานธุรกิจครอบครัว (Family Office) ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่บริหารจัดการทรัพย์สินของครอบครัวที่สิงคโปร์ในอนาคต ทำให้มีมาตรการคุมเข้มเพื่อป้องกันการฟอกเงิน ส่งผลให้ลูกค้าบางส่วนไม่อยากมาใช้บริการสำนักงานธุรกิจครอบครัว เพราะหงุดหงิดกับกระบวนการและคำถามที่ถูกถาม

“สำหรับมหาเศรษฐีบนแผ่นดินใหญ่หลายคน เพราะพวกเขาไม่ชอบการแทรกแซงของรัฐบาลตามอำเภอใจ การตรวจสอบของรัฐบาล หรือการคุกคามต่อความมั่งคั่งส่วนบุคคลของพวกเขา นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาต้องการย้ายเงินออกจากจีน หากสิงคโปร์จะตรวจสอบและกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นเช่นเดียวกับแผ่นดินใหญ่ แล้วทำไมพวกเขาถึงอยากไปที่นั่น?” Zhiwu Chen ศาสตราจารย์ด้านการเงินของมหาวิทยาลัยของฮ่องกง กล่าว

ส่งผลให้คาดว่า ฮ่องกง จะได้อ้าแขนรับเศรษฐีจีนกลับมาประมาณ 200 คนในปีนี้ เนื่องจาก ธุรกิจในฮ่องกงกำลังฟื้นตัว โดยในปี 2023 ที่ผ่านมา สินทรัพย์ภายใต้การบริหารของฮ่องกงเติบโต 2.1% เป็น 31 ล้านล้านดอลลาร์ฮ่องกง (5.4 ล้านล้านดอลลาร์สิงคโปร์)

“ผมเริ่มเห็นมหาเศรษฐีที่เริ่มเข้าไปสร้างธุรกิจสำนักงานครอบครัวในฮ่องกงมากขึ้น หลังธุรกิจของธนาคารเอกชนในจีนฟื้นตัวขึ้น ในขณะที่การเติบโตของกลุ่มเดียวกันในสิงคโปร์ชะลอตัวลง ซึ่งหมายความว่าเงินจะย้ายไปสิงคโปร์น้อยลง”

อีกจุดที่เป็นข้อบ่งชี้ว่าเงินของเศรษฐีจีนที่จะไปสิงคโปร์ตอนนี้มุ่งหน้าไปยังฮ่องกงก็คือ ยอดขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย ยอดนิยมของชาวจีนผู้มั่งคั่งจากแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเพิ่มขึ้น 63% เป็น 1.56 หมื่นล้านดอลลาร์ฮ่องกง ในไตรมาสแรก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023

ขณะที่ พอล ชาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในเดือนนี้ว่า ในปีที่ผ่านมา กระแสเงินไหลเข้าสุทธิของกองทุนพุ่งสูงขึ้น มากกว่าสามเท่า เป็นเกือบ 3.9 แสนล้านดอลลาร์ฮ่องกง จากที่ในปี 2022 กระแสเงินไหลเข้าของกองทุนความมั่งคั่งและธนาคารส่วนตัวลดลงประมาณ 80%

 

Source

]]>
1481939
‘เศรษฐีสหราชอาณาจักร’ แห่หนีออกนอกประเทศสูงเป็นประวัติการณ์ หลังกังวลการ ‘เก็บภาษีคนรวยเพิ่ม’ https://positioningmag.com/1478867 Wed, 19 Jun 2024 08:45:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1478867 เศรษฐีสหราชอาณาจักร จำนวนมากเป็นประวัติการณ์อาจเดินทาง ออกจากประเทศ ในปีนี้ เนื่องจากความวุ่นวายทางการเมืองและการเก็บภาษีที่สูงขึ้นในอนาคต ทำให้สหราชอาณาจักร ไม่ใช่ปลายทางอันดับต้น ๆ สำหรับคนรวยอีกต่อไป

ตามรายงานของ Henley Private Wealth Migration Report คาดว่ามีจำนวน เศรษฐี 9,500 คน ที่จะ ย้ายออกจากสหราชอาณาจักร ในปีนี้ ซึ่งจำนวนดังกล่าวมากกว่าจำนวนเศรษฐีที่ย้ายออกในปีที่ผ่านมาถึง 2 เท่า โดยสหราชอาณาจักร ถือเป็นประเทศที่มีจำนวนเศรษฐีไหลออกมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจาก จีน ที่คาดว่าจะสูญเสียเศรษฐี 15,200 คน ในปีนี้

 “ผลกระทบจากการออกจากสหภาพยุโรปหรือ Brexit ที่เกิดขึ้นหลายปีก่อน ยังคงเกิดขึ้น โดยที่เมืองลอนดอนไม่ได้เป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลกอีกต่อไป” ฮันนาห์ ไวท์ ซีอีโอของสถาบันเพื่อรัฐบาล เขียนในรายงาน

การประเมินดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่อังกฤษจะมีการ เลือกตั้ง ในอีก 2 สัปดาห์ ซึ่งพรรคแรงงานฝ่ายค้านที่สนับสนุนการ เก็บภาษีคนรวยเพิ่มขึ้น มีคะแนนนำเหนือพรรคอนุรักษ์นิยมประมาณ 20 คะแนน นอกจากนี้ ผลกระทบของ Brexit ยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัย รวมไปถึงการเพิ่มอุปสรรคใหม่ต่อการค้าและการลงทุน และผลกระทบทางเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น สงครามในยูเครน และราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นตามมา ช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ทั้งนี้ หลายสิบปีที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรถือเป็นประเทศปลายทางของเศรษฐีในหลายทวีป ไม่ว่าจะเป็นยุโรป เอเชีย แอฟริกา และตะวันออกกลาง ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่ลอนดอน

Source

]]>
1478867
10 เมืองที่มี “เศรษฐี” อาศัยอยู่มากที่สุดในโลก ปี 2023 https://positioningmag.com/1444100 Wed, 13 Sep 2023 08:04:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444100 รายงาน World Ultra Wealth Report 2023 จัดทำโดย Wealth-X วิเคราะห์ประชากรบนโลกที่เป็นกลุ่ม “เศรษฐี” ผู้มีความมั่งคั่งสูง (Ultra-High Net Worth Individuals) นิยามจากผู้ที่มีสินทรัพย์มากกว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ (กว่า 1,000 ล้านบาท) โดยจากการสำรวจในปี 2022 พบว่ามีเศรษฐีกลุ่มนี้อยู่ 395,070 คนทั่วโลก ทั้งหมดนี้มีสินทรัพย์รวมกันมากกว่า 45 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (กว่า 1,600 ล้านล้านบาท)

เศรษฐีไม่ถึง 4 แสนคนนี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 0.005% ของประชากรโลกที่มีอยู่ 8 พันล้านคน

ในจำนวนเศรษฐี 4 แสนคนนี้มีไม่ถึง 1% หรือไม่เกิน 4,000 คนที่เป็นเศรษฐีระดับ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ​ (กว่า 35,000 ล้านบาท) รวมถึงมีเพียง 11% เท่านั้นที่เป็น “ผู้หญิง”

ด้านถิ่นพำนักของกลุ่มเศรษฐี 15% ของเศรษฐีอาศัยกระจุกตัวกันอยู่ในเมืองเพียง 10 เมืองในโลก

โดยมีถึง 5 เมืองที่อยู่ในสหรัฐฯ รองลงมา 3 เมืองอยู่ในทวีปเอเชีย และมี 2 เมืองในทวีปยุโรป

ปัจจุบันเมืองที่มีเศรษฐีอาศัยอยู่มากที่สุดยังคงเป็น “ฮ่องกง” แต่อัตรากำลังลดลงแบบดับเบิลดิจิต ขณะที่อันดับ 2 ซึ่งกำลังไล่ตามมาคือ “นิวยอร์ก” นั้นมีจำนวนเศรษฐีพำนักเพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อปีก่อน

 

อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม

]]>
1444100
คาด “เศรษฐี” 13,500 คนอพยพออกจาก “จีน” ขณะที่ “ออสเตรเลีย” รับอานิสงส์เป็นถิ่นตั้งรกรากใหม่ https://positioningmag.com/1434436 Fri, 16 Jun 2023 10:07:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1434436 งานวิจัยพบเมื่อปี 2022 มี “เศรษฐี” 10,800 คนอพยพออกจากประเทศ “จีน” และคาดว่าปี 2023 จะมีการอพยพออกเพิ่มอีก 13,500 คน ถือเป็นเทรนด์ที่เติบโตต่อเนื่องมาตลอด 10 ปี ฟากประเทศที่จะได้ต้อนรับกลุ่มเศรษฐีในปีนี้คาดว่า “ออสเตรเลีย” จะมาแรงเป็นอันดับ 1 แทนที่ “UAE”

Henley & Partners ที่ปรึกษาด้านการลงทุนเพื่อย้ายถิ่นฐาน เปิดเผยรายงานที่พบว่า ปีนี้ “จีน” จะยังคงเป็นประเทศที่มีเศรษฐีย้ายออกนอกประเทศมากที่สุดในโลก

โดยในปี 2022 ผู้มีความมั่งคั่งสูง (High Net-Worth Individual: HNWI) อพยพออกจากจีนไป 10,800 คน และคาดว่าปี 2023 น่าจะย้ายออกอีก 13,500 คน

การย้ายถิ่นฐานของเศรษฐีในจีนไม่ได้มีผลโดยตรงจากโรคระบาดโควิด-19 แต่เป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมานาน 10 ปี

“การย้ายออกในช่วงหลังนี้อาจจะเป็นผลเสียกับจีนมากกว่าปกติ โดยระหว่างปี 2000-2017 เศรษฐกิจของจีนเติบโตอย่างแข็งแรง แต่ความมั่งคั่งและเศรษฐีในประเทศมีเพิ่มขึ้นน้อยมากในช่วงเดียวกัน” Andrew Amoils หัวหน้าฝ่ายวิจัย New World Wealth ผู้ช่วยศึกษาวิจัยรายงานฉบับนี้กล่าว

 

เศรษฐีย้ายออกจากอินเดีย-อังกฤษสูงเช่นกัน

อันดับ 2 ประเทศที่เศรษฐีเลือกย้ายออกมากที่สุดในปี 2023 คือ “อินเดีย” ซึ่งคาดว่าผู้มีความมั่งคั่งจะย้ายถิ่นฐานถึง 6,500 คน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ลดลงจากปี 2022 ไปประมาณ 1,000 คน

อินเดียมีอุปสรรคสำคัญต่อกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งคือเรื่องภาษี และกฎเกณฑ์การนำเงินโยกย้ายออกนอกประเทศที่สามารถตีความได้ตามวิจารณญาณของเจ้าหน้าที่

อย่างไรก็ตาม Amoils ชี้ให้เห็นว่ากรณีของอินเดียอาจไม่น่าเป็นห่วงมากนักเพราะในแต่ละปีก็จะมีเศรษฐีใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนมากเช่นกัน

ภาพจาก Shutterstock

ขณะที่อันดับ 3 ในปีนี้ตกเป็นของ “อังกฤษ” ซึ่งคาดว่าจะมีเศรษฐีย้ายถิ่นฐานออก 3,200 คน เพิ่มขึ้นสูงมากจากปีก่อนที่มีเศรษฐีย้ายออก 1,600 คน เป็นผลโดยตรงจาก Brexit ที่ทำให้การอยู่อาศัยในอังกฤษเกิดความยุ่งยากเมื่อจะเดินทางเข้าออกสหภาพยุโรป (EU) ประเด็นนี้ทำให้ประเทศใหญ่ใน EU คือ เยอรมนี และ ฝรั่งเศส ได้อานิสงส์ เป็นประเทศต้อนรับเศรษฐีที่ต้องการเดินทางสะดวกในทวีปนี้

ส่วนอันดับที่ 4 คือ “รัสเซีย” คาดจะมีเศรษฐีย้ายออกนอกประเทศ 3,000 คน ถือว่าตัวเลขลดลงแรงจากปีก่อนที่มีเศรษฐีย้ายออกจากรัสเซียไปแล้วถึง 8,500 คน เห็นได้ว่าปัจจัยความไม่มั่นคงทางการเมืองและสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน น่าจะส่งผลต่อผู้มีความมั่งคั่งสูงไปมากแล้ว และเริ่มจะคลายตัวลง

ประเทศในทวีปเอเชียอื่นๆ ที่เป็นแหล่งผู้มีความมั่งคั่งสูงหลายประเทศก็เริ่มเห็นเทรนด์การย้ายออกของเศรษฐีเช่นกัน เช่น เขตปกครองพิเศษฮ่องกง คาดจะมีเศรษฐีอพยพออก 1,000 คนในปีนี้ ขณะที่เกาหลีใต้น่าจะอพยพไป 800 คน ตามด้วยญี่ปุ่นที่คาดจะย้ายออก 300 คน

โดยในกรณีของฮ่องกง ค่อนข้างชัดเจนว่าผู้มีความมั่งคั่งสูงรู้สึกไม่มั่นใจกับกฎเกณฑ์เกี่ยวกับโควิด-19 และวัตรปฏิบัติด้านประชาธิปไตยที่เริ่มเปลี่ยนไป

 

“ออสเตรเลีย” มีสิทธิ์แซง UAE ในฐานะถิ่นฐานใหม่ของเศรษฐี

ปี 2023 นี้ ผลวิจัยมองว่า “ออสเตรเลีย” น่าจะได้ต้อนรับการอพยพของผู้มีความมั่งคั่งสูงประมาณ 5,200 คน ขณะที่ “UAE” น่าจะมีเศรษฐีอพยพเข้าไปราว 4,500 คน ตามด้วย “สิงคโปร์” เป็นอันดับ 3 ที่น่าจะมีเศรษฐีตั้งถิ่นฐานประมาณ 3,200 คน

ออสเตรเลีย
(Photo : Shutterstock)

อย่างไรก็ตาม ถ้ามองภาพรวมแล้ว แนวโน้มการอพยพของเศรษฐีมักจะมีปลายทางมุ่งเป้าไปตั้งถิ่นฐานในประเทศตะวันตกมากที่สุด โดยในสหรัฐฯ คาดจะได้ต้อนรับเศรษฐีอพยพ 2,100 คน สวิตเซอร์แลนด์อีก 1,800 คน และแคนาดาประมาณ 1,600 คน

“ในภาพรวมแล้ว เศรษฐีมีการย้ายถิ่นฐานสูงขึ้นเรื่อยๆ ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา โดยปี 2023 นี้คาดว่าจะมีการย้ายถิ่น 122,000 คน และปี 2024 ย้ายถิ่นอีก 128,000 คน” Juerg Steffen ซีอีโอ  Henley & Partners กล่าว

Source

]]>
1434436
เงินเฟ้อไม่สะเทือน! มหาเศรษฐีจองซูเปอร์คาร์ “Bugatti” หมดเกลี้ยงถึงปี 2025 https://positioningmag.com/1398317 Tue, 30 Aug 2022 12:57:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1398317 ซีอีโอ Bugatti เผย “ซูเปอร์คาร์” ของแบรนด์ถูกจองยาวไปจนถึงปี 2025 อัตราเงินเฟ้อพุ่งทั่วโลกไม่สะเทือนกระเป๋าตังค์เศรษฐี โดยก่อนหน้านี้ “Lamborghini” ก็เพิ่งประกาศเช่นกันว่ารถยนต์ของแบรนด์ถูกจองไปถึงปี 2024 แล้ว

สำนักข่าว CNBC รายงานข้อมูลจาก “Mate Rimac” ซีอีโอค่ายรถยนต์ฝรั่งเศส Bugatti (บูกัตติ) ซึ่งกล่าวว่า รถยนต์ของแบรนด์ทุกคัน “ถูกจองเกลี้ยงจนถึงปี 2025” และเขา “ไม่คิดว่าจะมีการขายช้าลง ณ ขณะนี้”

ดูเหมือนว่ากลุ่มมหาเศรษฐีของโลกจะไม่ชะลอการซื้อซูเปอร์คาร์ในเร็วๆ นี้ แม้ว่าทั่วโลกจะกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ Rimac ยืนยันว่าซูเปอร์คาร์ของบริษัททั้งกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์สันดาปก็ยังคงมีดีมานด์ที่แข็งแรงเหมือนเดิม และอาจจะเพิ่มขึ้นเสียด้วยซ้ำ

รถยนต์รุ่นล่าสุดของ Bugatti ที่เพิ่งเปิดตัวคือรุ่น W16 Mistral ซูเปอร์คาร์ 1,577 แรงม้า ขุมพลัง W16 ขนาด 8.0 ลิตร เทอร์โบ 4 ลูก รถยนต์รุ่นสุดท้ายของแบรนด์ที่จะเป็นสันดาปล้วน ก่อนเปลี่ยนไปผลิตรถยนต์ไฮบริดและไฟฟ้า รถคันนี้จะผลิตเพียง 99 คันทั่วโลก สนนราคาคันละ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 175 ล้านบาท)

Bugatti W16 Mistral

Bugatti W16 Mistral ถูกจองหมดภายในไม่กี่วัน หลังเปิดตัวเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2022 ณ งาน Monterey Car Week รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา Rimac บอกกับ CNBC ว่า ตัวเขาเองก็ “แปลกใจเล็กน้อย” ที่รถขายหมดเร็วมาก โดยผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นเศรษฐีในสหรัฐฯ

ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าที่เปิดตัวแล้วเช่นกันคือรุ่น Rimac Nevera ซูเปอร์คาร์ 1,900 แรงม้า ราคาขาย 2.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 73.5 ล้านบาท) ก็ทำยอดขายได้ดีเช่นกันในสหรัฐฯ

ไม่ใช่แค่ซูเปอร์คาร์ที่สร้างรายได้ให้บริษัท ปัจจุบัน Rimac Group ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ Bugatti เติบโตได้ดีจาก Rimac Technology บริษัทในเครือที่ขายแบตเตอรีและเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าศักยภาพสูง มีลูกค้าทั้ง Porsche, Aston Martin, Hyundai ฯลฯ รวมถึงมีเทคโนโลยี “แท็กซี่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ” ที่กำลังพัฒนา คาดว่าจะออกสู่ตลาดได้ในปี 2024

ยอดขายรถและเทคโนโลยีอนาคตทำให้ นักลงทุนรายใหญ่ เช่น Goldman Sachs, SoftBank เข้าลงทุนรวม 500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 17,500 ล้านบาท) ใน Rimac Group เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้บริษัทนี้ได้รับการประเมินมูลค่าสูงกว่า 2,000 ล้านเหรียญ (ประมาณ 70,000 ล้านบาท)

ด้านการเปิด IPO นั้น ซีอีโอ Rimac บอกว่า บริษัทมีความสนใจที่จะเข้าตลาดแต่ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ “เราต้องการเข้าตลาดเมื่อจังหวะถูกต้อง เมื่อบริษัทเรามีการเงินที่แข็งแกร่งมากก่อน และเราใกล้จะทำได้แล้ว ดังนั้น เราจะเข้าตลาดแน่นอนแต่จะเป็นอีก 3 ปี 5 ปี หรือ 6 ปี ผมก็ยังตอบไม่ได้ เดี๋ยวค่อยว่ากัน”

Source

]]>
1398317
จำนวน ‘เศรษฐีอเมริกา’ ที่ถูกตรวจสอบ ‘ภาษี’ ลดลงเหลือ 2% จาก 16% https://positioningmag.com/1385965 Thu, 19 May 2022 08:59:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1385965 กลายเป็นว่าในช่วง 10 ปีมานี้ จำนวนเศรษฐีชาวอเมริกันที่ถูกตรวจสอบภาษีมีอัตราลดลง โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากพนักงานและการขาดแคลนเงินทุนของ Internal Revenue Service ที่ทำหน้าที่ดังกล่าว

อัตราการตรวจสอบภาษีคนอเมริกันที่มีรายได้มากกว่า 5 ล้านเหรียญต่อปี ลดลงเหลือเพียง 2% ในปี 2019 จากมากกว่า 16% ในปี 2010 ตามรายงานจากสำนักงานความรับผิดชอบของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานเฝ้าระวัง ซึ่งหมายความว่ามีเพียง 1 ใน 50 ของผู้มีรายได้สูงเท่านั้นที่ได้รับการตรวจสอบในปี 2019 เทียบกับ 1 ใน 6 ในปี 2010

การตรวจสอบที่ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนรวย กลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่ร้อนแรงในสหรัฐฯ โดยรายงานคาดการณ์ว่าระหว่างปี 2011-2013 มีผู้เสียภาษีรายงานภาษีเงินได้ต่ำกว่าความเป็นจริงรวมแล้วถึง 2.45 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี

สาเหตุหลักของการตรวจสอบที่ลดลงตามรายงานคือ การขาดเงินทุนของ IRS ในปีงบประมาณ 2021 โดยงบประมาณของหน่วยงานอยู่ที่ 1.19 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งน้อยกว่างบประมาณประจำปี 2010 ที่ 200 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังพบว่าระดับการรับพนักงานลดลงสู่ระดับเดียวกับปี 1917 โดยกรมสรรพากรสหรัฐฯ ระบุว่า มีแผนที่จะจ้างพนักงาน 10,000 คนเพื่อจัดการกับงานในมือจำนวน 20 ล้านรายการเพื่อเรียกเก็บภาษีที่ยังไม่ได้ดำเนินการ

การลดลงของเงินทุนและผู้ตรวจสอบหมายความว่า ผู้เสียภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้มีรายได้สูง มีโอกาสน้อยที่จะถูกจับได้ว่าจ่ายภาษีน้อยกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อัตราการตรวจสอบโดยรวมสำหรับผู้เสียภาษีชาวอเมริกันลดลงเหลือ 0.2% ในปี 2019 จาก 0.9% ในปี 2010

แม้คนรวยยังคงถูกตรวจสอบในอัตราที่สูงกว่าประชากรผู้เสียภาษีทั่วไป ทว่าในช่วง 10 ปีนี้อัตราการตรวจสอบของพวกเขาลดลงในอัตราที่สูงกว่ามาก อัตราการตรวจสอบสำหรับผู้เสียภาษีที่มีรายได้ระหว่าง 5-10 ล้านดอลลาร์ลดลงเหลือ 1.4% จาก 13.5%

อย่างไรก็ตาม ผู้มีรายได้มากกว่า 10 ล้านดอลลาร์ เห็นว่าอัตราการตรวจสอบลดลงเหลือ 3.9% ในปี 2019 จาก 21.2% ในปี 2010 ในขณะที่อัตราการตรวจสอบสำหรับผู้มีรายได้ 10 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นเล็กน้อยสำหรับปีภาษี 2017-2018 เนื่องจากกรมธนารักษ์กำหนดให้มีการตรวจสอบน้อย 8% สำหรับผู้ที่ทำเงินได้ตั้งแต่ 10 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้เสนอให้ลงทุน 8 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเทคโนโลยีใหม่และเพิ่มผู้ตรวจสอบบัญชีที่ IRS มากขึ้นเพื่อเพิ่มการเก็บภาษีอีก 7 แสนล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 10 ปี

Source

]]>
1385965