เสื้อผ้ากีฬา – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 19 Feb 2024 01:11:43 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 JD Sports ตั้งเป้ารุกตลาดสหรัฐอเมริกาเพิ่ม มองลูกค้าต้องการของใหม่ ไม่กังวลแม้ยอดขายคู่แข่งรายใหญ่จะซบเซา https://positioningmag.com/1463066 Sun, 18 Feb 2024 11:14:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463066 Régis Schultz ซึ่งเป็น CEO ของ JD Sports โดยเขาได้กล่าวว่ากลยุทธ์ของบริษัทคือการรุกตลาดในสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติม โดยมองว่าลูกค้าต้องการสิ่งของใหม่ๆ แตกต่างกับปัจจุบันที่มีแต่สินค้าเดิมๆ และจะเพิ่มสาขาของร้านมากกว่านี้ ซึ่งคู่แข่งของบริษัทส่วนใหญ่คาดการณ์ว่ายอดขายนั้นจะลดลงด้วยซ้ำ

Wall Street Journal สัมภาษณ์พิเศษ Régis Schultz ซึ่งเป็น CEO ของ JD Sports โดยเขาได้กล่าวว่ากลยุทธ์ของบริษัทคือการรุกตลาดในสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติม แม้ว่ายอดขายของคู่แข่งในแดนมะกันจะซบเซาก็ตาม รวมถึงจุดอ่อนของคู่แข่งเป็นโอกาสที่จะรุกในตลาดนี้

JD Sports ได้เตรียมเปิดร้านค้าในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากเดิม แผนของบริษัทภายในเดือนมกราคมของปี 2024 บริษัทมีแผนที่จะเปิดร้านค้ามากถึงราวๆ 100 สาขา ในทวีปยุโรปอยู่ที่ 100 สาขา ขณะเอเชียแปซิฟิกอยู่ที่ราวๆ 25 สาขาเท่านั้น

JD Sports ยังตั้งเป้ามีร้านค้าในสหรัฐอเมริกามากถึง 1,300 สาขาภายในปี 2028 ซึ่งมีสาขามากกว่าปัจจุบันมากถึง 900 สาขา เมื่อเทียบกับตัวเลขล่าสุด

ในช่วงที่ผ่านมาแบรนด์จากอังกฤษรายนี้ได้โฟกัสไปยังสปอร์ตแฟชั่น โดย JD Sports สร้างความแตกต่างด้วยการทำการตลาดผลิตภัณฑ์ของตนในรูปแบบแฟชั่นและเจาะจงไปยังกลุ่มวัยรุ่นเป็นหลัก และแบรนด์ไม่ได้เน้นผลิตภัณฑ์ที่เป็นชุดกีฬาที่เน้นประสิทธิภาพเวลาสวมใส่เท่าไหร่นัก

CEO ของ JD Sports กล่าวว่า “ลูกค้าในสหรัฐฯ ต้องการสิ่งใหม่ๆ ผมคิดว่าพวกเขาคงเหนื่อยแล้ว เพราะร้านในสหรัฐอเมริกามีร้านรองเท้าผ้าใบมากมาย ซึ่งทุกร้านก็ดูเหมือนกันหมด”

นอกจากนี้ JD Sports ยังสร้างความแตกต่างด้วยการทำร้านค้าให้มีความร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเพลงในร้านที่เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่น การใช้พนักงานที่มีอายุไม่มาก และการเน้นสปอร์ตแฟชั่นที่เน้นภาพลักษณ์แบบสตรีท เมื่อเทียบกับหลายแบรนด์

ปัจจุบันรายได้ของ JD Sports อยู่ที่สหราชอาณาจักร โดยมีสัดส่วนมากถึง 37.8% ขณะที่รายได้จากอเมริกาเหนือซึ่งรวมสหรัฐอเมริกานั้นอยู่ที่ 31.1% จากรายได้รวมทั้งหมดของปี 2023 ซึ่งอยู่ที่ 10,125 ล้านปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ 456,140 ล้านบาท

ถ้าหากไปดูผลประกอบการแล้วยอดขายสินค้าโดยรวมของ JD Sports ถือว่าเติบโตเมื่อเทียบกับคู่แข่งหลายราย จึงทำให้บริษัทมีความมั่นใจที่จะเจาะตลาด เมื่อเทียบกับคู่แข่งหลายรายที่มองว่ายอดขายของตัวเองนั้นอาจลดลงในช่วงเวลาอันใกล้นี้

]]>
1463066
Lululemon แบรนด์กีฬาจากแคนาดามุ่งลุย “ตลาดจีน” เต็มที่ เป้าขยายสาขาเพิ่ม 3 เท่าใน 5 ปี https://positioningmag.com/1393265 Wed, 20 Jul 2022 05:10:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1393265 แบรนด์กีฬาจากแคนาดา “Lululemon” ตั้งเป้าเพิ่มรายได้จากต่างประเทศเพิ่มเป็น 4 เท่า นับจากปี 2021 ถึง 2026 โดย “ตลาดจีน” นับเป็นตลาดสำคัญอันดับ 2 ของแบรนด์ วางแผนขยายสาขาจีนเพิ่ม 3 เท่าภายใน 5 ปี หลังจากแบรนด์ไปได้ดีในแดนมังกร รายได้เติบโตสะสม 60% ในรอบสามปีที่ผ่านมา

สำนักข่าว China Daily รายงานว่า Lululemon Athletica วางตลาดจีนเป็นตลาดขนาดใหญ่อันดับ 2 ของแบรนด์ภายในปี 2026 ผ่านการขยายสาขาหน้าร้านอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันแบรนด์มีหน้าร้าน 71 สาขา ตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 220 สาขาภายใน 5 ปี และจะมีการตั้งสาขาที่เป็น “แฟลกชิป สโตร์” ด้วย

“เป้าหมายใหม่ของเราคือจะเพิ่มรายได้จากต่างประเทศเป็น 4 เท่าภายในปี 2026” คาลวิน แมคโดนัลด์ ซีอีโอของ Lululemon กล่าว “จีนแผ่นดินใหญ่จะเป็นสัดส่วนใหญ่ในโอกาสนั้น เมื่อเราลงทุนต่อเนื่องในตลาด ทั้งส่วนการขยายหน้าร้าน การขายผ่านดิจิทัล และสร้างชุมชนลูกค้าของแบรนด์”

จากข้อมูลของ MarketBeat พบว่าแบรนด์ Lululemon สามารถทำรายได้เติบโตได้ถึง 60% ในช่วงสามปีที่ผ่านมา แม้ว่าในช่วงล็อกดาวน์ของจีนจะทำให้ 1 ใน 3 ของสาขาทั้งหมดต้องปิดชั่วคราวเนื่องจากโควิด-19

Lululemon_Yoga
เสื้อผ้าโยคะและฟิตเนสเป็น Hero Product ของแบรนด์

แบรนด์ Lululemon นั้นเป็นแบรนด์ประเภท ‘athleisure’ ชื่อดัง โดยก่อตั้งที่แคนาดาในปี 1998 เริ่มจากการผลิตเสื้อผ้าโยคะของผู้หญิง ก่อนจะขยายมาสู่กลุ่มเสื้อผ้าผู้ชาย และขยายไปในเสื้อผ้ากลุ่มฟิตเนสและกีฬาวิ่งด้วย ถือว่าเป็นแบรนด์ที่เข้ามาแบ่งส่วนแบ่งตลาดกับเสื้อผ้ากีฬาดังอย่าง Adidas และ Nike

ในช่วงปี 2018-2021 บริษัทสามารถทำรายได้เติบโตเป็น 3 เท่า และเป้าปี 2021-2026 แบรนด์ต้องการจะเติบโตเป็น ‘เท่าตัว’ อีกซึ่งจะทำให้บริษัททำรายได้สูงถึง 12,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4.58 แสนล้านบาท) โดยมีกลยุทธ์การขยายตัวในต่างประเทศเป็นสำคัญ นอกจาก “ตลาดจีน” ที่สำคัญมาก แบรนด์ยังตั้งเป้าจะเปิดตลาดใหม่ๆ ในทวีปเอเชียแปซิฟิกและทวีปยุโรป ประเทศที่มีแผนการเปิดสาขาแรกเร็วๆ นี้ ได้แก่ สเปน และ อิตาลี

ปี 2022 แบรนด์เพิ่งออกผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นไลน์สินค้ารองเท้า

การเข้าสู่ตลาดจีนของ Lululemon นั้นใช้วิธีที่ชาญฉลาด โดยในปี 2013-2016 แบรนด์ไม่ได้เข้ามาเปิดขายสินค้าทันที แต่มาเปิด ‘โชว์รูม’ สำหรับจัดอีเวนต์ด้านกีฬาและทำให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ก่อน พร้อมกับส่งสินค้าให้ KOLs ชาวจีนรีวิว ก่อนที่จะเริ่มขายสินค้าจริงผ่านช่องทางดิจิทัลในปี 2015 ผ่านแพลตฟอร์ม Tmall และจนถึงปลายปี 2016 แบรนด์จึงค่อยเริ่มเปิดหน้าร้าน 3 สาขาแรกในกรุงปักกิ่งและเมืองเซี่ยงไฮ้

การเปิดตลาดจีนของแบรนด์ต่างประเทศนั้นมีโอกาสที่ดีจากจำนวนประชากรแต่ก็มีความท้าทายสูงมากด้วย หลายแบรนด์ตะวันตกที่เข้ามาและต้องม้วนเสื่อกลับไป ยกตัวอย่างเช่น 3 แบรนด์ในเครือ Inditex จากสเปน ได้แก่ Pull&Bear, Bershka และ Stradivarius ที่ไม่ประสบความสำเร็จในจีนจนต้องทยอยปิดสาขาหน้าร้านทั้งหมดไปเมื่อปี 2021 เพราะตลาดจีนแข่งขันสูงมากและรสนิยมชาวจีนมีความละเอียดอ่อน

จากตัวเลือกที่มีมากมายในตลาด และบริษัท/สตาร์ทอัพจีนก็พร้อมจะเปิดแบรนด์มาแข่งขันในกลุ่มสินค้าเดียวกัน ทำให้แบรนด์ต่างชาติต้องระมัดระวัง Lululemon เองก็กำลังเผชิญกับแบรนด์ท้องถิ่นจีนอย่าง ‘Keep’ แบรนด์เสื้อผ้ากีฬาหน้าตาคล้ายกันแต่ทำราคาถูกกว่า

Source: InsiderRetail, Lululemon Corporate, Rehub Tech

]]>
1393265
‘Nike’ ยังแกร่ง! ทำรายได้ทะลุ 3.9 แสนล้านบาท โต 96% https://positioningmag.com/1338981 Fri, 25 Jun 2021 09:17:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1338981 ย้อนไปเมื่อช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ปี 2020 ‘Nike’ (ไนกี้) ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ทำให้มีรายได้เพียง 6.31 พันล้านดอลลาร์ ลดลงมากถึง -38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่โดยมียอดขาดทุนสุทธิ 790 ล้านดอลลาร์ แต่จากนั้นไนกี้ก็ปรับตัวโดยการมุ่งไปที่ออนไลน์จนสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้ และในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ปี 2021 หรือไตรมาสที่สี่ของปีงบประมาณ ไนกี้สามารถทำรายได้ถึง 3.92 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 96%

ถือว่าฟื้นคืนชีพจากที่เคยโดนพิษโควิดเล่นงานอย่างสวยงาม เพราะเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ไนกี้สามารถเติบโตได้ถึง 96% โดยทำรายได้ถึง 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์หรือราว 3.92 แสนล้านบาท ขณะที่ไตรมาสก่อนหน้าทำรายได้ที่ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ จากการเติบโตดังกล่าวทำให้หุ้นของไนกี้พุ่งขึ้น 12% ส่งผลให้มูลค่าบริษัทอยู่ที่ 7.6 ล้านล้านบาท

สำหรับปัจจัยที่ทำให้ไนกี้สามารถเติบโตอย่างมากมาจากผู้บริโภคที่ยังมองหาเสื้อผ้าที่ใส่สบายและเสื้อผ้าสำหรับออกกำลังกาย แม้ว่าคนจะเริ่มกลับไปโรงเรียนหรือออฟฟิศแล้วก็ตาม แต่คนก็ยังมองหารองเท้าผ้าใบและกางเกงผ้ายืดเพื่อใส่ออกไปนอกบ้าน ขณะที่ยอดขายจากช่องทางออนไลน์ก็เติบโตขึ้นถึง 41% เมื่อเทียบกับปีก่อน และเพิ่มขึ้นถึง 147% เมื่อเทียบกับสองปีก่อน

นอกจากนี้ การทำรูปแบบสมาชิกยิ่งช่วยขับเคลื่อนธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยการซื้อออนไลน์จากสมาชิกซึ่งได้รับสิทธิ์เข้าถึงผลิตภัณฑ์พิเศษและสิทธิพิเศษอื่น ๆ ก่อนลูกค้าทั่วไป ทำให้ไนกี้มียอดขายทำสถิติสูงถึง 3 พันล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปัจจุบัน ไนกี้มีสมาชิกมากกว่า 300 ล้านคนทั่วโลก

“ด้วยแรงผลักดันจากโมเมนตัมของเรา เรายังคงลงทุนในนวัตกรรมและความเป็นผู้นำด้านดิจิทัลของเรา เพื่อสร้างรากฐานสำหรับการเติบโตในระยะยาวของ Nike” John Donahoe ซีอีโอของ Nike กล่าว

(Photo by Noam Galai/Getty Images)

ด้านภูมิภาคที่ไนกี้สามารถทำได้ดีก็คือ อเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท (46%) โดยยอดขายพุ่งขึ้นกว่า 141% ทำรายได้เป็น 5.38 พันล้านดอลลาร์ ส่วน ยุโรป, ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (25%) ยอดขายเพิ่มขึ้น 124% ด้าน เอเชียแปซิฟิก และละตินอเมริกา (13%) ยอดขายเติบโต 82%

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของจีน (16%) หนึ่งในตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดของบริษัทกลับเติบโตได้เพียง 17% ซึ่งสาเหตุอาจมาจากที่ไนกี้เคยถูกแบนเพราะบริษัทได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องการบังคับใช้แรงงานในซินเจียง

“จากประวัติศาสตร์ 40 ปีของเราในจีนแผ่นดินใหญ่ เรายังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในการให้บริการผู้บริโภคด้วยผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดที่ โดยไนกี้นำเสนอในรูปแบบสินค้าที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่นCFO Matt Friend กล่าว

ทั้งนี้ ปัญหาด้านโลจิสติกส์ยังคงเป็นสิ่งที่ไนกี้ให้ความกังวล โดยคาดว่าจะยังมีความล่าช้าในระบบซัพพลายเชน รวมถึงต้นทุนที่จะยิ่งสูงขึ้นตลอดปีงบประมาณ 2565 โดยไนกี้คาดว่าการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และการขาดแคลนคนขับรถบรรทุก รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ จะทำให้การขนส่งสินค้าตั้งแต่จากท่าเรือไปยังโกดังสินค้าไปจนถึงบ้านของผู้ซื้อเป็นไปอย่างล่าช้า และจะยังเป็นปัญหาต่ออุตสาหกรรมค้าปลีกไปอีกหลายเดือน

Source

]]>
1338981