เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2565 “นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป” ประกาศทุบตึกโรงแรมนารายณ์ กรุงเทพฯ โรงแรมที่อยู่คู่ถนนสีลมมานาน 54 ปี เพื่อจะสร้างโรงแรมขึ้นใหม่ให้ทันสมัยและอัปเกรดมากขึ้น
นอกจากการรีโนเวตโรงแรมในตำนานแล้ว ปีที่แล้วนารายณ์ฯ ยังเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “มาราสก้า โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ต” (Marasca Hotel & Resort) อีกด้วย เป็นแบรนด์ที่มาจับกลุ่ม ‘แคชชวลลักชัวรี’ โรงแรมระดับ 5 ดาวคอนเซ็ปต์หรูหราแต่เรียบง่าย เป็นกันเอง และผ่อนคลาย
เห็นได้ว่าปีก่อนเป็นปีที่นารายณ์ฯ มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ที่น่าสนใจ และน่าจะเป็นหมุดหมายสู่ยุคใหม่ของกลุ่ม
มาถึงปี 2566 ผู้สื่อข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับ “โทมัส เทต” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป โทมัสระบุถึงเป้าหมายระยะยาวของบริษัทว่า นารายณ์ฯ ต้องการจะขยายพอร์ตโฟลิโอโรงแรมขึ้นเป็น “เท่าตัว”
จากปัจจุบันที่ให้บริการและที่อยู่ในไปป์ไลน์ 15 แห่ง ภายใน 5 ปีต้องการเพิ่มเป็น 26 แห่ง ทั้งนี้ ขอสงวนไม่ระบุตัวเลขการลงทุนหรือมูลค่าโครงการ
นารายณ์ฯ นั้นเป็นเจ้าของโรงแรม (Owner) ทุกแห่ง และส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารโรงแรมด้วยตนเอง (Management) ในจำนวนโรงแรม 15 แห่งแบ่งออกได้ ดังนี้
โทมัสกล่าวต่อว่า เป้าหมายเพิ่มเป็น 26 แห่งยังไม่ได้กำหนดชัดว่าจะไปในทำเลไหนบ้าง แต่กรอบคร่าวๆ ที่มองไว้จะเป็นการบุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รวมไทย), ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
โดยเฉพาะ “ญี่ปุ่น” ถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่กำลังเน้นในขณะนี้ หลังจากที่โรงแรมหลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ เพิ่งเปิดบริการในเดือนกันยายนนี้เอง แต่กลับได้อัตราเข้าพักแตะ 80% ภายใน 5 วันแรกที่เปิดตัว สะท้อนดีมานด์นักท่องเที่ยวในญี่ปุ่นที่สูงมาก
นารายณ์ฯ จึงมองหาทำเลลงทุนต่อเนื่องในญี่ปุ่น เมืองต่อไปที่สนใจคือ “โตเกียว” เพราะเป็นเมืองหลวงจุดศูนย์รวมการเดินทางท่องเที่ยว โดยหวังว่าจะมีโอกาสเข้าลงทุนทั้งแบรนด์ “หลับดี” ที่เป็นบัดเจ็ทโฮเทล และแบรนด์ “มาราสก้า” เจาะตลาดแคชชวลลักชัวรี
โทมัสกล่าวว่า บริษัทพร้อมที่จะลงทุนทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาจากที่ดินเปล่า (greenfield) หรือซื้อกิจการจากโรงแรมเดิม (brownfield) รวมถึงจะพิจารณาทั้งการใช้เชนโรงแรมของบริษัทเอง และการใช้เชนบริหารจากบริษัทอื่น ขึ้นอยู่กับทำเลและโครงการที่ได้มาว่าเหมาะสมกับแบรนด์ใด
สำหรับภาพรวมการดำเนินงานของนารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ปี 2566 โทมัสกล่าวว่าเป็นที่แน่นอนที่รายได้จะไม่สูงเท่าเดิมเพราะโรงแรมนารายณ์ สีลมอยู่ระหว่างก่อสร้างใหม่ และโรงแรมเลอ เมอริเดียน ภูเก็ต ไม้ขาวฯ ก็ปิดปรับปรุงมา 10 เดือน เตรียมเปิดให้บริการวันที่ 1 ตุลาคมนี้
แต่ในโรงแรมที่เปิดให้บริการปกติ ส่วนใหญ่มีผลการดำเนินงานดีโดยเฉพาะหลับดี ป่าตอง, หลับดี เกาะสมุย และหลับดี โอซาก้า ซึ่งทั้งหมดได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ขณะที่โรงแรมที่ยังไม่ฟื้นมากนักคือหลับดี เสียมเรียบ เนื่องจากปกติพึ่งพิงนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก และหลับดี มาคาติ เนื่องจากฟิลิปปินส์เปิดประเทศช้ากว่าทำให้การฟื้นตัวยังไม่ชัดเจน
]]>“โทมัส เทต” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เปิดตัวโรงแรมใหม่ของบริษัทหลังรีโนเวตและรีแบรนด์เสร็จสิ้นที่ “เลอ เมอริเดียน ภูเก็ต ไม้ขาว บีช รีสอร์ท” เนื้อที่ 22 ไร่ จำนวน 244 ห้องพัก ทำเลติดหน้าหาดไม้ขาว จ.ภูเก็ต
โรงแรมนี้เป็นสินทรัพย์ในเครือของนารายณ์ฯ มาตั้งแต่ปี 2554 แต่เดิมใช้แบรนด์ “ฮอลิเดย์ อินน์” ในเครือ IHG ก่อนจะปิดปรับปรุง 10 เดือนมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 และเปลี่ยนแบรนด์มาใช้ “เลอ เมอริเดียน” ในเครือแมริออท เตรียมเปิดให้บริการวันแรก วันที่ 1 ตุลาคมนี้
หลังเปลี่ยนแบรนด์ โรงแรมมีการปรับโครงสร้างใหม่ในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งล็อบบี้ ภายในห้องพัก เพิ่มสระว่ายน้ำสำหรับเด็ก เพิ่มห้องพักที่มี Private Pool และ Pool Access เพิ่มห้องพักขนาดใหญ่พิเศษอีก 2 ห้อง รวมถึงขยายพื้นที่คาเฟ่ในโรงแรมให้รองรับลูกค้าได้มากขึ้น
โทมัสระบุว่า แม้ฮอลิเดย์ อินน์จะได้อัตราเข้าพักสูงถึง 80% แต่ที่ต้องมีการเปลี่ยนแบรนด์เนื่องจากบริษัทต้องการยกระดับตำแหน่งทางการตลาดของโรงแรมให้สูงขึ้น
“จิรารัตน์ นิลประดับ” ผู้จัดการทั่วไป เลอ เมอริเดียน ภูเก็ต ไม้ขาว บีช รีสอร์ท กล่าวว่า ทำเลหาดไม้ขาวเป็นทำเลที่ดึงดูดลูกค้ากลุ่ม “ครอบครัว” ของจ.ภูเก็ต เพราะเป็นหาดที่ยังอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ จึงมีความสงบและเป็นธรรมชาติ เหมาะกับกลุ่มเด็กมากกว่าหาดอื่นๆ ทำให้โรงแรมส่วนใหญ่จะเจาะเป้าหมายกลุ่มนี้ รวมถึงโรงแรมเดิมที่ใช้แบรนด์ฮอลิเดย์ อินน์ด้วย
อย่างไรก็ตาม ตลอดการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา บริษัทพบว่าห้องพักประเภทที่เต็มเร็วเสมอและมีไม่พอต่อความต้องการของลูกค้า คือ ห้องพักแบบ Private Pool และ Pool Access ซึ่งสะท้อนว่าลูกค้าในทำเลนี้พร้อมจ่ายสำหรับห้องพักที่มีฟังก์ชันพิเศษมากขึ้น ทำให้นารายณ์ฯ มองว่าควร “อัปเกรด” โรงแรมไปใช้แบรนด์ที่สูงขึ้นเพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
Positioning สำรวจพอร์ตโฟลิโอแบรนด์ในเครือ IHG แบรนด์ฮอลิเดย์ อินน์นั้นถือเป็นโรงแรมระดับอัปสเกล ซึ่งหากจะปรับระดับขึ้นไปเป็นระดับไฮเอนด์ IHG จะมีแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักคือ “คราวน์ พลาซ่า” ซึ่งเป็นโรงแรมที่เน้นการพักผ่อนระหว่างเดินทางเชิงธุรกิจ จึงอาจจะไม่เหมาะกับโปรดักส์บนหาดไม้ขาวของนารายณ์ฯ
ขณะที่เครือแมริออทมีแบรนด์ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากกว่าคือ “เลอ เมอริเดียน” ซึ่งเป็นแบรนด์สำหรับรีสอร์ตระดับพรีเมียมเพื่อการพักผ่อน
จิรารัตน์กล่าวเพิ่มเติมว่า กลุ่มเป้าหมายของโรงแรมนี้ 90% เป็นชาวต่างชาติ 10% เป็นชาวไทย เนื่องจากหาดไม้ขาวยังไม่เป็นที่นิยมของชาวไทยมากนัก
ในช่วงเปิดตัวโรงแรมซึ่งเป็นโลว์ซีซัน น่าจะได้กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพักผ่อนระยะสั้นจากในเอเชีย เช่น ไทย ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย
ขณะที่ตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นไปซึ่งเป็นไฮซีซัน น่าจะได้ต้อนรับกลุ่มนักท่องเที่ยวพักผ่อนระยะยาว เช่น รัสเซีย ออสเตรเลีย ยุโรป (โดยเฉพาะสแกนดิเนเวีย)
ส่วนนักท่องเที่ยวจีนนั้น จิรารัตน์ตั้งความหวังว่ามาตรการ Free Visa ให้ชาวจีนจากรัฐบาล จะช่วยดึงดูดลูกค้า F.I.T จากจีนได้มากขึ้น
โทมัสกล่าวปิดท้ายถึงการลงทุนและเป้าหมายของโรงแรมนี้ว่า นารายณ์ฯ ลงทุนรีโนเวตไป 400-500 ล้านบาท และหลังรีโนเวตเปลี่ยนแบรนด์แล้วทำให้ราคาห้องพักเพิ่มขึ้นมาเริ่มที่ 5,000 บาทต่อคืน ซึ่งน่าจะทำให้รายได้ของ เลอ เมอริเดียน ภูเก็ต ไม้ขาว บีช รีสอร์ท เพิ่มขึ้นจากเดิม 30-40% และคืนทุนได้ภายใน 5 ปี
ทั้งนี้ นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เป็นเครือบริษัทด้านธุรกิจโรงแรมที่มีสินทรัพย์ในมือ 13 แห่ง ในจำนวนนี้ 10 แห่งบริษัทเป็นผู้บริหารจัดการเองภายใต้เชนโรงแรมนารายณ์ (Narai Hotel), หลับดี (Lub D) และ มาราสก้า (Marasca) ส่วนอีก 3 แห่งบริษัทเป็นเจ้าของสินทรัพย์โดยมีเชนโรงแรมอื่นๆ บริหาร ได้แก่ เลอ เมอริเดียน ภูเก็ต ไม้ขาว บีช รีสอร์ท, 25Hours Hotel Paris Terminus Nord ประเทศฝรั่งเศส และ Bankside Hotel, Autograph Collection ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
]]>หลับดี (Lub d) เป็นโรงแรมในกลุ่มไลฟ์สไตล์ หรือแนวๆ โฮสเทล ในเครือนารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป (Narai Hospitality Group) เจ้าของโรงแรมนารายณ์นั่นเอง ก่อนหน้านี้ได้ทำการปิดปรังปรุง ล่าสุดได้ทำการเปิดทำการอีกครั้ง พร้อมการปรับโฉมครั้งใหญ่
การปรับโฉมครั้งนี้ได้มีการเพิ่มคาเฟ่ และบาร์ไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ เพื่อกระตุ้นยอดขายหลังสถานการณ์ COVID-19 เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร ทำให้สถานการณ์ของตลาดโฮสเทลไม่ได้สวยงามเท่าไหร่นัก
นิธิดา นิธิวาสิน ผู้อำนวยการ Lub d กล่าวว่า
“หลับดีไม่ได้เป็นเพียงแค่โรงแรม แต่เป็นไลฟ์สไตล์การพักผ่อน และการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ COVID-19 ที่ผ่านมา ทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางมาพักผ่อนได้ จึงใช้โอกาสนี้ในการรีแบรนด์ครั้งแรกในรอบ 8 ปี โดยได้ดีไซน์สตูดิโอ (DesignStudio) บริษัทแบรนด์ และครีเอทีฟดิจิตอลเอเจนซี่ชื่อดัง ที่มีผลงานการทำแบรนด์ให้กับแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Alipay และ Airbnb มาออกแบบแบรนด์ ตอบโจทย์เป้าหมายที่มุ่งสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ”
การรีแบรนด์ครั้งนี้ใช้งบลงทุน 50 ล้านบาท ในการรีโนเวตห้องพัก 30 ห้อง ผสมผสานความเป็นท้องถิ่นและความทันสมัยเข้าด้วยกัน ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว และคงเอกลักษณ์ของกลุ่มลูกค้าที่ชอบโฮสเทล พร้อมเพิ่มพื้นที่ส่วนกลาง และ Co-working Space ที่มีอุปกรณ์ครบครัน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ Workation สามารถรองรับการประชุมหรือการจัดเวิร์กช็อปเป็นกลุ่มได้
ปัจจุบันหลับดีมีสาขาอยู่แล้ว 5 แห่ง ได้แก่ หลับดี สยาม, หลับดี เกาะสมุย หาดเฉวง, หลับดี ป่าตอง ภูเก็ต, หลับดี มากาตี ฟิลิปปินส์ และ หลับดี เสียมราฐ กัมพูชา ซึ่งจะมีแผนเปิดตัวสาขาใหม่ 2 สาขาในปี 2565 ได้แก่ หลับดี เชียงใหม่ และ หลับดี จตุจักร รวมไปถึงอีก 2 สาขา ในปี 2566 ได้แก่ หลับดี พะงัน และ หลับดี กระบี่
คาดว่าจะทำรายได้รวมมากกว่า 600 ล้านบาทภายใน 5 ปี จากนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติ
]]>นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป (Narai Hospitality Group) เตรียมก้าวเข้าสู่กลุ่มธุรกิจผู้ให้บริการระดับลักชัวรี่ ด้วยการเปิดตัว มาราสก้า โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ต (Marasca Hotels & Resorts) โรงแรมแนวแคชชวลลักชัวรี่ (casual-luxury) โดยมาราสก้าแห่งแรกของประเทศไทย จะเปิดตัวด้วย มาราสก้า เขาใหญ่ (Marasca Khao Yai) ในปี 2565 ตามมาด้วย มาราสก้า เกาะสมุย (Marasca Koh Samui) ในปี 2566
นิธิดา นิธิวาสิน ผู้อำนวยการ ของนารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป กล่าวว่า
“ชื่อ มาราสก้า มีที่มาจากเชอร์รี่ชนิดหนึ่ง ซึ่งได้กลายเป็นหัวใจหลักของแบรนด์ เรามุงมั่นที่จะสร้างสรรค์ ‘cherry on top moments’ ให้ลูกค้าทุกท่าน ผ่านการออกแบบที่มีสไตล์โดดเด่น ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก คุณภาพสูง พร้อมกับมอบประสบการณ์อันอบอุ่น ทำให้ผู้เข้าพักรู้สึกผ่อนคลายเหมือนอยู่บ้านอย่างแท้จริง ให้คุณได้ใช้พื้นที่ และเวลาอย่างเต็มที่ ในการรีเซต และกลับมาค้นพบตัวเอง”
เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป และไลฟ์สไตล์ของนักเดินทางยุคใหม่ นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เดินหน้าก้าวสู่มิติใหม่ ในธุรกิจตลาดโรงแรม แนวแคชชวลลักชัวรี่ นักเดินทางส่วนใหญ่ในปัจจุบัน มีความคาดหวังที่เรียบง่าย แต่ยังคงต้องมาพร้อมกับมาตรฐานที่สูง
หลายปีที่ผ่านมานักเดินทางยุคใหม่มองหาความหรูหรา แบบเป็นกันเอง และผ่อนคลาย ควบคู่กับประสบการณ์แปลกใหม่ บนทำเลที่ตั้งน่าสนใจ การเปิดตัวของมาราสก้า จะนำเสนอคอนเซ็ปต์ ความหรูหรา ที่เรียบง่าย เข้าถึงได้ และคำนึงถึงความยั่งยืน
มาราสก้า เขาใหญ่ จะเปิดตัวในปี 2565 ตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่ธรรมชาติ รายล้อมด้วยความเขียวขจี ไร่องุ่น โรงบ่มไวน์ และฟาร์ม ตัวโรงแรมและรีสอร์ต ได้รับการออกแบบในสไตล์ luxury countryside retreat destination มีจำนวนห้องพักสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพียง 18 ห้องเท่านั้น
รูปแบบของห้องพัก มีความหลากหลาย ตั้งแต่ห้องแบบวิลล่า แกลมปิ้งเต็นท์ ไปจนถึงรถบ้านแกลมเปอร์แวน โดยทุกห้องพัก จะมาพร้อมกับวิวของทิวเขา อ่างอาบน้ำกลางแจ้ง และเตาผิงไฟส่วนตัว
]]>โรงแรมนารายณ์ก่อตั้งเมื่ปี 2511 เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตระกูล “นิธิวาสิน” ชื่
โรงแรมนารายณ์ เป็นโรงแรม 4 ดาวย่านถนนสีลม อยู่ห่างจากรถไฟฟ้า BTS สถานีช่องนนทรีประมาณ 5 นาที อยู่ไม่ไกลจากวัดแขก ลักษณะเป็นอาคาร 12 ชั้น มีจำนวนห้องพัก 475 ห้อง ห้องพักบริการลูกค้ามีทั้งหมด 7 ประเภท ได้แก่ ห้องสแตนดาร์ด, ห้องสุพีเรียร์, ห้องเดอลักซ์, ห้องเดอลักซ์สวีต, ห้องแฟมิลีสวีต, ห้องเอ็กเซกคิวทีฟสวีต และห้องนารายณ์สวีต
แนวคิดการก่อตั้งโรงแรมนารายณ์ เกิดจากรุ่นคุณปู่ เป็นเจน 1 ของบริษัท และผู้ถือหุ้
แต่เดิมบริษัทมีโรงแรมวิคตอรี่ ขนาด 125 ห้องอยู่แล้ว แต่การมองเห็นโอกาสทางธุรกิ
นอกจากโรงแรมนารายณ์แล้ว ยังมีโรงแรมในเครือ ได้แก่
โรงแรมนารายณ์ถือว่าเป็นโรงแรมที่เกิดจากธุรกิจครอบครัว บริหารงานโดยทีมผู้บริหารคนไทยทั้
ปัจจุบันการบริหารได้ส่งต่อถึงทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูลแล้ว “นที นิธิวาสิน” กรรมการบริหาร บริษัท นารายณ์ โฮเต็ล จำกัด ได้เข้ามารับช่
ในปีนี้เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโรงแรมนารายณ์ เนื่องด้วยเทรนด์ของตลาดโรงแรมที่เปลี่ยนไป และยุคสมัย ประกอบกับความท้าทายในยุค COVID-19 จึงทำให้ต้องมีการขยับตัว เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ดังนั้นถ้าจากนี้จะทำให้
คาดว่าโครงการใหม่จะเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ย่านสีลม แบ่งพื้นที่หลักๆ เป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกจะเป็นพื้นที่เปิดเพื่
ส่วนอีกโซนจะเป็นโซนห้องพั
พร้อมกับอันเชิญองค์พระนารายณ์ ที่อยู่คู่โรงแรมมาตั้งแต่เริ่
เนื่องจากสถานการณ์ของ COVID-19 ทำให้หลายธุรกิจต้องเจอกับความท้าทายรอบด้าน โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม ที่ไม่สามารถเปิดให้บริการตามปกติได้ นักท่องเที่ยวต่างชาติก็ไม่เข้าประเทศ คนในประเทศก็ไม่สามารถเที่ยวได้ตามปกติเท่าไหร่ เนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัย
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจึงได้เห็นโรงแรมต่างปรับตัวให้ทัน ไม่ว่าจะปรับเรื่องแพ็กเกจให้อยู่รายเดือนในราคาถูก หรือทำข้าวกล่อง ขายอาหาร เพื่อหารายได้เพิ่ม
ก่อนหน้านี้ในกรุงเทพฯ ได้เคยมีโรงแรมเก่าที่ทุบทิ้ง และก่อสร้างใหม่เช่นกัน ได้แก่ โรงแรมดุสิตธานี ถนนพระราม 4 สี่แยกศาลาแดง ได้ทุบทิ้งโรงแรมเดิมสูง 23 ชั้น มาตั้งแต่ปี 2562 เพื่อก่อสร้างโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ซึ่งเป็นการร่วมทุนกันระหว่างกลุ่มดุสิตธานีกับเซ็นทรัลพัฒนา มูลค่าโครงการรวมกว่า 36,700 ล้านบาท
ยิ่งทำให้การแข่งขันในโซน CBD ย่านธุรกิจอย่างสีลมดุเดือดมากขึ้น ยิ่งถ้าโครงการไหนไม่ปรับตัว ก็คงอยู่ยาก…
]]>