Amazon – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 27 Sep 2024 10:54:28 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 73% ของพนักงาน ‘Amazon’ กําลังพิจารณาที่จะลาออก หลังต้องกลับเข้าออฟฟิศ 5 วัน/สัปดาห์ https://positioningmag.com/1492017 Fri, 27 Sep 2024 02:23:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1492017 หลังจากที่ Amazon ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซของสหรัฐฯ ได้แจ้งพนักงานให้กลับเข้าออฟฟิศจากสัปดาห์ละ 3 วัน เป็น 5 วัน โดยกฎใหม่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป ล่าสุดมีผลสำรวจพบว่า พนักงานเกินครึ่งอยากจะ ลาออก

ล่าสุด จากผลสํารวจพนักงาน Amazon จำนวน 2,585 คน บนเว็บไซต์ Blind พบว่า 73% กล่าวว่า พวกเขากําลังพิจารณาหางานใหม่ หลังจากที่ Andy Jassy CEO ที่ประกาศให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศมาทำงานเต็มเวลาในปีหน้า

นอกจากนี้ 80% ของผู้เชี่ยวชาญด้าน Amazon ที่สํารวจรายงานว่า พวกเขารู้จักเพื่อนร่วมงานที่กําลังพิจารณาหางานอื่นเนื่องจากการประกาศ พนักงาน Amazon เหล่านี้ยังระบุว่า การประกาศนโยบายส่งผลกระทบต่อขวัญกําลังใจอย่างไร และการเปลี่ยนแปลงอาจส่งผลกระทบต่อผู้ปกครองและผู้ดูแลที่ได้รับประโยชน์จากความยืดหยุ่นระยะไกลและไฮบริดอย่างไม่สมส่วน

การสํารวจอื่นจาก Glassdoor พบว่า 74% ของพนักงาน Amazon กําลัง คิดใหม่ ถึงอนาคตของอาชีพของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีหรือที่อื่น ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญมองว่า นโยบายการเข้างานในสํานักงานที่เข้มงวดอาจเป็นวิธี บีบให้คนลาออก และหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายในการเลิกจ้างพวกเขา

อย่างไรก็ตาม มีพนักงาน Amazon จํานวนมากหวังว่าซีอีโอจะ พิจารณานโยบายนี้อีกครั้ง เพราะพนักงาน Amazon ไม่พอใจอย่างมาก กับการเปลี่ยนแปลงนโยบาย อ้างอิงจากการสํารวจโดยไม่ระบุชื่อที่สร้างโดยพนักงานแบบสํารวจดังกล่าวได้ถูกแชร์บนช่องทาง Slack ของบริษัท นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม การสนับสนุนการทำงานระยะไกล ที่มีสมาชิกมากกว่า 30,000 คน ด้วย

โดยผู้สร้างแบบสํารวจกล่าวว่า พวกเขาตั้งใจที่จะรวบรวมและแบ่งปันผลการสํารวจกับซีอีโอและผู้บริหารอื่น ๆ เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกที่ชัดเจนเกี่ยวกับ ผลกระทบของนโยบายนี้ต่อพนักงาน

Source

]]>
1492017
มีแค่ลิฟต์ที่เอาเขาลง! ‘Temu’ กวาดยอดดาวน์โหลดรวมกว่า 735 ล้านครั้ง เฉพาะแค่เดือนส.ค.ทำยอดมากกว่า ‘Amazon’ 3 เท่า https://positioningmag.com/1490619 Tue, 17 Sep 2024 12:30:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1490619 ตอนนี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก Temu แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากจีนที่ซุ่มเข้าไทยแบบเงียบ ๆ แม้ว่าปัจจุบันอาจจะยังไม่ได้รับความนิยมในไทยนัก เพราะด้วยชื่อเสีย (ง) ทั้งจากการถูกฟ้องร้อง และสำหรับประเทศไทยที่ยังไม่มีบริษัทในไทยอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า Temu เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มาแรงจริง ด้วยจุดขายในด้าน สินค้าราคาถูก เพราะเป็นการซื้อจากโรงงานผู้ผลิตโดยตรงโดยไม่ผ่านคนกลาง แถมยังจัดส่งไวภายใน 5 วัน ยังไม่รวมถึงการอัดแคมเปญการตลาดและโฆษณาอย่างหนัก

ทำให้นับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนกันยายน 2022 แอปพลิเคชัน Temu สามารถทำยอดดาวน์โหลดทะลุ 735 ล้านครั้ง ไปแล้ว ตามข้อมูลจาก Storklytics.com เรียกได้ว่าใช้เวลาเพียงประมาณ 2 ปี ก็สามารถแซงหน้า Amazon, eBay และ Shein เพื่อร่วมชาติอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ จากข้อมูลของ Statista และ AppMagic แสดงให้เห็นว่า หากนับเฉพาะในปี 2023 แพลตฟอร์ม Temu มียอดดาวน์โหลดทั้งหมดกว่า 337 ล้านครั้ง มากกว่า Amazon ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซสัญชาติสหรัฐฯ เกือบ 80% 

สำหรับในปี 2024 นี้ Temu ก็ยังสามารถสร้างการเติบโตได้อีก และขึ้นเป็นแอปที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะช่วงตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม สามารถกวาดยอดดาวน์โหลดกว่า 50 ล้านครั้งต่อเนื่อง 4 เดือนติดต่อกัน ซึ่งถือว่าโตขึ้นถึง 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา และถือว่า มากกว่าคู่แข่งอย่าง Amazon ถึง 3 เท่า นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาสแรกของปี Temu ยังมียอดเข้าชมรวมกว่า 500 ล้านครั้ง

เมื่อแยกเป็นประเทศต่าง ๆ พบว่า ยอดดาวน์โหลดเกือบ 1 ใน 3 ของการดาวน์โหลดทั้งหมดมาจาก สหรัฐอเมริกา (27%) หรือกว่า 200 ล้านครั้ง แสดงให้เห็นว่า ชาวอเมริกันใช้ Temu มากกว่าชาวยุโรปถึง 5 เท่า เพราะประเทศอย่างสหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส และสเปนคิดสัดส่วนเพียงประเทศละ 5% ของการดาวน์โหลดทั้งหมด ส่วนตลาดที่ใหญ่เป็น อันดับสอง ของ Temu คือ เม็กซิโก สร้างยอดดาวน์โหลดทั้งหมดเพียง 10% หรือน้อยกว่าสหรัฐอเมริกาถึงสามเท่า

ปัจจุบัน Temu เปิดบริการแล้วใน 49 ประเทศทั่วโลก มียอดขายกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงครึ่งปีแรก สำหรับไทยถือเป็นประเทศที่ 3 ของอาเซียน รองจากฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ที่ Temu เข้ามาทำตลาด

Source

]]>
1490619
ส่อง 5 กลุ่มสินค้าไทย ที่ ‘ขายดี’ บนแพลตฟอร์ม ‘Amazon’ สำหรับ SME ไทยที่อยาก Go Inter! https://positioningmag.com/1489114 Sun, 08 Sep 2024 12:12:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1489114 ในวันที่ สินค้าจีน เข้ามาถล่มตลาดไทยอย่างหนัก ทำให้ SME ไทยในปัจจุบันก็ต้องเร่งหา ตลาดใหม่ เพื่อความอยู่รอด โดยเฉพาะตลาดในต่างประเทศ และหนึ่งในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีจุดเด่นในตลาดฝั่งตะวันตกอย่าง Amazon ก็เป็นอีกโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่ต้องการ Go Inter

อีก 3 ปี ส่งออกไทยทะลุ 3 แสนล้าน

จากการสำรวจโดย Access Partnership ถึงโอกาสการ ส่งออก ของผู้ประกอบการรายย่อย หรือ SME ไทย พบว่า ในปี 2023 ที่ผ่านมา การส่งออกของไทยทั้งหมดมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท โดยสัดส่วนประมาณ 38% มาจากกลุ่ม SME และคาดว่าภายในปี 2028 มูลค่าการส่งออกของไทยจะเติบโตได้ 1.5 เท่า หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท และสัดส่วนของ SME จะเพิ่มเป็น 55%

ขณะที่ SME กว่า 87% มองว่า อีคอมเมิร์ซ เป็นตัวช่วยให้สามารถ รุกตลาดต่างประเทศ และมี SME ถึง 37% ระบุว่า รายได้กว่าครึ่งมาจากการส่งออก นอกจากนี้ กว่า 56% เชื่อว่า อีคอมเมิร์ซช่วยให้ตลาดเปิดกว้างมากขึ้น โดยปัจจุบัน ประเทศที่ SME ไทยส่งออกสินค้าไปมากที่สุด ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อังกฤษ และสหภาพยุโรป

ชูจุดขายความเป็นไทย แต่ไม่ทิ้งฟังก์ชัน

หนึ่งในแพลตฟอร์มที่ SME ไทยใช้ Go Inter ก็คือ Amazon ที่ให้บริการใน 23 ประเทศทั่วโลก โดย อนันต์ ปาลิต หัวหน้า อเมซอน โกลบอล เซลลิ่ง ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า บนแพลตฟอร์ม Amazon มี SME ไทยกว่า 1,000 ราย โดยกลุ่มสินค้ายอดนิยม ได้แก่ 

  • ของใช้ในบ้าน 
  • เสื้อผ้า 
  • อาหารและเครื่องดื่ม 
  • ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความงาม
  • สินค้ากีฬา

สำหรับแบรนด์ไทยที่โดดเด่น อาทิ Tuff แบรนด์ กางเกงมวย ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดสหรัฐฯ และอีกแบรนด์ก็คือ Wel-B ซึ่งเป็นผลไม้ฟรีซดราย (Freeze Drying) ขายเป็นขนม

โดย อนันต์ มองว่า สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่น่าเริ่มต้นสำหรับ SME ไทย เพราะมีกำลังซื้อสูง ซึ่งพฤติกรรมผู้บริโภคสหรัฐฯ นั้นต้องการ สินค้าที่มีความแตกต่างจากสินค้าที่มีในประเทศ ดังนั้น ต้องมี จุดขายความเป็นไทย แต่ก็ไม่ทิ้งจุดขายด้านฟังก์ชัน

“อย่างกางเกงมวยของ Tuff ไม่ได้ขายได้เพราะเป็นกางเกงมวย แต่มีฟังก์ชันที่เหมาะสำหรับใส่ออกกำลังกาย และมีเอกลักษณ์ความเป็นไทย ส่วนขนมขบเคี้ยว ก็เป็นกลุ่มที่ไทยพัฒนาได้ดี และทั้งรสชาติดีและมีประโยชน์ ซึ่งสินค้าในสหรัฐฯ ไม่ค่อยมี”

อยาก Go Inter แต่ยังติดหลายสิ่ง

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการหลายคนยังติดปัญหาเกี่ยวกับการส่งออก โดยพบว่า

  • 88% ระบุว่า ค่าใช้จ่าย เช่น การขนส่ง ค่าธรรมเนียมกรมศุล ถือเป็นอุปสรรคใหญ่ 
  • 89% มองว่ายัง ขาดความรู้ โดยไม่รู้ว่าโมเดลที่เอื้อต่อการทำธุรกิจข้ามพรมแดนต้องมีอะไร
  • 93% มองว่า กฎระเบียบด้านการส่งออก ถือเป็นอุปสรรคอย่างมาก 
  • 91% ขาดผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยทำ Cross-border เช่น ด้าน Digital Marketing ด้านซัพพลายเชน

โดย อนันต์ มองว่า การจะสนับสนุนให้ SME ไทยสามารถ Go Inter ได้ ควรสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับตลาด สร้างอีโคซิสเต็มส์ให้ทำงานได้ง่าย เช่น รวมโลจิสติกส์ไว้บนแพลตฟอร์มเดียว สุดท้าย ภาครัฐควรช่วยเหลือด้านกฎระเบียบในการนำเข้าสินค้า

สำหรับ Amazon เองก็มีโปรแกรมช่วยเหลืออย่าง Amazon Global Selling อาทิ บริการ Fulfillment by Amazon (FBA) ที่เป็นบริการ Fullfillment คือ หยิบ แพ็ก ส่ง โดย Amazon จะเก็บสินค้าของลูกค้าไว้ในคลังที่มีกว่า 400 แห่ง และจะจัดส่งให้เมื่อมีคำสั่งซื้อ โดยการันตีจัดส่งถึงปลายทางได้ภายใน 2 วัน นอกจากนี้ Amazon ยังมีโครงการอื่น ๆ เช่น Amazon Brand Registry ช่วยเรื่องการตลาดให้ลูกค้าเจอแบรนด์ได้มากขึ้น หรือเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น รวมถึง Shopping Event เช่น  Black Friday เป็นต้น

“ผู้ประกอบการหลายคนยังไม่ใช่งาน FBA อาจเป็นเพราะกระบวนการอาจซับซ้อน รวมถึงค่าใช้จ่าย ซึ่งเราเองก็ตระหนักเรื่องนี้ โดยจะปรับกระบวนการให้ง่ายขึ้น รวมถึงสื่อสารถึงข้อดีของบริการ อย่าง ลูกค้าที่ใช้บริการ FBA ก็มียอดขายเพิ่มขึ้น 20-25% และลดต้นทุนได้ 30% เมื่อเทียบกับลูกค้าที่ไม่ใช้”

ปัจจุบัน ผู้ประกอบการไทยกว่า 1,000 รายบน Amazon มียอดขายสินค้ากว่า 1 ล้านชิ้น/ปี และข้อมูลจาก Statista พบว่า ในปี 2023 สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีรายได้รวมจากอีคอมเมิร์ซสูงเป็นอันดับที่สองของโลก มีมูลค่าถึง 1.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จากผลสำรวจของ Amazon ที่จัดทำโดย Access Partnership ในปีเดียวกัน พบว่ามากกว่า 65% ของธุรกิจ SMEs ของไทย มองว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีความสำคัญในช่วง 5 ปีข้างหน้านี้

]]>
1489114
FTC สอบสวนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เรื่องการลงทุนและจับมือเป็นพันธมิตรด้าน AI อาจกระทบการแข่งขันได้ https://positioningmag.com/1460410 Fri, 26 Jan 2024 07:44:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1460410 คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้อาศัยข้อกฎหมายเพื่อเข้าสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งเรื่องการลงทุนและจับมือเป็นพันธมิตรด้าน AI ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวชี้ว่าอาจกระทบการแข่งขัน และส่งผลกระทบกับผู้บริโภคได้

คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (FTC) ได้สอบสวนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง จากประเด็นการลงทุนและจับมือเป็นพันธมิตรในเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยให้เหตุผลว่าอาจกระทบการแข่งขันได้ หลังจากการเข้ามาของ AI อาจทำให้เกิดความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีมากขึ้น

สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่โดน FTC เข้าสอบสวนได้แก่ Amazon, Alphabet, Microsoft, OpenAI รวมถึง Anthropic

การสืบสวนดังกล่าว FTC เข้าสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีในตลาดหลายบริษัทเกี่ยวกับการลงทุนและการจับมือเป็นพันธมิตรระหว่างบริษัทเทคโนโลยีด้าน AI กับบริษัทเทคโนโลยีโดยเฉพาะผู้ให้บริการ Cloud รายใหญ่ เพื่อต้องการทราบถึงกาลงทุนนั้นมีความเสี่ยงที่จะบิดเบือนกลไกตลาด หรือการแข่งขันหรือไม่

ในด้านของการจับมือเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยี ทาง FTC จะสอบสวนว่าการร่วมมือกัน หรือการทำงานร่วมกันนั้นมีระบบการทำงาน หรือการตัดสินใจของแต่ละฝ่าย เพื่อที่จะทราบถึงอิทธิพลของอีกฝ่ายว่ามากน้อยเพียงใด และผลดังกล่าวกระทบกับผู้บริโภคในระยะยาวหรือไม่

FTC ยังได้อ้างข้อกฎหมายที่สามารถขอตรวจสอบบริษัทต่างๆ ได้ และได้กล่าวว่าการเข้ามาของเทคโนโลยี AI ก็ไม่สามารถเป็นข้อยกเว้นได้ ซึ่งคณะกรรมการของ FTC มีมติเอกฉันท์ 3-0 เสียง เพื่อใช้ข้อกฎหมายดังกล่าวเพื่อเข้าตรวจสอบบริษัทเทคโนโลยี

Lina Khan ประธานของ FTC ได้กล่าวว่า “ในประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ สามารถสร้างตลาดใหม่ๆ และการแข่งขันที่ดีได้” และเธอยังกล่าวเสริมว่า FTC จะใช้ประสบการณ์ในการกำกับดูแลธุรกิจอื่นๆ จะช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลรายนี้สามารถสอบสวนเรื่องดังกล่าวได้

ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ได้เริ่มขยับตัวมากขึ้นจากการเข้ามาของ AI ไม่ว่าจะเป็นกรณี Microsoft ได้ลงทุนกับ OpenAI เจ้าของแพลตฟอร์ม ChatGPT มากถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือแม้แต่ Amazon และ Alphabet ที่ได้ลงทุนใน Anthropic บริษัทด้าน AI อีกรายเป็นเงินรวมกันหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ

การเข้าสอบสวนดังกล่าวบริษัทเทคโนโลยีแต่ละแห่งจะมีเวลา 45 วันในการตอบประเด็นข้อสงสัยของ FTC 

ที่มา – CNBC, The Register, Axios

]]>
1460410
Amazon ปลดพนักงานในหลายธุรกิจทั้ง Twitch และ Prime Video รวมถึงธุรกิจภาพยนตร์อย่าง MGM https://positioningmag.com/1458449 Thu, 11 Jan 2024 08:25:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458449 Amazon ได้ปลดพนักงานในหลายธุรกิจไม่ว่าจะเป็น Twitch และ Prime Video รวมถึง MGM ธุรกิจภาพยนตร์ของบริษัท ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังแสดงให้เห็นว่าการปลดพนักงานนั้นยังไม่จบสิ้นสำหรับยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริการายนี้

สำนักข่าว Bloomberg ได้รายงานข่าวว่า Amazon ประกาศปลดพนักงานในหลายส่วนธุรกิจของบริษัท ไม่ว่าจะเป็น Twitch บริการแพลตฟอร์มถ่ายทอดสดซึ่งเน้นไปยังสังคมของคนเล่นเกมเป็นหลัก ซึ่งมีการปลดพนักงานมากถึง 500 ราย คิดเป็น 35% ของพนักงานทั้งหมดของ Twitch

Dan Clancy ซึ่งเป็น CEO ของ Twitch ได้กล่าวใน Blog ของบริษัทว่า นี่เป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากและเจ็บปวด และพนักงานที่ประจำสำนักงานทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกา บราซิล หรือแม้แต่สิงคโปร์ ต่างได้รับผลกระทบดังกล่าวหมด

หลังจาก Amazon ซื้อกิจการของ Twitch ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา แต่ธุรกิจของ Twitch เองยังไม่สามารถสร้างกำไรให้กับบริษัทแม่ได้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีมาตรการปลดพนักงานออกมา

ขณะเดียวกัน Reuters รายงานข่าวว่า Amazon ยังได้ประกาศปลดพนักงานในส่วนของ Prime Video รวมถึงธุรกิจภาพยนตร์อย่าง MGM โดยในจดหมายของผู้บริหารในส่วน Prime Video ได้กล่าวว่า ต้องการที่โฟกัสการลงทุนในส่วนที่สร้างผลดีแก่บริษัท และลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็น

Amazon ได้รุกเข้าสู่ธุรกิจความบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นดีลการซื้อกิจการ MGM มูลค่ามากถึง 8,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงปี 2021 และยังได้ลงทุนในหลากหลายคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นด้านความบันเทิง ไปจนถึงการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาในหลายประเทศ

อย่างไรก็ดีบริษัทได้ปลดพนักงานออกเป็นรวมกันเป็นจำนวนมากถึง 27,000 รายในปี 2023 ที่ผ่านมา และยังปิดธุรกิจที่ไม่จำเป็นออก สาเหตุสำคัญที่บริษัทชี้แจงคือรายได้ของบริษัทที่ลดลงจากสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เนื่องจากผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย ขณะเดียวกันสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวนั้นส่งผลทำให้บริษัทต้องพิจารณาถึงการใช้จ่ายทั้งหมดเช่นกัน

ความเคลื่อนไหวในการปลดพนังานรอบใหม่ของ Amazon ในปี 2024 นั้นยังแสดงให้เห็นว่า แม้ว่า Amazon จะปลดพนักงานไปรอบใหญ่แล้วในปี 2023 เนื่องด้วยความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และต้นทุนจากอัตราดอกเบี้ยที่สูง ยังทำให้หลายกิจการยังต้องประกาศปลดพนักงาน ซึ่งรวมถึงยักษ์ใหญ่ไอทีรายนี้ด้วย

ที่มา – CNBC, BBC, CNN

]]>
1458449
“Shein” ป่วนอีคอมเมิร์ซสหรัฐฯ! “Amazon” ยอมลดค่าธรรมเนียมร้านขาย “เสื้อผ้า” ยื้อส่วนแบ่งตลาด https://positioningmag.com/1455012 Fri, 08 Dec 2023 12:58:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455012 อีคอมเมิร์ซเสื้อผ้าจากจีน “Shein” สร้างความกังวลให้ตลาดอีคอมเมิร์ซสหรัฐฯ อย่างมาก ล่าสุดยักษ์ใหญ่อย่าง “Amazon” ต้องลุกมาประกาศลดค่าธรรมเนียมผู้ขายสำหรับร้าน “เสื้อผ้า” ที่ขายสินค้าราคาต่ำกว่า 20 เหรียญสหรัฐ เพื่อช่วยกดราคาสินค้าให้ต่ำลง

เมื่อวันอังคารที่ 5 ธันวาคม 2023 ยักษ์อีคอมเมิร์ซ​ “Amazon” ประกาศลดค่าธรรมเนียมผู้ขายในกลุ่มสินค้าเสื้อผ้าแฟชั่นลงจากปกติ 17% หากเป็นสินค้ากลุ่มราคา 15-20 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 530-700 บาท) จะลดค่าธรรมเนียมเหลือ 10% และหากเป็นกลุ่มราคาไม่เกิน 15 เหรียญสหรัฐ จะลดค่าธรรมเนียมเหลือ 5% เท่านั้น อัตราดังกล่าวจะเริ่มใช้งานในเดือนมกราคม 2024

เห็นได้ชัดว่า Amazon ต้องสู้กับ Shein ในหมวดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย โดย Shein เป็นที่ขึ้นชื่อว่าขายเสื้อผ้าราคาถูกมาก ลูกค้าสามารถหาซื้อเสื้อยืดได้ในราคา 5 เหรียญเท่านั้น (ประมาณ 180 บาท) หรือกางเกงยีนส์ก็ราคาไม่เกิน 15 เหรียญ (ประมาณ 530 บาท)

Shein ทำราคาได้ถูกขนาดนี้จากการมีเครือข่ายโรงงานผู้ผลิตในมือถึง 6,000 แห่ง และกลายเป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่แม้แต่ Amazon ก็ยังต้องกังวล

“เราลดค่าธรรมเนียมในหมวดเสื้อผ้าลงเพื่อช่วยขับเคลื่อนและกระตุ้นให้มีสินค้าหลากหลายมากขึ้นแก่ผู้บริโภค และทำราคาให้แข่งขันได้มากขึ้นด้วย” โฆษกของ Amazon กล่าวกับสำนักข่าว Business Insider “เรายังคงมุ่งมั่นในการสนับสนุนความสำเร็จและการเติบโตของพาร์ทเนอร์ผู้ขายของเราให้มากที่สุด”

shein
Photo : Shutterstock

บริษัทจากจีนอย่าง Shein เลือกจะมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะได้เปิด IPO ในปีหน้า แหล่งข่าววงในกล่าวกับสำนักข่าว Bloomberg ว่า มาร์เก็ตแคปที่ Shein คาดหวังน่าจะอยู่ในช่วง 8-9 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 2.8-3.2 ล้านล้านบาท)

เมื่อจะเข้าสู่ตลาดหุ้นทำให้ Shein ต้องมีการปรับปรุงแพลตฟอร์มให้ขยายไปขายอย่างอื่นนอกเหนือจากเครื่องแต่งกายบ้าง เช่น ของตกแต่งบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า

รวมถึงมีการเปลี่ยนโมเดลธุรกิจจากเดิมมีขายเฉพาะสินค้าสั่งผลิตเองผ่านเครือข่ายโรงงานเสื้อผ้า เมื่อจะมีของอย่างอื่นขาย Shein จึงต้องมีบางส่วนที่เป็นมาร์เก็ตเพลส ให้ร้านค้าเข้ามาเปิดขายได้ ซึ่งจะไปตรงกับโมเดลธุรกิจของ Amazon มากขึ้น

ไม่แช่แค่ Amazon ที่แสดงความกังวลกับการบุกหนักของ Shein มาร์เก็ตเพลสและร้านเสื้อผ้าอื่นๆ ที่มีตลาดในกลุ่มลูกค้าเดียวกันก็แสดงความกังวลออกมา เช่น Temu, Gap, Etsy เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม Juozas Kaziukenas ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจอีคอมเมิร์ซ Marketplace Pulse ให้ความเห็นว่า การลดราคาค่าธรรมเนียมให้ผู้ขายของ Amazon คงยังไม่พอสำหรับการต่อสู้กับ Shein

“Amazon ไม่มีผู้ติดตามหลักหลายสิบล้านคนบน Instagram เหมือน Shein และไม่มีคนดูคอนเทนต์ของตัวเองเป็นหลายพันล้านวิวบน TikTok เหมือน Shein” เขาวิเคราะห์ไว้ในบล็อกของตน “การไปมุ่งเน้นตอบโต้เรื่องค่าธรรมเนียมการขายก็เหมือนมองเห็นต้นไม้ไม่กี่ต้นแต่ไม่เห็นป่าทั้งป่าตรงหน้า”

Source

]]>
1455012
ยักษ์ใหญ่บริษัทขนส่งในสหรัฐฯ หลังจากนี้ไม่ใช่ UPS หรือ FedEx อีกต่อไป แต่เป็น Amazon ที่แซงหน้า 2 เจ้านี้ไปแล้ว https://positioningmag.com/1454255 Mon, 04 Dec 2023 06:33:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1454255 Amazon ยักษ์ใหญ่ E-commerce ในสหรัฐอเมริกา เตรียมขึ้นเป็นผู้เล่นยักษ์ใหญ่ด้านการขนส่งพัสดุ หลังจากตัวเลขปริมาณการส่งพัสดุสินค้าในแดนมะกันแซงหน้าบริษัทขนส่งในสหรัฐฯ รายใหญ่อย่าง UPS หรือ FedEx ไปแล้ว และบริษัทยังเตรียมนำโมเดลดังกล่าวขยายออกนอกประเทศด้วย

ข้อมูลล่าสุดในปี 2022 ที่ผ่านมา Amazon ได้จัดส่งพัสดุไปแล้วในสหรัฐอเมริกามากถึง 5,200 ล้านชิ้น ทำให้ล่าสุดบริษัทมีปริมาณมีปริมาณพัสดุในสหรัฐอเมริกาแซงหน้าผู้เล่นรายสำคัญอย่าง FedEx หรือแม้แต่ UPS ไปแล้ว ซึ่ง 2 ผู้เล่นรายดังกล่าวนั้นปริมาณขนส่งพัสดุในแดนมะกันแทบไม่เติบโตด้วยซ้ำ

ปัจจุบัน Amazon มีปริมาณพัสดุในสหรัฐอเมริกาแซงหน้า FedEx ยักษ์ใหญ่ขนส่งแดนมะกันไปเมื่อปี 2020 ที่ 3,300 ล้านชิ้น ก่อนที่จะแซงหน้า UPS ยักษ์ใหญ่ขนส่งอีกรายไปในปีนี้ เนื่องจากบริษัทคาดการณ์ว่าปริมาณขนส่งพัสดุจะไม่เกินสถิติที่บริษัททำได้ที่ 5,300 ล้านชิ้น คาดว่าในปี 2023 นี้ Amazon จะมีปริมาณพัสดุขนส่งผ่านบริษัทมากถึง 5,900 ล้านชิ้น

คำถามคือ ทำไมปริมาณพัสดุของ Amazon นั้นกลับเพิ่มขึ้น คำตอบหนึ่งคือ เครือข่ายขนส่งพัสดุของ Amazon ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นทันตาเห็นจากนโยบายของบริษัทในปี 2018 ที่ไฟเขียวให้ผู้สนใจสามารถซื้อแฟรนไชส์และนำไปตั้งสาขาส่งพัสดุตามเมืองเล็กๆ ทั่วสหรัฐอเมริกาได้ด้วยเม็ดเงินแค่ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น

ถ้าหากผู้เล่นรายใดมีเครือข่ายขนส่งที่ทรงประสิทธิภาพแล้ว ลูกค้าเองก็อยากใช้งานของบริษัทขนส่งนั้นเพิ่มมากขึ้น แต่สำหรับ Amazon เองแล้วนั้นมีเครือข่าย E-commerce ของตัวเอง ยิ่งเป็นปัจจัยบวกทำให้ลูกค้าทั้งผู้เล่นขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่มาขายสินค้าในแพลตฟอร์มมากขึ้น

Photo : Shutterstock

ข้อมูลล่าสุด Amazon มีพนักงานที่เป็นแฟรนไชส์ขนส่งที่ขับรถส่งสินค้ามากถึง 200,000 คน ส่งผลทำให้เครือข่ายขนส่งของบริษัทมีเพิ่มมากขึ้นทันตาเห็นทันที

Brian Olsavsky ซึ่งเป็น CFO ของบริษัทกล่าวว่า การขยายโปรแกรมแฟรนไชส์ของบริษัททำให้ระยะเวลาการส่งสินค้าของบริษัทลดลง ทำให้สินค้าถึงมือผู้บริโภคได้ไวขึ้น และยังเพิ่มกำไรให้กับบริษัทด้วย

ช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น Amazon เองยังเคยเป็นลูกค้ารายใหญ่ของ FedEx และ UPS มาแล้ว ก่อนที่บริษัทจะขยายเครือข่ายขนส่งเป็นของตัวเอง เนื่องจากปริมาณสินค้านั้นคุ้มค่ากับการลงทุนของบริษัทแล้ว

แม้ว่าในปีนี้คาดว่าปริมาณพัสดุในภาพรวมของสหรัฐอเมริกาจะลดน้อยลงจากเรื่องการจับจ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเป็นผลจากสภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตช้าลง จากผลของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดีสำหรับปริมาณพัสดุในสหรัฐอเมริกานั้น Amazon ยังตามหลัง USPS อยู่ (ซึ่งเทียบบริการได้กับไปรษณีย์ไทย) ซึ่ง UPS และ FedEx ได้ใช้บริการ USPS ในการส่งพัสดุ ถ้าหากเครือข่ายของบริษัทไม่มีในปลายทาง แตกต่างกับ Amazon ที่มีเครือข่ายของบริษัทอยู่ทั่วสหรัฐอเมริกาแล้ว

นอกจากนี้ถ้าหากโมเดลโปรแกรมแฟรนไชส์ของ Amazon ในสหรัฐอเมริกาได้ผลดีมากแล้ว บริษัทเตรียมนำโมเดลธุรกิจดังกล่าวมาใช้ในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย ที่เป็นแหล่งรายได้สำคัญของบริษัทอีกแห่ง

ที่มา – Fox Business, Daily Mail, Logistics Insider

]]>
1454255
‘Amazon’ เตรียม ‘ขายรถ’ บนแพลตฟอร์มในปีหน้า ‘Hyundai’ ประเดิมแบรนด์แรก https://positioningmag.com/1452356 Fri, 17 Nov 2023 08:47:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1452356 การซื้อรถออนไลน์อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มขายรถมือ 2 ต่าง ๆ แต่ถ้าเป็นรถใหม่ขายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซดัง ๆ อาจไม่ค่อยเห็น ซึ่งล่าสุด Amazon อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของอเมริกาก็เตรียมขายรถบนแพลตฟอร์มในปีหน้า

Amazon ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซ เปิดเผยว่า ในปีหน้า แพลตฟอร์มจะเริ่ม ขายรถยนต์ ใหม่ในสหรัฐอเมริกา โดย Hyundai บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ จะเป็นแบรนด์แรกที่ขายบนเว็บไซต์ โดย Amazon ระบุว่า ลูกค้าสามารถเลือกรุ่น, สี และคุณสมบัติที่ต้องการได้ และสามารถเลือกได้ว่าจะรับรถที่ตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่หรือให้จัดส่งถึงบ้าน

Hyundai เป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมมาก และยังมีความหลงใหลเช่นเดียวกับ Amazon คือการพยายามทำให้ชีวิตของลูกค้าดีขึ้นและง่ายขึ้นทุกวัน” Andy Jassy ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Amazon กล่าว

นอกจาก Hyundai จะเป็นแบรนด์รถยนต์แบรนด์แรกที่ขายบน Amazon แล้ว ทั้ง 2 บริษัทยังร่วมมือในการพัฒนา Alexa ลำโพงอัจฉริยะ Alexa ในรุ่นที่จะจำหน่ายในปี 2568

ดูเหมือนเทรนด์การขายรถตรงด้วยตัวเองโดยไม่ผ่านคนกลางจะกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลังจากที่ Tesla เป็นแบรนด์ที่ขายรถยนต์ตัวเองผ่านออนไลน์ ทำให้บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าอื่น ๆ เริ่มหันมาทำตามบ้าง อาทิ Ford ที่กำลังพยายามลดการพึ่งพาตัวแทนจำหน่ายในรถอีวี เนื่องจากจะทำให้บริษัทมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้รถยนต์มีราคาแพงขึ้นตาม

ทั้งนี้ หลังจากที่ Amazon ประกาศว่าจะเริ่มขายรถยนต์บนแพลตฟอร์มตัวเอง ราคาหุ้นของบรรดาบริษัทขายรถมือ 2 ออนไลน์ต่างพากันดิ่งลงหมด เพราะการที่ยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon ซึ่งมีฐานลูกค้ามหาศาล ถือเป็นเรื่องที่น่าจับตา

Source

]]>
1452356
ไม่ต้องควักมือถือ! ซูเปอร์ฯ สหรัฐฯ สามารถ “สแกนลายมือจ่ายเงิน” ผ่านระบบของ Amazon ได้แล้ว https://positioningmag.com/1438665 Sat, 22 Jul 2023 14:14:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1438665 Amazon กำลังขยายการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ “สแกนลายมือจ่ายเงิน” (palm payment) ในเชนซูเปอร์มาร์เก็ต Whole Foods ทั่วสหรัฐฯ ไม่ต้องใช้บัตรเครดิตหรือมือถือ แค่สแกนมือแล้วเดินออกได้เลย อย่างไรก็ตาม การเก็บดาต้าลายมือของบริษัทนี้ยังถูกตั้งคำถามด้านความปลอดภัยของข้อมูล

เทคโนโลยี “สแกนลายมือจ่ายเงิน” (palm payment) ในชื่อ “Amazon One” จะกลายเป็นตัวเลือกชำระเงินที่เห็นได้ทั่วไปในซูเปอร์มาร์เก็ต Whole Foods ทั้ง 500 สาขาทั่วสหรัฐฯ ภายในสิ้นปี 2023 นี้ อ้างอิงตามประกาศของ Amazon ปัจจุบันบริษัทขยายการใช้เทคโนโลยีไปได้แล้ว 200 สาขา

“นั่นหมายความว่า ลูกค้าของ Whole Foods Market ที่เลือกใช้ Amazon One จะไม่ต้องเปิดกระเป๋าสตางค์หรือแม้แต่มือถือขึ้นมาชำระเงิน พวกเขาเพียงแค่โบกมือเหนือเครื่องอุปกรณ์ของ Amazon One ก็พอ” ประกาศของ Amazon ระบุ

วิธีการทำงานของเทคโนโลยี Amazon One คือการเชื่อมข้อมูลบัตรเครดิตหรือวิธีชำระเงินอื่นๆ ของลูกค้าเข้ากับ “ลายมือ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนมีรูปแบบแตกต่างกัน ใช้ยืนยันตัวตนได้

นอกจากที่ Whole Foods แล้ว แน่นอนว่าเทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ที่ร้าน Amazon Go ของบริษัทด้วย รวมถึงมีการให้ลิขสิทธิ์ไปใช้งานในเครือรีเทลอื่นๆ เช่น ร้านอาหาร Panera Bread และบูธขายอาหาร-เครื่องดื่มในสนามกีฬา Coors Field เดนเวอร์

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีสแกนลายมือจ่ายเงินได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ด้านความปลอดภัยด้วยเหมือนกัน เพราะกลุ่มผู้มีความกังวลเกรงว่าดาต้าด้านชีวมาตรอาจจะถูกเก็บไปใช้ในทางที่ผิด ในประเด็นนี้ Amazon บอกว่าลูกค้ามีเทคโนโลยี One เป็นทางเลือก และดาต้าใดๆ ที่เก็บมาจะ “เก็บรักษาไว้อย่างปลอดภัย”

Amazon One เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีการเก็บดาต้าของ Amazon บริษัทนี้มีธุรกิจที่ใช้การเก็บข้อมูลมากมายตั้งแต่สาธารณสุขจนถึงเครื่องดูดฝุ่น iRobot

Source

]]>
1438665
Amazon ประกาศปิดเว็บไซต์ขายหนังสือ Book Depository เพื่อประหยัดต้นทุนบริษัท https://positioningmag.com/1426462 Wed, 05 Apr 2023 09:21:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1426462 บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อย่าง Amazon ประกาศปิดบริการของเว็บไซต์ขายหนังสือชื่อดัง Book Depository ตามหลังมาตรการที่บริษัทได้ประกาศลดค่าใช้จ่าย รวมถึงปลดพนักงานถึงหลักหมื่นคนในช่วงที่ผ่านมาไม่นานนี้ เพื่อที่จะประหยัดต้นทุนของบริษัท หลังจากสภาวะเศรษฐกิจไม่เป็นใจ

Amazon ซึ่งเป็นเจ้าของ Book Depository เว็บไซต์ขายหนังสือจากประเทศอังกฤษ ได้ประกาศปิดกิจการ โดยคาดว่าเหตุผลสำคัญนั้นมาจากการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ รวมถึงการประหยัดต้นทุนในการดำเนินกิจการของบริษัท

Andy Jassy ซึ่งเป็น CEO ของ Amazon ได้กล่าวในช่วงเดือนมกราคมว่าบริการที่เกี่ยวข้องกับการขายหนังสือ และธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่บริษัทจำหน่ายจะได้รับผลกระทบหลังจากที่บริษัทประกาศปลดพนักงานรวมทั้งหมดถึง 27,000 คนในช่วงที่ผ่านมา หลังจากที่เขากล่าวว่าบริษัทได้เพิ่มจำนวนพนักงานเป็นจำนวนมาก

บริษัทใหญ่ๆ หลายแห่งโดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกาได้มีการปลดพนักงานจำนวนมากถึงหลักหมื่นคน เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เป็นใจ การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ รวมถึงรายได้ของบริษัทที่เติบโตน้อยลง

สำหรับเว็บไซต์ Book Depository นั้นก่อตั้งขึ้นในปี 2004 โดย Stuart Felton และ Andrew Crawford ซึ่งเป็นอดีตพนักงานของ Amazon ในช่วงเวลานั้น โดยเว็บไซต์ดังกล่าวมีแคตตาล็อกหนังสือหลากหลายแนวกว่า 20 ล้านเล่ม และมีบริการจัดส่งฟรีไปยังหลายประเทศ

ในช่วงที่ผ่านมาเว็บไซต์ขายหนังสือจากประเทศอังกฤษรายนี้เคยได้เข้ามาโปรโมตบริการในประเทศไทย ซึ่งมีทั้งโฆษณาในระบบขนส่งมวลชน ไปจนถึงการแจกโค้ดโปรโมชันส่วนลดต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าชาวไทยให้ใช้บริการของ Book Depository ด้วย

และไม่ใช่แค่ Book Depository ที่ทาง Amazon ได้ปิดบริการ แต่เมื่อไม่นานมานี้บริษัทได้ปิดเว็บไซต์สำหรับรีวิวกล้องถ่ายรูปมืออาชีพอย่าง DPReview มาแล้ว

หลังจากนี้ลูกค้าของ Book Depository จะสามารถสั่งซื้อหนังสือได้ถึงวันที่ 26 เมษายนนี้ และเว็บไซต์จะให้บริการในการจัดส่งหนังสือและให้บริการช่วยเหลือลูกค้าจนถึงวันที่ 23 มิถุนายนเป็นวันสุดท้าย หลังจากที่เว็บไซต์ดังกล่าวเปิดให้บริการมาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี

ที่มา – ABC, BBC

]]>
1426462