Airport – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 19 Jul 2022 08:40:27 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 บางกอกแอร์เวย์ส เปิดตัว BAREIT ลงทุนในสนามบินสมุย ชูจุดเด่นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ https://positioningmag.com/1393158 Tue, 19 Jul 2022 07:47:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1393158 บมจ. การบินกรุงเทพ (BA) เปิดตัวกองทรัสต์ BAREIT โชว์ศักยภาพทรัพย์สินสนามบินสมุยที่เข้าลงทุนคึกคัก รับนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยหลังเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ชูจุดเด่นเป็นสนามบินนานาชาติ สามารถให้บริการแก่ผู้โดยสารได้มากถึง 6 ล้านคนต่อปี

โดยทาง BA จะให้เช่าทรัพย์สินสนามบินสมุยแก่กองทรัสต์ BAREIT โดยกองทรัสต์ BAREIT จะเข้าลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการดำเนินกิจการสนามบินสมุยคือ ทางวิ่ง ลานจอด และสิ่งปลูกสร้างบางส่วนที่ใช้ในการดำเนินกิจการสนามบินสมุย เป็นระยะเวลาประมาณ 25 ปี โดยผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้เงินปันผลที่มาจากค่าเช่าในสนามบิน

พุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. การบินกรุงเทพ ได้กล่าวถึงภาพรวมการท่องเที่ยวของไทยว่า หลังการเปิดประเทศไทยเต็มรูปแบบและผ่อนคลายเงื่อนไขการเดินทางเข้าประเทศไทยของชาวต่างชาติ ถือเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญต่อภาพรวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย เขาคาดว่าในปี 2565 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 7-10 ล้านคน

ขณะเดียวกันการท่องเที่ยวในเกาะสมุย นับตั้งแต่โควิด-19 เป็นต้นมาเที่ยวบินกำลังฟื้นตัว แนวโน้มที่กลับมาถือว่าดีขึ้นอย่างมาก โดยไตรมาส 1 ปี 2022 มีเที่ยวบิน 993 เที่ยวบิน แต่ยังต่ำกว่าปี 2019 ซึ่งมีเที่ยวบินทั้งหมด 28,904 เที่ยวบิน

จากซ้ายไปขวา ลีฬภัทร ลีฬหวณิช พุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ (คนกลาง) และ สาวิตร ศรีศรันยพงศ์

พุฒิพงศ์ ยังกล่าวถึงสนามบินสมุยนั้นมีอายุ 30 กว่าปีแล้ว โดยจุดเริ่มต้นของสนามบินนี้คือที่ดินแทบจะเป็นที่รกร้าง ซึ่งในอดีตสนามบินขนาดนั้นยังไม่ใหญ่เท่ากับปัจจุบันและมีทางวิ่งของเครื่องบินยาว 1,500 เมตร และมีการปรับปรุงสนามบินสมุยหลายส่วนมาก โดยเฉพาะทางวิ่งนี้ปัจจุบันยาว 2,100 เมตร ในพื้นที่ 500 ไร่

ปัจจุบันสนามบินสมุยนี้รองรับเครื่องบินขนาดใหญ่สุดก็คือ Airbus A319 หรือ Boeing 737-400 อย่างไรก็ดี ผู้บริหารสูงสุดของ บมจ. การบินกรุงเทพ ก็ยอมรับว่าจุดดังกล่าวถือเป็นข้อจำกัดของสนามบินสมุยด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ทางบริษัทมองว่ารายได้จาก Private Jet ที่มาลงที่สนามบินสมุยถือเป็นโอกาสรายได้ใหม่ๆ ของสนามบินสมุย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาปริมาณของเครื่องบินเหล่านี้ที่บินมายังสนามบินถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างมาก และทางสนามบินเองเตรียที่จะขอเพิ่มจำนวนเที่ยวบินให้มากกว่านี้ ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ

ทางด้านของ ลีฬภัทร ลีฬหวณิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงเทพ รีทแมเนจเมนท์ จำกัด สนามบินสมุยมีศักยภาพรองรับนักท่องเที่ยวได้มาก มองว่าการท่องเที่ยวค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาเต็มรูปแบบได้ในปี 2024 ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้ BA ได้จัดตั้ง BAREIT ขึ้นมา

นอกจากนี้การที่ BA ได้ยกเลิกสัญญาเช่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สนามบินสมุย (SPF) และจัดตั้งกองทรัสต์ BAREIT ขึ้นมา ลีฬภัทร ชี้ว่าจะทำให้ความสามารถของ BAREIT สามารถเพิ่มทุน หรือกู้เงินสถาบันการเงินมา หรือแม้แต่ลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ในอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นสนามบินในต่างประเทศ หรือแม้แต่สนามบินที่ บมจ. การบินกรุงเทพ เป็นเจ้าของ อย่างเช่น สนามบินตราด สนามบินสุโขทัย BAREIT ก็สามารถลงทุนได้ในอนาคต

ปัจจัยดังกล่าวนี้ทำให้ BAREIT มีความคล่องตัวมากกว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เดิม นอกจากนี้เธอยังมองว่ากอง REIT นั้นนักลงทุนชาวต่างชาติมีความเข้าใจมากกว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ เธอยังมองว่า ธุรกิจสนามบินเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าค่อนข้างสูง และมองว่าเมื่อมีสนามบินใกล้กับกับชุมชนถือว่าเป็นการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ร้านค้า ร้านอาหาร เป็นต้น

สำหรับระยะเวลาในการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สาวิตร ศรีศรันยพงศ์ ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ได้กล่าวว่า ปัจจุบัน BAREIT อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่ออนุมัติการเสนอขายหน่วยทรัสต์แก่นักลงทุน และคาดว่าจะระดมทุนและนำหน่วยทรัสต์เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ภายในปีนี้

]]>
1393158
‘สุนัขดมกลิ่น’ ตัวช่วยเสริมความเร็ว คัดกรองผู้ป่วยโควิด-19 ในสนามบิน-งานอีเวนต์คนเยอะ https://positioningmag.com/1333798 Tue, 25 May 2021 09:24:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1333798 สุนัขดมกลิ่นกำลังจะมาเป็นตัวช่วย’ เสริมความรวดเร็วในการคัดกรองผู้ป่วยโรคโควิด-19 ขั้นต้น ตามสนามบิน เเละอีเวนต์ใหญ่ๆ ที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก

ทีมวิจัยในสหราชอาณาจักร ได้ฝึกฝนสุนัขให้จดจำกลิ่นพิเศษจากผู้ป่วยโควิด-19 ที่จมูกมนุษย์ไม่สามารถตรวจจับได้ อย่างไรก็ตาม ต้องมีการรับรองผลในห้องแล็บอีกครั้งเพื่อความเเน่นอน

สุนัขสามารถดมกลิ่นได้ดีกว่ามนุษย์ถึง 1 แสนเท่า และมาช่วยงานดมกลิ่นหายาเสพติดและระเบิดเป็นเวลานานเเล้ว งานวิจัยในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่า สุนัขสายพันธุ์รีทรีฟเวอร์และสแปเนียล สามารถดมและแยกแยะกลิ่นเฉพาะของโรคต่างๆ ได้ เช่น มะเร็ง พาร์กินสัน และมาลาเรีย

โดยสุนัข 6 ตัวได้รับการฝึกฝนให้ดมกลิ่นของผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากถุงเท้า หน้ากากอนามัย และเสื้อผ้าต่างๆ หากพวกมันดมกลิ่นเเล้วระบุได้ว่า ของใช้เหล่านั้นเป็นของผู้ติดเชื้อโควิด-19 หรือของผู้ที่ไม่ติดเชื้อ ก็จะได้รับรางวัล

นอกจากนี้ ยังมีการฝึกให้สุนัขแยกเเยะกลิ่นของผู้ติดเชื้อโควิด-19 กับกลิ่นของผู้ที่เป็นไข้หวัดทั่วไป หรือติดเชื้อทางเดินหายใจอื่น ๆ ได้ รวมถึงผู้ติดเชื้อโควิดหลายสายพันธุ์ ทั้งที่ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการน้อย

Claire Guest หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ของ Medical Detection Dogs ซึ่งเป็นศูนย์ฝึกสุนัขในโครงการนี้ ระบุว่าผลการวิจัยดังกล่าวเป็นหลักฐานเพิ่มเติมว่า สุนัขเป็นหนึ่งในเครื่องตรวจจับทางชีวภาพที่เชื่อถือได้มากที่สุดสำหรับการค้นหากลิ่นโรคในมนุษย์

Photo : DHSC

โดยสุนัขดมกลิ่นสามารถตรวจจับผู้มีผลตรวจโรคโควิด-19 เป็นบวก ได้ถึง 88% หมายความว่า ในทุก ๆ 100 คนสุนัขดมกลิ่นผิดพลาดเพียง 12 คนเท่านั้น

ส่วนในกรณีผู้ที่ไม่ติดเชื้อโควิด สุนัขดมกลิ่นผิดพลาดไป 16 คน (บอกว่าผู้ไม่ติดเชื้อคือผู้ติดเชื้อ) โดยสมมติ หากเครื่องบินหนึ่งลำ มีผู้โดยสารทั้งหมด 300 คน เเต่มีผู้ติดเชื้อ 1 คน สุนัขดมกลิ่นก็มีแนวโน้มที่จะระบุถึงบุคคลนั้นได้อย่างถูกต้อง เเต่ก็อาจจะระบุผิดว่ามีผู้ติดเชื้อโควิด อีก 48 คน

ดังนั้นทีมวิจัย จึงไม่แนะนำให้ใช้สุนัขดมกลิ่นเพียงอย่างเดียวในกรณีกลิ่นตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นบวก

โดยอาจใช้สุนัขดมกลิ่นมาเป็นตัวช่วยร่วมในการคัดกรอง ไปพร้อม ๆ กับการใช้วิธีคัดกรองอื่น ๆ ด้วย เช่น ให้สุนัขดมกลิ่นคัดกรองในขั้นแรก จากนั้นก็ใช้การตรวจเเบบ swab ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ จะสามารถตรวจพบผู้ติดเชื้อได้ถึง 91%

ประโยชน์ที่แท้จริงจากการนำสุนัขมาใช้ร่วมคัดกรอง คือความรวดเร็ว

นักวิจัยระบุว่า การตรวจเเบบ swab โดยทั่วไปใช้เวลาเร็วที่สุด 15 นาทีจึงจะทราบผล แต่สุนัขใช้เวลาดมเชื้อโรคได้ภายในไม่กี่วินาที ซึ่งสุนัขที่ได้รับการฝึกแล้ว 2 ตัว สามารถดมกลิ่นและคัดกรองคนได้ถึง 300 คนในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง  

James Logan ศาสตราจารย์จากวิทยาลัยสุขภาพและเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยลอนดอน ซึ่งทำการวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยเดอรัม ให้ความเห็นว่าการทดสอบด้วยการดมกลิ่น เป็นวิธีที่เหมาะสมสำหรับการคัดกรองผู้คนจำนวนมาก

งานวิจัยนี้ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น เเละยังต้องมีการทดลองเเละตรวจสอบอีกมาก ก่อนที่จะสามารถเผยแพร่ เเละดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้

 

 

ที่มา : BBC  , Reuters 

]]>
1333798
‘ท่องเที่ยวไทย’ เจ็บซ้ำ โควิดระลอก 3 เงินหาย 1.3 แสนล้าน เเนะรัฐเร่งฉีด-เปิดทางเลือกวัคซีน https://positioningmag.com/1327761 Mon, 12 Apr 2021 12:39:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1327761 โควิดระลอก 3 ซัดเศรษฐกิจไทย KBANK ประเมินเที่ยวสงกรานต์เงินหายหมื่นล้านกระทบต่อรายได้อุตฯ ท่องเที่ยวครึ่งปีแรก อาจสูญ 1.3  แสนล้าน เเนะรัฐเร่งเปิดทางเลือก ‘จัดหาวัคซีน’ 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยผลวิจัยล่าสุด เกี่ยวกับผลกระทบจากการเเพร่ระบาดของโควิด-19 ‘ระลอก 3’ ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา

โดยภาคการท่องเที่ยวไทยนั้น คาดว่าในช่วงสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 10-18 เมษายน 2564 จะสูญเสียรายได้ไปราว 1 หมื่นล้านบาท จากการยกเลิกหรือเปลี่ยนแผนการเดินทางของนักท่องเที่ยว

พร้อมประเมินว่า การควบคุมการระบาดระลอก 3น่าจะใช้ระยะเวลานานกว่ารอบก่อนหน้าเนื่องจากพบผู้ติดเชื้อสูงและการแพร่เชื้อที่รวดเร็ว ซึ่งกระทบต่อแผนการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทยต่อไปในช่วงไตรมาส 2

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การระบาดของโควิด-19 ทั้ง 2 ครั้งที่เกิดขึ้น (นับตั้งเเต่ต้นปี) จะส่งผลกระทบทำให้ในครึ่งแรกของปี 2564’ รายได้ตลาดไทยเที่ยวไทยมีมูลค่าประมาณ 1.37 แสนล้านบาท คิดเป็นรายได้ท่องเที่ยวที่หายไปเป็นมูลค่ากว่า 1.3 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนที่จะเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 รายได้ท่องเที่ยวของคนไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2564 สูญเสียไปคิดเป็นมูลค่า 34,000 ล้านบาท

เเละเมื่อเทียบกับสถานการณ์ปกติในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ก่อนที่จะเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 รายได้คนไทยเที่ยวในประเทศช่วงครึ่งแรกปี 2564 สูญเสียไปคิดเป็นมูลค่าถึง 385,400 ล้านบาท

นักท่องเที่ยวไทย ‘ยกเลิกเเผนเที่ยว’ ได้ทุกเมื่อ 

นับเป็นข่าวร้ายต่อภาคธุรกิจท่องเที่ยวที่กำลังเริ่มกลับมาสู่เส้นทางการฟื้นตัว หลังจากที่ต้องหยุดชะลอลงจากเหตุการณ์การระบาดในช่วงปลายปีที่ผ่านมา

จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาล่าสุด พบว่า การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของคนไทยในเดือน ก.. 64 เพิ่มขึ้นกว่า 30% จากเดือนม.. 64 ซึ่งในเดือนม..ที่ผ่านมา เป็นเดือนที่ตลาดไทยเที่ยวไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของโควิดระลอกที่ 2 โดยจำนวนนักท่องเที่ยวไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเหลือเพียง 4.51 ล้านคน-ครั้ง

การระบาดของโควิดระลอกที่ 3 นี้ พบผู้ติดเชื้อในประเทศเป็นกลุ่มก้อนจำนวนมากกว่าที่ผ่านมา โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และกระจายไปในอีกหลายจังหวัดตั้งแต่ต้นเดือนเม.. นั้น ทำให้ทางการต้องยกระดับมาตรการการเฝ้าระวังการระบาดอีกครั้ง การขอความร่วมมือทำงานที่บ้านและงดการเดินทางข้ามจังหวัด

นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีแผนเดินทางท่องเที่ยวในช่วงไตรมาส 2 ต่างต้องปรับเลื่อนแผนการการท่องเที่ยวออกไป

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า คนไทยส่วนใหญ่มีความอ่อนไหวต่อข่าวการระบาดของโรคโควิด-19 และพร้อมที่จะยกเลิกหรือเลื่อนแผนการท่องเที่ยวได้ทุกเมื่อ

เเนะรัฐเร่งฉีด-เปิดทางเลือกจัดหา ‘วัคซีน’ 

การระบาดของโรคโควิด-19 ยังไม่ยุติลงในระยะเวลาอันใกล้ทั้งในและต่างประเทศแม้จะมีการเริ่มฉีดวัคซีนแล้วแต่ยังมีจำนวนจำกัดขณะที่ประสิทธิผลของวัคซีนยังไม่สรุปได้ว่าคนที่ฉีดแล้วจะไม่แพร่เชื้อรวมถึงระยะเวลาป้องกันการติดโรคโควิดก็ยังไม่แน่นอน

ทำให้นับต่อจากนี้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จะต้องดำเนินการอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง

KBANK มองว่าสิ่งสำคัญในช่วงเวลานี้คือการสร้างความเชื่อมั่นของภาครัฐ ด้วยการเร่งฉีดวัคซีนที่มีอยู่การเเละเปิดทางเลือกที่หลากหลายต่อประเด็นการจัดหาวัคซีน เพื่อให้คนไทยได้รับการฉีดวัคซีนที่เร็วและครอบคลุมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ตลอดจนการคำนึงถึงประเด็นที่ว่าประชากรหนึ่งคนอาจจำเป็นต้องฉีดวัคซีนต่อเนื่องหลายเซตในช่วงปีข้างหน้า” 

ขณะที่ผู้ประกอบการจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพื่อลดความเสี่ยงเชิงนโยบายและปัจจัยแวดล้อมของตลาด เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในระยะยาว ความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนในการควบคุมการระบาดของโรคให้จบในเร็ววัน

]]>
1327761
AOT ประกาศยืดเวลาจ่าย ‘ค่าตอบแทน-ค่าเช่าพื้นที่’ ช่วยสายการบินเเละร้านค้า ต่ออีก 6 เดือน https://positioningmag.com/1315457 Wed, 20 Jan 2021 14:37:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1315457 ธุรกิจการบินยังฟื้นยาก AOT ขยายเวลามาตรการเลื่อนชำระ “ค่าผลประโยชน์ตอบแทน-ค่าเช่าพื้นที่-ค่าบริการ” ช่วยผู้ประกอบการเเละสายการบิน ต่ออีก 6 เดือน

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. (AOT) ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ยังมีความรุนแรงต่อเนื่องในหลายประเทศ รวมทั้งมีการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในประเทศไทย ส่งผลให้ผู้ประกอบการและสายการบิน ยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว

ดังนั้น เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการและสายการบิน ให้ยังคงสามารถประกอบธุรกิจไปได้ รวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ ในการประชุมคณะกรรมการ ทอท. ประชุมครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันพุธที่ 20 ม.ค. 2564 ที่ประชุมมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาการเลื่อนการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทน ค่าเช่าพื้นที่ และค่าบริการต่าง ๆ ให้กับผู้ประกอบการและสายการบินที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบดำเนินงานของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. ขยายระยะเวลาการเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนเพิ่มเติม 

  • สำหรับงวดที่ครบกำหนดชำระตั้งแต่เดือน ก.พ. – ก.ค. 2563 ให้ขยายระยะเวลาการเลื่อนชำระออกไปอีก 6 เดือน รวมระยะเวลาการเลื่อนชำระเป็น 18 เดือน
  • สำหรับงวดที่ครบกำหนดชำระตั้งแต่เดือน ส.ค. – ธ.ค. 2563 ให้ขยายระยะเวลาการเลื่อนชำระออกไปอีก 6 เดือน รวมระยะเวลาการเลื่อนชำระเป็น 12 เดือน

2. ขยายระยะเวลาการเลื่อนชำระค่าเช่าพื้นที่ ค่าบริการการใช้บริการในอาคาร ค่าบริการสนามบิน (Landing and Parking Charges) และค่าเครื่องอำนวยความสะดวก (Aircraft Service Charges) เพิ่มเติม

  • สำหรับงวดที่ครบกำหนดชำระตั้งแต่เดือน เม.ย. – ก.ค. 2563 ให้ขยายระยะเวลาการเลื่อนชำระออกไปอีก 6 เดือน รวมระยะเวลาการเลื่อนชำระเป็น 18 เดือน
  • สำหรับงวดที่ครบกำหนดชำระตั้งแต่เดือน ส.ค. – ธ.ค. 2563 ให้ขยายระยะเวลาการเลื่อนชำระออกไปอีก 6 เดือน รวมระยะเวลาการเลื่อนชำระเป็น 12 เดือน

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการและสายการบิน ที่ประสงค์จะขอรับสิทธิ์การขยายระยะเวลาการเลื่อนชำระดังกล่าว จะต้องทำหนังสือถึง ทอท. เพื่อร้องขอรับสิทธิ์ดังกล่าว โดย ทอท. สงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือยกเลิกเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการและสายการบินดังกล่าว ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19

]]>
1315457
ทอท.เตรียมพร้อมรับ AEC เน้นพัฒนาทุกด้าน มั่นใจรักษาการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง https://positioningmag.com/58501 Mon, 29 Sep 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=58501

ทอท. เตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เน้นการพัฒนาการบริการทุกด้าน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้โดยสารและสายการบิน เชื่อแผนการขยายสนามบินยังเดินหน้า เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจอาเซียนและการขยายตัวของสายการบินต้นทุนต่ำ มั่นใจสร้างรายได้และการเติบโตของบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง ด้านนักวิเคราะห์คาดหากแผนลงทุนชัดเจน จะหนุนให้เกิดการเติบโตระยะยาว

นางพูลศิริ วิโรจนาภา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานบัญชีและการเงิน บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทอท.มีความพร้อมในการรองรับการเติบโตของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 โดยได้มีการพัฒนาการให้บริการในทุกๆด้าน เพื่อสร้างความสะดวกสบาย ความรวดเร็ว และที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัย ให้กับผู้โดยสารและสายการบินต่างๆ ที่มาใช้บริการท่าอากาศยานทุกแห่งของ ทอท. เช่น การขยายการให้บริการอาคารผู้โดยสารที่ 2 ของท่าอากาศยานดอนเมือง และการขยายท่าอากาศยานภูเก็ต เพื่อรองรับการเติบโตของสายการบินต้นทุนต่ำที่มีการขยายตัวอย่างมาก โดยมีการคาดการณ์ว่าสายการบินต้นทุนต่ำ จะเติบโตไม่น้อยกว่า 25% ในปีนี้ ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจการบินอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนหนึ่งเกิดจากการขยายตัวของเศรษฐกิจอาเซียนที่มีการเชื่อมโยงกันมากขึ้น รวมไปถึงการส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวในประเทศ ที่รัฐบาลให้การสนับสนุน จึงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจสายการบินได้รับประโยชน์ไปด้วย

สำหรับแผนการลงทุนของ ทอท.นั้น ล่าสุดคณะกรรมการ ทอท. เห็นชอบแนวทางการศึกษาการใช้ประโยชน์ของอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ที่จะก่อสร้างบริเวณด้านทิศเหนือของอาคารเทียบเครื่องบิน A 
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วงเงิน 2.4 หมื่นล้านบาท ที่กำหนดให้อาคารผู้โดยสารหลังใหม่รองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ และภายในประเทศพร้อมๆ กัน และมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนสิ่งอำนวยความสะดวกภายในอาคาร รวมทั้งให้ไปศึกษาประเด็นต่างๆ เพิ่มเติมระหว่างที่ดำเนินการทบทวนโครงการพัฒนา ทสภ. (ปีงบประมาณ 2554-2560) ตามมติของ คสช. เช่น พื้นที่ที่จะก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินหลังรอง (Satellite) จะสามารถทำเฉพาะหลุมจอดระยะไกล (Remote Parking) ได้ก่อนหรือไม่ เพื่อเป็นการแบ่งเบาความแออัดของหลุมจอดไปพลางก่อน และในกรณีที่มีผลกระทบไม่สามารถเพิ่มหลุมจอดอากาศยานขนาดใหญ่รองรับ A380 ได้นั้น ให้พิจารณาด้วยว่าควรจะต้องปรับปรุงหลุมจอด  ที่มีอยู่เดิมให้สามารถรองรับ A380 เพิ่มได้อย่างไร โดยพิจารณาความเหมาะสมในการก่อสร้างและปรับปรุงในแต่ละจุด ตลอดจนต้องช่วยลดผลกระทบเมื่อมีการซ่อมบำรุงด้วย

“ทอท. จะศึกษาแนวทางการลงทุนในประเด็นต่างๆเพิ่มเติมตามที่คณะกรรมการให้ความเห็น ไม่ว่าจะเป็นด้านความเหมาะสมในการก่อสร้างและปรับปรุงในแต่ละจุด การลดผลกระทบเมื่อมีการซ่อมบำรุง การตรวจสอบรายละเอียดงานให้เหมาะสมและถูกต้อง รวมถึงความต่อเนื่องในการดำเนินงาน โดย ทอท.ยืนว่าจะจัดสรรเงินลงทุนและบริหารเงินลงทุนให้คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ ด้วยฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และมีกระแสเงินสดเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ดี หากรัฐบาลมีการอนุมัติโครงการต่างๆ แล้ว ทอท.จะวางแผนเพื่อจัดสรรเงินลงทุน ซึ่งส่วนหนึ่งจะมาจากกระแสเงินสดของทอท. ส่วนที่เหลือจะพิจารณาถึงความคุ้มค่าในการระดมทุน ซึ่งมีหลากหลายทางเลือก โดยจะศึกษาความเป็นไปได้และผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด” นางพูลศิริ กล่าว

สำหรับผลประกอบการ ปี 2557 (ตุลาคม 2556 – กันยายน 2557 ) ทอท. ยังมั่นใจว่าจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิที่ไม่รวมรายการพิเศษได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิที่ไม่รวมรายการพิเศษมากกว่าปี 2556 ซึ่งทอท.มีกำไรสุทธิไม่รวมรายการพิเศษอยู่ที่ 9,652 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้  (กรกฎาคม 2557 – กันยายน 2557) แนวโน้มการท่องเที่ยวในประเทศที่เริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่การเมืองมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องการยกเว้นค่าธรรมเนียมในการขอรับการตรวจลงตรา (VISA) ให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนและไต้หวัน รวมไปถึงการยกเว้นภาษีที่เกิดจากรายจ่ายภายในประเทศ ซึ่งทำให้จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

“ที่ผ่านมา ทอท.ประสบปัญหาจากปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ จนส่งผลกระทบต่อรายได้ของทอท. แต่การบริหารจัดการภายในองค์กร เช่น การปรับลดงบประมาณกิจกรรมต่างๆ รวมไปถึงค่าใช้จ่าย และการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบิน ทำให้ปีนี้ ทอท.สามารถรักษาอัตราการเติบโตของกำไรให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง” นางพูลศิริกล่าว

นางพูลศิริ กล่าวเพิ่มเติมถึงการเดินทางไปนำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุนที่ประเทศอังกฤษ ว่า นักลงทุนให้การตอบรับเป็นอย่างดี และยังเชื่อมั่นในแนวทางการบริหารจัดการของ ทอท. ว่าจะสามารถสร้างรายได้และกำไรให้เติบโตต่อเนื่องได้ อย่างไรก็ตามนักลงทุนมีความกังวลเรื่องแผนการขยายโครงการต่างๆในอนาคตที่จะรองรับการเพิ่มขึ้นของผู้โดยสารและสายการบินที่ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งในส่วนนี้ทอท. ได้ชี้แจงไปเบื้องต้นว่าอาจมีความล่าช้า แต่ยังเชื่อมั่นว่าแผนการขยายโครงการต่างๆ จะมีความชัดเจนในเร็วๆ นี้

ด้านบทวิเคราะห์ ของบริษัทหลักทรัพย์เคเคเทรด แนะนำให้ซื้อเก็งกำไรหุ้น ทอท. โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 260 บาท เนื่องจากเห็นว่าผลประกอบการมีแนวโน้มดีขึ้น จากความชัดเจนในสถานการณ์การเมือง รวมไปถึงมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ และการเปิด AEC จะทำให้ ทอท.ได้ประโยชน์มากที่สุดในธุรกิจการบิน ทั้งนี้คาดการณ์ว่าปี 2557 ทอท. น่าจะมีกำไรสุทธิไม่รวมรายการพิเศษเพิ่มขึ้นประมาณ 17 %จากปี 2556 และคาดการณ์ว่าในปีหน้าจะมีกำไรสุทธิไม่รวมรายการพิเศษ เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2557 บนสมมติฐานว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12% และหากแผนการลงทุนของทอท.มีความชัดเจน ก็เชื่อมั่นว่าทอท.จะมีการเติบโตที่ต่อเนื่องในระยะยาว

]]>
58501
Skyscanner เผย 10 สิ่งน่ารำคาญใจในสนามบิน มาดูกันว่า ก่อนที่เครื่องบินจะทะยานออก นักท่องเที่ยวต้องเจออะไรบ้างที่น่ารำคาญที่สุดในสนามบิน https://positioningmag.com/57216 Wed, 18 Sep 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57216

ก่อนที่ผู้โดยสารจะออกเดินทางท่องเที่ยวด้วยเครื่องบิน สนามบินอาจเรียกได้ว่าเป็น “มารผจญ” ก่อนขึ้นเครื่องเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าบางอย่างที่สนามบินได้จัดไว้ให้ก็ทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว ในขณะที่บางอย่างกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะผู้โดยสารต้องลำบากกว่าเดิมเพื่อให้ได้ใช้บริการของสนามบิน Skyscanner เว็บไซต์ค้นหาตั๋วเครื่องบินโรงแรมที่พัก และรถเช่าชั้นนำของโลกได้เปิดเผยสิ่งที่น่ารำคาญใจที่สุด 10 อย่างที่นักท่องเที่ยวต้องเผชิญก่อนเดินทาง

1. ถูกตรวจในด่านรักษาความปลอดภัย เป็นที่รู้กันดีว่าในสนามบินจำเป็นต้องมีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผู้โดยสารหงุดหงิดน้อยลง และหากผู้โดยสารไม่อยากโดนรุกล้ำความเป็นส่วนตัว ผู้โดยสารควรแยกกระเป๋าเงิน รวมทั้งเหรียญและเข็มขัดออกมาไว้ต่างหาก ซึ่งบางครั้งการเตรียมตัวเช่นนั้นก็อาจไม่ได้ช่วยผู้โดยสารจากการถูกตรวจค้น เพราะสัญญาณการตรวจค้นแบบสุ่มดังอาจดังขึ้นมาอยู่ดี

2. ต้องแสดงบัตรโดยสารทุกครั้งก่อนซื้อของในสนามบิน เมื่อก่อน คงมีเพียงร้านค้าปลอดภาษีเท่านั้นที่ผู้โดยสารจะต้องโชว์บัตรโดยสารก่อนจับจ่ายใช้สอย แต่ทุกวันนี้ เราต้องโชว์บัตรในทุกร้านค้าในสนามบินเลยก็ว่าได้ ผู้ค้าอาจจะชื่นชอบกับข้อมูลการตลาดที่พวกเขาเก็บไว้ได้ (แน่นอนว่าพวกเขาจะนำไปขายต่อ) แต่พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่า การที่ลูกค้าต้องควักบัตรโดยสารออกมาโชว์ เพียงแค่ต้องการซื้อหมากฝรั่งเพียงห่อเดียว ทำให้ลูกค้ารำคาญใจมากแต่ไหน

3. ปลั๊กไฟมีไม่เพียงพอกับความต้องการ ในยุคที่เครื่องมือสื่อสารสุดไฮเทคต่างๆ ทั้งโทรศัพท์มือถือ แท็บแล็ต และแล็ปท็อปเป็นที่นิยมอย่างมาก นักท่องเที่ยวแทบทุกคนจะพกอุปกรณ์เหล่านั้นเวลาเดินทางเสมอ แต่มีเพียงไม่กี่สนามบินที่มีจำนวนปลั๊กไฟเพียงพอกับจำนวนอุปกรณ์พกพาที่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ นักท่องเที่ยวได้แต่หวังว่าจะมีปลั๊กไฟให้ใช้ในทุกบริเวณของสนามบินเลย

4. มีที่นั่งไม่เพียงพอให้บริการ ทั้งๆ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสนามบิน แต่กลับมีที่นั่งไม่เพียงพอที่จะรองรับผู้โดยสารได้หมด โดยเฉพาะเวลาที่เที่ยวบินเกิดความล่าช้า ผู้โดยสารก็ไม่มีที่นั่งรอ หรือผู้โดยสารสามารถเลือกนั่งรอที่ร้านอาหารได้ แต่ก็ต้องยอมควักเงินซื้ออาหารทานทั้งที่ไม่ได้ต้องการ เพราะที่นั่งพวกนี้มีไว้สำหรับลูกค้าของร้านเท่านั้น

5. ประกาศจากสนามบินว่า เที่ยวบินจะล่าช้ากว่ากำหนด ด้วยเหตุผลที่ว่าเครื่องบินมาถึงช้า! นั่นมันไม่ใช่คำอธิบายที่ดีเลย สำหรับเหตุผลที่เครื่องบินล่าช้า มันก็ไม่ต่างอะไรกับการบอกว่า ‘ที่นั่งในสนามบินขาดแคลนเพราะสนามบินมีที่นั่งไม่พอ’ คงจะดีกว่าหากทางสนามบินบอกความจริงกับผู้โดยสาร หรือไม่อย่างน้อยก็ควรสร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้โดยสารที่ต้องนั่งรอเครื่องบินที่ล่าช้าบ้าง เช่น เพราะนักบินลืมปลาเก๋า เอ๊ย! กระเป๋าไว้ที่บ้าน เป็นต้น

6. เสียเงินเพิ่มหากต้องการใช้ Wi-Fi ผลจากการสำรวจพบว่าในบรรดาบริการต่างๆ Wi-Fi เป็นบริการที่นักท่องเที่ยวต้องการมากที่สุด มันคงเป็นเรื่องตลกหากนักท่องเที่ยวต้องหยอดเหรียญในมิเตอร์ไฟฟ้า เพื่อให้แน่ใจว่าไฟในสนามบินจะไม่ดับ แน่นอนว่าการบริการ Wi-Fi ในสนามบินก็เช่นเดียวกัน นักท่องเที่ยวควรได้ใช้บริการฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม

7. สายการบินที่มีพนักงานไม่เพียงพอบริเวณเคาน์เตอร์เช็คอิน การจำกัดจำนวนพนักงานถือเป็นเรื่องที่แย่ที่สุดสำหรับผู้โดยสาร โดยเฉพาะในสายการบินราคาประหยัด ซึ่งมีเพียงไม่กี่สายการบินเท่านั้นที่ไม่จำกัดงบประมาณด้านนี้ โดยการจัดให้มีพนักงานเพียงสองคนที่โต๊ะเช็คอิน 10 โต๊ะ อาจทำให้ผู้โดยสารไม่พอใจได้ เมื่อพวกเขาต้องรอนานมากกว่า 30 นาทีเพื่อเช็คอิน เคยมีนักท่องเที่ยวต้องต่อแถวรอเช็คอินนานกว่าหนึ่งชั่วโมงของสายการบินชั้นประหยัด ที่สนามบินสแตนสเต็ด ประเทศอังกฤษ ดังนั้นนักท่องเที่ยวจึงควรเตรียมตัวไปตั้งแต่เนิ่นๆ และถ้าไม่อยากรอนาน ควรจัดของใส่กระเป๋าที่สามารถหิ้วขึ้นเครื่องได้ พร้อมทั้งเช็คอินออนไลน์ไว้เลย

8. เช็คอินออนไลน์ไม่ได้ การพกสัมภาระไปเที่ยวน้อยๆ และการเช็คอินทางออนไลน์เป็นหนึ่งในวิวัฒนาการที่ดีที่สุดของการเดินทางทางอากาศ เพราะช่วยให้การจัดการเรื่องต่างๆ ในสนามบินเร็วขึ้น และง่ายขึ้น แต่คงเป็นไปได้ยากหากจะใช้บริการนี้ในทุกสายการบินและทุกสนามบิน เช่น หากบินไปกับสายการบินไทเกอร์แอร์เวย์ที่สนามบินชางงิ ประเทศสิงคโปร์ ผู้โดยสารยังคงต้องต่อแถวเป็นเวลานานอยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าจะไม่มีกระเป๋าให้เช็คอินก็ตาม ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวหมดศรัทธาในแนวคิดการท่องเที่ยวแบบรวดเร็วและเบาสบายที่สายการบินราคาประหยัดเป็นผู้ริเริ่มและส่งเสริมเอง

9. ร้านค้าส่วนใหญ่ในสนามบินมักไม่เหมาะกับนักเดินทางส่วนมาก ผู้โดยสารหลายคนคงเคยรอในสนามบินอย่างน้อยซักหนึ่งชั่วโมงในสนามบินก่อนขึ้นเครื่องบิน ทำไมไม่ลองไปเดินช้อปปิ้งซื้อแหวนเพชรซัก 2 – 3 วง จาก Tiffany เสื้อสูทราคาเหยียบแสน หรือซื้อไข่ปลาคาเวียร์ซักกระป๋องในสนนราคา 5 หมื่นต้นๆ ไปฝากคนที่บ้านล่ะ นักท่องเที่ยวทุกคนรู้ดีว่าร้านค้าในสนามบินไม่ได้ขายสินค้าราคาถูกเลย แต่ยุคสมัยที่มีแต่คนร่ำรวย คนชั้นสูงเดินทางด้วยอากาศยานนั้นมันหมดไปแล้ว และดูเหมือนว่าร้านค้าเหล่านั้นก็ไม่ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้เลย ร้านค้าเหล่านั้นยังคงลดราคากันกระหน่ำในช่วงเทศกาลสำหรับนักธุรกิจชั้นสูงหรือเหล่าคุณหญิงคุณนาย ร้านค้าส่วนใหญ่ก็ยังคงเงียบสงัดและไม่มีลูกค้าย่างกรายอยู่ดี ดังนั้นนี่อาจเป็นช่วงเวลาที่สนามบินควรจะสรรหาในสิ่งที่นักท่องเที่ยวอยากได้และสามารถซื้อได้จริงๆ เช่น ร้านเบเกอรี่ ร้านสะดวกซื้อ หรือร้านเสื้อผ้าคุณภาพดีราคาไม่แพง

10. ต้องจ่ายค่าเช่ารถเข็นกระเป๋า ค่าจอดรถสำหรับจุดจอดรับส่งผู้โดยสาร และค่าถุงพลาสติกแบบมีซิป แน่นอนว่ามันทำรายได้ให้กับสนามบินเป็นจำนวนหนึ่ง แต่นั่นทำให้ลูกค้าเกลียดและอาจไม่มาใช้บริการอีกเลย

]]>
57216
กรมทรัพย์สินทางปัญญาจับมือกับท่าอากาศยานไทย แจ้งเตือนนักท่องเที่ยวในการนำสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้า https://positioningmag.com/45678 Mon, 19 Jan 2009 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=45678

สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ: นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานในพิธีเปิดป้ายประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนนักท่องเที่ยว และมอบหนังสือขอความร่วมมือการประชาสัมพันธ์ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติโดยนางพวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์ อธิบดีกรมทรัพย์ สินทางปัญญา กับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) โดยนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เปิดเผยว่าการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนนักท่องเที่ยว ณ ท่าอากาศยานนานาชาติ ในครั้งนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร มาตรา 86 ที่กำหนดให้รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ ทรัพย์สินทางปัญญา และพลังงาน โดยต้องให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ประกอบกับประเทศสมาชิกประชาคมยุโรปบางประเทศได้แก้ไขปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาด้วยการลงโทษแก่ผู้นำเข้าถือเข้าไป หรือส่งออก ด้วยอัตราโทษที่สูง ซึ่งการตั้งป้ายประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติ ถือเป็นมาตรการด้านการป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาประการหนึ่ง ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และแรงกดดันทางการค้าจาก ประเทศคู่ค้าได้

“ความตกลงการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนนักท่องเที่ยวมีวัตถุประสงค์เพื่อประสานความร่วมมือใน การแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศมิให้ซื้อสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา นำเข้า ถือเข้า หรือส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นมาตรการด้าน การป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา, เพื่อป้องกันนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศใน การถูกดำเนินคดีอาญาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ต่างประเทศได้รับรู้ว่าประเทศไทยให้ความสำคัญในการป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา” นายอลงกรณ์กล่าว

นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่าการนำสินค้าปลอมหรือสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้าเข้าไปในยุโรปนั้น มีโทษที่แตกต่างกันออกไป กล่าวคือ ประเทศฝรั่งเศสมีโทษสูงสุดคือจำคุก 3 ปี และโทษปรับสูงสุด 300,000 ยูโร (ประมาณ 14,100,000 บาท คิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 47 บาท : 1 ยูโร) และประเทศอิตาลีมีโทษปรับสูงสุด 10,000 ยูโร (470,000 บาท คิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 47 บาท: 1 ยูโร)

]]>
45678
โครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 … ต้องให้ความสำคัญ แม้จำนวนผู้โดยสารเติบโตต่ำกว่าคาด https://positioningmag.com/44736 Tue, 18 Nov 2008 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=44736

หลังการเปิดใช้งานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิครบ 2 ปี พบว่า ยังมีปัญหาต่างๆ ที่ต้องเร่งแก้ไขอยู่อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาระบบขนส่งมวลชน ปัญหาการจัดการภายในท่าอากาศยาน ตลอดจนแนวทางการขยายการก่อสร้างในระยะที่ 2 หรือเฟส 2 ประกอบกับสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองก็ส่งผลให้การดำเนินนโยบายของรัฐบาลขาดความต่อเนื่องและความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยในขณะนี้การขยายศักยภาพของท่าอากาศยานสุวรรณภูมินั้นยังอยู่ในขั้นเตรียมนำเสนอแผนต่อรัฐบาลเท่านั้น ถึงแม้ว่ารัฐบาลชุดนี้ได้บรรจุโครงการพัฒนาขีดความสามารถของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการภายในปีแรกเพื่อเร่งรัดการลงทุนที่สำคัญของประเทศก็ตาม อีกทั้งแม้ขณะนี้จำนวนผู้โดยสารที่เข้ามาใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอาจต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ แต่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เล็งเห็นความจำเป็นในการเร่งหาข้อสรุปแผนการขยายศักยภาพของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และเป็นศูนย์กลางการไหลเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ทั้งในด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว โดยการพัฒนาขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารและประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าของท่าอากาศยานแห่งนี้นับว่ามีความหมายอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย

ภาพรวมตลอด 2 ปี … จำนวนผู้โดยสารต่ำกว่าคาด

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเริ่มเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์มาตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2549 มีพื้นที่อาคารผู้โดยสารประมาณ 563,000 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 45 ล้านคน/ปี มีทางวิ่งจำนวน 2 ทาง สามารถรองรับเที่ยวบินได้ประมาณ 76 เที่ยว/ชั่วโมง และอาคารคลังสินค้ามีพื้นที่ประมาณ 568,000 ตารางเมตร สามารถรองรับการขนถ่ายสินค้าได้ประมาณ 3 ล้านตัน/ปี โดยในปี 2550 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิรองรับผู้โดยสารประมาณ 41.2 ล้านคน และรองรับสินค้าประมาณ 1.3 ล้านตัน จะเห็นได้ว่าจำนวนผู้โดยสารมีแนวโน้มที่จะเกินขีดความสามารถในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ในส่วนของจำนวนสินค้ายังมีศักยภาพรองรับได้อีกพอสมควร การเตรียมการเพื่อรองรับในกรณีที่จำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นจนเกินขีดความสามารถในการรองรับ จึงถือเป็นประเด็นสำคัญสำหรับการบริหารจัดการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่ควรมีการดำเนินการในระยะอันใกล้นี้

สำหรับใน 9 เดือนแรกของปี 2551 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีจำนวนผู้โดยสารประมาณ 30.6 ล้านคน หดตัวประมาณร้อยละ 0.1 จำนวนเที่ยวบินมีประมาณ 190,830 เที่ยว หดตัวประมาณร้อยละ 2.8 และจำนวนสินค้ามีประมาณ 955,937 ตัน ขยายตัวประมาณร้อยละ 3.5 สาเหตุการหดตัวของจำนวนผู้โดยสารมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในครึ่งปีแรก ส่งผลให้สายการบินต้องปรับขึ้นค่าธรรมเนียมน้ำมัน (Fuel Surcharge) เป็นอย่างมาก ทำให้ราคาตั๋วโดยสารปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งเที่ยวบินระหว่างประเทศก็มีการปรับเปลี่ยนเส้นทางบินตรงสู่ท่าอากาศยานในภูมิภาคมากขึ้น เช่น ท่าอากาศยานภูเก็ต 9 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวนผู้โดยสารขยายตัวประมาณร้อยละ 5.8 ท่าอากาศยานกระบี่ 7 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวประมาณร้อยละ 6.5 เป็นต้น ตลอดจนสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองก็เป็นปัจจัยลบทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเริ่มชะลอตัวลง โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 จำนวนนักท่องเที่ยวหดตัวประมาณร้อยละ 1.7 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขยายตัวประมาณร้อยละ 2.7 แม้จะมีปัจจัยบวกจากการที่ราคาน้ำมันเริ่มปรับลดลงอย่างมากในช่วงที่เหลือของปี แต่ก็อาจช่วยกระตุ้นจำนวนผู้เดินทางทางอากาศได้ไม่มากนัก เนื่องจากผลจากความวิตกกังวลในปัญหาวิกฤตภาคการเงินของสหรัฐฯ ที่เริ่มลุกลามไปทั่วโลกและอาจส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงในปีหน้า ทำให้คาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีหน้าอาจเข้าสู่ภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะในบางประเทศอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย ก็ยิ่งเพิ่มความกังวลให้แก่นักท่องเที่ยวและนักเดินทางเป็นอย่างมาก ทำให้อาจชะลอการท่องเที่ยวหรือเลือกรูปแบบการเดินทางในรูปแบบที่มีราคาถูกกว่าการเดินทางด้วยเครื่องบิน

ทั้งนี้ สำหรับภาพรวมจำนวนผู้โดยสารในปี 2551 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 40.4-41.2 ล้านคน หดตัวจากปีก่อนประมาณร้อยละ 0-2 ซึ่งอาจต่ำกว่าเป้าที่ทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ตั้งไว้ที่ประมาณ 42 ล้านคน เนื่องจากการชะลอตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยเฉพาะในเดือนกันยายนที่จำนวนผู้โดยสารหดตัวกว่าร้อยละ 16.1 และมีแนวโน้มจะชะลอตัวลงอีกในช่วงที่เหลือของปี ส่วนปี 2552 คาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะหดตัวตามทิศทางการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ รวมทั้งการปรับเส้นทางการบินตรงของเที่ยวบินระหว่างประเทศไปยังท่าอากาศยานในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ โดยคาดว่าจะมีจำนวนผู้โดยสารประมาณ 38.8-40.4 ล้านคน หดตัวประมาณร้อยละ 2-4 อย่างไรก็ตาม การลดลงของจำนวนผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับท่าอากาศยานทั่วโลก โดย IATA (International Air Transport Association) คาดการณ์ว่าจำนวนผู้โดยสารทางอากาศทั่วโลกในปี 2551 จะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.7 ชะลอตัวลงจากปี 2550 ที่ขยายตัวประมาณร้อยละ 6.4 รวมทั้งยังคาดว่าในปี 2552 จำนวนผู้โดยสารจะยังคงชะลอตัวต่อเนื่องโดยขยายตัวเพียงประมาณร้อยละ 2.5 ตามทิศทางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

ในส่วนของปัญหาที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข ได้แก่ ปัญหามลภาวะทางเสียงที่ยังคงต้องเจรจาการจ่ายค่าชดเชยแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งขณะนี้ยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น ปัญหาระบบขนส่งมวลชนทั้ง Airport Link ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จเปิดให้บริการได้ประมาณเดือนสิงหาคม 2552 ส่วนปัญหาเรื่องแท็กซี่ยังคงมีขบวนการแท็กซี่เถื่อนเข้ามารับผู้โดยสารโดยไม่ได้ทำตามระเบียบของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รวมทั้งปัญหาความชัดเจนของแผนการขยายการก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในเฟส 2 ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการนำเสนอแผนการลงทุนต่อรัฐบาล

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบศักยภาพในการแข่งขันกับท่าอากาศยานคู่แข่งสำคัญในภูมิภาค ได้แก่ ท่าอากาศยานฮ่องกงและสิงคโปร์ พบว่า ครึ่งแรกของปีนี้ท่าอากาศยานฮ่องกงและสิงคโปร์มีจำนวนผู้โดยสารประมาณ 24.4 และ 18.7 ล้านคน จำนวนสินค้ามีประมาณ 1.8 และ 0.9 ล้านตัน ส่วนการจัดอันดับท่าอากาศยานยอดเยี่ยมของ Skytrax ปี 2551 ท่าอากาศยานฮ่องกงและสิงคโปร์อยู่ในอันดับ 1 และ 2 ส่วนท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไม่ติดอันดับ 1 ใน 10 รวมทั้งเมื่อพิจารณาจากการประเมินแบบ Airport Rating ท่าอากาศยานฮ่องกงและสิงคโปร์อยู่ในระดับ 5 ดาว ส่วนท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอยู่ในระดับ 3 ดาว

แผนการขยายเฟส 2 … ต้องเร่งดำเนินการ พร้อมทั้งเตรียมแผนระยะยาว

แผนการขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 ตามแผนการเดิมจะเริ่มก่อสร้างทันทีหลังเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม จากปัญหาหลายประการ อาทิ การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล สถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง รวมทั้งจำนวนผู้โดยสารที่มีจำนวนไม่สูงดังที่เคยคาดไว้ ส่งผลช่วยลดแรงกดดันต่อการเร่งการขยายการก่อสร้างในเฟส 2 โดยล่าสุดแผนการขยายเฟส 2 จะมีวงเงินลงทุนรวมประมาณ 77,886 ล้านบาท ซึ่งมีโครงการก่อสร้างสำคัญ เช่น โครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite-1) เป็นต้น จะทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 45 ล้านคน/ปี มาเป็นประมาณ 60 ล้านคน/ปี โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการดำเนินการก่อสร้างประมาณ 6 ปี ตั้งแต่ปี 2552-2557 เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จคาดว่าจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้จนถึงปี 2561 จะเห็นได้ว่า แม้จำนวนผู้โดยสารในปีนี้อาจยังไม่ถึงขีดจำกัดในการรองรับของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แต่ก็มีความจำเป็นที่ต้องเร่งก่อสร้างขยายความสามารถในการรองรับผู้โดยสารให้เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารที่จะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต หากประมาณการจำนวนผู้โดยสารตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป โดยใช้สมมติฐานจากค่าเฉลี่ยอัตราการขยายตัวของจำนวนผู้โดยสารของท่าอากาศยานดอนเมืองและสุวรรณภูมิ 5 ปีย้อนหลัง ซึ่งอยู่ที่ประมาณร้อยละ 5 พบว่า จำนวนผู้โดยสารจะสูงกว่าศักยภาพที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิรองรับได้ที่ 45 ล้านคน/ปี ภายในปี 2555 ซึ่งเป็นปีที่การก่อสร้างเฟส 2 ยังไม่แล้วเสร็จ ทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอาจเผชิญปัญหาความแออัดของจำนวนผู้โดยสารได้ หรือแม้จำนวนผู้โดยสารที่คาดการณ์ไว้อาจต่ำกว่าสมมติฐานข้างต้นไปบ้าง แต่ในที่สุดแล้วมีความเป็นไปได้ที่จำนวนผู้โดยสารที่เข้ามาใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะเกินศักยภาพที่รองรับได้ก่อนปี 2557 การเตรียมความพร้อมและแผนการรองรับการเติบโตของจำนวนผู้โดยสารในอนาคตจึงเป็นสิ่งจำเป็น อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบศักยภาพการรองรับผู้โดยสารระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกับท่าอากาศยานสิงคโปร์ จะเห็นได้ว่าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารได้ต่ำกว่า ทั้งที่จำนวนผู้โดยสารที่เดินทางผ่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีจำนวนสูงกว่า จึงควรพัฒนาและปรับปรุงขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้สูงขึ้นและเพียงพอต่อความจำเป็นพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ นอกจากนี้ หากต้องการที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคก็ควรต้องวางแผนกลยุทธ์ในระยะยาวเพื่อพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพในอีกหลายด้าน เช่น โครงข่ายระบบขนส่งมวลชนและโลจิสติกส์ การอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร การบริหารจัดการภายในท่าอากาศยาน การพัฒนาบุคลากร เป็นต้น

ทั้งนี้ จากแนวทางการขยายเฟส 2 ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่ามีประเด็นที่ควรต้องติดตาม ดังนี้
 แผนการรองรับผู้โดยสารระหว่างการก่อสร้างเฟส 2 ยังไม่แล้วเสร็จ
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิควรจะต้องมีแผนการรองรับจำนวนผู้โดยสารในกรณีที่มีจำนวนเกินกว่าศักยภาพที่จะรองรับได้ระหว่างที่การขยายเฟส 2 ยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งทางเลือกหนึ่งคือการใช้ท่าอากาศยานดอนเมืองในการเข้ามาช่วยรองรับจำนวนผู้โดยสาร แต่ต้องกำหนดแผนการบริหารท่าอากาศยานทั้งสองอย่างชัดเจน เช่น ให้ท่าอากาศยานดอนเมืองสามารถเปิดให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศได้เป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปี หรือ 10 ปี โดยอาจใช้มาตรการทางภาษีหรือการลดค่าธรรมเนียมเพื่อดึงดูดให้สายการบินย้ายมาเปิดให้บริการ ตลอดจนต้องมีแผนระบบคมนาคมขนส่งที่เชื่อมโยงระหว่างสองท่าอากาศยานที่สะดวกและรวดเร็ว เป็นต้น ทั้งนี้ ล่าสุดรัฐบาลได้มีแนวทางที่จะให้ย้ายเที่ยวบินระหว่างประเทศแบบจุดต่อจุด (Point to Point) และแบบอื่นๆ มายังท่าอากาศยานดอนเมืองเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 หรือประมาณ 240 เที่ยว/วัน

แผนการบริหารจัดการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในระยะยาว จะเห็นได้ว่าจากแผนการขยายเฟส 2 โดยหลังจากท่าอากาศยานเฟส 2 เปิดใช้งานได้เพียงประมาณ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2557-2561 จำนวนผู้โดยสารก็จะเกินขีดความสามารถในการรองรับ จึงต้องวางแผนการบริหารจัดการท่าอากาศยานในระยะยาว กำหนดแผนการขยายการก่อสร้างเฟสต่อไปอย่างชัดเจนและเป็นระบบ เพื่อไม่ให้ต้องเผชิญปัญหาความแออัดของจำนวนผู้โดยสารในอนาคต รวมทั้งเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการบินในภูมิภาค ซึ่งท่าอากาศยานสิงคโปร์ก็มีแผนการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 4 เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้น ส่วนเวียดนามก็กำลังก่อสร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่ที่เมืองโฮจิมินห์ ซิตี้ ซึ่งวางเป้าหมายสูงสุดให้รองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 80-100 ล้านคน/ปี
แผนการเลือกใช้ท่าอากาศยานของสายการบินต้นทุนต่ำ (Low Cost Airlines) จากแผนการขยายเฟส 2 ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไม่ปรากฎแผนการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารต้นทุนต่ำ (Low Cost Terminal) ซึ่งในข้อเท็จจริงด้วยลักษณะเฉพาะของธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำอาจจำเป็นต้องมีอาคารผู้โดยสารโดยเฉพาะแยกออกจากอาคารผู้โดยสารหลัก ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคก็ได้มีการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารต้นทุนต่ำอย่างชัดเจน อาทิ มาเลเซียที่กำลังขยายศักยภาพการรองรับผู้โดยสารของอาคารผู้โดยสารต้นทุนต่ำจากเดิมประมาณ 10 ล้านคน/ปี มาเป็นประมาณ 15 ล้านคน/ปี และสิงคโปร์ก็กำลังขยายศักยภาพเช่นกันจากเดิมประมาณ 2.7 ล้านคน/ปี มาเป็นประมาณ 7 ล้านคน/ปี สำหรับไทยได้มีการพูดถึงทางเลือกในการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารต้นทุนต่ำที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิหรือกำหนดให้ท่าอากาศยานดอนเมืองเป็นท่าอากาศยานสำหรับสายการบินต้นทุนต่ำ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันสายการบินต้นทุนต่ำของไทยยังมีจำนวนไม่มากนัก ดังนั้นแม้การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารต้นทุนต่ำอาจจะช่วยสร้างเม็ดเงินเข้าสู่อุตสาหกรรมการบินโดยรวมของประเทศ รวมทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อผู้โดยสารในการเพิ่มความสะดวกในการเดินทางและมีทางเลือกในการเดินทางที่ราคาถูกมากขึ้น แต่รัฐบาลอาจต้องคำนึงถึงความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขันของผู้ประกอบการในตลาด ตลอดจนพิจารณาถึงต้นทุนและโอกาสจากการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารต้นทุนต่ำอย่างรอบคอบและครอบคลุมในทุกด้าน

สรุปและข้อคิดเห็น

ใน 9 เดือนแรกของปี 2551 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีจำนวนผู้โดยสารมาใช้งานประมาณ 30.6 ล้านคน หดตัวประมาณร้อยละ 0.1 จำนวนเที่ยวบินมีประมาณ 190,830 เที่ยว หดตัวประมาณร้อยละ 2.8 และจำนวนสินค้ามีประมาณ 955,937 ตัน ขยายตัวประมาณร้อยละ 3.5 สาเหตุการหดตัวของจำนวนผู้โดยสารมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในครึ่งปีแรก ส่งผลให้สายการบินต้องปรับขึ้นค่าธรรมเนียมน้ำมันเป็นอย่างมาก ทำให้ราคาตั๋วโดยสารปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งเที่ยวบินระหว่างประเทศก็มีการปรับเปลี่ยนเส้นทางบินตรงสู่ท่าอากาศยานในภูมิภาคมากขึ้น และสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองก็เป็นปัจจัยลบให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศชะลอตัวลง แม้จะมีปัจจัยบวกจากการที่ราคาน้ำมันเริ่มปรับลดลงอย่างมากในช่วงที่เหลือของปี แต่ก็อาจช่วยกระตุ้นจำนวนผู้เดินทางทางอากาศได้ไม่มากนัก เนื่องจากผลความวิตกกังวลในปัญหาวิกฤตภาคการเงินของสหรัฐฯ ที่เริ่มลุกลามส่งผลกระทบไปทั่วโลกก็ยิ่งเพิ่มความกังวลให้แก่นักท่องเที่ยวและนักเดินทางเป็นอย่างมาก สำหรับภาพรวมจำนวนผู้โดยสารในปี 2551 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 40.4-41.2 ล้านคน หดตัวจากปีก่อนประมาณร้อยละ 0-2 ส่วนปี 2552 คาดว่าจะมีจำนวนผู้โดยสารประมาณ 38.8-40.4 ล้านคน หดตัวประมาณร้อยละ 2-4 ตามทิศทางการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ และการปรับเส้นทางการบินตรงของเที่ยวบินระหว่างประเทศไปยังท่าอากาศยานในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ

สำหรับแผนการขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 จะมีวงเงินลงทุนรวมประมาณ 77,886 ล้านบาท ซึ่งมีโครงการก่อสร้างสำคัญ เช่น โครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 45 ล้านคน/ปี มาเป็นประมาณ 60 ล้านคน/ปี โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการดำเนินการก่อสร้างประมาณ 6 ปี ตั้งแต่ปี 2552-2557 เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จคาดว่าจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้จนถึงปี 2561 จะเห็นได้ว่า แม้จำนวนผู้โดยสารในปีนี้อาจยังไม่ถึงขีดจำกัดในการรองรับของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แต่ก็มีความจำเป็นที่ต้องเร่งก่อสร้างขยายความสามารถในการรองรับผู้โดยสารให้เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารที่จะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต หากประมาณการจำนวนผู้โดยสารตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป โดยใช้สมมติฐานจากค่าเฉลี่ยอัตราการขยายตัวของจำนวนผู้โดยสารของท่าอากาศยานดอนเมืองและสุวรรณภูมิ 5 ปีย้อนหลัง ซึ่งอยู่ที่ประมาณร้อยละ 5 พบว่า จำนวนผู้โดยสารจะสูงกว่าศักยภาพที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิรองรับได้ที่ 45 ล้านคน/ปี ภายในปี 2555 ซึ่งเป็นปีที่การก่อสร้างเฟส 2 ยังไม่แล้วเสร็จ ทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอาจเผชิญปัญหาความแออัดของจำนวนผู้โดยสารได้ หรือแม้จำนวนผู้โดยสารที่คาดการณ์ไว้อาจต่ำกว่าสมมติฐานข้างต้นไปบ้าง แต่ในที่สุดแล้วมีความเป็นไปได้ที่จำนวนผู้โดยสารที่เข้ามาใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะเกินศักยภาพที่รองรับได้ก่อนปี 2557 การเตรียมความพร้อมและแผนการรองรับการเติบโตของจำนวนผู้โดยสารในอนาคตจึงเป็นสิ่งจำเป็น อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบศักยภาพการรองรับผู้โดยสารระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกับท่าอากาศยานสิงคโปร์ จะเห็นได้ว่าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารได้ต่ำกว่า ทั้งที่จำนวนผู้โดยสารที่เดินทางผ่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีจำนวนสูงกว่า จึงควรพัฒนาและปรับปรุงขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้สูงขึ้นและเพียงพอต่อความจำเป็นพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ การพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพในการรองรับผู้โดยสารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นก้าวย่างที่สำคัญก้าวหนึ่งสำหรับการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศในการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต และยิ่งหากรัฐบาลวางเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค ก็ยิ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะมีมีแผนยุทธศาสตร์ในระยะยาว รวมทั้งเร่งดำเนินการตามแผนดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม

]]>
44736
Beijing Capital Airport – Terminal 3 https://positioningmag.com/11054 Sat, 05 Jul 2008 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=11054

ก่อนมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนจะเริ่มต้นขึ้นราวครึ่งปี สนามบินปักกิ่งได้เปิดอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่เพื่อรองรับชาวจีนและชาวต่างชาติที่กำลังจะหลั่งไหลเข้ามายังมหานครแห่งนี้ในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังมหกรรมโอลิมปิก

อาคาร 3 (T3) ของสนามบินนานาชาติปักกิ่ง (Beijing Capital International Airport; BCIA) เป็นเจ้าของตำแหน่งอาคารสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ พ.ศ. นี้ ผู้ออกแบบคือเซอร์นอร์แมน ฟอสเตอร์ สถาปนิกชั้นครูชาวอังกฤษ อาคารแห่งนี้ถูกออกแบบให้ให้มีรูปทรงคล้ายมังกร สิ่งมีชีวิตในเทพนิยายที่ชาวจีนเคารพและเทิดทูนมานับพันๆ ปี โดยมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่า 1 ล้านตารางเมตร รองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 43 ล้านคนต่อปี ใช้เงินลงทุนทั้งหมด 3,800 ล้านเหรียญสหรัฐ เริ่มต้นก่อสร้างเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2547 และใช้เวลาในการสร้างรวดเร็วเหลือเชื่อเพียงแค่สี่ปี เปิดทดลองใช้เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 ก่อนเปิดให้บริการจริงในอีกราวหนึ่งเดือนต่อมา

T3 อยู่ห่างจากตัวเมืองปักกิ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือราว 25 กิโลเมตร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของอาคาร 1 และ 2

]]>
11054
ทอท.เชิญคณะทูตจาก 70 ประเทศ ชมศักยภาพท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ https://positioningmag.com/30620 Fri, 08 Sep 2006 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=30620

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) นำคณะทูตและผู้แทนจากสถานทูตกว่า 70 ประเทศ เยี่ยมชมความพร้อมและการดำเนินงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมี นายพงศ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายกันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศ นายศรีสุข จันทรางศุ ประธานกรรมการ และนายโชติศักดิ์ อาสภะวิริยะ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ให้การต้อนรับ

นายโชติศักดิ์ อาสภะวิริยะ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.เปิดเผยว่า การเชิญคณะทูตกว่า 70 ประเทศ เข้าเยี่ยมชมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และแสดงความพร้อมในด้านต่างๆของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้คณะทูตจากประเทศต่างๆ รับทราบ ก่อนจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 กันยายน 2549

นอกจากนั้น การนำคณะทูตเข้าเยี่ยมชมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ถือเป็นโอกาสดีที่จะแสดงให้เห็นศักยภาพในด้านต่างๆ ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในการเป็นศูนย์กลางการบินเอเชียอาคเนย์ อาทิ ความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร สิ่งอำนวยความสะดวกภายในอาคารที่พักผู้โดยสารและบริเวณโดยรอบท่าอากาศยาน ความสะดวกด้านการคมนาคม ความทันสมัยของสิ่งก่อสร้างและระบบ การจัดการต่างๆ ความพร้อมของระบบรักษาความปลอดภัยในท่าอากาศยาน ฯลฯ

สำหรับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขณะนี้มีความพร้อมเป็นอย่างมากสำหรับการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ โดยที่ผ่านมาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ทดสอบการขึ้นลงเที่ยวบินพาณิชย์ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ รวมถึงการทดสอบระบบเช็คอินผู้โดยสาร ด่านศุลกากร ด่านตรวจคนเข้าเมือง ล่าสุดมีการเชิญฝ่ายปฏิบัติของสายการบินทั้งภายในประเทศ และระหว่างประเทศกว่า 100 สายการบิน มาทดสอบเคาน์เตอร์เช็คอินจำนวน 460 เคาน์เตอร์ ซึ่งโดยรวมผลการทดสอบทั้งหมดเป็นที่น่าพอใจ แม้ว่าจะมีข้อติดขัดก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
โทร. 0-2535-1042 , 0-2535-6420

]]>
30620