Health – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 01 Jul 2021 15:39:50 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 บํารุงราษฎร์ ปั้นธุรกิจใหม่ ‘Pride Clinic’ เจาะ LGBTQ+ กำลังซื้อสูง เน้นครบวงจร-ดูเเลระยะยาว https://positioningmag.com/1339830 Thu, 01 Jul 2021 09:41:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1339830 บำรุงราษฎร์เสริมกลยุทธ์สร้างรายได้ เปิดตัวธุรกิจใหม่ ‘Pride Clinic’ เจาะกลุ่ม LGBTQ+ กำลังซื้อสูงทั้งในไทยเเละทั่วโลก ชูจุดเด่นการดูแลเชิงสุขภาพในระยะยาวเเบบ ‘Life-time value’ ครบวงจรตั้งเเต่ให้คำปรึกษาดูเเลจิตใจผ่าตัดเเปลงเพศศัลยกรรมตกเเต่ง ตามความต้องการเฉพาะบุคคล

ภญ. อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH กล่าวว่า Pride Clinic จะเป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพตามความต้องการ ให้กับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ด้วยการบริบาลตามมาตรฐานบำรุงราษฎร์และความปลอดภัยสูงสุด ทั้งก่อนเข้ารับบริการ ในระยะบริการ เเละหลังบริการระยะยาว

ปัจจุบันกลุ่มผู้บริโภคชาว LGBTQ+ ถือเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง มีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอย มีอยู่ทั่วโลกราว 468 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นชาวเอเชียถึง 288 ล้านคน เเละในไทยประมาณ 4 ล้านคน

บริการของ Pride Clinic ได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก ทั้งจากชาวไทย และชาวต่างชาติ โดยล่าสุดบำรุงราษฎร์ได้ร่วมมือกับพันธมิตรในจีน ที่คาดว่าจะเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าหลัก รวมไปถึงมีเเผนจะทำการตลาดไปยังกลุ่มประเทศอื่นๆ ในอาเซียนด้วย

ในเบื้องต้นเเม้จะยังไม่ได้ตั้งเป้าตัวเลขทางธุรกิจ เเต่โรงพยาบาลมองว่า ธุรกิจใหม่นี้จะเติบโตได้ดีในอนาคตเเละคาดหวังว่าจะทำรายได้เพิ่ม 2-3 เท่า โดยค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยโดยเฉลี่ยนั้นอยู่ในเรตที่กว้างมาก เพราะความต้องการของเเต่ละบุคคลไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับ ‘ออปชั่น’ ที่อยากได้เเละความเหมาะสมกับร่างกายเเละจิตใจ ตามคอนเซ็ปต์ ‘Be the best version of you’

สำหรับ ‘Pride Clinic’ จะเปิดให้บริการกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีอายุตั้งเเต่ 20 ปีขึ้นไป รวมถึงให้คำปรึกษาผู้ปกครองและญาติมิตร

นพ.สิระ กอไพศาล อายุรแพทย์ต่อมไร้ท่อและผู้ชำนาญการด้านฮอร์โมน โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องสำคัญ เช่น ยังมีความเข้าใจผิดและมีความเสี่ยงในการซื้อยาคุมกำเนิดมารับประทานเอง เพื่อทดแทนฮอร์โมนในเพศหญิง ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้

ดังนั้น ‘Pride Clinic’ จึงได้รับการออกแบบให้มีการบริบาลแก่กลุ่มหลากหลายทางเพศที่ครบวงจร ปลอดภัยเเละดูแลโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการในทุกขั้นตอน เช่น

  • การใช้ฮอร์โมนบำบัดเพื่อปรับลักษณะทางกายภาพหรือเตรียมความพร้อมเพื่อปรับเพศสภาพ (Hormone Therapy)
  • ศัลยกรรมเพื่อปรับลักษณะทางกายภาพ (Masculinizing/Feminizing Procedures)
  • การผ่าตัดเปลี่ยนเพศ (Gender-Affirming Surgery)
  • การฝึกพูดเพื่อเปลี่ยนเสียงเป็นเพศหญิง (Voice Feminizing Therapy)
  • การผ่าตัดกล่องเสียง (Voice Feminizing Surgery)
  • การดูแลรักษาด้านผิวพรรณ ความงามและรูปร่าง (Aesthetic and Skin)
  • การดูแลสุขภาพจิต (Mental health)
  • โปรแกรมสุขภาพแบบจำเพาะสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ (Check-up Program for Unisex) ในทุกช่วงวัย

“จุดเเข็งของ Pride Clinic คือการดูเเลเเบบเฉพาะบุคคลจริงๆ เพราะต้องเทคฮอร์โมนในอัตราที่เเตกต่างกัน ไม่ใช่เเค่ผ่าตัดเสร็จเเล้วก็จบ เเต่คือการดูเเลระยะยาว 20-30 ปี ไปตลอดชีวิต” 

อีกหนึ่งจุดเด่นของ Pride Clinic คือการมีทีมศัลยแพทย์ในการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ ที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี และทำการผ่าตัดมาแล้วไม่น้อยกว่า 1,000 ราย รวมถึงมีแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัด ที่ปัจจุบันในไทยยังมีจำนวนไม่มากนัก

โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีบริบาลดูแลในช่วงการ ‘พักฟื้นภายหลังผ่าตัด’ อย่างต่อเนื่องที่ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ภายใต้โครงการรักษ ตั้งอยู่ที่บางกระเจ้า จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวมแห่งแรกในเอเชีย ผสมผสานระหว่างการนำเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์สมัยใหม่ (Advanced Medical Science) มาใช้ร่วมกับ ศาสตร์การแพทย์แบบองค์รวม (Holistic Wellness) ที่เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และจัดโปรแกรมแบบ ‘เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะบุคคล’ ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ การปรับสมดุลของร่างกาย ดูแลผิวพรรณ ความงาม น้ำหนักตัว และการชะลอวัยให้ดูดีในแบบฉบับของแต่ละบุคคล

ก่อนจะเกิดวิกฤตโรคระบาดนั้น BH ให้การรักษาผู้ป่วยทั้งชาวไทยเเละต่างชาติกว่า 1.1 ล้านรายต่อปี คิดเป็นสัดส่วนผู้ป่วยไทยและต่างชาติอย่างละ 50% ขณะที่ ‘สัดส่วนรายได้’ ส่วนใหญ่มาจากผู้ป่วยชาวต่างชาติถึง 66% ส่วนผู้ป่วยคนไทยอยู่ที่ราว 34% เนื่องจากชาวต่างชาติจะเข้ามาทำการรักษาเคสหนัก เช่น การผ่าตัดหัวใจ รักษาโรคร้ายเเรง ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า

เมื่อการเเพร่ระบาดยังไม่หมดไปในเร็ววัน บำรุงราษฎร์ จึงปรับกลยุทธ์เพื่อหารายได้ช่องทางใหม่ ขยายธุรกิจใหม่ ขยับหาลูกค้าชาวไทยมากขึ้น พร้อมชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทย (Expatriate) ที่มีอยู่ราว 2.45 ล้านคน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่มีโอกาสทางธุรกิจอยู่มาก โดยมีการจัดเเคมเปญต่างๆ ออกแพ็กเกจโปรโมชัน คอร์สรักษาในราคาพิเศษ ฯลฯ

ก่อนหน้านี้ BH หันมาจับมือกับ ‘คลินิกขนาดเล็ก’ เพื่อขยายเครือข่ายไปต่างจังหวัด ให้เข้าถึง ‘ชุมชน’ มากขึ้น ตามแนวคิด ‘แพทย์ประจำครอบครัว’ ซึ่งเป็นบริการที่ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในยุโรป ‘คุ้นเคยกันดี’ เเต่ในเมืองไทยยังไม่เเพร่หลายมากนัก เเละล่าสุดกับเปิดตัวธุรกิจใหม่อย่าง Pride Clinic ที่มุ่งเจาะกลุ่ม LGBTQ+ ที่มีกำลังซื้อสูงทั้งในไทยเเละทั่วโลก

“ขณะนี้สัดส่วนการเติบโตคนไข้ชาวไทยและต่างชาติที่อยู่ในไทยดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะการรักษาโรคเฉพาะทาง คนไข้ต่างชาติก็มีเข้ามาเป็นเที่ยวบินพิเศษ ต่อไปหากสามารถเปิดประเทศได้ ก็จะทำให้ยอดคนไข้ต่างชาติกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง” ภญ. อาทิรัตน์ระบุ 

 

 

]]>
1339830
งานหนักคร่าชีวิต 7 เเสนคนต่อปี ทำเกิน 55 ชั่วโมง/สัปดาห์ เสี่ยงตายโรคหัวใจ-หลอดเลือดสมอง https://positioningmag.com/1332677 Tue, 18 May 2021 09:05:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1332677 ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานเกินไป ได้คร่าชีวิตผู้คนหลายเเสนคนต่อปี เเละยิ่งเลวร้ายลงไปอีกในช่วงโรคโควิด-19 โดยคนที่อาศัยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และฝั่งแปซิฟิกตะวันตก ได้รับผลกระทบมากที่สุด

องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) เผยแพร่งานวิจัยในวารสาร Environment International ระบุว่า การเเพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ต้องทำงานทางไกล และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลก เพิ่มความเสี่ยงให้ลูกจ้างมีชั่วโมงการทำงานยาวนานขึ้นตามไปด้วย

โดยการทำงานมากกว่า ’55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองสูงขึ้น 35% และเสี่ยงเสียชีวิตจากโรคหัวใจสูงขึ้น 17% เมื่อเปรียบเทียบกับการทำงานสัปดาห์ละ 35-40 ชั่วโมง

ในปี 2016 ประชาชนกว่า 745,000 คน เสียชีวิตจากอาการเส้นเลือดในสมองแตกและโรคหัวใจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับทำงานยาวนานหลายชั่วโมง สูงขึ้นเกือบ 30% จากปี 2000

ผลวิจัยของ ILO พบว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกือบ 3 ใน 4 เป็นผู้ชายในวัยกลางคนหรือสูงอายุ หลายกรณีเสียชีวิตในช่วงบั้นปลายชีวิต 10 ปีให้หลังจากที่ทำงานหนักต่อเนื่องเป็นเวลานาน

โดยแรงงานที่ใช้ชีวิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแปซิฟิกตะวันตก ตามนิยามของ WHO รวมจีน ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้มากที่สุด

Photo : Shutterstock

นักวิจัย ชี้ว่าชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานขึ้น ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทั้งด้านสรีรวิทยาโดยตรงเเละก่อให้เกิดความเครียด นอกจากนี้ยังส่งผลให้เเรงงานมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมทำลายสุขภาพ เช่นการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ การนอนหลับน้อยลง ไม่มีเวลาออกกำลังกายและทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ

การทำงาน 55 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล นายจ้างและลูกจ้าง ต้องยอมรับว่าการทำงานที่ยาวนาน อาจทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร” Maria Neira ผู้อำนวยการฝ่ายสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสุขภาพของ WHO กล่าว

การทำงานทางไกล ประชุมออนไลน์ และเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากพิษไวรัส เร่งให้พนักงานต้องเเบกภาระงานหนักมากขึ้น WHO ประเมินว่า ประชาชนอย่างน้อย 9% มีชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานกว่าเดิม

ในทางตรงกันข้าม การลดชั่วโมงการทำงานลงจะเป็นประโยชน์ต่อนายจ้างมากกว่า เนื่องจากผลการศึกษาพบว่าจะช่วยให้ผลิตภาพของพนักงานเพิ่มขึ้น

ไม่มีงานใดที่คุ้มค่าจะเสี่ยงกับการเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคหัวใจ รัฐบาล นายจ้าง และลูกจ้างจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อบรรลุข้อตกลงเพื่อปกป้องสุขภาพของเเรงงาน

 

ที่มา : BBC , Reuters 

 

 

]]>
1332677
Jetts Fitness ปรับทิศขยายสาขาใกล้ ‘ออฟฟิศ’ ควบ ‘ชานเมือง’ เร่งดึงยอดสมาชิกกลับ ‘เข้ายิม’ https://positioningmag.com/1320999 Fri, 26 Feb 2021 09:14:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320999 ต้องยอมรับว่าฟิตเนสได้รับผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ไปไม่น้อย เมื่อต้องปิดสาขาชั่วคราวในช่วงล็อกดาวน์ เเต่ในอีกมุมก็เป็นโอกาสสำคัญที่ผู้คนทั่วโลกต่างหันมาดูเเลตัวเองเเละใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น

ปัจจุบัน มูลค่าตลาดของธุรกิจฟิตเนสในไทยอยู่ที่ราว 10,000 ล้านบาท เติบโตอย่างต่อเนื่อง ก่อนสะดุดลงด้วยพิษ COVID-19 เเต่ในปีนี้ เต็มไปด้วยความหวังที่จะกลับมารุ่งอีกครั้ง หลังสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงเเละมีการกระจายวัคซีน

นับเป็นความท้าทายอย่างยิ่งของผู้ประกอบการฟิตเนส ว่าพวกเขาจะปรับกลยุทธ์รองรับวิถีชีวิตใหม่นี้อย่างไรกันบ้าง

ปีนี้ Jetts Fitness (เจ็ทส์ ฟิตเนส) เเบรนด์ดังจากออสเตรเลีย เร่งเครื่องขยับขึ้นมาเป็นเบอร์ 1’ ของตลาดไทยในเเง่สาขา ซึ่งเป็นถือกลยุทธ์หลักของธุรกิจฟิตเนส ที่พึ่งพารายได้จากค่าสมาชิกดังนั้นการหาลูกค้ากลุ่มใหม่ในทำเลที่ยังไม่เคยเข้าถึงคือหัวใจสำคัญ

ท่ามกลาง COVID-19 ที่ระบาดทั้งปี 2020 Jetts เปิดคลับใหม่เพิ่มถึง 13 สาขา ทำให้ตอนนี้มีอยู่ 35 สาขาทั่วประเทศไทย พร้อมเดินหน้าเปิดอีก 8 สาขาในปีนี้

เเม้จะขยายสาขาไม่หยุด เเต่ Jetts Fitness ก็เจอผลกระทบหนักเช่นกัน เพราะในช่วง COVID-19 มีสมาชิกยกเลิกไปถึง 20% จากจำนวนสมาชิกที่มีราว 29,000 ราย ขณะเดียวกันสมาชิกเหลืออยู่อีก 80% ในจำนวนนี้กว่า 30% ขอหยุดจ่ายค่าสมาชิกราว 30%

นี่เป็นโจทย์ยากของธุรกิจฟิตเนส ว่าจะทำอย่างไรให้ลูกค้าเก่ากลับมาเเละหาลูกค้าใหม่ไปด้วยในยามที่ใครๆ ก็รัดเข็มขัดประหยัดค่าใช้จ่าย

ไมค์ แลมบ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ็ทส์ ฟิตเนส 24 ชั่วโมง ภูมิภาคเอเชีย บอกว่า ความท้าทายหลักๆ เเบ่งเป็น 2 ส่วนคือ การทำอย่างไรให้สมาชิกที่หายไปกลับมาใช้บริการเเละการทำให้ธุรกิจเติบโตต่อไปเมื่อพฤติกรรมของลูกค้าจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ที่ผ่านมา Jetts Fitness มีการออกโปรเเกรมคลาสออนไลน์เเละเทรนเนอร์ออนไลน์เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับสมาชิกอยู่ตลอด

โดยมองว่าพฤติกรรมการใช้บริการฟิตเนส จะเปลี่ยนไปเป็นการ ‘ผสมผสานระหว่างคลาสออกกำลังกายออนไลน์และการเข้ายิมตามปกติ’ เพราะคนจำนวนมากเริ่มชอบการยืดหยุ่นด้านการเดินทางและตารางเวลา รวมถึงลดความเลี่ยงการติดโรค

สำหรับคลาสออนไลน์ที่บริษัทจัดมีสถิติผู้เข้าชมเกือบสี่หมื่นวิว มีผู้เข้าชมสูงสุดในเวลา 17.00 . ในวันธรรมดา และเวลา 15.00 .ในช่วงสุดสัปดาห์ โดยคลาสบอดี้คอมแบท เล็ทส์มูฟ และเจ ซีรี่ส์ เป็นคลาสยอดฮิต

อย่างไรก็ตาม เเม้คลาสเเละเทรนเนอร์ออนไลน์ จะได้รับการตอบรับที่ดีมาก เเต่ไมค์มองว่า สิ่งสำคัญที่ฟิตเนสมีคือการสร้างcommunity’ เเละบรรยากาศการออกกำลังกายที่ไม่เหมือนอยู่ที่บ้าน มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน เชื่อว่าผู้คนจะยังต้องการมาออกกำลังการที่สาขาต่อไปหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย

ปีนี้ Jetts Fitness ประเทศไทย จะทุ่มงบการตลาด 4% เพื่อทำโปรโมชัน ออกแคมเปญต่างๆ อย่างแคมเปญกระตุ้น “We want you comeback” ด้วยการให้ส่วนลด 50% เเละเปิดตัวทีมเทรนเนอร์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อตอบความต้องการเฉพาะบุคคล ดูเเลนักกีฬามืออาชีพ และมีอุปกรณ์ที่ครบครัน

โดยแนวโน้มการกลับมาใช้บริการของสมาชิกเก่าที่หยุดไป รวมทั้งการสมัครสมาชิกของลูกค้าใหม่ เริ่มทยอยกลับมาเเล้วในระดับ 30%

นอกจากนี้ วิธีดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการ ก็คือการเข้าไปหาลูกค้าผ่านวิธีการเร่งขยายสาขาในทำเลที่หลากหลายขึ้น

ปัจจุบัน Jetts Fitness ครองส่วนแบ่งตลาดฟิตเนสรวมที่ 30% เเละครองส่วนแบ่งตลาดฟิตเนสที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงที่ 60%

จากเดิม Jetts Fitness มีกลยุทธ์ขยายสาขาในพื้นที่กลางใจเมือง เน้นใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า ใกล้อาคารสำนักงาน เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าหลักอย่างพนักงานออฟฟิศ ที่มีอายุราว 21-40 ปี 

เเต่จากการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้หลายบริษัทเลือกให้พนักงานทำงานทางไกลที่บ้าน หรือ Work from Home ดังนั้นทิศทางการเปิดสาขา จึงจะเริ่มขยายทำเลมาแถบชานเมือง ใกล้ชุมชนที่อยู่อาศัย ควบคู่ไปย่านการค้าในเมือง

สำหรับเเผนปีนี้ของ Jetts Fitness ตั้งเป้าเพิ่มอีก 8 สาขา มีงบลงทุนสาขาละ 40 ล้านบาท คาดว่าจบปี 2021 จะมีสาขาอยู่ทั้งสิ้น 41 สาขา พร้อมๆ กับการตั้งเป้าเพิ่มยอดสมาชิกให้เป็น 32,000 รายด้วย

โดยในกรุงเทพฯ จะมีคลับใหม่ที่สยามสแควร์วัน (อยู่กลางใจเมือง) เเละรามอินทรา (อยู่เเถบชานเมือง) ส่วนอีก 6 คลับ จะกระจายไปในต่างจังหวัดเน้นเมืองท่องเที่ยวที่ฮิตในหมู่คนไทย อย่าง หัวหินเเละเพชรบุรี

ต้องจับตาดูว่า ปีนี้ธุรกิจฟิตเนสจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งหรือไม่

 

]]>
1320999
เคทีซีจับมือสถาบันสิรินธรฯ นำผู้สูงวัยต้นแบบ จัดกิจกรรม “ปันความรู้ สู่ผู้สูงวัย ด้วยก้าวใหม่แห่งเทคโนโลยี” https://positioningmag.com/1094859 Fri, 17 Jun 2016 05:53:48 +0000 http://positioningmag.com/?p=1094859 นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เป็นประธานเปิดงาน เคทีซีปันความรู้ สู่ผู้สูงวัย ด้วยก้าวใหม่แห่งเทคโนโลยีโดยมีนางสาวพจนีย์พร ชำนาญภักดี ผู้อำนวยการ ทรัพยากรบุคคล “เคทีซี”หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับแพทย์หญิงดารณี สุวพันธ์ ผู้อำนวยการ สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาตินำคณะผู้สูงอายุต้นแบบจากชมรมผู้สูงอายุวัดธาตุทอง เขตวัฒนา เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อเปิดประสบการณ์ให้ผู้สูงอายุเรียนรู้เทคนิคการดูแลสุขภาพ ชมนวัตกรรม “หุ่นยนต์ผู้ช่วยเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพด้านการทรงตัวในผู้สูงอายุ” และทดลองการรักษาข้อเสื่อมด้วยพลังน้ำใน “สระธาราบำบัด” ที่มีความทันสมัยที่สุดในอาเซียน ณ ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ถนนติวานนท์ จังหวัดนนทบุรี เมื่อเร็วๆ นี้

]]>
1094859
ขยับร่างกายให้มากขึ้นด้วยฟีเจอร์ใหม่ของ ‘ฟิตบิท’ https://positioningmag.com/1092656 Tue, 24 May 2016 16:50:10 +0000 http://positioningmag.com/?p=1092656 ฟิตบิท ผู้นำตลาดด้านอุปกรณ์การดูแลสุขภาพและกิจกรรมการออกกำลังกาย เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดที่ช่วยติดตามการทำกิจกรรมและช่วงเวลาอยู่กับที่ของคุณในทุกชั่วโมง (Hourly Activity & Stationary Time Tracking) โดยฟีเจอร์นี้จะช่วยกระตุ้นให้ผู้สวมใส่เคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้นและช่วยลดทอนช่วงเวลานั่งเฉยๆ ระหว่างวันลงได้ โดยเปิดให้ใช้งานได้แล้วบนอุปกรณ์สายรัดข้อมือของฟิตบิททุกรุ่น

นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientists) ของฟิตบิท® ได้ศึกษาข้อมูลในระบบและพบว่าผู้ใช้ฟิตบิทส่วนใหญ่มีช่วงเวลาที่นั่งเฉย (ไม่ทำกิจกรรมใดๆ) เป็นเวลานานในแต่ละวัน โดยเฉลี่ยแล้ว ช่วงเวลาเหล่านั้นยาวนานถึง 90 นาที* ซึ่งถ้ารวมช่วงเวลาไร้กิจกรรมตลอดทั้งวันเข้าด้วยกันอาจยาวนานถึงกว่า 7 ชั่วโมงต่อวัน โดยช่วงเวลานั่งเฉยๆ ที่สะสมในแต่ละวันเกี่ยวเนื่องกับความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคหัวใจ และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่าการลุกขึ้นเดิน 2-3 นาทีทุกๆ ชั่วโมงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคร้ายที่เกิดจากการนั่งเฉยๆ นานเกินไปได้ด้วย ทำให้ฟิตบิทตัดสินใจเปิดตัวฟีเจอร์ล่าสุดที่สามารถติดตามผลในแอพพลิเคชั่นได้ว่า กิจกรรมในแต่ละชั่วโมงและช่วงเวลาไร้กิจกรรมมีมากน้อยเพียงใด เมื่อทำการเชื่อมต่อแอพพลิเคชั่นเข้ากับฟิตบิทรุ่นต่างๆ อย่างรุ่น เซิร์จ (Surge) เบลซ (Blaze) ชาร์จ เอชอาร์ (Charge HR) อัลธ่า (Alta) ชาร์จ (Charge) หรือ เฟล็กซ์ (Flex)

เพียงไปที่หัวข้อ ระบบการติดตามกิจกรรมรายชั่วโมง (Hourly Activity) ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่อยู่บนแดชบอร์ดฟิตบิทของคุณ และกดเข้าไปตั้งค่าเป้าหมายของตัวเองในแต่ละชั่วโมง จากการแนะนำของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ ที่ระบุให้ออกกำลังสัปดาห์ละ 2.5 ชั่วโมง ลองเพิ่มจากนั้นแล้วตั้งเป้าเดินให้ได้ 250 ก้าวในแต่ละชั่วโมง หรือเท่ากับการเดิน 2-3 นาที ขณะที่ระยะเวลาการทำกิจกรรมรายชั่วโมงเพิ่มขึ้น จะเห็นได้ว่าระยะเวลาไร้กิจกรรมของคุณจะลดลงด้วย

ภารกิจของฟิตบิทคือการช่วยทำให้ผู้ใช้ฟิตบิทแต่ละคนสามารถบรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพและการออกกำลังกายได้ ซึ่งรวมถึงระหว่างชั่วโมงทำงานในแต่ละวันด้วย สำหรับ ฟิตบิท อัลธ่า ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดก็มีลูกเล่นใหม่เพิ่มเติมอย่างระบบการแจ้งเตือนให้ผู้ใช้มีการเคลื่อนไหวร่างกายในแต่ละวัน (Reminders to Move) โดยที่จะทำการสั่นเตือนทุกๆ ชั่วโมง หากผู้ใช้เดินไม่ถึง 250 ก้าวภายในชั่วโมงนั้น และตั้งแต่วันนี้ไป ผู้ใช้ฟิตบิทรุ่นอื่นๆ ก็สามารถเข้าถึงบริการเช่นเดียวกัน และติดตามการทำกิจกรรมของตัวเองเป็นรายชั่วโมงได้ที่แอพพลิเคชั่นฟิตบิท

ฟิตบิท มีวางจำหน่ายที่ พาวเวอร์บาย เจ มาร์ท ไอสตูดิโอและร้านอุปกรณ์ไอทีชั้นนำใกล้บ้าน

ขยับร่างกายให้มากขึ้นด้วยฟีเจอร์ใหม่ของ ‘ฟิตบิท’

  • Hourly Activity ระบบการติดตามกิจกรรมรายชั่วโมง ช่วยให้ผู้ใช้งานตั้งเป้าหมายในการเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งช่วยลดทอนช่วงเวลานั่งเฉยๆ ระหว่างวันลงได้
  • การขยับร่างกายเพียง 2-3 นาทีต่อชั่วโมง สามารถช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคหัวใจ และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
  • ฟีเจอร์ใหม่นี้เปิดให้ใช้งานบนอุปกรณ์สายรัดข้อมือฟิตบิททุกรุ่นแล้ว

*อ้างอิงจากการเก็บข้อมูลโดยสรุปและไม่ระบุชื่อของผู้ใช้ฟิตบิทมากกว่า 1 ล้านคน

]]>
1092656
3 องค์กรนวัตกรรมด้านสุขภาพ GSK บู๊ทส์ และเครือโรงพยาบาลพญาไท จับมือ จัดกิจกรรม Total Allergy Care Innovation เปิดประสบการณ์ใหม่ในการรักษาโรคภูมิแพ้ทางจมูกอย่างครบวงจร https://positioningmag.com/58190 Sat, 02 Aug 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=58190

บริษัท แกล็กโซสมิทไคล์น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ GSK ร่วมกับ บริษัท บู๊ทส์ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด และเครือโรงพยาบาลพญาไท จัดกิจกรรม “Total Allergy Care Innovation – นวัตกรรมการดูแลรักษาโรคภูมิแพ้ทางจมูกครบวงจร” สนับสนุนให้คนไทยห่างไกลโรคภูมิแพ้ ด้วยการดูแลรักษาอย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร

นายวิริยะ จงไพศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แกล็กโซสมิทไคล์น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ GSK กล่าวว่า “GSK มีพันธกิจที่มุ่งส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของมวลมนุษย์เพื่อให้มีสุขภาพดีและอายุยืนยาวขึ้น ในฐานะบริษัทผู้ค้นคว้าวิจัยพัฒนายาและวัคซีนนวัตกรรม และเป็นผู้นำในกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านการรักษาโรคภูมิแพ้และระบบทางเดินหายใจ ในปีที่ผ่านมา GSK ได้ริเริ่มโครงการ Allergy Expert โดยได้รับความร่วมมือกับหลายภาคส่วนเพื่อส่งเสริมการให้ความรู้และการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยโรคภูมิแพ้และระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งสนับสนุนการจัดทำเว็บไซต์ www.allergyexpert.org ของสมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืดและวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ วิธีการป้องกัน และหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ สำหรับปีนี้ GSK ได้สานต่อโครงการดังกล่าว ผ่านกิจกรรม “Total Allergy Care Innovation – นวัตกรรมการดูแลรักษาโรคภูมิแพ้ทางจมูกแบบครบวงจร” โดยได้ร่วมมือกับบริษัท บู๊ทส์ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด และเครือโรงพยาบาลพญาไท เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการดูแลสุขภาพได้อย่างครบองค์ประกอบ ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้สามารถเข้าถึงการรักษาและยาคุณภาพได้มากขึ้นและมีสุขภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

นางสาวพิทยา เจียรกิตติมศักดิ์ Commercial Director บริษัท บู๊ทส์ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “บู๊ทส์มุ่งมั่นในการยกระดับการให้บริการด้านสุขภาพของเมืองไทยให้ได้มาตรฐาน พร้อมส่งเสริมเภสัชกรให้มีทักษะและความรู้ในการให้คำแนะนำแก่ผู้ที่มาใช้บริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ เภสัชกรประจำร้านบู๊ทส์ได้ผ่านการอบรมแบบ Total Care Innovation ซึ่งเป็นการอบรมแบบครบวงจรของการดูแลผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ช่วยให้ได้รับการดูแลที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น พร้อมทั้งให้ความรู้ความเข้าใจในการใช้ยาได้อย่างถูกต้อง และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งการส่งต่อกรณีผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยเมื่อมีผู้ป่วยมาที่ร้าน เภสัชกรซักประวัติแล้วสามารถประเมินในเบื้องต้นได้ว่า ผู้ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้หรือไม่ ถ้าเป็นต้องให้คำแนะนำเบื้องต้นได้อย่างเหมาะสม เช่น ให้หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ การเลือกใช้ยาที่เหมาะสม ตลอดจนดูอาการว่าควรไปพบแพทย์หรือไม่ และจะให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับการไปพบแพทย์”

นพ.อนันตศักดิ์ อภัยรัตน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไท 2 อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า “จากความร่วมมือของเครือโรงพยาบาลพญาไทกับบริษัท แกล็กโซสมิทไคล์น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ GSK และบริษัท บู๊ทส์ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด ในการจัดกิจกรรม “Total Allergy Care Innovation – นวัตกรรมการดูแลรักษาโรคภูมิแพ้ทางจมูกแบบครบวงจร” ในครั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยรวมถึงความรุนแรงของโรคภูมิแพ้มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โรคภูมิแพ้เป็นโรคที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะโรคภูมิแพ้ทางจมูก หากได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้องและไม่ตรงสาเหตุ อาจทำให้เชื้อโรคมีอาการดื้อยา รักษาไม่หาย หรืออาจลุกลามและกลายไปสู่โรคอื่น ๆ ได้ เช่น โรคเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โรคไซนัสอักเสบ เป็นต้น และอาจมีความรุนแรงมากจนถึงขั้นติดเชื้อ ทางเครือโรงพยาบาลพญาไทตระหนักและเห็นความสำคัญ รวมทั้งต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดจำนวนผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ลง จึงมีความร่วมมือในการส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังให้เข้าถึงการรักษากับทางเครือโรงพยาบาลพญาไท ด้วยทางเครือโรงพยาบาลพญาไทมีคลินิกโรคภูมิแพ้ที่สามารถให้การรักษาแบบครบวงจร ทั้งมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางโรคภูมิแพ้โดยตรง รวมถึงเครื่องมือที่ทันสมัยในการให้บริการดูแลผู้ป่วยภูมิแพ้และโรคที่สัมพันธ์กับโรคภูมิแพ้โดยเฉพาะ ผู้ป่วยจึงมั่นใจได้หากเข้ารับการรักษากับทางเครือโรงพยาบาลพญาไท ด้านกระบวนการรักษาของแพทย์ซึ่งจะวินิจฉัย และให้คำแนะนำในการลดสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้ และการปฏิบัติตัวขณะเกิดอาการแพ้ รวมทั้งให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในการป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้ เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย ความร่วมมือในครั้งนี้จึงถือเป็นการบูรณาการให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างครบวงจร ทั้งเรื่องของยา การดูแลตัวเองและคนใกล้ชิดเพื่อให้ห่างไกล และหายจากโรคภูมิแพ้”

ภายในงาน Total Allergy Care Innovation มีการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ พร้อมเอกสารความรู้ กิจกรรมในครั้งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการมีสุขภาพที่ดีของคนไทยและเกิดการพัฒนาด้านสาธารณสุขของไทยอย่างยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้และระบบทางเดินหายใจเข้าใจถึงการรักษาที่ถูกต้องอย่างครบวงจร

]]>
58190
“โค้ก” ชวนร่วมงาน“Coca-Cola presents a day BIKE FEST 2013” จัดหนัก Active Healthy Living Zone เพื่อคนรักสุขภาพ https://positioningmag.com/57368 Tue, 05 Nov 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57368

“โคคา-โคลา” หรือ “โค้ก” ร่วมกับ นิตยสาร “อะ เดย์” ขอเชิญคนรักการปั่นและคนที่สนใจอยากจะเริ่มปั่น ร่วมงาน “Coca-Cola presents a day BIKE FEST 2013” เทศกาลที่ครบเครื่องทุกเรื่องจักรยานเพื่อเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง ในพฤหัสบดีที่ 7 ถึงวันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายนนี้ ณ สถานีรถไฟฟ้า แอร์พอร์ต เรล ลิ้งค์ มักกะสัน เวลา 10.00-21.00 น. โดย “โค้ก” ร่วมกับ โรงพยาบาลเทพธารินทร์ เปิด Active Healthy Living Zone ยกทัพผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพมาร่วมพบปะให้ความรู้และคำแนะนำครบ 3อ – อาหาร ออกกำลังกาย และอารมรณ์ แก่นักปั่นและผู้เข้าชมงาน พร้อมกิจกรรมสนุกๆ เพื่อสุขภาพมากมาย อาทิ ฐานเกมส์เพื่อลับสมองประลองความรู้ด้านสุขภาพ นิทรรศการรวบรวมเรื่องสุขภาพที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน และการตรวจความฟิตทั้งกายและใจให้คุณแบบฟรีๆ

]]>
57368
แบรนด์ วันทัช โดย จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จัดโครงการ “คุมเบาหวานให้ดี โรคแทรกซ้อนไม่มีถามหา” https://positioningmag.com/55630 Mon, 03 Sep 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=55630

แบรนด์วันทัช บริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน หนึ่งในบริษัทชั้นนำด้านการดูแลสุขภาพ นำโดย ภก. นรเทพ เอี่ยมแก้ว ผู้อำนวยการแผนกไลฟ์สแกน ฝ่ายเวชภัณฑ์และครุภัณฑ์ ร่วมกับโรงพยาบาลพญาไท 2 นำโดย นพ. อนันตศักดิ์ อภัยรัตน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล และสถานีวิทยุ เอฟ.เอ็ม.96.5 อสมท. ร่วมกันจัดโครงการ “คุมเบาหวานให้ดี โรคแทรกซ้อนไม่มีถามหา” ณ ห้องประชุมออดิทอเรียม อาคารปฏิบัติการ บมจ.อสมท. เพื่อให้ความรู้กับผู้ป่วยเบาหวานในการดูแลตนเองอย่างถูกวิธี แนะนำวิธีการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม และรณรงค์ให้ผู้ป่วยเบาหวานตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดของตนเองด้วยเครื่องมือตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดที่มีประสิทธิภาพอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตได้

ผู้เข้าร่วมงานจำนวนกว่า 300 คน ได้เข้าร่วมฟังการเสวนาเรื่องโรคเบาหวาน จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และ นักกำหนดอาหาร พร้อมร่วมกิจกรรมตรวจสุขภาพ ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด และกิจกรรมสันทนาการ จาก จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และ โรงพยาบาลพญาไท 2 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

บรรยายภาพ (จากซ้าย): นายสนามชัย กำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักวิทยุ บมจ.อสมท, นางอำมร บรรจง นักจัดรายการวิทยุและผู้ดำเนินรายการด้านสุขภาพ สถานีวิทยุ เอฟ.เอ็ม.96.5 อสมท., นพ. อนันตศักดิ์ อภัยรัตน์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพญาไท 2, ภก. นรเทพ เอี่ยมแก้ว ผู้อำนวยการแผนกไลฟ์สแกน ฝ่ายเวชภัณฑ์และครุภัณฑ์บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (ไทย) จำกัด, แพทย์หญิง ดร. สุวิณา รัตนชัยวงศ์ อายุรแพทย์ โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์, นางสาวสุภาพร เมืองเอก นักกำหนดอาหาร โรงพยาบาลพญาไท 2

]]>
55630
วีเทค ผนึก BenQ เปิดตัวธุรกิจใหม่ Medical Devices ตั้งเป้ายอดขาย 100 กว่าล้านบาท https://positioningmag.com/55571 Sat, 18 Aug 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=55571

บริษัท วี เทคโนโลยี ซิสเต็มส์ จำกัด บริษัทผู้พัฒนาระบบไอทีไทย และผู้นำด้าน SI (System Integrator) ร่วมกับ บริษัท เบ็นคิว แม็ททีเรียล คอล์เปอร์เรชั่น จำกัด (BenQ) ในกลุ่มธุรกิจ (Medical Devices) เปิดตัวสินค้า 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ “Miacare” ผลิตภัณฑ์ Health care แผ่นแปะสิว และ “AusCare” ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องมือแพทย์ นวัตกรรมของการห้ามเลือด นับเป็นครั้งแรกที่เบ็นคิวทำตลาดสินค้านี้ โดยตั้งเป้ายอดขาย 100 กว่าล้านบาท มุ่งทำธุรกิจครอบคลุมทั้งในส่วนของเทคโนโลยีและด้านสุขภาพ หวังเติบโตและก้าวขึ้นเป็นบริษัทมหาชน

นายณัฐพงศ์ พันธเกียรติไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท วี เทคโนโลยี ซิสเต็มส์ จำกัด เปิดเผยว่า ทางบริษัท วีเทค ได้ร่วมกับ เบ็นคิว นำผลิตภัณฑ์ 2 กลุ่มหลัก เข้ามาทำตลาดเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ “Miacare” ซึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์ประเภท health care และกลุ่มที่สองจะเป็น “AusCare” ผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมของการห้ามเลือด ประเภทเครื่องมือแพทย์ ไม่ว่าจะเป็น Gauze, Bandage รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่จะตามเข้ามาในอนาคต ซึ่งบริษัทวีเทคมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่และเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยชาวไทย ถือเป็นภารกิจใหม่ที่บริษัทวีเทคมีความมุ่งมั่น ที่จะขยายตลาดในช่องทางของวงการแพทย์ไทย

ทั้งนี้ในส่วนของ Miacare จะใช้กลยุทธ์ทางการตลาดแบบ 360 องศา หรือที่เรียกว่า IMC คือใช้ทั้งสื่อ Mass , สื่อออนไลน์ และกิจกรรมทางการตลาดหลายรูปแบบ รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์จริง เพื่อให้เห็นความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์เดิม ๆ ที่เคยมีอยู่ในท้องตลาด ซึ่งถือเป็นจุดเด่นสำคัญ Miacare สามารถซื้อได้ที่ Modeltrade ชั้นนำ & Drugchain Store โรงพยาบาลความงามและในเครือข่ายคลินิกชั้นนำ ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัดซึ่งจะวางครบภายในสิ้นปีนี้

“ทางวีเทค มั่นใจที่จะเข้าทำการตลาดอย่างจริงจังในกลุ่มผลิตภัณฑ์การดูแลผิวพรรณจากสิว และก้าวขึ้นเป็น Market reader ในไม่ช้า ในส่วนมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์รักษาสิวประมาณ 800-900 ล้านบาท และมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี โดยวางเป้าในปี 2555 ของสินค้าในกลุ่ม Miacare และ AusCare ไว้มากกว่า 100 กว่าล้านบาท ในอนาคตวีเทคและเบ็นคิวยังมีแผนในการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ของ Miacare ออกไปอีก เช่น เจลรักษาแผลเป็นและคอนแทคเลนส์ ซึ่งอยู่ในแผนของการขยายธุรกิจนี้ด้วย” นายณัฐพงศ์ กล่าว

ทางด้าน นายวินเซน เหลียว ผู้จัดการฝ่ายสินค้าอุปโภค บริโภค และชีวแพทย์ บริษัท เบ็นคิว แม็ททีเรียล คอล์เปอร์เรชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัทแม่ของเบ็นคิวได้มีการลงทุนในธุรกิจอุปกรณ์การแพทย์มานานมากกว่า 7 ปี ซึ่งอยู่ภายใต้แบรนด์ของบริษัทลูก แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนชื่อผลิตภัณฑ์มาอยู่ภายใต้ แบรนด์เบ็นคิวทั้งหมด อีกทั้งทางเบ็นคิวยังมีโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในประเทศจีนถึง 2 แห่ง และยังใช้ในการวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ดังนั้นสินค้าของเบ็นคิวจึงมีเทคโนโลยีที่เฉพาะและโดดเด่นจากคู่แข่ง เช่น Acne Patch ซึ่งเป็นแผ่นปิดสิวที่มีความบางและกลมกลืนกับสีผิวของคนไทย ทำให้ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์แผ่นปิดสิวแล้วสามารถออกไปทำงานหรือทำกิจกรรมต่างๆ ข้างนอกได้ทันที โดยแทบไม่สามารถสังเกตเห็นแผ่นปิดสิวบนใบหน้าได้ อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพดีในการรักษาสิวและลบรอยแผลเป็น

และบริษัทฯ ได้แต่งตั้ง บริษัท วี เทคโนโลยี ซิสเต็มส์ จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ซึ่งบริษัท วี เทคโนโลยี ซิสเต็มส์ จำกัด จะทำงานร่วมกับบริษัท เบ็นคิว ไทยแลนด์ จำกัด ในการวางแผนผลิตภัณฑ์และการจัดจำหน่ายในช่องทางต่างๆ ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด เพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ตามความต้องการของผู้บริโภค อีกทั้งยังร่วมมือกันในการทำการตลาด การโฆษณา และการประชาสัมพันธ์ต่างๆ เพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จักของผู้บริโภคโดยทั่วไป นอกจากนี้ยังมีบริษัท TRB Chemedica ที่จะช่วยเป็นผู้ทำตลาดในสินค้ากลุ่ม AusCare หรือแผ่นห้ามเลือด ซึ่งสินค้าตัวนี้จะเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าโรงพยาบาล และคลินิก

ด้านนายพัทธกร พรศิริธิเวช ผู้อำนวยการฝ่ายการขาย และการตลาด บริษัท เบ็นคิว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันสินค้าของเบ็นคิว แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (IT) ได้แก่ เครื่องฉายโปรเจคเตอร์, จอมอนิเตอร์, จอภาพขนาดใหญ่ และกล้องถ่ายภาพดิจิตอล กลุ่มที่ 2. เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าเพื่อสุขภาพ (Health Care) ได้แก่ Medical product, MiaCare & AusCare ซึ่งเป็น Consumable product และกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อให้พลังงาน (Energy) ได้แก่ หลอดไฟ LED และเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Cell)

“สาเหตุที่เบ็นคิวเลือกบริษัท วีเทคฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เนื่องจากบริษัท วีเทคฯ เป็นคู่ค้ากับบริษัทเบ็นคิวในผลิตภัณฑ์ไอทีอยู่แล้ว อีกทั้งมียอดขายเป็นอันดับหนึ่งของบริษัท และเป็นโอกาสที่ดีที่บริษัท วีเทคฯ กำลังต้องการที่จะขยายธุรกิจ และสินค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ก็เป็นหนึ่งในแผนการขยายธุรกิจของบริษัท วีเทคฯ ด้วย จึงเป็นช่วงเวลาอันดีที่ทั้งสองบริษัทจะได้เริ่มดำเนินธุรกิจร่วมกัน และบริษัท วีเทคฯ เป็นบริษัทที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วและยังมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ทั้งสองบริษัทจะได้ทำงานร่วมกัน” นายพัทธกร กล่าวปิดท้าย

]]>
55571
ศูนย์เลสิคและรักษาสายตา รัตนิน-กิมเบล จัดสัมมนา หัวข้อ “ถึงเวลาบอกลา แว่นตาอ่านหนังสือ” ฟรี https://positioningmag.com/54663 Tue, 06 Sep 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54663

ศูนย์เลสิคและรักษาสายตา รัตนิน-กิมเบล ขอเรียนเชิญผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานสัมมนา ในหัวข้อ “ถึงเวลาบอกลา แว่นตาอ่านหนังสือ” พบกับทุกนวัตกรรมในการรักษา สายตายาวสูงอายุ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน พร้อมรับฟังการบรรยาย และตอบข้อซักถามโดย นพ.นพรัตน์  สุจริตจันทร์  ผู้อำนวยการแพทย์ ศูนย์เลสิคและรักษา สายตารัตนิน-กิมเบล

พิเศษสำหรับผู้เข้าร่วมงาน ทางศูนย์เลสิคและรักษาสายตา รัตนิน-กิมเบล ได้จัดเตรียม แพทย์และบุคคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้คำปรึกษาโดยตรง และตอบข้อซักถาม รวมถึงรับการตรวจ วิเคราะห์สายตาเบื้องต้น โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น พร้อมทั้งรับสิทธิพิเศษภายในงาน

งานสัมมนาฯ จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่  17 กันยายน พ.ศ. 2554 เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 8  โรงพยาบาลจักษุ รัตนิน ถนนอโศกฯ สุขุมวิท 21 สำรองที่นั่งได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2639-3355 จำกัดที่นั่งเพียง 50 ท่านเท่านั้น

ทางศูนย์ฯ หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากท่านในการลงข่าวประชาสัมพันธ์ ดังกล่าว และขอขอบคุณล่วงหน้ามา ณ โอกาสนี้

]]>
54663