เศรษฐี – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 30 Jul 2024 08:00:22 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สวรรค์เศรษฐี “ดูไบ” จ่อดึงคนมีฐานะย้ายประเทศเพิ่มอีก หลังพรรคแรงงานชนะเลือกตั้งอังกฤษ https://positioningmag.com/1484411 Tue, 30 Jul 2024 06:43:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484411 วิจัยพบ “ดูไบ” เมืองหลวง UAE มีโอกาสเป็นแหล่งดึงดูด “เศรษฐี” ย้ายประเทศเข้าไปพำนักเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ในขณะที่ “สหราชอาณาจักร” น่าจะได้เห็นเศรษฐีย้ายออกราว 17% ภายใน 4 ปี หลังพรรคแรงงานชนะเลือกตั้งและน่าจะออกนโยบายที่ไม่เอื้อต่อคนมีฐานะ

รายงาน Henley Private Wealth Migration เปิดเผยว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) มีโอกาสเป็นประเทศที่สามารถดึงดูด “เศรษฐี” ย้ายถิ่นฐานเข้าไปพำนักเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลกเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

ขณะเดียวกัน Swiss Bank UBS คาดการณ์ว่า “สหราชอาณาจักร” น่าจะเห็นการย้ายออกของเศรษฐีราวๆ 17% ภายในปี 2028 จากปัจจุบันมีเศรษฐีกว่า 3.06 ล้านคน เชื่อว่าใน 4 ปีจะลดเหลือ 2.54 ล้านคนเท่านั้น

เนื่องจากกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง หรือ High-Net Worth Individuals: HNWIs มักจะตัดสินใจลงหลักปักฐานด้วยสิทธิประโยชน์เรื่อง “ภาษี” เป็นหลัก ทำให้นโยบายปลอดภาษีของ “ดูไบ” กลายเป็นสวรรค์เศรษฐีกลางทะเลทราย

กรุงลอนดอน

ตรงกันข้ามกับสหราชอาณาจักร ซึ่งเพิ่งผ่านการเลือกตั้งและกลายเป็นพรรคแรงงานที่กำชัยชนะในครั้งนี้ ทำให้มีแนวโน้มว่าต่อไปรัฐบาลอังกฤษอาจจะออกนโยบายที่ไม่เอื้อต่อผลประโยชน์ของเศรษฐี

Karim Jetha นักลงทุนรายหนึ่งที่ย้ายออกจากสหราชอาณาจักรไปยัง UAE ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า การเลือกย้ายประเทศไปอยู่ใน UAE แทนนั้นมีทั้งแรงผลักและแรงดึงดูด โดยแรงผลักสำคัญคือ “ภาษี” ที่น่าจะปรับขึ้นในอังกฤษหลังพรรคแรงงานชนะเลือกตั้ง เช่น นโยบายหาเสียงของพรรคแรงงานมีการกล่าวถึงการเก็บภาษี VAT กับโรงเรียนเอกชน ซึ่งจะทำให้ค่าเทอมพุ่งขึ้น 20% ทันที ส่วนแรงดึงดูดจาก UAE เกิดจากการดูแลให้ประเทศมีความปลอดภัยสูงในการอยู่อาศัย และปฏิรูปวีซ่าเพื่อให้การย้ายประเทศเกิดง่ายขึ้น

รายงานของ Henley คาดการณ์ว่า UAE จะมีเศรษฐีใหม่ย้ายเข้าประเทศกว่า 6,700 คนภายในสิ้นปี 2024 ทิ้งห่างอันดับ 2 คือ “สหรัฐอเมริกา” ที่คาดว่าจะมีเศรษฐีย้ายเข้าราว 3,800 คนในสิ้นปีนี้

ดูไบ (Photo : Shutterstock)

รายงานฉบับนี้นำเสนอว่าเหตุที่เศรษฐีนิยมย้ายไป UAE เพราะปัจจัยเรื่องไม่เก็บภาษีเงินได้ มีระบบ “Golden Visa” ไลฟ์สไตล์ลักชัวรี และทำเลที่ตั้งสะดวกในการเดินทางไปทั่วโลก

Golden Visa ของ UAE นั้นมีส่วนสำคัญมากในการดึงดูด เพราะการได้วีซ่านี้หมายถึงสิทธิพำนักถาวรในประเทศ และอนุญาตให้ชาวต่างชาติอาศัย ทำงาน และเรียนในประเทศได้ตามต้องการ

Sunita Singh-Dalal พาร์ทเนอร์บริษัท Hourani Private Wealth & Family Offices ในดูไบ กล่าวเสริมว่า ระบบนิเวศในการจัดการความมั่งคั่งของ UAE มีการพัฒนาสูงมากในช่วง 5 ปีหลังมานี้ โดยมีการสร้างโซลูชันเพื่อทำให้การป้องกัน เก็บรักษา และต่อยอดความมั่งคั่งของผู้มีฐานะทำได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น

UAE สร้างแรงดึงดูดจากโครงสร้างพื้นฐานในประเทศด้วย เช่น ระบบโรงเรียนอินเตอร์แข็งแรง ปราบปรามอาชญากรรมให้อยู่ในอัตราต่ำ และบรรยากาศเมืองที่ทันสมัย

ปัจจุบันเศรษฐีส่วนใหญ่ที่ย้ายไปอยู่ “ดูไบ” มักจะมาจากอินเดีย ตะวันออกกลาง รัสเซีย และทวีปแอฟริกา แต่ในระยะหลังพบว่าเศรษฐีอังกฤษและยุโรปก็เริ่มนิยมย้ายไปอยู่แล้วเช่นกัน

เหตุผลเพราะแต่เดิมภาษีอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษนับว่าไม่จูงใจเศรษฐีอยู่แล้ว ด้วยการเก็บภาษีอสังหาฯ สูงถึง 40% หากครอบครองอสังหาฯ ในราคามากกว่า 325,000 ปอนด์ (ประมาณ 15 ล้านบาท) และอนาคตอันใกล้ รัฐบาลอังกฤษยังเตรียมยกเลิกนโยบายไม่เก็บภาษีเงินได้ผู้พำนักอาศัยหากได้มาจากแหล่งรายได้นอกประเทศ (non-dom tax) โดยจะเริ่มปี 2025 แถมพรรคแรงงานยังมีนโยบายเก็บภาษีโรงเรียนเอกชนซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาบุตรหลานเพิ่มขึ้น

ปัจจัยการรีดภาษีผู้มีฐานะ ทำให้ “เศรษฐี” เหล่านี้เตรียมเก็บกระเป๋าและย้ายประเทศไปอยู่ดูไบมากยิ่งขึ้น

Source

]]>
1484411
‘ฮ่องกง’ ปูพรมแดงรอรับ ‘เศรษฐีจีน’ กลับประเทศ หลัง ‘สิงคโปร์’ เริ่มตรวจสอบเงินชาวต่างชาติจากคดีการ ‘ฟอกเงิน’ https://positioningmag.com/1481939 Tue, 09 Jul 2024 05:51:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481939 จากที่รัฐบาลจีนกำลังเข้มงวดกับการปราบปรามการ หนีภาษี ของบรรดา เศรษฐี รวมถึงการป้องกันทรัพย์สินจากนโยบาย Common Prosperity เพื่อลดความไม่เท่าเทียม ทำให้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เศรษฐีจีนจึงย่องออกนอกประเทศ โดย สิงคโปร์ เป็นหนึ่งในปลายทางยอดนิยม

โดยจากรายงานของ Henley & Partners บริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนและการย้ายถิ่นฐาน เผยว่า ในปีที่ผ่านมา เศรษฐีจีน ที่มีรายได้อย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 36.7 ล้านบาท) อพยพออกนอกประเทศถึง 13,800 คน ทำให้จีนเป็นประเทศที่มีจำนวนเศรษฐีไหลออกนอกประเทศมากสุดในโลก และในปี 2024 นี้ คาดว่าจะพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 15,200 คน

โดย สิงคโปร์ ถือเป็นปลายทาง Top 3 ที่เศรษฐีจีนย้ายไปอยู่มากที่สุด นอกเหนือจากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เนื่องจากรัฐออกมาตรการดึงดูดหลายประการ เช่น การลดหย่อนภาษีสำนักงานครอบครัว, โปรแกรมวีซ่าและจัดหาถิ่นที่อยู่ นอกจากนี้ ประชากรส่วนใหญ่ของสิงคโปร์ยังเป็นคนเชื้อสายจีนอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคดีฟอกเงินมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และมีความผิดฐานพัวพันกับการพนันออนไลน์ ซึ่งสร้างความฮือฮาให้กับสำนักงานธุรกิจครอบครัว (Family Office) ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่บริหารจัดการทรัพย์สินของครอบครัวที่สิงคโปร์ในอนาคต ทำให้มีมาตรการคุมเข้มเพื่อป้องกันการฟอกเงิน ส่งผลให้ลูกค้าบางส่วนไม่อยากมาใช้บริการสำนักงานธุรกิจครอบครัว เพราะหงุดหงิดกับกระบวนการและคำถามที่ถูกถาม

“สำหรับมหาเศรษฐีบนแผ่นดินใหญ่หลายคน เพราะพวกเขาไม่ชอบการแทรกแซงของรัฐบาลตามอำเภอใจ การตรวจสอบของรัฐบาล หรือการคุกคามต่อความมั่งคั่งส่วนบุคคลของพวกเขา นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาต้องการย้ายเงินออกจากจีน หากสิงคโปร์จะตรวจสอบและกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นเช่นเดียวกับแผ่นดินใหญ่ แล้วทำไมพวกเขาถึงอยากไปที่นั่น?” Zhiwu Chen ศาสตราจารย์ด้านการเงินของมหาวิทยาลัยของฮ่องกง กล่าว

ส่งผลให้คาดว่า ฮ่องกง จะได้อ้าแขนรับเศรษฐีจีนกลับมาประมาณ 200 คนในปีนี้ เนื่องจาก ธุรกิจในฮ่องกงกำลังฟื้นตัว โดยในปี 2023 ที่ผ่านมา สินทรัพย์ภายใต้การบริหารของฮ่องกงเติบโต 2.1% เป็น 31 ล้านล้านดอลลาร์ฮ่องกง (5.4 ล้านล้านดอลลาร์สิงคโปร์)

“ผมเริ่มเห็นมหาเศรษฐีที่เริ่มเข้าไปสร้างธุรกิจสำนักงานครอบครัวในฮ่องกงมากขึ้น หลังธุรกิจของธนาคารเอกชนในจีนฟื้นตัวขึ้น ในขณะที่การเติบโตของกลุ่มเดียวกันในสิงคโปร์ชะลอตัวลง ซึ่งหมายความว่าเงินจะย้ายไปสิงคโปร์น้อยลง”

อีกจุดที่เป็นข้อบ่งชี้ว่าเงินของเศรษฐีจีนที่จะไปสิงคโปร์ตอนนี้มุ่งหน้าไปยังฮ่องกงก็คือ ยอดขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย ยอดนิยมของชาวจีนผู้มั่งคั่งจากแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเพิ่มขึ้น 63% เป็น 1.56 หมื่นล้านดอลลาร์ฮ่องกง ในไตรมาสแรก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023

ขณะที่ พอล ชาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในเดือนนี้ว่า ในปีที่ผ่านมา กระแสเงินไหลเข้าสุทธิของกองทุนพุ่งสูงขึ้น มากกว่าสามเท่า เป็นเกือบ 3.9 แสนล้านดอลลาร์ฮ่องกง จากที่ในปี 2022 กระแสเงินไหลเข้าของกองทุนความมั่งคั่งและธนาคารส่วนตัวลดลงประมาณ 80%

 

Source

]]>
1481939
‘เศรษฐีสหราชอาณาจักร’ แห่หนีออกนอกประเทศสูงเป็นประวัติการณ์ หลังกังวลการ ‘เก็บภาษีคนรวยเพิ่ม’ https://positioningmag.com/1478867 Wed, 19 Jun 2024 08:45:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1478867 เศรษฐีสหราชอาณาจักร จำนวนมากเป็นประวัติการณ์อาจเดินทาง ออกจากประเทศ ในปีนี้ เนื่องจากความวุ่นวายทางการเมืองและการเก็บภาษีที่สูงขึ้นในอนาคต ทำให้สหราชอาณาจักร ไม่ใช่ปลายทางอันดับต้น ๆ สำหรับคนรวยอีกต่อไป

ตามรายงานของ Henley Private Wealth Migration Report คาดว่ามีจำนวน เศรษฐี 9,500 คน ที่จะ ย้ายออกจากสหราชอาณาจักร ในปีนี้ ซึ่งจำนวนดังกล่าวมากกว่าจำนวนเศรษฐีที่ย้ายออกในปีที่ผ่านมาถึง 2 เท่า โดยสหราชอาณาจักร ถือเป็นประเทศที่มีจำนวนเศรษฐีไหลออกมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจาก จีน ที่คาดว่าจะสูญเสียเศรษฐี 15,200 คน ในปีนี้

 “ผลกระทบจากการออกจากสหภาพยุโรปหรือ Brexit ที่เกิดขึ้นหลายปีก่อน ยังคงเกิดขึ้น โดยที่เมืองลอนดอนไม่ได้เป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลกอีกต่อไป” ฮันนาห์ ไวท์ ซีอีโอของสถาบันเพื่อรัฐบาล เขียนในรายงาน

การประเมินดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่อังกฤษจะมีการ เลือกตั้ง ในอีก 2 สัปดาห์ ซึ่งพรรคแรงงานฝ่ายค้านที่สนับสนุนการ เก็บภาษีคนรวยเพิ่มขึ้น มีคะแนนนำเหนือพรรคอนุรักษ์นิยมประมาณ 20 คะแนน นอกจากนี้ ผลกระทบของ Brexit ยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัย รวมไปถึงการเพิ่มอุปสรรคใหม่ต่อการค้าและการลงทุน และผลกระทบทางเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น สงครามในยูเครน และราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นตามมา ช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ทั้งนี้ หลายสิบปีที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรถือเป็นประเทศปลายทางของเศรษฐีในหลายทวีป ไม่ว่าจะเป็นยุโรป เอเชีย แอฟริกา และตะวันออกกลาง ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่ลอนดอน

Source

]]>
1478867
10 เมืองที่มี “เศรษฐี” อาศัยอยู่มากที่สุดในโลก ปี 2023 https://positioningmag.com/1444100 Wed, 13 Sep 2023 08:04:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444100 รายงาน World Ultra Wealth Report 2023 จัดทำโดย Wealth-X วิเคราะห์ประชากรบนโลกที่เป็นกลุ่ม “เศรษฐี” ผู้มีความมั่งคั่งสูง (Ultra-High Net Worth Individuals) นิยามจากผู้ที่มีสินทรัพย์มากกว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ (กว่า 1,000 ล้านบาท) โดยจากการสำรวจในปี 2022 พบว่ามีเศรษฐีกลุ่มนี้อยู่ 395,070 คนทั่วโลก ทั้งหมดนี้มีสินทรัพย์รวมกันมากกว่า 45 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (กว่า 1,600 ล้านล้านบาท)

เศรษฐีไม่ถึง 4 แสนคนนี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 0.005% ของประชากรโลกที่มีอยู่ 8 พันล้านคน

ในจำนวนเศรษฐี 4 แสนคนนี้มีไม่ถึง 1% หรือไม่เกิน 4,000 คนที่เป็นเศรษฐีระดับ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ​ (กว่า 35,000 ล้านบาท) รวมถึงมีเพียง 11% เท่านั้นที่เป็น “ผู้หญิง”

ด้านถิ่นพำนักของกลุ่มเศรษฐี 15% ของเศรษฐีอาศัยกระจุกตัวกันอยู่ในเมืองเพียง 10 เมืองในโลก

โดยมีถึง 5 เมืองที่อยู่ในสหรัฐฯ รองลงมา 3 เมืองอยู่ในทวีปเอเชีย และมี 2 เมืองในทวีปยุโรป

ปัจจุบันเมืองที่มีเศรษฐีอาศัยอยู่มากที่สุดยังคงเป็น “ฮ่องกง” แต่อัตรากำลังลดลงแบบดับเบิลดิจิต ขณะที่อันดับ 2 ซึ่งกำลังไล่ตามมาคือ “นิวยอร์ก” นั้นมีจำนวนเศรษฐีพำนักเพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อปีก่อน

 

อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม

]]>
1444100
คาด “เศรษฐี” 13,500 คนอพยพออกจาก “จีน” ขณะที่ “ออสเตรเลีย” รับอานิสงส์เป็นถิ่นตั้งรกรากใหม่ https://positioningmag.com/1434436 Fri, 16 Jun 2023 10:07:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1434436 งานวิจัยพบเมื่อปี 2022 มี “เศรษฐี” 10,800 คนอพยพออกจากประเทศ “จีน” และคาดว่าปี 2023 จะมีการอพยพออกเพิ่มอีก 13,500 คน ถือเป็นเทรนด์ที่เติบโตต่อเนื่องมาตลอด 10 ปี ฟากประเทศที่จะได้ต้อนรับกลุ่มเศรษฐีในปีนี้คาดว่า “ออสเตรเลีย” จะมาแรงเป็นอันดับ 1 แทนที่ “UAE”

Henley & Partners ที่ปรึกษาด้านการลงทุนเพื่อย้ายถิ่นฐาน เปิดเผยรายงานที่พบว่า ปีนี้ “จีน” จะยังคงเป็นประเทศที่มีเศรษฐีย้ายออกนอกประเทศมากที่สุดในโลก

โดยในปี 2022 ผู้มีความมั่งคั่งสูง (High Net-Worth Individual: HNWI) อพยพออกจากจีนไป 10,800 คน และคาดว่าปี 2023 น่าจะย้ายออกอีก 13,500 คน

การย้ายถิ่นฐานของเศรษฐีในจีนไม่ได้มีผลโดยตรงจากโรคระบาดโควิด-19 แต่เป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมานาน 10 ปี

“การย้ายออกในช่วงหลังนี้อาจจะเป็นผลเสียกับจีนมากกว่าปกติ โดยระหว่างปี 2000-2017 เศรษฐกิจของจีนเติบโตอย่างแข็งแรง แต่ความมั่งคั่งและเศรษฐีในประเทศมีเพิ่มขึ้นน้อยมากในช่วงเดียวกัน” Andrew Amoils หัวหน้าฝ่ายวิจัย New World Wealth ผู้ช่วยศึกษาวิจัยรายงานฉบับนี้กล่าว

 

เศรษฐีย้ายออกจากอินเดีย-อังกฤษสูงเช่นกัน

อันดับ 2 ประเทศที่เศรษฐีเลือกย้ายออกมากที่สุดในปี 2023 คือ “อินเดีย” ซึ่งคาดว่าผู้มีความมั่งคั่งจะย้ายถิ่นฐานถึง 6,500 คน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ลดลงจากปี 2022 ไปประมาณ 1,000 คน

อินเดียมีอุปสรรคสำคัญต่อกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งคือเรื่องภาษี และกฎเกณฑ์การนำเงินโยกย้ายออกนอกประเทศที่สามารถตีความได้ตามวิจารณญาณของเจ้าหน้าที่

อย่างไรก็ตาม Amoils ชี้ให้เห็นว่ากรณีของอินเดียอาจไม่น่าเป็นห่วงมากนักเพราะในแต่ละปีก็จะมีเศรษฐีใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนมากเช่นกัน

ภาพจาก Shutterstock

ขณะที่อันดับ 3 ในปีนี้ตกเป็นของ “อังกฤษ” ซึ่งคาดว่าจะมีเศรษฐีย้ายถิ่นฐานออก 3,200 คน เพิ่มขึ้นสูงมากจากปีก่อนที่มีเศรษฐีย้ายออก 1,600 คน เป็นผลโดยตรงจาก Brexit ที่ทำให้การอยู่อาศัยในอังกฤษเกิดความยุ่งยากเมื่อจะเดินทางเข้าออกสหภาพยุโรป (EU) ประเด็นนี้ทำให้ประเทศใหญ่ใน EU คือ เยอรมนี และ ฝรั่งเศส ได้อานิสงส์ เป็นประเทศต้อนรับเศรษฐีที่ต้องการเดินทางสะดวกในทวีปนี้

ส่วนอันดับที่ 4 คือ “รัสเซีย” คาดจะมีเศรษฐีย้ายออกนอกประเทศ 3,000 คน ถือว่าตัวเลขลดลงแรงจากปีก่อนที่มีเศรษฐีย้ายออกจากรัสเซียไปแล้วถึง 8,500 คน เห็นได้ว่าปัจจัยความไม่มั่นคงทางการเมืองและสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน น่าจะส่งผลต่อผู้มีความมั่งคั่งสูงไปมากแล้ว และเริ่มจะคลายตัวลง

ประเทศในทวีปเอเชียอื่นๆ ที่เป็นแหล่งผู้มีความมั่งคั่งสูงหลายประเทศก็เริ่มเห็นเทรนด์การย้ายออกของเศรษฐีเช่นกัน เช่น เขตปกครองพิเศษฮ่องกง คาดจะมีเศรษฐีอพยพออก 1,000 คนในปีนี้ ขณะที่เกาหลีใต้น่าจะอพยพไป 800 คน ตามด้วยญี่ปุ่นที่คาดจะย้ายออก 300 คน

โดยในกรณีของฮ่องกง ค่อนข้างชัดเจนว่าผู้มีความมั่งคั่งสูงรู้สึกไม่มั่นใจกับกฎเกณฑ์เกี่ยวกับโควิด-19 และวัตรปฏิบัติด้านประชาธิปไตยที่เริ่มเปลี่ยนไป

 

“ออสเตรเลีย” มีสิทธิ์แซง UAE ในฐานะถิ่นฐานใหม่ของเศรษฐี

ปี 2023 นี้ ผลวิจัยมองว่า “ออสเตรเลีย” น่าจะได้ต้อนรับการอพยพของผู้มีความมั่งคั่งสูงประมาณ 5,200 คน ขณะที่ “UAE” น่าจะมีเศรษฐีอพยพเข้าไปราว 4,500 คน ตามด้วย “สิงคโปร์” เป็นอันดับ 3 ที่น่าจะมีเศรษฐีตั้งถิ่นฐานประมาณ 3,200 คน

ออสเตรเลีย
(Photo : Shutterstock)

อย่างไรก็ตาม ถ้ามองภาพรวมแล้ว แนวโน้มการอพยพของเศรษฐีมักจะมีปลายทางมุ่งเป้าไปตั้งถิ่นฐานในประเทศตะวันตกมากที่สุด โดยในสหรัฐฯ คาดจะได้ต้อนรับเศรษฐีอพยพ 2,100 คน สวิตเซอร์แลนด์อีก 1,800 คน และแคนาดาประมาณ 1,600 คน

“ในภาพรวมแล้ว เศรษฐีมีการย้ายถิ่นฐานสูงขึ้นเรื่อยๆ ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา โดยปี 2023 นี้คาดว่าจะมีการย้ายถิ่น 122,000 คน และปี 2024 ย้ายถิ่นอีก 128,000 คน” Juerg Steffen ซีอีโอ  Henley & Partners กล่าว

Source

]]>
1434436
เงินเฟ้อไม่สะเทือน! มหาเศรษฐีจองซูเปอร์คาร์ “Bugatti” หมดเกลี้ยงถึงปี 2025 https://positioningmag.com/1398317 Tue, 30 Aug 2022 12:57:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1398317 ซีอีโอ Bugatti เผย “ซูเปอร์คาร์” ของแบรนด์ถูกจองยาวไปจนถึงปี 2025 อัตราเงินเฟ้อพุ่งทั่วโลกไม่สะเทือนกระเป๋าตังค์เศรษฐี โดยก่อนหน้านี้ “Lamborghini” ก็เพิ่งประกาศเช่นกันว่ารถยนต์ของแบรนด์ถูกจองไปถึงปี 2024 แล้ว

สำนักข่าว CNBC รายงานข้อมูลจาก “Mate Rimac” ซีอีโอค่ายรถยนต์ฝรั่งเศส Bugatti (บูกัตติ) ซึ่งกล่าวว่า รถยนต์ของแบรนด์ทุกคัน “ถูกจองเกลี้ยงจนถึงปี 2025” และเขา “ไม่คิดว่าจะมีการขายช้าลง ณ ขณะนี้”

ดูเหมือนว่ากลุ่มมหาเศรษฐีของโลกจะไม่ชะลอการซื้อซูเปอร์คาร์ในเร็วๆ นี้ แม้ว่าทั่วโลกจะกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ Rimac ยืนยันว่าซูเปอร์คาร์ของบริษัททั้งกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์สันดาปก็ยังคงมีดีมานด์ที่แข็งแรงเหมือนเดิม และอาจจะเพิ่มขึ้นเสียด้วยซ้ำ

รถยนต์รุ่นล่าสุดของ Bugatti ที่เพิ่งเปิดตัวคือรุ่น W16 Mistral ซูเปอร์คาร์ 1,577 แรงม้า ขุมพลัง W16 ขนาด 8.0 ลิตร เทอร์โบ 4 ลูก รถยนต์รุ่นสุดท้ายของแบรนด์ที่จะเป็นสันดาปล้วน ก่อนเปลี่ยนไปผลิตรถยนต์ไฮบริดและไฟฟ้า รถคันนี้จะผลิตเพียง 99 คันทั่วโลก สนนราคาคันละ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 175 ล้านบาท)

Bugatti W16 Mistral

Bugatti W16 Mistral ถูกจองหมดภายในไม่กี่วัน หลังเปิดตัวเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2022 ณ งาน Monterey Car Week รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา Rimac บอกกับ CNBC ว่า ตัวเขาเองก็ “แปลกใจเล็กน้อย” ที่รถขายหมดเร็วมาก โดยผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นเศรษฐีในสหรัฐฯ

ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าที่เปิดตัวแล้วเช่นกันคือรุ่น Rimac Nevera ซูเปอร์คาร์ 1,900 แรงม้า ราคาขาย 2.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 73.5 ล้านบาท) ก็ทำยอดขายได้ดีเช่นกันในสหรัฐฯ

ไม่ใช่แค่ซูเปอร์คาร์ที่สร้างรายได้ให้บริษัท ปัจจุบัน Rimac Group ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ Bugatti เติบโตได้ดีจาก Rimac Technology บริษัทในเครือที่ขายแบตเตอรีและเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าศักยภาพสูง มีลูกค้าทั้ง Porsche, Aston Martin, Hyundai ฯลฯ รวมถึงมีเทคโนโลยี “แท็กซี่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ” ที่กำลังพัฒนา คาดว่าจะออกสู่ตลาดได้ในปี 2024

ยอดขายรถและเทคโนโลยีอนาคตทำให้ นักลงทุนรายใหญ่ เช่น Goldman Sachs, SoftBank เข้าลงทุนรวม 500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 17,500 ล้านบาท) ใน Rimac Group เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้บริษัทนี้ได้รับการประเมินมูลค่าสูงกว่า 2,000 ล้านเหรียญ (ประมาณ 70,000 ล้านบาท)

ด้านการเปิด IPO นั้น ซีอีโอ Rimac บอกว่า บริษัทมีความสนใจที่จะเข้าตลาดแต่ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ “เราต้องการเข้าตลาดเมื่อจังหวะถูกต้อง เมื่อบริษัทเรามีการเงินที่แข็งแกร่งมากก่อน และเราใกล้จะทำได้แล้ว ดังนั้น เราจะเข้าตลาดแน่นอนแต่จะเป็นอีก 3 ปี 5 ปี หรือ 6 ปี ผมก็ยังตอบไม่ได้ เดี๋ยวค่อยว่ากัน”

Source

]]>
1398317
จำนวน ‘เศรษฐีอเมริกา’ ที่ถูกตรวจสอบ ‘ภาษี’ ลดลงเหลือ 2% จาก 16% https://positioningmag.com/1385965 Thu, 19 May 2022 08:59:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1385965 กลายเป็นว่าในช่วง 10 ปีมานี้ จำนวนเศรษฐีชาวอเมริกันที่ถูกตรวจสอบภาษีมีอัตราลดลง โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากพนักงานและการขาดแคลนเงินทุนของ Internal Revenue Service ที่ทำหน้าที่ดังกล่าว

อัตราการตรวจสอบภาษีคนอเมริกันที่มีรายได้มากกว่า 5 ล้านเหรียญต่อปี ลดลงเหลือเพียง 2% ในปี 2019 จากมากกว่า 16% ในปี 2010 ตามรายงานจากสำนักงานความรับผิดชอบของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานเฝ้าระวัง ซึ่งหมายความว่ามีเพียง 1 ใน 50 ของผู้มีรายได้สูงเท่านั้นที่ได้รับการตรวจสอบในปี 2019 เทียบกับ 1 ใน 6 ในปี 2010

การตรวจสอบที่ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนรวย กลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่ร้อนแรงในสหรัฐฯ โดยรายงานคาดการณ์ว่าระหว่างปี 2011-2013 มีผู้เสียภาษีรายงานภาษีเงินได้ต่ำกว่าความเป็นจริงรวมแล้วถึง 2.45 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี

สาเหตุหลักของการตรวจสอบที่ลดลงตามรายงานคือ การขาดเงินทุนของ IRS ในปีงบประมาณ 2021 โดยงบประมาณของหน่วยงานอยู่ที่ 1.19 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งน้อยกว่างบประมาณประจำปี 2010 ที่ 200 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังพบว่าระดับการรับพนักงานลดลงสู่ระดับเดียวกับปี 1917 โดยกรมสรรพากรสหรัฐฯ ระบุว่า มีแผนที่จะจ้างพนักงาน 10,000 คนเพื่อจัดการกับงานในมือจำนวน 20 ล้านรายการเพื่อเรียกเก็บภาษีที่ยังไม่ได้ดำเนินการ

การลดลงของเงินทุนและผู้ตรวจสอบหมายความว่า ผู้เสียภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้มีรายได้สูง มีโอกาสน้อยที่จะถูกจับได้ว่าจ่ายภาษีน้อยกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อัตราการตรวจสอบโดยรวมสำหรับผู้เสียภาษีชาวอเมริกันลดลงเหลือ 0.2% ในปี 2019 จาก 0.9% ในปี 2010

แม้คนรวยยังคงถูกตรวจสอบในอัตราที่สูงกว่าประชากรผู้เสียภาษีทั่วไป ทว่าในช่วง 10 ปีนี้อัตราการตรวจสอบของพวกเขาลดลงในอัตราที่สูงกว่ามาก อัตราการตรวจสอบสำหรับผู้เสียภาษีที่มีรายได้ระหว่าง 5-10 ล้านดอลลาร์ลดลงเหลือ 1.4% จาก 13.5%

อย่างไรก็ตาม ผู้มีรายได้มากกว่า 10 ล้านดอลลาร์ เห็นว่าอัตราการตรวจสอบลดลงเหลือ 3.9% ในปี 2019 จาก 21.2% ในปี 2010 ในขณะที่อัตราการตรวจสอบสำหรับผู้มีรายได้ 10 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นเล็กน้อยสำหรับปีภาษี 2017-2018 เนื่องจากกรมธนารักษ์กำหนดให้มีการตรวจสอบน้อย 8% สำหรับผู้ที่ทำเงินได้ตั้งแต่ 10 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้เสนอให้ลงทุน 8 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเทคโนโลยีใหม่และเพิ่มผู้ตรวจสอบบัญชีที่ IRS มากขึ้นเพื่อเพิ่มการเก็บภาษีอีก 7 แสนล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 10 ปี

Source

]]>
1385965
3 เหตุผลส่ง Rolls-Royce เป็นแบรนด์ “รถหรู” ของ “คนรุ่นใหม่” อายุผู้ซื้อเฉลี่ยลดเหลือ 43 ปี https://positioningmag.com/1371543 Tue, 25 Jan 2022 11:33:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1371543 Rolls-Royce เป็นแบรนด์ “รถหรู” ที่ขึ้นชื่อเรื่อง “นั่งสบายดุจแพรไหม” ภาพลักษณ์เดิมของแบรนด์เป็นรถสำหรับผู้บริหารชั่วโมงบินสูง แต่ปัจจุบันอายุเฉลี่ยผู้ซื้อรถยนต์แบรนด์นี้ทั่วโลกลดเหลือเพียง 43 ปี! น้อยกว่าแบรนด์รถหรูอื่น เช่น BMW, Mercedes-Benz หรือกระทั่ง Lamborghini ด้วยเหตุผลทั้งที่เกิดจากสภาวะในสังคมคนรวยเอง และการปรับกลยุทธ์ของแบรนด์ที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่มากขึ้น

เมื่อปีก่อน Rolls-Royce ประกาศยอดขายสถิติใหม่ สามารถขายได้ 5,600 คันทั่วโลกภายในปีเดียว และยังเปิดเผยอายุเฉลี่ยของผู้ซื้อที่ลดลงเหลือเพียง 43 ปีทั่วโลกและในสหรัฐฯ นั่นหมายความว่าอายุของผู้ซื้อจำนวนมากจริงๆ แล้วอายุน้อยกว่าที่เราคิด อยู่ในวัยเพียง 20 กว่าจนถึง 30 กว่าปีเท่านั้น

ตัวเลขนี้ไม่ใช่เรื่องสามัญในกลุ่มรถหรู เพราะแบรนด์อื่นๆ เช่น Mini (อยู่ในเครือเดียวกับ BMW ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ Rolls-Royce) มีอายุเฉลี่ยผู้ซื้อในสหรัฐฯ สูงถึง 52 ปี! ส่วนแบรนด์ BMW อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 55 ปี

IHS Markit บริษัทที่ปรึกษาค้นพบดาต้าที่สอดคล้องกันว่า Rolls-Royce มีผู้ซื้อที่อายุต่ำกว่า 45 ปีเป็นสัดส่วนมากกว่าแบรนด์อื่นๆ เช่น Mercedes-Benz, Audi, Lexus หรือกระทั่ง Lamborghini

เหตุผลที่ทำให้แบรนด์ซึ่งเมื่อหลายทศวรรษก่อนเป็นแบรนด์ของคนวัยเกษียณ เป็นเครื่องแสดงฐานะของนักธุรกิจรุ่นใหญ่ วันนี้กลายเป็นแบรนด์ยอดฮิตของคนรุ่นใหม่ อายุผู้ซื้อเด็กลง สามารถแยกเป็นข้อๆ ได้ดังนี้

1.ช่องว่างอายุระหว่าง “เศรษฐี” กับ “มหาเศรษฐี”

เนื่องจากรถ Rolls-Royce นั้นเป็นรถหรูราคาสูงมาก ในไทยจำหน่ายกันที่ 30 ล้านบาทถึงมากกว่า 50 ล้านบาท ดังนั้น ผู้ที่ตัดสินใจซื้อจึงมักจะเป็นระดับมหาเศรษฐี

รถยนต์ Rolls-Royce ใน MV เพลง I Don’t Care ของ Ed Sheeran และ Justin Bieber

เมื่อเจาะลึกระดับความร่ำรวย Spectrem Group บริษัทที่ปรึกษาที่ศึกษาด้านนักลงทุน พบว่า ผู้ที่มีสินทรัพย์สุทธิระหว่าง 33 ล้านบาท – 825 ล้านบาท หรือกลุ่มเศรษฐีหลักสิบล้านถึงร้อยล้าน มีอายุเฉลี่ยที่ 62 ปี แต่กลับกัน กลุ่มมหาเศรษฐีที่มีสินทรัพย์สุทธิมากกว่า 825 ล้านบาท หรือมหาเศรษฐีพันล้าน มีอายุเฉลี่ย 48 ปีเท่านั้น

นั่นทำให้สภาวะในสังคมเศรษฐีเปลี่ยนไปอยู่แล้ว โดย Martin Fritches ซีอีโอ Rolls-Royce อเมริกา เปิดเผยว่า กลุ่มมหาเศรษฐีซึ่งซ้อนทับกับผู้ซื้อ Rolls-Royce กลายเป็นกลุ่ม ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ อีลีท นักกีฬา นักแสดง และกลุ่มนี้พร้อมจะใช้เงินตั้งแต่ยังเด็กเพื่อหาความสำราญจากสิ่งที่มี ไม่ได้รอลงทุนจนฐานะมั่นคงก่อนแล้วจึงซื้อเหมือนแต่ก่อน

 

2.การปรับสินค้าของ Rolls-Royce

รถหรูคันใหญ่ของ Rolls-Royce มีการออกรถรุ่นที่เล็กกว่า (แต่ก็ยังใหญ่กว่ารถทั่วไป) อย่างรุ่น Ghost และปรับดีไซน์ให้ทันสมัยมากขึ้น เท่ขึ้น ซึ่งทำให้คนรุ่นใหม่สนใจ

Rolls-Royce รุ่น Cullinan Black Badge

นอกจากนี้ ยังมีการออกรถเอสยูวีเมื่อปี 2019 รุ่น Cullinan SUV ที่เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เต็มๆ เพราะเหมาะกับการเป็นรถครอบครัว ดูเด็กลงกว่าเดิม และลักษณะรถไม่โดดเด่นออกจากรถคันอื่นบนถนนมากเกินไป ดูไม่โอ้อวดแสดงฐานะมากเกินควร

ผู้บริหารแบรนด์และดีลเลอร์รถยังมองด้วยว่า องค์ประกอบงานดีไซน์ใหม่ๆ ของ Rolls-Royce มีส่วนช่วยดึงดูดคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น เช่น Starlight Headliner ฟังก์ชันเพดานรถเป็นรูปหมู่ดาว ซึ่งสามารถปรับแต่งได้เอง (customize) ตามที่ต้องการ อาจจะปรับเป็นท้องฟ้าในคืนวันเกิดของตัวเองก็ได้ (ฟังก์ชันนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในรถรุ่น Phantom ที่ผลิตเมื่อปี 2003)

อีกงานดีไซน์ที่ฮิตมากในกลุ่มคนวัยหนุ่มสาวคือฟังก์ชัน Black Badge เป็นการสั่งทำดีไซน์รถให้เป็นธีมสีดำ ภายในห้องโดยสารจะมีกลิ่นอายของรถสปอร์ตมากขึ้น และเลือกตกแต่งห้องโดยสารได้เอง ทั้งที่ต้องจ่ายค่าสั่งทำเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท แต่มีการสั่งทำดีไซน์นี้มากขึ้นเรื่อยๆ

 

3.ปรับระบบ CRM ให้เป็นดิจิทัล

อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ Rolls-Royce ปรับลุคให้ทันสมัยได้ คือการพัฒนาแอปพลิเคชัน Whispers ขึ้นมาใช้เชื่อมต่อสัมพันธ์กับเจ้าของรถ เป็นคลับดิจิทัลที่มีเฉพาะผู้ครอบครองรถเท่านั้นที่จะเข้าร่วมได้ คอนเทนต์ในแอปฯ ก็จะคล้ายกับที่แบรนด์เคยใส่ลงในนิตยสารพิเศษที่สมัยก่อนส่งตรงไปให้เจ้าของรถ และจะมีโปรโมชันต่างๆ ที่คัดสรรมาให้คนในชุมชน Rolls-Royce เช่น แพ็กเกจท่องเที่ยวสุดหรู

คลับดิจิทัล Whispers เชื่อมต่อเฉพาะผู้ครอบครองรถ Rolls-Royce

เมื่อเป็นแอปฯ แล้วยิ่งทำให้แบรนด์ปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าดีขึ้น และลูกค้าเองก็ใช้เป็นพื้นที่รู้จักกับคนอื่นๆ ซึ่งมีรสนิยมเดียวกัน อยู่ในฐานะสังคมใกล้เคียงกัน ใช้เป็นเครือข่ายหาคอนเน็กชันเพิ่มได้อีก ปัจจุบัน ลูกค้า Rolls-Royce ในสหรัฐฯ มีมากกว่า 25% ที่เข้าเป็นสมาชิก Whispers

เพื่อสรุปให้เห็นภาพว่าเจ้าของรถ Rolls-Royce ปัจจุบันเป็นคนแบบไหน CNN สัมภาษณ์เจ้าของรถวัย 30 ปี Maxie Kaan-Lilly ที่เป็นทั้งนางแบบและนายหน้าขายบ้าน เธอมองว่าการใช้รถ Rolls-Royce คือการแสดงถึงจุดสูงสุดของการประสบความสำเร็จ แถมยังเป็นการลงทุนที่ดีกับอาชีพ เพราะเธอมักจะใช้รถรุ่น Dawn ของเธอขับไปรับลูกค้าเพื่อไปชมบ้านซึ่งสร้างความประทับใจแรกได้ดีมาก รวมถึงใช้แอปฯ Whispers หาลูกค้าใหม่ๆ ได้อีกด้วย

Source

]]>
1371543
5 ล้านคนทั่วโลก ขึ้นแท่น ‘เศรษฐีเงินล้าน’ จากเเรงหนุนตลาดหุ้น ราคาบ้าน-ที่ดิน ‘เเพงขึ้น’ https://positioningmag.com/1338449 Thu, 24 Jun 2021 08:42:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1338449 ผู้คนทั่วโลกกว่า 5 ล้านคน ขึ้นเเท่นเป็นเศรษฐีท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนเเรงที่สุดในรอบศตวรรษ ด้วยเเรงสนับสนุนของตลาดหุ้น บ้านเเละที่ดิน ปรับราคาเเพงขึ้น

งานวิจัยความมั่งคั่งของประชากรโลก หรือGlobal Wealth Reportฉบับล่าสุด โดย Credit Suisse ระบุว่า ปี 2020 ที่ผ่านมา จำนวนเศรษฐีเงินล้าน (Millionaires) เพิ่มขึ้น 5.2 ล้านคน เป็น 56.1 ล้านคนทั่วโลก ขณะที่คนยากจนยิ่งจนลงเรื่อยๆ ในช่วงโรคระบาดโควิด-19

โดยประชากรวัยผู้ใหญ่มากกว่า 1% ก้าวสู่สังคมเศรษฐีเงินล้านเป็นครั้งแรก จากปัจจัยการฟื้นตัวของตลาดหุ้นและราคาบ้านและที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น ช่วยเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินให้คนเหล่านี้

Anthony Shorrocks นักเศรษฐศาสตร์และผู้เขียนรายงานฉบับนี้ กล่าวว่า การระบาดใหญ่ส่งผลกระทบระยะสั้นต่อตลาดมั่งคั่ง

โดยเห็นได้ว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2020 ตลาดหุ้นตกอยู่ในภาวะขาลงก่อนที่จะพลิกกลับมาเติบโตได้ในช่วงครึ่งปีหลัง นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา

ไม่ใช่เเค่ทรงตัวได้เมื่อยามเผชิญวิกฤต เเต่ตลาดมั่งคั่งทั่วโลก กลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งปีหลัง

อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ แม้จะมีเศรษฐีเพิ่มมากขึ้น แต่งานวิจัยก็พบว่า หากตัดปัจจัยด้าน ‘อสังหาริมทรัพย์’ ออกไปความมั่งคั่งของครัวเรือนทั่วโลกก็อาจจะลดลง โดยคนที่รวยเเค่ระดับมีกินมีใช้ส่วนใหญ่อยู่ในระดับเท่าเดิมเเละหลายรายน้อยลงกว่าเดิม

การกระตุ้นเศรษฐกิจของบรรดาธนาคาร ส่งผลให้ราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น และตลาดหุ้นขยับขึ้น เเต่หากต่อไปมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย มูลค่าสินทรัพย์เหล่านี้ก็จะลดลงตามไปด้วย

จากผลวิจัยโดยรวม พบว่า ในปี 2020 ความมั่งคั่งทั่วโลก เติบโตที่ 7.4% และนับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 21 ประชาชนผู้ถือครองทรัพย์สิน ระหว่าง 10,000-100,000 ดอลลาร์สหรัฐ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าจาก 507 ล้านคนในปี 2000 มาอยู่ที่ 1,700 ล้านคนในช่วงกลางปี 2020

การขยายตัวนี้ สะท้อนให้เห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยเฉพาะจีน ที่มีการขยายตัวของชนชั้นกลางมากที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

ขณะเดียวกัน นโยบายเเละกฎระเบียบของภาครัฐ เเละการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกในช่วงโรคระบาด ก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้เกิดการกระจายรายได้ทั่วถึงมากขึ้น

Nannette Hechler-Fayd’herbe หัวหน้าสายงานด้านการลงทุนของ Credit Suisse ให้ความเห็นว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลต่างๆ เเม้จะช่วยพยุงเศรษฐกิจให้เดินหน้าในช่วงวิกฤต เเต่ก็มีราคาที่ต้องจ่ายเเละต้องระมัดระวัง โดยขณะนี้ ระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ในหลายประเทศทั่วโลก ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 20%

 

ที่มา : BBC , Global Wealth Report

]]>
1338449
มูฟใหม่ ‘ทีเอ็มบีธนชาต’ เเข่งตลาด Wealth ส่ง ‘ttb reserve’ เจาะลูกค้ารายได้สูง 3 เเสน/เดือน https://positioningmag.com/1335743 Mon, 07 Jun 2021 12:07:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1335743 ทีเอ็มบีธนชาต ขยับมูฟใหม่หลังรวมกิจการ เปิดตัว ‘ttb reserve’ (ทีทีบี รีเซิร์ฟ) ลงสนามตลาด Wealth เจาะลูกค้ามั่งคั่ง รายได้สูง 3 เเสนบาทต่อเดือน ด้วยคอนเซ็ปต์ Earn Fast – Burn Smart ตั้งเป้าสิ้นปีมีลูกค้าบัตร 3 หมื่นใบ เเนะจัดพอร์ตเน้นตราสารทุนหุ้น มุ่งกระจายลงทุนไปต่างประเทศ

อนุวัติร์ เหลืองทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เล่าว่า ภายหลังการรวมกิจการของทั้ง 2 ธนาคารอย่างทีเอ็มบีเเละธนชาต สำเร็จลุล่วง ทำให้ ttb มีฐานลูกค้ารายย่อยรวมกว่า 10 ล้านราย และมีจำนวนสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) อยู่ที่ 1.3 ล้านล้านบาท 

ในจำนวนนี้ น่าสนใจว่าเป็นกลุ่มลูกค้ามั่งคั่งกว่า 80,000 ราย เเม้จะคิดเป็นเพียง 1% ของลูกค้ารายย่อยทั้งหมด เเต่กลับมี AUM สูงถึง 7 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 55% ของ AUM ในภาพรวมเลยทีเดียว

นับเป็นโอกาสธุรกิจสำคัญ ที่ธนาคารจะพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อรักษาฐานลูกค้ากลุ่มนี้เอาไว้ โดยกว่า 36% ของกลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง มีอายุราว 35-55 ปี เเละอีก 57% อยู่ในช่วงอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไป จากข้อมูลยังพบว่า 60% อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีผู้ถือบัตรเครดิตธนาคารถึง 40% 

ดังนั้น ttb reserve จึงจะมุ่งให้บริการโซลูชันทางการเงิน ที่จะมาช่วยตอบโจทย์ลูกค้าตามช่วงชีวิต เเบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ได้เเก่

ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ

เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการสะสมความมั่งคั่งอยากให้เงินทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เเละอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี เผื่ออนาคตวัยเกษียณ จึงยอมรับความเสี่ยงในการลงทุนได้มากกว่า อย่าง ตราสารทุนและกองทุนรวม ที่มีการปรับให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันตลอดเวลา

วัยใกล้เกษียณเกษียณเเล้ว

เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการรักษาความมั่งคั่งและส่งต่อความสำเร็จไปให้ลูกหลาน มีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่อยากอยู่เเบบมีความกังวล จึงจะเน้นลงทุนเเบบปลอดภัยไว้ก่อน เพื่อรักษาเงินต้นและมองหาผลิตภัณฑ์ประกันประเภทต่างๆ 

Earn Fast – Burn Smart

โดยบริการเเรกที่ออกจะมาเจาะกลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง (Wealth) คือ บัตรเครดิต ‘ttb reserve’ ตอบสนองความต้องการของลูกค้า มีให้เลือก 2 ประเภทคือ

  • บัตรเครดิต ttb reserve Signature สำหรับลูกค้าที่มียอดเงินฝาก เงินลงทุน ประกันชีวิตรวม 5 ล้านบาทขึ้นไป
  • บัตรเครดิต ttb reserve Infinite สำหรับลูกค้าที่มียอดเงินฝาก เงินลงทุน ประกันชีวิตรวม 30 ล้านบาทขึ้นไป

ลูกค้ากลุ่มมั่งคั่งของ ttb มีรายได้รวมที่ประมาณ 300,000 บาทต่อเดือน

นันทพร ตั้งเจริญศิริ หัวหน้าบริหารการตลาดลูกค้าบุคคลและประสบการณ์ลูกค้า ทีเอ็มบีธนชาต ระบุว่า บัตรเครดิต ttb reserve มีจุดเด่นเรื่องความเร็วของคะแนนสะสม และการนำคะแนนสะสมที่ได้รับไปต่อยอด ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Earn Fast-Burn Smart’ เช่น รับคะแนนพิเศษรายปีสูงสุด 180,000 คะแนน โดยไม่ต้องมีการใช้จ่ายผ่านบัตร และสะสมคะแนนเพิ่มจากทุกการใช้จ่าย 10 บาท รับ 1 คะแนนทุกหมวด 

ส่วนการใช้จ่ายในหมวดโรงพยาบาลและช็อปออนไลน์ ลูกค้าจะได้รับคะแนน 2 เท่า หรือเทียบเท่า 5 บาทเท่ากับ 1 คะแนน และเมื่อใช้จ่ายหมวดประกันชีวิตที่ร่วมรายการ จะได้รับคะแนนสูงสุด 10 เท่า หรือเทียบเท่า 1 บาทเท่ากับ 1 คะแนน

ขณะเดียวกัน ลูกค้ายังสามารถแลกรับเครดิตเงินคืนเป็นมูลค่าหน่วยลงทุนได้ถึง 1,200 บาท สำหรับการซื้อกอง
ทุนทุกๆ 100,000 บาท 

สำหรับเป้าหมายการขยายฐานลูกค้า ในช่วงเเรกธนาคารจะมุ่งให้บริการกลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง ที่มีอยู่เเล้ว 8 หมื่นรายก่อน จากนั้นจะค่อยๆ ขยายฐานลูกค้าใหม่ต่อไป โดยคาดว่าจะมีลูกค้าบัตรเครดิต ttb reserve จำนวน 30,000 รายภายในสิ้นปี 2564

ในช่วงที่การเดินทางระหว่างประเทศยังลำบาก สถาบันการเงินระดับโลกหลายแห่งเริ่มมาเปิดธุรกิจบริหารความมั่งคั่งร่วมกับสถาบันการเงินท้องถิ่นมากขึ้น เมื่อตลาด Wealth โตพุ่ง ธุรกิจ Private Banking ก็เติบโตตามไปด้วย

ท่ามกลางหลายธนาคารที่ลงสนามมาบุกตลาดนี้ อะไรคือจุดเเข็งของ ttb reserve ?

ในตลาดส่วนใหญ่ จะเน้นไปที่การให้สิทธิพิเศษหรือพรีวิลเลจที่เกี่ยวกับด้านไลฟ์สไตล์เป็นหลัก ในขณะที่ tbb จะเน้นเรื่องให้สิทธิพิเศษที่สามารถต่อยอดความมั่งคั่งทางการเงินผ่านคะแนนสะสมรายปีที่ให้ความคุ้มค่าเป็นหลัก

เน้นตราสารทุนหุ้น มุ่งกระจายไปต่างประเทศ

เเนวโน้มการลงทุนของกลุ่มลูกค้าระดับเศรษฐีเติบโตขึ้นมาก’ ในช่วงที่ผ่านมา ท่ามกลางโรคระบาดเมื่อสภาพคล่องล้นตลาดเเละอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ การออมเงินฝากหรือพันธบัตรไม่ได้ให้ผลตอบเเทนที่ดีมากนัก เหล่านักลงทุนจึงต้องหาทางลงทุนอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลตอบเเทนมากขึ้น เเม้จะต้องรับความเสี่ยงจากตลาดที่ผันผวน

โดย ttb แนะนำการจัดพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้ว่า

เรายังคงมีมุมมองบวกต่อตลาดทุน โดยให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารทุน หรือหุ้นมากกว่าตราสารหนี้ และจะเน้นกระจายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศมากกว่าในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นตลาดสหรัฐฯ หรือตลาดเอเซียอย่างจีน และญี่ปุ่นเนื่องจากเรายังมองว่าเศรษฐกิจในหลายประเทศ น่าจะเริ่มฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ จากปัจจัยเรื่องกระจายวัคซีน การทยอยเปิดเมือง หลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 ในหลายประเทศเริ่มดีขึ้น

โดยลูกค้า Wealth ของ ttb มีพอร์ตการลงทุนประมาณ 2 แสนล้านบาท เทียบกับภาพรวมของทั้งธนาคารที่ 2.5 แสนล้านบาท

 

]]>
1335743