
เเม้ว่าแนวโน้มของธุรกิจสถานพยาบาล จะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้รวดเร็วแบบ V-Shape เมื่อคลายมาตรการล็อกดาวน์ สอดคล้องกับสัญญาณเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง
เเต่ทว่า “โรงพยาบาลเอกชน” ที่เคยพึ่งพารายได้จาก “ผู้ป่วยต่างชาติ” หรือที่เรียกว่าพึ่งพา Medical Tourism จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ยังต้องเผชิญกับความท้าทาย เมื่อรายได้หลักที่เคยมีหดหายไปอย่างมาก เเละยังไม่อาจเปิดประเทศเป็นปกติได้ในเร็ววัน
จากข้อมูลของ TMB Analytics ระบุถึงโครงสร้างรายได้ของโรงพยาบาลเอกชนในไทยว่า มีรายได้จาก Medical Tourism คิดเป็น 8% ของรายได้โรงพยาบาลเอกชนทั้งหมด ดังนั้นรายได้จากผู้ป่วยต่างประเทศในปีนี้ “จะยังไม่ฟื้นตัวดีนัก” เพราะคาดว่าไทยจะยังคงดำเนินการมาตรการล็อคดาวน์ต่างประเทศ เเละคัดกรองผู้เดินทางจากต่างประเทศต่อไป
การปรับกลยุทธ์ใหม่ เเก้เกมในวิกฤต COVID-19 ของ “โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์” (BH) ที่เคยมุ่งเจาะลูกค้าระดับไฮเอนด์เเละชาวต่างชาติ เเต่ตอนนี้ต้องหันมาจับ “ตลาดคนไทย” ทั้งการดัมพ์ราคาค่าห้อง ลดเเลกเเจกเเถมโปรเเกรมตรวจสุขภาพ ไปจนถึงเสนอเเพ็กเกจผ่าตัดราคาพิเศษ เพื่อทดเเทนรายได้ที่ขาดไปในปีนี้ เป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจไม่น้อย
หันมาเจาะ "คนไทย" อัดโปรลดเเลกเเจกเเถม
ภญ.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ผู้อำนวยการด้านบริหาร รพ.บำรุงราษฎร์ ยอมรับว่า วิกฤตโรคระบาด ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยตรง เพราะผู้ป่วยชาวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ โดยในช่วงเดือนเมษายน ถือว่า “หนักที่สุด”
ที่ผ่านมา BH ให้การรักษาผู้ป่วยทั้งชาวไทยเเละต่างชาติกว่า 1.1 ล้านรายต่อปี โดยคิดเป็นสัดส่วนผู้ป่วยไทยและต่างชาติอย่างละ 50 % ขณะที่ “สัดส่วนรายได้” ส่วนใหญ่นั้นมาจากผู้ป่วยชาวต่างชาติถึง 66% ส่วนผู้ป่วยคนไทยอยู่ที่ราว 34% เนื่องจากชาวต่างชาติจะเข้ามาทำการรักษา “เคสหนัก” เช่นการผ่าตัดหัวใจ รักษาโรคร้ายเเรงซึ่งจะที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า

โดยฐานลูกค้าชาวต่างชาติของ BH หลักๆ มาจากกลุ่มประเทศอาเซียน CLMV รองลงมาเป็น แถบตะวันออกกลาง เเละประเทศในยุโรป ซึ่งไทยยังถือว่ามีข้อได้เปรียบในเรื่องคุณภาพของโรงพยาบาล ความชำนาญการของแพทย์ รวมถึงค่ารักษาพยาบาลที่ประหยัดกว่าสหรัฐฯ ประมาณ 40-75% หรือสิงคโปร์ ประมาณ 30%
อย่างไรก็ตาม จากปัญหาผู้ป่วยต่างชาติไม่สามารถเดินทางมารักษาในไทยได้ในสถานการณ์ COVID-19 ที่ยังระบาดทั่วโลก รพ.บำรุงราษฎร์ จึงต้องหันมาปรับกลยุทธ์ใหม่ เพื่อพยุงรายได้ที่หายไป ด้วยการหันมาจับตลาด “คนไทย” มากขึ้น เเละไม่ใช่เเค่เจาะลูกค้ารายได้สูงเท่านั้น เเต่ยังต้องขยายไปสู่คนที่มีรายได้ปานกลางมากขึ้น
โดยมีการจัดโปรโมชันพิเศษต่างๆ เช่น การลดราคาค่าห้องลงถึง 50% ในเดือนพ.ค. การจัดเเพ็กเกจตรวจสุขภาพเเบบ “ซื้อ 1 เเถม 1” รวมถึงเสนอเเพ็กเกจผ่าตัดราคาพิเศษ เพื่อดึงดูดลูกค้าชาวไทย
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดบริการ Homecare Services ที่มีชื่อว่า Bumrungrad @ Home Service Center เพื่อให้บริการดูแลสุขภาพแก่ผู้ป่วยและครอบครัวถึงบ้าน และบริการ “60 Second Service” เพื่อให้บริการขั้นพื้นฐาน เช่น ฉีดวัคซีนและรับยา เเบบรวดเร็วเข้าถึงง่าย ตอบโจทย์พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในยุค New Normal

“จากเเคมเปญเเละโปรโมชันต่างๆ ที่เราได้ทำไป ตอนนี้รายได้เริ่มกลับมาทดเเทนส่วนที่หายไปจากชาวต่างชาติได้บ้างเเล้ว คาดว่าในช่วงไตรมาส 3 จะดีขึ้น เเละจะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลังนี้ได้”
BH รายงานรายได้ในไตรมาส 2/2020 มีกำไรสุทธิเพียง 44 ล้านบาท ลดลงถึง 93.9% จากไตรมาส 2/2019 ที่มีกำไรสุทธิ 725 ล้านบาท โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ รายได้จากกิจการโรงพยาบาลจำนวน 6,531 ล้านบาท ลดลง 27.1% หลักๆ เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้ผู้ป่วยชาวไทย 7.8% และต่างชาติ 36.4% ขณะที่ในปี 2019 BH เคยมีรายได้ 1.87 หมื่นล้านบาท และทำกำไร 3.74 พันล้านบาท
ขยายโอกาสธุรกิจใหม่ ดัน Wellness Tourism
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจของ “บำรุงราษฎร์” ในช่วงนี้ คือการหันมาผลักดันธุรกิจ Wellness Tourism หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จับมือกับพันธมิตรค่ายอสังหาฯ อย่าง “มั่นคงเคหะการ” กับยักษ์โรงเเรมอย่าง “ไมเนอร์”
เปิดตัวโครงการ “รักษ” (อ่านว่า รัก-ษะ) ศูนย์เวลเนส รีทรีต 200 ไร่บนคุ้งบางกระเจ้า จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นโซนที่ถูกเรียกว่าเป็น “ปอดเเห่งใหม่ของกรุงเทพฯ” ประเดิมราคาแพ็กเกจเริ่มต้น 60,000 บาท จับกลุ่มลูกค้าที่สนใจด้านสุขภาพ-เวลเนสทั่วโลก
ลักษณะความร่วมมือครั้งนี้ มั่นคงฯ จะเป็นผู้ถือหุ้นและลงทุนโครงการ 100% แต่ทำสัญญากับ รพ.บำรุงราษฎร์ ให้ผู้บริหารด้านการแพทย์ แบ่งรายได้ระหว่างกันประมาณ 50 : 50 แต่ในกำไรส่วนที่ รพ.บำรุงราษฎร์ ได้จากบริการทางการแพทย์จะแบ่งคืนให้กับมั่นคงฯ 15% ส่วนสัญญากับ ไมเนอร์ เป็นการจ้างบริหารงานบริการโรงแรมและอาหาร
อ่านเพิ่มเติม : คิกออฟ! “รักษ” ศูนย์เวลเนส จาก 3 บิ๊กเนม “มั่นคง-บำรุงราษฎร์-ไมเนอร์” มูลค่า 2,000 ล้านบาท
เดิมทีโครงการ “รักษ” ตั้งเป้าจับกลุ่มลูกค้าต่างชาติจากทั่วโลก แต่เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้ลูกค้ายังบินเข้ามาไม่ได้ ทำให้ปีแรกที่จะเปิดบริการเต็มปีคือปี 2021 น่าจะมีอัตราเข้าพักเพียง 30% ต่ำกว่าที่เคยคาดไว้ว่าปีแรกจะมีอัตราเข้าพัก 60%

อย่างไรก็ตาม มั่นคงเคหะการ เชื่อว่าระยะยาวเวลเนสจะยังได้รับความนิยม ในปี 2022 อัตราเข้าพักคาดว่าจะขึ้นมาเป็น 50% และเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอานิสงส์ชื่อเสียงของประเทศไทยที่รับมือ COVID-19 ได้ดีในช่วงนี้ จะเป็นปัจจัยบวกกับโครงการในภายหลัง เพราะทำให้ต่างชาติเชื่อถือในระบบสาธารณสุขของประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
ผู้บริหาร รพ. บำรุงราษฎร์ มองว่า การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น และรัฐบาลประกาศชัดเจนว่าจะส่งเสริมอย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง COVID-19 “นี่จะเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ของเราในอนาคต เพราะวิกฤตโรคระบาด ทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลในไทยและต่างประเทศเปลี่ยนไป”โดยประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่กำลังมาแรง จากการจัดอันดับของ Global Wellness Institute รายงานว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย ติดอันดับ 13 ของโลก ทำรายได้มากกว่า 9,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนตลาดโลกนั้น อุตสาหกรรมด้านเวลเนสเติบโต "ดับเบิลดิจิต" ต่อเนื่องมาแล้ว 5 ปี สะท้อนโอกาสที่มีสูงมาก
ทั้งนี้ จากการประชุมศูนย์กลางด้านการแพทย์ ปี 2561 ระบุว่า มีผู้ป่วยต่างชาติมาใช้บริการในด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ประมาณ 3.4 ล้านครั้ง สร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 1.4 แสนล้านบาท และไทยยังมีสถานบริการสุขภาพผ่านมาตรฐานคุณภาพสถานพยาบาลระดับสากล JCI ถึง 68 แห่ง มากที่สุดในอาเซียน
- “หมอเสริฐ” แปลงโฉม “ปาร์คนายเลิศ” สู่ ศูนย์สุขภาพคู่ รร. “Movenpick BDMS Wellness Resort”
- เปิดตลาดใหม่! รพ.เทพธารินทร์ จับมือ ชาเทรียม ออกโปรแกรมรักษาโรคนอนไม่หลับใน “เมดิเทล”
ปรับรับผู้ป่วยต่างชาติ "เช่าเหมาลำ" จับตาเริ่มกลับมา ต.ค.นี้
บรรดาโรงพยาบาลเอกชน ต่างคาดหวังว่ารายได้จะกระเตื้องขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง หากมีการ “เปิดประเทศ” รับนักท่องเที่ยวที่มาพำนักระยะยาวมากขึ้น
BH เริ่มรับผู้ป่วยต่างชาติในกรณีพิเศษเเล้วในช่วงไตรมาส 3 โดยมีผู้ป่วยราว 20-30 คนเดินทางโดยเครื่องบินเเบบ “เช่าเหมาลำ” จากเมียนมา เพื่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลโดยเฉพาะ ซึ่งจะต้องผ่านการคัดกรองโรคเเละกักตัว 14 วันภายในโรงพยาบาลตามข้อกำหนดของรัฐ โดยคาดว่าจะมีผู้ป่วยต่างชาติ ล็อตอื่นๆ ตามมาอีกต่อเนื่อง
เเละก็เริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น โดยล่าสุดวันที่ 15 ก.ย. คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบแนวทางการเปิดรับ “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” เข้าประเทศไทย ประเภทพิเศษ Special Tourist VISA (STV) โดยกำหนดเงื่อนไขว่านักท่องเที่ยวดังกล่าวจะต้องเป็นบุคคลต่างด้าวพำนักระยะยาว (Long Stay) ภายในประเทศไทย เเละต้องยอมรับการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่ประกาศใช้ภายในประเทศไทย พร้อมตกลงยินยอมกักตัวในห้องพักจำนวน 14 วัน

โดยต้องมีหลักฐานสถานที่พักอาศัยระยะยาวภายในไทย เช่น หลักฐานการชำระเงินค่าโรงแรมที่พัก หรือโรงพยาบาลที่พัก หลักฐานสำเนาโฉนดหรือการชำระเงินดาวน์ห้องชุดประเภทคอนโดมิเนียม และค่าธรรมเนียมลงตราวีซ่า 2,000 บาท
ครั้งแรกจะอนุญาตให้พักได้ 90 วัน เเละขยายได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 90 วัน รวม 270 วันหรือ 9 เดือน โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 ทั้งนี้ จะเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ตั้งเเต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ครั้งละ 100 คน จำนวน 1,200 คนต่อเดือน โดยมาตรการดังกล่าวคาดว่าจะสามารถนำเงินเข้าประเทศได้กว่า 1,200 ล้านบาทต่อเดือน
นี่จึงเป็นอีกโอกาสสำคัญที่ "โรงพยาบาลเอกชน" ที่พึ่งพารายได้จากชาวต่างชาติ จะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง เเม้จะไม่รุ่งเท่าช่วงก่อนวิกฤต COVID-19 ก็ตาม- “หมอเสริฐ” ล้มดีลเทกโอเวอร์ “บำรุงราษฎร์” ตลาดไม่เอื้อลงทุน
- เปิดผลสำรวจ “ประเทศไทย” พร้อมเปิดรับการท่องเที่ยวกว่าชาติใดในโลก
Add friend ที่ @Positioningmag
ติดตามผ่านช่องทาง Twitter
Follow @positioningmag