Amazon – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 28 Oct 2025 02:42:07 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘Amazon’ เตรียมปลดพนักงาน 30,000 ตำแหน่ง นับเป็นการลดคนครั้งใหญ่สุดในรอบ 3 ปี! https://positioningmag.com/1544372 Tue, 28 Oct 2025 00:17:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1544372 Amazon บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังวางแผนที่จะลดจำนวนพนักงานในส่วนงานองค์กร (corporate jobs) มากถึง 30,000 ตำแหน่ง โดยเริ่มตั้งแต่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อลดค่าใช้จ่าย และโละพนักงานส่วนเกินที่ถูกจ้างเพิ่มในช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19

Reuters รายงานว่า Amazon เตรียมปรับลดจำนวนพนักงานลง 10% หรือราว 30,000 ตำแหน่ง จากพนักงานในองค์กรทั้งหมด 350,000 คน โดยการปลดพนักงานในครั้งนี้ นับเป็นการปลดครั้งใหญ่สุด นับตั้งแต่ปลายปี 2022 ที่บริษัทได้ปรับลดคนไปราว 27,000 ตำแหน่ง

โดยการปรับลดครั้งใหม่นี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อหลากหลายแผนก อาทิ ทรัพยากรบุคคล (Human Resources), ฝ่ายปฏิบัติการ (Operations), แผนกอุปกรณ์และบริการ (Devices and services) และแผนก Amazon Web Services (AWS) โดยบริษัทได้มีการแจ้งให้ผู้จัดการของทีมที่ได้รับผลกระทบเข้ารับการฝึกอบรมในวันจันทร์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสื่อสารกับพนักงาน หลังจากอีเมลแจ้งเตือนจะเริ่มถูกส่งออกไปในเช้าวันอังคาร

ตามข้อมูลจากแหล่งข่าว 3 ราย เปิดเผยกับ Reuters  ว่า การปลดพนักงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการ ปรับลดค่าใช้จ่าย และการแก้ไขปัญหา การจ้างงานเกินความจำ เป็นในช่วงที่ความต้องการสูงที่สุดของการแพร่ระบาดของ COVID-19

อีกทั้ง การปรับลดคนระลอกใหญ่ของบริษัทครั้งนี้ ถือเป็นการเดินตามนโยบายของ Andy Jassy ซีอีโอของ Amazon ที่ต้องการลดสิ่งที่เขาเรียกว่า ระบบส่วนเกิน (excess of bureaucracy) ที่นำไปสู่การลดจำนวนผู้จัดการลง เพื่อลดขั้นตอนในการทำงาน นอกจากนี้ AI ถือเป็นอีกส่วนที่นำไปสู่การลดจำนวนพนักงานลงอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการทำงานอัตโนมัติในงานที่ซ้ำซาก

Andy Jassy ซีอีโอของ Amazon (Photo by Spencer Platt/Getty Images)

Sky Canaves นักวิเคราะห์จาก eMarketer มองว่า การเคลื่อนไหวล่าสุดนี้บ่งชี้ว่า Amazon น่าจะตระหนักถึงการเพิ่มผลผลิตที่ขับเคลื่อนด้วย AI ภายในทีมองค์กรมากพอที่จะสนับสนุนการลดกำลังคนจำนวนมาก และ Amazon กำลังอยู่ภายใต้ความกดดันที่จะต้อง ชดเชยการลงทุนระยะยาวในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ด้วย

ทั้งนี้ Amazon เคยออกนโยบายให้พนักงานกลับเข้าทำงานในสำนักงาน 5 วันต่อสัปดาห์ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่เข้มงวดที่สุดในบรรดาบริษัทเทคโนโลยี จนหลายคนมองว่า นโยบายดังกล่าวต้องการ บีบให้พนักงานลาออก อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวไม่สามารถสร้างการลาออกได้มากตามที่คาดไว้ ทำให้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่นำไปสู่การเลิกจ้างครั้งใหญ่นี้

]]>
1544372
‘เจฟฟ์ เบซอส’ ชี้ AI กำลังอยู่ในช่วง ‘ฟองสบู่’ แม้จะต้องมีหลายคน ‘ล้มละลาย’ แต่สุดท้ายจะส่งผลดี เพราะเทคโนโลยีเป็น ‘ของจริง’ https://positioningmag.com/1542085 Wed, 08 Oct 2025 12:41:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1542085 เป็นอีกหนึ่งคนที่เห็นด้วยว่า AI กำลังอยู่ในช่วง ฟองสบู่ สำหรับ เจฟฟ์ เบซอส (Jeff Bezos)  ผู้ก่อตั้ง Amazon แต่เชื่อว่าเทคโนโลยีนี้ เป็นของจริง และจะนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลต่อสังคม แม้ว่าจะต้องมีหลายบริษัทที่ล้มละลายก็ตาม

Jeff Bezos ได้รับคำถามจาก John Elkann CEO ของ Exor บนเวที Italian Tech Week ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี ว่ามีสัญญาณบ่งชี้ว่าอุตสาหกรรม AI กำลังอยู่ในภาวะฟองสบู่หรือไม่ ซึ่ง Bezos ตอบว่า นี่คือฟองสบู่อุตสาหกรรมประเภทหนึ่ง โดยเขาได้ชี้ให้เห็นถึงลักษณะสำคัญบางประการของฟองสบู่ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ได้แก่

  1. ราคาหุ้นตัดขาดจากพื้นฐาน: ราคาหุ้นที่ตัดขาดจากปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ คือ บางธุรกิจยังไม่มีรายได้ หรือมีกำไร แต่มูลค่าหุ้นกลับพุ่งสูง
  2. ความตื่นเต้นอย่างล้นหลาม: ผู้คนรู้สึกตื่นเต้นกับ AI มาก
  3. การระดมทุนอย่างไม่เลือก: ทุกการทดลองหรือแนวคิด ทั้งที่ดีและไม่ดี จะได้รับการสนับสนุนทางการเงิน โดยนักลงทุนจะแยกแยะได้ยากในช่วงที่ทุกคนตื่นเต้น

โดย Bezos ได้ยกตัวอย่างกรณี บริษัทขนาดเล็กที่มีพนักงานเพียง 6 คน แต่ได้รับการระดมทุนหลายพันล้านดอลลาร์ ซึ่งเขาเรียกว่าเป็นพฤติกรรมที่ผิดปกติอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีสัญญาณของฟองสบู่ แต่ Bezos ยืนยันว่า AI เป็นของจริง และมันจะเปลี่ยนแปลงทุกอุตสาหกรรม นอกจากนี้ เขายังกล่าวอีกว่า ฟองสบู่อุตสาหกรรม ไม่เหมือนฟองสบู่ทางการเงิน เพราะแม้หลายบริษัทอาจจะล้มละลายไป แต่เทคโนโลยีความรู้จะยังคงเหลืออยู่ ดังนั้น ฟองสบู่ AI อาจส่งผลดีในท้ายที่สุดได้

โดยเขายกตัวอย่าง ฟองสบู่ของบริษัทยาและไบโอเทคในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งนำไปสู่การพัฒนายาช่วยชีวิต แม้ว่าบริษัทหลายแห่งจะล้มละลายไปในที่สุด เช่นเดียวกับ AI ที่อุตสาหกรรมจะได้รับประโยชน์มหาศาลจากเทคโนโลยี เพียงแต่บางบริษัทอาจหายไป แต่ผู้ที่อยู่รอดจะเป็น ผู้สร้างนวัตกรรมระดับที่เปลี่ยนโลก

อย่างไรก็ตาม Jeff Bezos ไม่ใช่คนเดียวที่ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับฟองสบู่ AI แต่ แซม อัลต์แมน (Sam Altman) ซีอีโอของ OpenAI ก็ออกมาเตือนว่า นักลงทุนอาจจะกำลังตื่นเต้นกับ AI เกินไป พร้อมกับเปรียบเทียบกระแสการลงทุน AI ตอนนี้กับ ฟองสบู่ดอทคอม (dot-com bubble) ช่วงปลายยุค 1990 ที่นักลงทุนแห่ลงทุนในหุ้นบริษัทอินเทอร์เน็ต แต่เนื่องจากหลายบริษัทไม่สามารถสร้างรายได้ได้จริง ส่งผลให้ในช่วงระหว่างปี 2000–2002 ดัชนี Nasdaq ร่วงลงเกือบ 80%

Source

]]>
1542085
สรุปบรรดา ‘บิ๊กเทค’ วางงบลงทุน ‘AI’ เท่าไหร่ในวันที่ ‘DeepSeek’ แสดงให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้เงินมหาศาล https://positioningmag.com/1510100 Mon, 10 Feb 2025 05:45:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1510100 ในวันที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่ทุ่มเงินมหาศาลในการพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model – LLM) เพื่อใช้เป็นโมเดลพื้นฐานการประมวลผลของ Generative AI แต่การมาของ DeepSeek บริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI จากจีน ที่เหมือนมาตบหน้าบิ๊กเทค เพราะใช้เงินลงทุนน้อยกว่า ดังนั้น ไปดูกันว่าบริษัทบิ๊กเทค วางแผนทุ่มเงินเท่าไหร่ แม้ว่า DeepSeek จะแสดงให้เห็นว่าไม่ต้องใช้เงินเยอะก็ตาม

เฉพาะ 4 ยักษ์ใหญ่ลงทุนเพิ่มรวมเกือบ 1 แสนล้านดอลลาร์

นับตั้งแต่โลกรู้จักกับ ChatGPT ในปี 2022 บริษัทยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีหลายรายต่างทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในโครงการ AI โดยมุ่งขยายศูนย์ข้อมูลด้วยหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ของ Nvidia จำนวนมาก และพัฒนาโมเดลต่าง ๆ ของตนเอง

แต่การมาของ DeepSeek ก็มาทำให้เกิดคำถามว่า บริษัทยักษ์ใหญ่จำเป็นต้องลงทุนมหาศาลขนาดนั้นไหม เพราะ DeepSeek ใช้เงินลงทุนเพียง 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้หุ้นของผู้ผลิตชิป AI อย่าง Nvidia และ Broadcom ลดลงรวมกัน 800,000 ล้านดอลลาร์ ในวันเดียว

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนการมาของ DeepSeek จะไม่ได้ทำให้การลงทุนด้าน AI ของเหล่าบิ๊กเทคนั้นลดลง โดยเมื่อรวมเม็ดเงินการลงทุนของ Meta, Amazon, Alphabet และ Microsoft มีมูลค่าสูงถึง 320,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 230,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีที่ผ่านมา หรือมากกว่าปีก่อนถึงเกือบ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Amazon: 100,000 ล้านดอลลาร์

สำหรับ Amazon บริษัทเทคโนโลยีและอีคอมเมิร์ซของสหรัฐฯ ประกาศว่าปีนี้จะลงทุน มากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2024 ที่ใช้เงินลงทุน 83,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Andy Jassy ซีอีโอ กล่าวว่า เงินส่วนใหญ่จะใช้กับ AI ในส่วนของ Amazon Web Services

Microsoft: 80,000 ล้านดอลลาร์

เมื่อเดือนที่แล้ว Microsoft เปิดเผยว่าจะจัดสรรเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2025 สำหรับการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่สามารถรองรับการประมวลผล AI โดย แบรด สมิธ ซีอีโอ กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายมากกว่าครึ่งหนึ่งจะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา

ภาพจาก Shutterstock

Alphabet: 75,000 ล้านดอลลาร์

Alphabet ตั้งเป้าการใช้ลงทุนด้าน AI ปีนี้ที่ 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดว่าจะมีการใช้จ่าย 16,000 – 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสแรก โดย Anat Ashkenazi หัวหน้าฝ่ายการเงินกล่าวในการรายงานผลประกอบการว่า การใช้จ่ายส่วนใหญ่จะใช้กับ โครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิค โดยส่วนใหญ่จะใช้กับเซิร์ฟเวอร์ รองลงมาคือ ศูนย์ข้อมูลและระบบเครือข่าย

Meta: 65,000 ล้านดอลลาร์

ส่วน มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta ได้กำหนดงบประมาณด้านการลงทุนด้าน AI ของบริษัทไว้ที่ 60,000 – 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกับระบุว่า ปี 2025 จะเป็นปีแห่งการกำหนดทิศทางของ AI และการเคลื่อนไหวครั้งนี้จะช่วย ปลดล็อกนวัตกรรมทางประวัติศาสตร์และขยายความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของอเมริกา

ภาพจาก Shutterstock

Apple: เน้นร่วมมือกับพันธมิตร

สำหรับ Apple อาจจะประเมินได้ค่อนข้างยากว่ามีการใช้งบลงทุนด้าน AI มากน้อยแค่ไหน เพราะงบส่วนใหญ่จะปรากฏในค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เนื่องจากบริษัท ใช้ความสามารถในการฝึกอบรมจากผู้ให้บริการระบบคลาวด์ เช่น โมเดลที่รองรับปัญญาประดิษฐ์ของ Apple นั้นได้รับการฝึกฝนจาก Google Cloud นอกจากนี้ Apple ยังใช้ความสามารถในการฝึกอบรมระบบคลาวด์จาก AWS และ Azure อีกด้วย

ขณะเดียวกัน Tim Cook ซีอีโอ กล่าวว่า Apple ใช้แนวทางแบบผสมผสานในการลงทุน โดยมีสิ่งที่พัฒนาภายใน แต่ก็มีพันธมิตรบางรายที่ทำธุรกิจด้วยภายนอก ซึ่งการลงทุนนั้นจะปรากฏอยู่ในธุรกิจของพวกเขา

Tesla: 5,000 ล้านดอลลาร์

ด้าน Tesla ได้เคยเปิดเผยในปี 2024 ว่า ค่าใช้จ่ายด้านทุนที่เกี่ยวข้องกับ AI อยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และบริษัทคาดว่าค่าใช้จ่ายด้าน AI จะคงที่เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยปัจจุบัน Tesla ได้สร้างคลัสเตอร์การฝึกอบรมที่เรียกว่า Cortex ในโรงงานในรัฐเท็กซัส เพื่อใช้สำหรับการฝึกอบรมโมเดลเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ของบริษัทที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา

จะเห็นว่าแต่ละบริษัทอัดงบลงทุนกับ AI มหาศาล แต่นั่นก็ไม่ใช่การตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะอย่าง Amazon, Google และ Microsoft ที่แม้จะลงทุนเยอะ แต่จะยิ่งส่งผลดีอย่างมากต่อธุรกิจคลาวด์ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ต่างก็ต้องการเครื่องมือประมวลผล AI เพิ่มเติม และพวกเขาวางแผนที่จะรันเวิร์กโหลดที่ใหญ่ขึ้นในคลาวด์

]]>
1510100
73% ของพนักงาน ‘Amazon’ กําลังพิจารณาที่จะลาออก หลังต้องกลับเข้าออฟฟิศ 5 วัน/สัปดาห์ https://positioningmag.com/1492017 Fri, 27 Sep 2024 02:23:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1492017 หลังจากที่ Amazon ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซของสหรัฐฯ ได้แจ้งพนักงานให้กลับเข้าออฟฟิศจากสัปดาห์ละ 3 วัน เป็น 5 วัน โดยกฎใหม่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป ล่าสุดมีผลสำรวจพบว่า พนักงานเกินครึ่งอยากจะ ลาออก

ล่าสุด จากผลสํารวจพนักงาน Amazon จำนวน 2,585 คน บนเว็บไซต์ Blind พบว่า 73% กล่าวว่า พวกเขากําลังพิจารณาหางานใหม่ หลังจากที่ Andy Jassy CEO ที่ประกาศให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศมาทำงานเต็มเวลาในปีหน้า

นอกจากนี้ 80% ของผู้เชี่ยวชาญด้าน Amazon ที่สํารวจรายงานว่า พวกเขารู้จักเพื่อนร่วมงานที่กําลังพิจารณาหางานอื่นเนื่องจากการประกาศ พนักงาน Amazon เหล่านี้ยังระบุว่า การประกาศนโยบายส่งผลกระทบต่อขวัญกําลังใจอย่างไร และการเปลี่ยนแปลงอาจส่งผลกระทบต่อผู้ปกครองและผู้ดูแลที่ได้รับประโยชน์จากความยืดหยุ่นระยะไกลและไฮบริดอย่างไม่สมส่วน

การสํารวจอื่นจาก Glassdoor พบว่า 74% ของพนักงาน Amazon กําลัง คิดใหม่ ถึงอนาคตของอาชีพของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีหรือที่อื่น ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญมองว่า นโยบายการเข้างานในสํานักงานที่เข้มงวดอาจเป็นวิธี บีบให้คนลาออก และหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายในการเลิกจ้างพวกเขา

อย่างไรก็ตาม มีพนักงาน Amazon จํานวนมากหวังว่าซีอีโอจะ พิจารณานโยบายนี้อีกครั้ง เพราะพนักงาน Amazon ไม่พอใจอย่างมาก กับการเปลี่ยนแปลงนโยบาย อ้างอิงจากการสํารวจโดยไม่ระบุชื่อที่สร้างโดยพนักงานแบบสํารวจดังกล่าวได้ถูกแชร์บนช่องทาง Slack ของบริษัท นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม การสนับสนุนการทำงานระยะไกล ที่มีสมาชิกมากกว่า 30,000 คน ด้วย

โดยผู้สร้างแบบสํารวจกล่าวว่า พวกเขาตั้งใจที่จะรวบรวมและแบ่งปันผลการสํารวจกับซีอีโอและผู้บริหารอื่น ๆ เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกที่ชัดเจนเกี่ยวกับ ผลกระทบของนโยบายนี้ต่อพนักงาน

Source

]]>
1492017
มีแค่ลิฟต์ที่เอาเขาลง! ‘Temu’ กวาดยอดดาวน์โหลดรวมกว่า 735 ล้านครั้ง เฉพาะแค่เดือนส.ค.ทำยอดมากกว่า ‘Amazon’ 3 เท่า https://positioningmag.com/1490619 Tue, 17 Sep 2024 12:30:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1490619 ตอนนี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก Temu แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากจีนที่ซุ่มเข้าไทยแบบเงียบ ๆ แม้ว่าปัจจุบันอาจจะยังไม่ได้รับความนิยมในไทยนัก เพราะด้วยชื่อเสีย (ง) ทั้งจากการถูกฟ้องร้อง และสำหรับประเทศไทยที่ยังไม่มีบริษัทในไทยอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า Temu เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มาแรงจริง ด้วยจุดขายในด้าน สินค้าราคาถูก เพราะเป็นการซื้อจากโรงงานผู้ผลิตโดยตรงโดยไม่ผ่านคนกลาง แถมยังจัดส่งไวภายใน 5 วัน ยังไม่รวมถึงการอัดแคมเปญการตลาดและโฆษณาอย่างหนัก

ทำให้นับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนกันยายน 2022 แอปพลิเคชัน Temu สามารถทำยอดดาวน์โหลดทะลุ 735 ล้านครั้ง ไปแล้ว ตามข้อมูลจาก Storklytics.com เรียกได้ว่าใช้เวลาเพียงประมาณ 2 ปี ก็สามารถแซงหน้า Amazon, eBay และ Shein เพื่อร่วมชาติอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ จากข้อมูลของ Statista และ AppMagic แสดงให้เห็นว่า หากนับเฉพาะในปี 2023 แพลตฟอร์ม Temu มียอดดาวน์โหลดทั้งหมดกว่า 337 ล้านครั้ง มากกว่า Amazon ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซสัญชาติสหรัฐฯ เกือบ 80% 

สำหรับในปี 2024 นี้ Temu ก็ยังสามารถสร้างการเติบโตได้อีก และขึ้นเป็นแอปที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะช่วงตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม สามารถกวาดยอดดาวน์โหลดกว่า 50 ล้านครั้งต่อเนื่อง 4 เดือนติดต่อกัน ซึ่งถือว่าโตขึ้นถึง 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา และถือว่า มากกว่าคู่แข่งอย่าง Amazon ถึง 3 เท่า นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาสแรกของปี Temu ยังมียอดเข้าชมรวมกว่า 500 ล้านครั้ง

เมื่อแยกเป็นประเทศต่าง ๆ พบว่า ยอดดาวน์โหลดเกือบ 1 ใน 3 ของการดาวน์โหลดทั้งหมดมาจาก สหรัฐอเมริกา (27%) หรือกว่า 200 ล้านครั้ง แสดงให้เห็นว่า ชาวอเมริกันใช้ Temu มากกว่าชาวยุโรปถึง 5 เท่า เพราะประเทศอย่างสหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส และสเปนคิดสัดส่วนเพียงประเทศละ 5% ของการดาวน์โหลดทั้งหมด ส่วนตลาดที่ใหญ่เป็น อันดับสอง ของ Temu คือ เม็กซิโก สร้างยอดดาวน์โหลดทั้งหมดเพียง 10% หรือน้อยกว่าสหรัฐอเมริกาถึงสามเท่า

ปัจจุบัน Temu เปิดบริการแล้วใน 49 ประเทศทั่วโลก มียอดขายกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงครึ่งปีแรก สำหรับไทยถือเป็นประเทศที่ 3 ของอาเซียน รองจากฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ที่ Temu เข้ามาทำตลาด

Source

]]>
1490619
ส่อง 5 กลุ่มสินค้าไทย ที่ ‘ขายดี’ บนแพลตฟอร์ม ‘Amazon’ สำหรับ SME ไทยที่อยาก Go Inter! https://positioningmag.com/1489114 Sun, 08 Sep 2024 12:12:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1489114 ในวันที่ สินค้าจีน เข้ามาถล่มตลาดไทยอย่างหนัก ทำให้ SME ไทยในปัจจุบันก็ต้องเร่งหา ตลาดใหม่ เพื่อความอยู่รอด โดยเฉพาะตลาดในต่างประเทศ และหนึ่งในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีจุดเด่นในตลาดฝั่งตะวันตกอย่าง Amazon ก็เป็นอีกโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่ต้องการ Go Inter

อีก 3 ปี ส่งออกไทยทะลุ 3 แสนล้าน

จากการสำรวจโดย Access Partnership ถึงโอกาสการ ส่งออก ของผู้ประกอบการรายย่อย หรือ SME ไทย พบว่า ในปี 2023 ที่ผ่านมา การส่งออกของไทยทั้งหมดมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท โดยสัดส่วนประมาณ 38% มาจากกลุ่ม SME และคาดว่าภายในปี 2028 มูลค่าการส่งออกของไทยจะเติบโตได้ 1.5 เท่า หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท และสัดส่วนของ SME จะเพิ่มเป็น 55%

ขณะที่ SME กว่า 87% มองว่า อีคอมเมิร์ซ เป็นตัวช่วยให้สามารถ รุกตลาดต่างประเทศ และมี SME ถึง 37% ระบุว่า รายได้กว่าครึ่งมาจากการส่งออก นอกจากนี้ กว่า 56% เชื่อว่า อีคอมเมิร์ซช่วยให้ตลาดเปิดกว้างมากขึ้น โดยปัจจุบัน ประเทศที่ SME ไทยส่งออกสินค้าไปมากที่สุด ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อังกฤษ และสหภาพยุโรป

ชูจุดขายความเป็นไทย แต่ไม่ทิ้งฟังก์ชัน

หนึ่งในแพลตฟอร์มที่ SME ไทยใช้ Go Inter ก็คือ Amazon ที่ให้บริการใน 23 ประเทศทั่วโลก โดย อนันต์ ปาลิต หัวหน้า อเมซอน โกลบอล เซลลิ่ง ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า บนแพลตฟอร์ม Amazon มี SME ไทยกว่า 1,000 ราย โดยกลุ่มสินค้ายอดนิยม ได้แก่ 

  • ของใช้ในบ้าน 
  • เสื้อผ้า 
  • อาหารและเครื่องดื่ม 
  • ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความงาม
  • สินค้ากีฬา

สำหรับแบรนด์ไทยที่โดดเด่น อาทิ Tuff แบรนด์ กางเกงมวย ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดสหรัฐฯ และอีกแบรนด์ก็คือ Wel-B ซึ่งเป็นผลไม้ฟรีซดราย (Freeze Drying) ขายเป็นขนม

โดย อนันต์ มองว่า สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่น่าเริ่มต้นสำหรับ SME ไทย เพราะมีกำลังซื้อสูง ซึ่งพฤติกรรมผู้บริโภคสหรัฐฯ นั้นต้องการ สินค้าที่มีความแตกต่างจากสินค้าที่มีในประเทศ ดังนั้น ต้องมี จุดขายความเป็นไทย แต่ก็ไม่ทิ้งจุดขายด้านฟังก์ชัน

“อย่างกางเกงมวยของ Tuff ไม่ได้ขายได้เพราะเป็นกางเกงมวย แต่มีฟังก์ชันที่เหมาะสำหรับใส่ออกกำลังกาย และมีเอกลักษณ์ความเป็นไทย ส่วนขนมขบเคี้ยว ก็เป็นกลุ่มที่ไทยพัฒนาได้ดี และทั้งรสชาติดีและมีประโยชน์ ซึ่งสินค้าในสหรัฐฯ ไม่ค่อยมี”

อยาก Go Inter แต่ยังติดหลายสิ่ง

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการหลายคนยังติดปัญหาเกี่ยวกับการส่งออก โดยพบว่า

  • 88% ระบุว่า ค่าใช้จ่าย เช่น การขนส่ง ค่าธรรมเนียมกรมศุล ถือเป็นอุปสรรคใหญ่ 
  • 89% มองว่ายัง ขาดความรู้ โดยไม่รู้ว่าโมเดลที่เอื้อต่อการทำธุรกิจข้ามพรมแดนต้องมีอะไร
  • 93% มองว่า กฎระเบียบด้านการส่งออก ถือเป็นอุปสรรคอย่างมาก 
  • 91% ขาดผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยทำ Cross-border เช่น ด้าน Digital Marketing ด้านซัพพลายเชน

โดย อนันต์ มองว่า การจะสนับสนุนให้ SME ไทยสามารถ Go Inter ได้ ควรสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับตลาด สร้างอีโคซิสเต็มส์ให้ทำงานได้ง่าย เช่น รวมโลจิสติกส์ไว้บนแพลตฟอร์มเดียว สุดท้าย ภาครัฐควรช่วยเหลือด้านกฎระเบียบในการนำเข้าสินค้า

สำหรับ Amazon เองก็มีโปรแกรมช่วยเหลืออย่าง Amazon Global Selling อาทิ บริการ Fulfillment by Amazon (FBA) ที่เป็นบริการ Fullfillment คือ หยิบ แพ็ก ส่ง โดย Amazon จะเก็บสินค้าของลูกค้าไว้ในคลังที่มีกว่า 400 แห่ง และจะจัดส่งให้เมื่อมีคำสั่งซื้อ โดยการันตีจัดส่งถึงปลายทางได้ภายใน 2 วัน นอกจากนี้ Amazon ยังมีโครงการอื่น ๆ เช่น Amazon Brand Registry ช่วยเรื่องการตลาดให้ลูกค้าเจอแบรนด์ได้มากขึ้น หรือเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น รวมถึง Shopping Event เช่น  Black Friday เป็นต้น

“ผู้ประกอบการหลายคนยังไม่ใช่งาน FBA อาจเป็นเพราะกระบวนการอาจซับซ้อน รวมถึงค่าใช้จ่าย ซึ่งเราเองก็ตระหนักเรื่องนี้ โดยจะปรับกระบวนการให้ง่ายขึ้น รวมถึงสื่อสารถึงข้อดีของบริการ อย่าง ลูกค้าที่ใช้บริการ FBA ก็มียอดขายเพิ่มขึ้น 20-25% และลดต้นทุนได้ 30% เมื่อเทียบกับลูกค้าที่ไม่ใช้”

ปัจจุบัน ผู้ประกอบการไทยกว่า 1,000 รายบน Amazon มียอดขายสินค้ากว่า 1 ล้านชิ้น/ปี และข้อมูลจาก Statista พบว่า ในปี 2023 สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีรายได้รวมจากอีคอมเมิร์ซสูงเป็นอันดับที่สองของโลก มีมูลค่าถึง 1.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จากผลสำรวจของ Amazon ที่จัดทำโดย Access Partnership ในปีเดียวกัน พบว่ามากกว่า 65% ของธุรกิจ SMEs ของไทย มองว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีความสำคัญในช่วง 5 ปีข้างหน้านี้

]]>
1489114
FTC สอบสวนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เรื่องการลงทุนและจับมือเป็นพันธมิตรด้าน AI อาจกระทบการแข่งขันได้ https://positioningmag.com/1460410 Fri, 26 Jan 2024 07:44:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1460410 คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้อาศัยข้อกฎหมายเพื่อเข้าสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งเรื่องการลงทุนและจับมือเป็นพันธมิตรด้าน AI ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวชี้ว่าอาจกระทบการแข่งขัน และส่งผลกระทบกับผู้บริโภคได้

คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (FTC) ได้สอบสวนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง จากประเด็นการลงทุนและจับมือเป็นพันธมิตรในเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยให้เหตุผลว่าอาจกระทบการแข่งขันได้ หลังจากการเข้ามาของ AI อาจทำให้เกิดความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีมากขึ้น

สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่โดน FTC เข้าสอบสวนได้แก่ Amazon, Alphabet, Microsoft, OpenAI รวมถึง Anthropic

การสืบสวนดังกล่าว FTC เข้าสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีในตลาดหลายบริษัทเกี่ยวกับการลงทุนและการจับมือเป็นพันธมิตรระหว่างบริษัทเทคโนโลยีด้าน AI กับบริษัทเทคโนโลยีโดยเฉพาะผู้ให้บริการ Cloud รายใหญ่ เพื่อต้องการทราบถึงกาลงทุนนั้นมีความเสี่ยงที่จะบิดเบือนกลไกตลาด หรือการแข่งขันหรือไม่

ในด้านของการจับมือเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยี ทาง FTC จะสอบสวนว่าการร่วมมือกัน หรือการทำงานร่วมกันนั้นมีระบบการทำงาน หรือการตัดสินใจของแต่ละฝ่าย เพื่อที่จะทราบถึงอิทธิพลของอีกฝ่ายว่ามากน้อยเพียงใด และผลดังกล่าวกระทบกับผู้บริโภคในระยะยาวหรือไม่

FTC ยังได้อ้างข้อกฎหมายที่สามารถขอตรวจสอบบริษัทต่างๆ ได้ และได้กล่าวว่าการเข้ามาของเทคโนโลยี AI ก็ไม่สามารถเป็นข้อยกเว้นได้ ซึ่งคณะกรรมการของ FTC มีมติเอกฉันท์ 3-0 เสียง เพื่อใช้ข้อกฎหมายดังกล่าวเพื่อเข้าตรวจสอบบริษัทเทคโนโลยี

Lina Khan ประธานของ FTC ได้กล่าวว่า “ในประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ สามารถสร้างตลาดใหม่ๆ และการแข่งขันที่ดีได้” และเธอยังกล่าวเสริมว่า FTC จะใช้ประสบการณ์ในการกำกับดูแลธุรกิจอื่นๆ จะช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลรายนี้สามารถสอบสวนเรื่องดังกล่าวได้

ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ได้เริ่มขยับตัวมากขึ้นจากการเข้ามาของ AI ไม่ว่าจะเป็นกรณี Microsoft ได้ลงทุนกับ OpenAI เจ้าของแพลตฟอร์ม ChatGPT มากถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือแม้แต่ Amazon และ Alphabet ที่ได้ลงทุนใน Anthropic บริษัทด้าน AI อีกรายเป็นเงินรวมกันหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ

การเข้าสอบสวนดังกล่าวบริษัทเทคโนโลยีแต่ละแห่งจะมีเวลา 45 วันในการตอบประเด็นข้อสงสัยของ FTC 

ที่มา – CNBC, The Register, Axios

]]>
1460410
Amazon ปลดพนักงานในหลายธุรกิจทั้ง Twitch และ Prime Video รวมถึงธุรกิจภาพยนตร์อย่าง MGM https://positioningmag.com/1458449 Thu, 11 Jan 2024 08:25:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458449 Amazon ได้ปลดพนักงานในหลายธุรกิจไม่ว่าจะเป็น Twitch และ Prime Video รวมถึง MGM ธุรกิจภาพยนตร์ของบริษัท ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังแสดงให้เห็นว่าการปลดพนักงานนั้นยังไม่จบสิ้นสำหรับยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริการายนี้

สำนักข่าว Bloomberg ได้รายงานข่าวว่า Amazon ประกาศปลดพนักงานในหลายส่วนธุรกิจของบริษัท ไม่ว่าจะเป็น Twitch บริการแพลตฟอร์มถ่ายทอดสดซึ่งเน้นไปยังสังคมของคนเล่นเกมเป็นหลัก ซึ่งมีการปลดพนักงานมากถึง 500 ราย คิดเป็น 35% ของพนักงานทั้งหมดของ Twitch

Dan Clancy ซึ่งเป็น CEO ของ Twitch ได้กล่าวใน Blog ของบริษัทว่า นี่เป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากและเจ็บปวด และพนักงานที่ประจำสำนักงานทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกา บราซิล หรือแม้แต่สิงคโปร์ ต่างได้รับผลกระทบดังกล่าวหมด

หลังจาก Amazon ซื้อกิจการของ Twitch ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา แต่ธุรกิจของ Twitch เองยังไม่สามารถสร้างกำไรให้กับบริษัทแม่ได้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีมาตรการปลดพนักงานออกมา

ขณะเดียวกัน Reuters รายงานข่าวว่า Amazon ยังได้ประกาศปลดพนักงานในส่วนของ Prime Video รวมถึงธุรกิจภาพยนตร์อย่าง MGM โดยในจดหมายของผู้บริหารในส่วน Prime Video ได้กล่าวว่า ต้องการที่โฟกัสการลงทุนในส่วนที่สร้างผลดีแก่บริษัท และลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็น

Amazon ได้รุกเข้าสู่ธุรกิจความบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นดีลการซื้อกิจการ MGM มูลค่ามากถึง 8,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงปี 2021 และยังได้ลงทุนในหลากหลายคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นด้านความบันเทิง ไปจนถึงการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาในหลายประเทศ

อย่างไรก็ดีบริษัทได้ปลดพนักงานออกเป็นรวมกันเป็นจำนวนมากถึง 27,000 รายในปี 2023 ที่ผ่านมา และยังปิดธุรกิจที่ไม่จำเป็นออก สาเหตุสำคัญที่บริษัทชี้แจงคือรายได้ของบริษัทที่ลดลงจากสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เนื่องจากผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย ขณะเดียวกันสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวนั้นส่งผลทำให้บริษัทต้องพิจารณาถึงการใช้จ่ายทั้งหมดเช่นกัน

ความเคลื่อนไหวในการปลดพนังานรอบใหม่ของ Amazon ในปี 2024 นั้นยังแสดงให้เห็นว่า แม้ว่า Amazon จะปลดพนักงานไปรอบใหญ่แล้วในปี 2023 เนื่องด้วยความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และต้นทุนจากอัตราดอกเบี้ยที่สูง ยังทำให้หลายกิจการยังต้องประกาศปลดพนักงาน ซึ่งรวมถึงยักษ์ใหญ่ไอทีรายนี้ด้วย

ที่มา – CNBC, BBC, CNN

]]>
1458449
“Shein” ป่วนอีคอมเมิร์ซสหรัฐฯ! “Amazon” ยอมลดค่าธรรมเนียมร้านขาย “เสื้อผ้า” ยื้อส่วนแบ่งตลาด https://positioningmag.com/1455012 Fri, 08 Dec 2023 12:58:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455012 อีคอมเมิร์ซเสื้อผ้าจากจีน “Shein” สร้างความกังวลให้ตลาดอีคอมเมิร์ซสหรัฐฯ อย่างมาก ล่าสุดยักษ์ใหญ่อย่าง “Amazon” ต้องลุกมาประกาศลดค่าธรรมเนียมผู้ขายสำหรับร้าน “เสื้อผ้า” ที่ขายสินค้าราคาต่ำกว่า 20 เหรียญสหรัฐ เพื่อช่วยกดราคาสินค้าให้ต่ำลง

เมื่อวันอังคารที่ 5 ธันวาคม 2023 ยักษ์อีคอมเมิร์ซ​ “Amazon” ประกาศลดค่าธรรมเนียมผู้ขายในกลุ่มสินค้าเสื้อผ้าแฟชั่นลงจากปกติ 17% หากเป็นสินค้ากลุ่มราคา 15-20 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 530-700 บาท) จะลดค่าธรรมเนียมเหลือ 10% และหากเป็นกลุ่มราคาไม่เกิน 15 เหรียญสหรัฐ จะลดค่าธรรมเนียมเหลือ 5% เท่านั้น อัตราดังกล่าวจะเริ่มใช้งานในเดือนมกราคม 2024

เห็นได้ชัดว่า Amazon ต้องสู้กับ Shein ในหมวดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย โดย Shein เป็นที่ขึ้นชื่อว่าขายเสื้อผ้าราคาถูกมาก ลูกค้าสามารถหาซื้อเสื้อยืดได้ในราคา 5 เหรียญเท่านั้น (ประมาณ 180 บาท) หรือกางเกงยีนส์ก็ราคาไม่เกิน 15 เหรียญ (ประมาณ 530 บาท)

Shein ทำราคาได้ถูกขนาดนี้จากการมีเครือข่ายโรงงานผู้ผลิตในมือถึง 6,000 แห่ง และกลายเป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่แม้แต่ Amazon ก็ยังต้องกังวล

“เราลดค่าธรรมเนียมในหมวดเสื้อผ้าลงเพื่อช่วยขับเคลื่อนและกระตุ้นให้มีสินค้าหลากหลายมากขึ้นแก่ผู้บริโภค และทำราคาให้แข่งขันได้มากขึ้นด้วย” โฆษกของ Amazon กล่าวกับสำนักข่าว Business Insider “เรายังคงมุ่งมั่นในการสนับสนุนความสำเร็จและการเติบโตของพาร์ทเนอร์ผู้ขายของเราให้มากที่สุด”

shein
Photo : Shutterstock

บริษัทจากจีนอย่าง Shein เลือกจะมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะได้เปิด IPO ในปีหน้า แหล่งข่าววงในกล่าวกับสำนักข่าว Bloomberg ว่า มาร์เก็ตแคปที่ Shein คาดหวังน่าจะอยู่ในช่วง 8-9 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 2.8-3.2 ล้านล้านบาท)

เมื่อจะเข้าสู่ตลาดหุ้นทำให้ Shein ต้องมีการปรับปรุงแพลตฟอร์มให้ขยายไปขายอย่างอื่นนอกเหนือจากเครื่องแต่งกายบ้าง เช่น ของตกแต่งบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า

รวมถึงมีการเปลี่ยนโมเดลธุรกิจจากเดิมมีขายเฉพาะสินค้าสั่งผลิตเองผ่านเครือข่ายโรงงานเสื้อผ้า เมื่อจะมีของอย่างอื่นขาย Shein จึงต้องมีบางส่วนที่เป็นมาร์เก็ตเพลส ให้ร้านค้าเข้ามาเปิดขายได้ ซึ่งจะไปตรงกับโมเดลธุรกิจของ Amazon มากขึ้น

ไม่แช่แค่ Amazon ที่แสดงความกังวลกับการบุกหนักของ Shein มาร์เก็ตเพลสและร้านเสื้อผ้าอื่นๆ ที่มีตลาดในกลุ่มลูกค้าเดียวกันก็แสดงความกังวลออกมา เช่น Temu, Gap, Etsy เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม Juozas Kaziukenas ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจอีคอมเมิร์ซ Marketplace Pulse ให้ความเห็นว่า การลดราคาค่าธรรมเนียมให้ผู้ขายของ Amazon คงยังไม่พอสำหรับการต่อสู้กับ Shein

“Amazon ไม่มีผู้ติดตามหลักหลายสิบล้านคนบน Instagram เหมือน Shein และไม่มีคนดูคอนเทนต์ของตัวเองเป็นหลายพันล้านวิวบน TikTok เหมือน Shein” เขาวิเคราะห์ไว้ในบล็อกของตน “การไปมุ่งเน้นตอบโต้เรื่องค่าธรรมเนียมการขายก็เหมือนมองเห็นต้นไม้ไม่กี่ต้นแต่ไม่เห็นป่าทั้งป่าตรงหน้า”

Source

]]>
1455012
ยักษ์ใหญ่บริษัทขนส่งในสหรัฐฯ หลังจากนี้ไม่ใช่ UPS หรือ FedEx อีกต่อไป แต่เป็น Amazon ที่แซงหน้า 2 เจ้านี้ไปแล้ว https://positioningmag.com/1454255 Mon, 04 Dec 2023 06:33:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1454255 Amazon ยักษ์ใหญ่ E-commerce ในสหรัฐอเมริกา เตรียมขึ้นเป็นผู้เล่นยักษ์ใหญ่ด้านการขนส่งพัสดุ หลังจากตัวเลขปริมาณการส่งพัสดุสินค้าในแดนมะกันแซงหน้าบริษัทขนส่งในสหรัฐฯ รายใหญ่อย่าง UPS หรือ FedEx ไปแล้ว และบริษัทยังเตรียมนำโมเดลดังกล่าวขยายออกนอกประเทศด้วย

ข้อมูลล่าสุดในปี 2022 ที่ผ่านมา Amazon ได้จัดส่งพัสดุไปแล้วในสหรัฐอเมริกามากถึง 5,200 ล้านชิ้น ทำให้ล่าสุดบริษัทมีปริมาณมีปริมาณพัสดุในสหรัฐอเมริกาแซงหน้าผู้เล่นรายสำคัญอย่าง FedEx หรือแม้แต่ UPS ไปแล้ว ซึ่ง 2 ผู้เล่นรายดังกล่าวนั้นปริมาณขนส่งพัสดุในแดนมะกันแทบไม่เติบโตด้วยซ้ำ

ปัจจุบัน Amazon มีปริมาณพัสดุในสหรัฐอเมริกาแซงหน้า FedEx ยักษ์ใหญ่ขนส่งแดนมะกันไปเมื่อปี 2020 ที่ 3,300 ล้านชิ้น ก่อนที่จะแซงหน้า UPS ยักษ์ใหญ่ขนส่งอีกรายไปในปีนี้ เนื่องจากบริษัทคาดการณ์ว่าปริมาณขนส่งพัสดุจะไม่เกินสถิติที่บริษัททำได้ที่ 5,300 ล้านชิ้น คาดว่าในปี 2023 นี้ Amazon จะมีปริมาณพัสดุขนส่งผ่านบริษัทมากถึง 5,900 ล้านชิ้น

คำถามคือ ทำไมปริมาณพัสดุของ Amazon นั้นกลับเพิ่มขึ้น คำตอบหนึ่งคือ เครือข่ายขนส่งพัสดุของ Amazon ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นทันตาเห็นจากนโยบายของบริษัทในปี 2018 ที่ไฟเขียวให้ผู้สนใจสามารถซื้อแฟรนไชส์และนำไปตั้งสาขาส่งพัสดุตามเมืองเล็กๆ ทั่วสหรัฐอเมริกาได้ด้วยเม็ดเงินแค่ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น

ถ้าหากผู้เล่นรายใดมีเครือข่ายขนส่งที่ทรงประสิทธิภาพแล้ว ลูกค้าเองก็อยากใช้งานของบริษัทขนส่งนั้นเพิ่มมากขึ้น แต่สำหรับ Amazon เองแล้วนั้นมีเครือข่าย E-commerce ของตัวเอง ยิ่งเป็นปัจจัยบวกทำให้ลูกค้าทั้งผู้เล่นขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่มาขายสินค้าในแพลตฟอร์มมากขึ้น

Photo : Shutterstock

ข้อมูลล่าสุด Amazon มีพนักงานที่เป็นแฟรนไชส์ขนส่งที่ขับรถส่งสินค้ามากถึง 200,000 คน ส่งผลทำให้เครือข่ายขนส่งของบริษัทมีเพิ่มมากขึ้นทันตาเห็นทันที

Brian Olsavsky ซึ่งเป็น CFO ของบริษัทกล่าวว่า การขยายโปรแกรมแฟรนไชส์ของบริษัททำให้ระยะเวลาการส่งสินค้าของบริษัทลดลง ทำให้สินค้าถึงมือผู้บริโภคได้ไวขึ้น และยังเพิ่มกำไรให้กับบริษัทด้วย

ช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น Amazon เองยังเคยเป็นลูกค้ารายใหญ่ของ FedEx และ UPS มาแล้ว ก่อนที่บริษัทจะขยายเครือข่ายขนส่งเป็นของตัวเอง เนื่องจากปริมาณสินค้านั้นคุ้มค่ากับการลงทุนของบริษัทแล้ว

แม้ว่าในปีนี้คาดว่าปริมาณพัสดุในภาพรวมของสหรัฐอเมริกาจะลดน้อยลงจากเรื่องการจับจ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเป็นผลจากสภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตช้าลง จากผลของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดีสำหรับปริมาณพัสดุในสหรัฐอเมริกานั้น Amazon ยังตามหลัง USPS อยู่ (ซึ่งเทียบบริการได้กับไปรษณีย์ไทย) ซึ่ง UPS และ FedEx ได้ใช้บริการ USPS ในการส่งพัสดุ ถ้าหากเครือข่ายของบริษัทไม่มีในปลายทาง แตกต่างกับ Amazon ที่มีเครือข่ายของบริษัทอยู่ทั่วสหรัฐอเมริกาแล้ว

นอกจากนี้ถ้าหากโมเดลโปรแกรมแฟรนไชส์ของ Amazon ในสหรัฐอเมริกาได้ผลดีมากแล้ว บริษัทเตรียมนำโมเดลธุรกิจดังกล่าวมาใช้ในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย ที่เป็นแหล่งรายได้สำคัญของบริษัทอีกแห่ง

ที่มา – Fox Business, Daily Mail, Logistics Insider

]]>
1454255