LGBTQ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 14 Jun 2023 13:49:26 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ดราม่าพนักงาน “Starbucks” สหรัฐฯ แฉบริษัทสั่ง “แบน” ของตกแต่งสีรุ้งในช่วง Pride Month https://positioningmag.com/1434124 Wed, 14 Jun 2023 13:05:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1434124 สหภาพแรงงาน “Starbucks” ในสหรัฐฯ แฉผ่านโซเชียลมีเดียว่าบริษัทมีคำสั่ง “แบน” การตกแต่งร้านด้วยสีรุ้งในช่วง Pride Month ขณะที่ฝั่งบริษัทปฏิเสธคำสั่งดังกล่าวไม่เป็นความจริง ถือเป็นดราม่าที่ขัดต่อความเป็นมาของเชนร้านกาแฟแบรนด์นี้ที่ให้การสนับสนุน LGBTQ มาตลอดหลายปี

สหภาพแรงงาน Starbucks สหรัฐฯ ทวีตแฉคำสั่งจากบริษัทให้งดการตกแต่งด้วยสีรุ้งเพื่อฉลอง Pride Month และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน Forbes ว่า สหภาพฯ ได้รับคำบอกเล่าจากพนักงานใน 21 มลรัฐว่าได้รับคำสั่งแบบเดียวกัน โดยในรัฐโอคลาโฮมาให้เหตุผลกับพนักงานว่า จำเป็นต้องงดตกแต่งร้านด้วยสีรุ้งเพื่อความปลอดภัยของร้านเอง หลังจากห้าง Target ถูกขู่วางระเบิดเพราะวางจำหน่ายสินค้าต้อนรับ Pride Month

พนักงานบางคนยังแชร์ภาพหรือวิดีโอลงในโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok , Twitter เพื่อยืนยันว่ามีคำสั่งงดเกิดขึ้นจริง เช่น วิดีโอการเก็บของตกแต่งสีรุ้งออกจากสาขาหนึ่งในรัฐวิสคอนซิน ซึ่งทำให้กลุ่มสหภาพแรงงานออกมาเคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์บริษัท

อย่างไรก็ตาม Andrew Tull โฆษก Starbucks ปฏิเสธว่านโยบายงดตกแต่งร้านด้วยธงสีรุ้งนั้นไม่เป็นความจริง และกล่าวว่าข้อกล่าวหานั้นเป็น “ข้อมูลที่ผิด” รวมถึงให้ความมั่นใจว่าบริษัทยังสนับสนุนชุมชน LGBTQ เช่นเดิม

Starbucks นั้นมีชื่อเสียงเรื่องการเป็นบริษัทที่เป็นมิตรกับ LGBTQ มานาน โดยบริษัทนี้ได้คะแนนระดับสมบูรณ์แบบจาก “ดัชนีความเท่าเทียมในองค์กร” จัดโดย Human Rights Campaign ซึ่งจะพิจารณาจากการดูแลและสวัสดิการที่ให้แก่พนักงาน LGBTQ และไม่ใช่เพิ่งจะได้ในปีนี้ แต่บริษัทได้สถานะนี้มาตั้งแต่ปี 2015 และยังสนับสนุนการจัดเทศกาล Pride รวมถึงบริจาคให้กับกลุ่ม LGBTQ มาโดยตลอด

(Photo : Shutterstock)

อีกตัวอย่างการสนับสนุน LGBTQ คือเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน Starbucks อินเดีย มีการออกอากาศโฆษณาชุดหนึ่งเล่าเรื่องคุณพ่อที่พยายามจะกลับมาสานสัมพันธ์อันดีกับลูกสาวที่เป็นทรานสเจนเดอร์ ซึ่งทำให้ได้รับทั้งคำชื่นชมในความกล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่ และคำวิจารณ์จากกลุ่มอนุรักษนิยม

ไม่ว่าความจริงในกรณีดราม่านี้จะเป็นเช่นไร แต่ที่เห็นได้ชัดคือสังคมอเมริกันมีการโต้กลับจากกลุ่มอนุรักษนิยมขวาจัดรุนแรงขึ้นมากในปีนี้ โดยมีอินฟลูเอนเซอร์หลายรายที่คอยติดตามล่าชื่อบริษัทที่ถือว่าเป็นบริษัท “woke” ซึ่งหมายถึงผู้ที่มีแนวคิดเรื่องความเท่าเทียมทางวัฒนธรรมต่างๆ เช่น เพศ เชื้อชาติ ช่องทางเหล่านี้มีผู้ติดตามตั้งแต่ 1-2 ล้านคนต่อช่อง

กลุ่มอนุรักษนิยมเหล่านี้ต้องการจะ “ทำสงครามทางวัฒนธรรม” และรู้สึกรับไม่ได้อีกต่อไปแล้วกับ “ทุนนิยมสีรุ้ง” ที่เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน

ตั้งแต่ต้นปีนี้มีแบรนด์จำนวนมากที่ถูกโซเชียลมีเดียกลุ่มขวาจัดไล่ล่าเพื่อบอยคอต เช่น Bud Light เบียร์ที่เลือกทรานสเจนเดอร์ชื่อดังมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ให้แบรนด์ หรือห้าง Target ที่เปิดจำหน่ายสินค้าเพื่อ LGBTQ ต้อนรับ Pride Month ทำให้ถูกกลุ่มขวาจัดบุกข่มขู่พนักงานจนห้างต้องยอมนำของบางชิ้นออกจากชั้นวางจำหน่าย

Source

]]>
1434124
ฟังเสียงชาวโซเชียลช่วง ‘Pride Month’ กับประเด็น #สมรสเท่าเทียม ที่ถูกจุดอีกครั้ง https://positioningmag.com/1434038 Wed, 14 Jun 2023 08:12:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1434038 เฉลิมฉลองเดือนแห่งความหลากหลายไปอย่างยิ่งใหญ่กับงาน “บางกอกไพรด์ 2023” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการเฉลิมฉลอง Pride Month ปีที่ 2 ของไทย ณ ใจกลางสยาม เพื่อย้ำและสร้างการยอมรับความหลากหลายทางเพศในสังคมไทย

งานดังกล่าวถือเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ Pride Month ถูกพูดถึงบนโลกโซเชียลมากขึ้น ตามการยอมรับของสังคมที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น โดย บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลการพูดถึงเรื่องราวของเดือนแห่งความหลากหลาย รวมถึง บางกอกไพรด์ 2023 ที่ถูกจัดขึ้นในเดือนนี้เช่นกัน โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1 – 11 มิถุนายน 2566 ผ่านเครื่องมือ Social Listening อย่าง ZOCIAL EYE พบว่า มีการพูดถึงกว่า 38,547 ข้อความ และเพียงไม่กี่วันมีจำนวนเอ็นเกจเมนต์มากกว่า 26,993,306 เอ็นเกจเมนต์

ข้อความส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบน Facebook มากที่สุด (39%) ตามมาด้วย Twitter (35%) Instagram (19%) และ อื่น ๆ (7%) ส่วนใหญ่เป็นการโพสต์รูปภาพงานเดินขบวนพาเหรดผ่านแฮชแท็ก #BangkokPride2023 และ #บางกอกไพรด์2023 ทั้งจากเหล่าคนดัง ดารา นักร้อง นักแสดงต่าง ๆ

 

สมรสเท่าเทียมถูกพูดถึงอีกครั้ง

หลังจากที่สภารับหลักการ #สมรสเท่าเทียม ในวาระหนึ่งไปแล้วเมื่อ 15 มิถุนายน 2565 จนเกิดเป็นการพูดถึงและจับตามองเป็นอย่างมากเมื่อปีที่ผ่านมา และยังมีการพูดถึงและจับตามองเรื่อยมา โดยในปีนี้ กระแสของการพูดถึง #สมรสเท่าเทียมก็กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ และมีการเปลี่ยนชุดสภาบวกกับการยืนยันจากเสียงของพรรคที่มีเสียงข้างมากจากประชาชนว่าจะผลักดันสมรสเท่าเทียมแน่นอน ยิ่งตอกย้ำความสำเร็จของการเรียกร้องความเท่าเทียมที่แท้จริง

นอกจากนี้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่เป็นผู้ผลักดันเรื่องการสมรสเท่าเทียม ก็มาร่วมเดินขบวนพาเหรด ก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ทำให้มีการพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ทำให้เกิดการพูดถึงในวงกว้างมากขึ้น สร้างการรับรู้และความเข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางเพศมากขึ้น

แบรนด์ถูกตั้งคำถามว่าเข้าใจหรือแค่เกาะกระแส

เมื่อก้าวเข้าเดือนมิถุนายน เราจะเห็นหลาย ๆ องค์กรและแบรนด์เปลี่ยนรูปโปรไฟล์ เปลี่ยนรูปโลโก้เป็นสีรุ้ง หรือทำการตลาดที่สินค้ามีลวดลายสีรุ้งประดับ เพื่อที่จะต้อนรับเทศกาล Pride Month หรือเดือนแห่งการเฉลิมฉลองความภาคภูมิใจของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศนี้ แต่ถึงอย่างนั้นองค์กรหรือแบรนด์เหล่านี้ก็ยังคงถูกตั้งคำถามจากคนบนโซเชียลว่าการทำแคมเปญสีรุ้งในเดือนนี้นั้น เป็นการใช้พื้นที่ขององค์กรส่งเสียงเพื่อเข้าใจเพื่อนมนุษย์ผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างแท้จริงหรือเป็นเพียงแค่การเกาะกระแส

 

ไวรัลจากพาเหรด

แน่นอนว่างานบางกอกไพรด์ หรืองานเดินขบวนพาเหรด ถือเป็นงานที่ถูกจับตามองในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการสร้างสรรค์ความคิดในเรื่องของการแต่งตัว และประเด็นเด่น ๆ ที่ถูกพูดคือ เสื้อของพิธา ที่ใส่มาร่วมเดินขบวน ที่ชาวโซเซียลต่างแคปเจอร์แล้วนำมาโพสต์ถึงความสวยงามของเสื้อ หรืออีกหนึ่งคนอย่าง ช่อ พรรณิการ์ อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ รังสรรค์มาในชุด Amy Winehouse นักร้องดังระดับตำนานจนคนบนโซเชียลต่างชื่นชมในความปังครั้งนี้

การพูดถึงนั้นไม่ถูกพูดถึงแค่กับคนเท่านั้น ยังถูกพูดถึงไปยังสัตว์เลี้ยงที่มาร่วมงานบางกอกไพรด์ครั้งนี้ อย่างไวรัลที่เห็นกัน หญิงโม น้องหมาชิวาว่าสายแฟ ที่เกิดจากการที่ ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทยอุ้มน้องถ่ายรูปแล้วน้องทำตาหวาน สะท้อนให้เห็นถึงความเปิดกว้างที่ไม่ใช่เฉพาะแค่กับมนุษย์ ยังเปิดกว้างไปถึงสัตว์เลี้ยงตัวน้อย ๆ ที่ร่วมโลกกับเราด้วยนั่นเอง

]]>
1434038
ข่าวร้ายรับ Pride Month! ห้าง “Target” และร้าน “Swatch” มีเหตุให้งดขายสินค้า LGBTQ+ https://positioningmag.com/1431580 Wed, 24 May 2023 14:03:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1431580 ข่าวร้ายรับPride Month จากสองฟากโลก ห้างสรรพสินค้าอเมริกัน “Target” ต้องนำสินค้าสำหรับ LGBTQ+ ออกจากชั้นวางจำหน่าย หลังพนักงานห้างตกเป็นเป้าข่มขู่จากลูกค้าบางกลุ่ม ขณะที่นาฬิกาสีรุ้งของ “Swatch” ถูกเจ้าหน้าที่รัฐยึดทรัพย์ในมาเลเซีย

Pride Month เทศกาลเฉลิมฉลองของ LGBTQ+ ทั่วโลกจะจัดขึ้นเป็นประจำในเดือนมิถุนายนของทุกปี ทำให้กลุ่มธุรกิจบางแห่งมักจะสร้างสรรค์สินค้าหรือทำการตลาดให้สอดคล้องกับเทศกาลนี้ด้วย แต่ปีนี้ยังไม่ทันเข้าสู่ช่วง Pride Month ก็เริ่มมีข่าวร้ายเกิดขึ้น

สำนักข่าว AP รายงานว่า ห้างสรรพสินค้า Target ในสหรัฐฯ จำเป็นต้องเก็บสินค้าบางชิ้นออกจากชั้นวางจำหน่ายทั่วประเทศ โดยสินค้าดังกล่าวเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ LGBTQ+ ที่ห้างเริ่มนำมาจำหน่ายตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม

สาเหตุที่ต้องเก็บออก เพราะลูกค้าของห้างบางส่วนเริ่มเปิดฉากปะทะกับพนักงานห้างด้วยความรุนแรง ซึ่งอาจจะทำให้พนักงานห้างไม่ปลอดภัยได้

“ตั้งแต่เราแนะนำคอลเล็กชันของปีนี้ เราก็เริ่มเล็งเห็นว่าพนักงานของเราถูกข่มขู่จนรู้สึกไม่ปลอดภัยและรบกวนสภาพการทำงาน” Target ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2023 “เมื่อพิจารณาสถานการณ์ที่ผันผวนเช่นนี้ เราจึงต้องเปลี่ยนแปลงแผนของเรา ด้วยการนำสินค้าบางชิ้นที่เป็นตัวการให้เกิดพฤติกรรมการปะทะกันอย่างชัดเจน”

ห้างสรรพสินค้า Target ในสหรัฐฯ​ (Photo: Shutterstock)

Target ปฏิเสธที่จะชี้ชัดว่าสินค้าชิ้นไหนที่จะถูกนำออกจากชั้นวาง แต่กระแสสังคมนั้นเห็นได้ชัดว่าสินค้าที่มีปัญหาคือ ชุดว่ายน้ำที่ผลิตขึ้นสำหรับทรานสเจนเดอร์ที่ยังไม่แปลงเพศ ทำให้ ‘เก็บทรง’ ได้แนบเนียนขึ้น สินค้าชิ้นนี้ออกแบบโดย Abprallen แบรนด์จากอังกฤษ

ก่อนหน้านี้ สินค้าคอลเล็กชัน Pride Month ของห้าง Target ตกเป็นเป้าการสร้างวิดีโอข้อมูลเท็จในโซเชียลมีเดียมาเป็นสัปดาห์แล้ว ยกตัวอย่างเช่น ชุดว่ายน้ำสำหรับทรานสเจนเดอร์ชิ้นดังกล่าว ถูกนำไปปั่นกระแสโจมตีว่ามีผลิตในไซส์เด็กด้วย ซึ่งไม่เป็นความจริง

ปีนี้ถือเป็นปีที่กระแสต่อต้าน LGBTQ+ โดยเฉพาะกลุ่มทรานสเจนเดอร์ รุนแรงมากในสหรัฐฯ ก่อนหน้าประเด็นของ Target ก็เพิ่งจะมีประเด็นที่เบียร์ยี่ห้อ Bud Light เลือกสาวทรานสเจนเดอร์ชื่อดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ (อ่านรายละเอียดได้ที่นี่)

 

เจ้าหน้าที่มาเลย์บุกยึดนาฬิกา “สีรุ้ง” ในร้าน Swatch

อีกฟากหนึ่งของโลก สำนักข่าว Reuters รายงานว่า เมื่อวันที่ 13-14 พฤษภาคม 2023 เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยของ “มาเลเซีย” บุกตรวจค้นร้านนาฬิกา Swatch และได้ยึดทรัพย์นาฬิกาข้อมือสีรุ้งในคอลเล็กชันต้อนรับ Pride Month ไปทั้งหมด

นาฬิกาชุด Pride Collection ของ Swatch สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อร่วมฉลองเทศกาลนี้ และต้องการส่งข้อความเรื่องความเท่าเทียมและความหลากหลาย

“เราขอคัดค้านหนักแน่นว่า คอลเล็กชันนาฬิกาที่ใช้สีรุ้งและให้ความหมายถึงสันติภาพและความรักนั้นไม่ได้เป็นอันตรายต่อใครทั้งสิ้น” นิก ฮาเย็ก ประธานกรรมการบริหาร Swatch Group จากสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวกับสำนักข่าว Reuters ขณะที่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นสวิส Tages-Anzeiger ระบุว่า บริษัทจะดำเนินการทางกฎหมายเพื่อขอคืนสินค้าที่ถูกยึดทรัพย์

พฤติกรรมที่สื่อถึงความรักต่อเพศเดียวกันนั้นผิดกฎหมายในมาเลเซีย แม้ว่าจะไม่ค่อยมีคดีที่ถูกตัดสินโทษจริงให้เห็นมากนัก แต่จะมีการป้องปรามที่ทำให้แสดงออกได้ไม่เต็มที่ เช่น เมื่อปีก่อนนี้มีเจ้าหน้าที่ด้านศาสนาอิสลามเข้าคุมตัวคนในงานปาร์ตี้ฮัลโลวีน 18 คนที่คาดว่าเป็นสมาชิกกลุ่ม LGBTQ+ ไปสอบถามข้อมูล

ที่มา: AP, Reuters

]]>
1431580
ผู้บริหารฝ่ายการตลาดถูกพักงาน เซ่นวิกฤตเบียร์ “Bud Light” เลือก “สาวทรานส์” ช่วยโฆษณา https://positioningmag.com/1428318 Mon, 24 Apr 2023 08:26:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1428318 เบียร์ยี่ห้อ “Bud Light” เผชิญวิกฤตหลังจากเลือก “สาวทรานส์” ชื่อดังมาโฆษณา ลุกลามจนเป็นกระแสบอยคอตในหมู่ผู้บริโภคกลุ่มอนุรักษ์นิยม ล่าสุดผู้บริหารฝ่ายการตลาดของแบรนด์นี้ถูกบริษัทสั่งพักงานแล้ว

Anheuser-Busch Inbev บริษัทเจ้าของเบียร์ยี่ห้อ Bud Light ประกาศการพักงานผู้บริหารระดับสูง “อลิสซา ไฮเนอร์ไชด์” รองประธานบริหารฝ่ายการตลาดของเบียร์ Bud Light และจะส่ง “ท็อดด์ อัลเลน” รองประธานบริหารที่ดูแลเบียร์ Budweiser ทั่วโลกมาดูแลแทนชั่วคราว

ตามรายงานข่าวของ Insider บริษัท Anheuser-Busch กำลังเข้าจัดระเบียบลำดับการทำงานในทีมงานด้านการตลาดให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้บริหารอาวุโสของทีมลงมาดูแลกิจกรรมของแบรนด์อย่างใกล้ชิด

“ขั้นตอนเหล่านี้จะทำให้เรายังคงมุ่งมั่นกับสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด นั่นคือการกลั่นเบียร์ที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้บริโภคทุกคน ขณะที่ยังคงสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับชุมชนของเราและประเทศ” โฆษกของบริษัทแจ้ง

 

จุดเริ่มต้นกระแสบอยคอต

การพักงานผู้บริหารระดับสูงของ Bud Light เกิดขึ้น 1 เดือนหลังจากที่เบียร์ Bud Light เลือกทำแคมเปญร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ “ดีแลน มัลเวนีย์” ซึ่งเธอเป็น “ทรานส์เจนเดอร์” บุคคลข้ามเพศจากชายเป็นหญิง และทำคอนเทนต์เล่าเรื่องราวเส้นทางการเป็นทรานส์เจนเดอร์ของตนเอง

ทรานส์เจนเดอร์ Bud Light
วิดีโอประกาศการทำแคมเปญร่วมกัน กลุ่มอนุรักษ์นิยมเริ่มออกมาต่อต้านทันทีหลังวิดีโอชิ้นนี้เผยแพร่ (Photo: IG@dylanmulvaney)

แคมเปญใหญ่ที่ทำร่วมกันเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา โดยมัลเวนีย์โพสต์ใน Instagram ของเธอว่า Bud Light กำลังจะออกกระป๋องเบียร์รุ่นพิเศษเป็นลายใบหน้าของมัลเวนีย์ เพื่อร่วมฉลองครบรอบ 1 ปีที่มัลเวนีย์เปิดเผยตัวว่าเธอเป็นผู้หญิง

ปรากฏว่าวิดีโอแคมเปญนี้จุดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในสหรัฐอเมริกา โดยกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ต่อต้านทรานส์เจนเดอร์ออกมาสร้างกระแสให้ร่วมกันบอยคอตเบียร์ Bud Light การบอยคอตเหล่านี้มีกลุ่มเซเลปคนดังหลายคนช่วยเป็นกระบอกเสียง เช่น Kid Rock ซึ่งเป็นศิลปินดังในสหรัฐฯ มีการอัดคลิปตนเองยิงกระป๋องเบียร์ Bud Light ทิ้ง

จากนั้นกระแสก็เริ่มลุกลามไปในหมู่คนทั่วไป หลายคนอัดคลิปตนเองทำลายเบียร์ Bud Light ด้วยวิธีที่แสดงความเกลียดชังต่างๆ ทั้งโยนทิ้งขยะ ขับรถทับกระป๋อง ใช้รถแทรกเตอร์บดขยี้ ฯลฯ

คลิปยิงกระป๋องเบียร์ Bud Light ของ Kid Rock (Photo: IG@kidrock)

แรกเริ่มเดิมทีที่มีกระแสต่อต้านเกิดขึ้น Bud Light เลือกที่จะยืนข้างมัลเวนีย์ โดยบอกว่า “แบรนด์มีการทำงานกับอินฟลูเอนเซอร์หลายร้อยคน เป็นหนึ่งในหลายเส้นทางที่แบรนด์จะได้เชื่อมสัมพันธ์กับผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะแบ่งตามเพศ/อายุ หรือแบ่งตามความสนใจ”

มัลเวนีย์เองก็ออกมาตอบโต้ด้วยเช่นกันว่าเธอกำลัง “ตกเป็นเป้า” ของการวิจารณ์

“เป็นเรื่องน่าเศร้าเพราะทุกสิ่งที่ฉันทำเป็นเรื่องเชิงบวกทั้งนั้น” เธอกล่าว “เป็นความพยายามที่จะสานสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ที่อาจจะยังไม่เข้าใจฉัน เป็นคอนเทนต์เพื่อให้คนได้หัวเราะกัน หรือทำให้เด็กสักคนรู้สึกมีตัวตนในโลกนี้”

 

กลุ่มต่อต้านทรานส์ทวีความแรงในสหรัฐฯ

Anheuser-Busch Inbev หรือ AB Inbev เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากเบลเยียมที่มีผลิตภัณฑ์จำหน่ายไปทั่วโลก เบียร์ที่เป็นที่รู้จักในไทย เช่น Budweiser, Corona Extra, Hoegaarden, Stella Artois เป็นต้น และปกติแคมเปญการตลาดของ AB Inbev มักจะเป็นที่สนใจ

ทั้งนี้ สำนักข่าว Insider วิเคราะห์ว่า การบอยคอต Bud Light ที่ทำแคมเปญกับทรานส์เจนเดอร์นั้น เชื่อมโยงได้กับความรู้สึกมุ่งร้ายรุนแรงในฝ่ายอนุรักษ์นิยมชาวอเมริกันที่มีต่อบุคคลข้ามเพศ

กฎหมายต่อต้านทรานส์เจนเดอร์เริ่มมีการบังคับใช้ในหลายรัฐทั่วประเทศในปีนี้ เช่น รัฐโอคลาโฮมา ออกกฎหมายแบนไม่ให้บริษัทประกันครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการแปลงเพศ รัฐเซาธ์แคโรไลน่า ออกกฎหมายแบนไม่ให้มีการรักษาทางการแพทย์เพื่อปรับเพศสภาพในกลุ่มเยาวชน รวมถึงรัฐฟลอริด้า เริ่มควบคุมเวที ‘แดรกควีน’ ไม่ให้เยาวชนเข้าชม

ยังไม่มีการรายงานว่ากระแสต่อต้านเหล่านี้ทำให้ Bud Light เสียรายได้หรือความนิยมไปมากน้อยแค่ไหน แต่การพักงานผู้บริหารระดับสูงก็นับได้ว่าเป็นสัญญาณว่า แบรนด์อาจจะต้องการจะห้ามเลือดไม่ให้เหตุการณ์ลุกลามไปมากกว่านี้

Source

]]>
1428318
การปั้น Pride Clinic ของ “บำรุงราษฎร์” ให้เป็นพาร์ทเนอร์ด้านสุขภาพระยะยาวของกลุ่ม LGBTQ+ https://positioningmag.com/1400947 Mon, 26 Sep 2022 04:00:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1400947

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเด็นที่ร้อนแรงอันดับต้นๆ คงหนีไม่พ้นเรื่อง LGBTQ+ที่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแค่ประเด็นที่พูดเป็นกระแส หรือการตลาดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นแรงกระเพื้อมที่ทำให้สังคมตระหนักถึงความหลากหลายทางเพศมากขึ้น ในประเทศไทยเองก็มีการเปิดรับมากขึ้นเช่นกัน


โรงพยาบาลที่เคารพทุกความแตกต่าง

“โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์” เป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญในเรื่องความหลากหลายมาตลอดระยะเวลา 42 ปีของการดำเนินงาน เรียกว่าปลูกฝังอยู่ใน DNA ของบุคลากรทุกคนเลยก็ว่าได้ นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องสถานพยาบาลที่มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากลที่ให้การรักษาผู้ป่วยที่ดีที่สุดแล้ว บำรุงราษฎร์เองยังเปิดโอกาสทุกคนให้เข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพมาตรฐาน โดยไม่คำนึงเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม หรือเพศสภาพแต่อย่างใด ทำให้ในปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ป่วยทั่วโลกมีผู้ป่วยต่างชาติมารับบริการมากถึง 190 ประเทศ

การเปิด Pride Clinic เมื่อกลางปี 2564 เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ตอกย้ำการให้ความสำคัญเรื่องความหลากหลาย และมอบบริการสำหรับกลุ่มที่ไม่จำกัดเพศสภาพอย่างสมบูรณ์แบบ ความน่าสนใจอยู่ที่การวางจุดยืนเป็น Life–time Health Partner ครบวงจรให้กับกลุ่ม LGBTQ+ ตั้งเเต่ให้คำปรึกษาดูเเลจิตใจการให้ฮอร์โมน ผ่าตัดปรับเพศสภาพ ศัลยกรรมตกเเต่ง รวมไปถึงการฟื้นฟูหลังผ่าตัด

นภัส เปาโรหิตย์ Chief Marketing Officer โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเปิด Pride Clinic ว่า

“โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีจุดแข็งในคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยระดับสากล ตลอดจนการรักษาในระดับจตุตถภูมิ (Quaternary Care) ซึ่งเป็นขั้นสูงสุดในการรักษาโรคซับซ้อนต่างๆ ด้วยความชำนาญของแพทย์เฉพาะทางและเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคระบบทางเดินอาหาร โรคเกี่ยวกับกระดูกและข้อ โรคหลอดเลือดสมอง และการปลูกถ่ายอวัยวะ ปลูกถ่ายไตปลูกถ่ายหัวใจปลูกถ่ายกระจกตาปลูกถ่ายตับเป็นต้น เรียกว่ามีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูงในด้านการผ่าตัดที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก

แต่นอกจากการเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคซับซ้อนแล้วทางบำรุงราษฎร์เราเปิดให้บริการเกี่ยวกับเรื่องการผ่าตัดปรับแต่งเพศสภาพ การให้ฮอร์โมน ศัลยกรรมตกแต่งและผิวพรรณมาก่อนแล้ว จึงเล็งเห็นโอกาสในการยกระดับบริการทางด้านนี้ให้เด่นชัด เลยหยิบสิ่งที่เรามีประสบการณ์มาแล้ว ผนวกกับกลยุทธ์ในการเปิดกลุ่มตลาดใหม่ให้ชัดเจน จึงมีการเปิดเป็น Pride Clinic ที่ให้บริการแบบครบวงจรอย่างเต็มรูปแบบ”

อีกหนึ่งความสำคัญในการเปิด Pride Clinic ก็คือ แต่เดิมกลุ่ม LGBTQ+ อาจจะมีข้อจำกัด หรือตัวเลือกในการเข้ารักษาพยาบาล Pride Clinic จึงเข้ามาตอบโจทย์กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อให้มีทางเลือกในการดูแลสุขภาพ และการบริบาลแบบตอบโจทย์ทุกความต้องการ

รวมไปถึงเรื่องความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน หลายคนยังมีความเข้าใจผิด และมีความเสี่ยงในการซื้อยาฮอร์โมนมารับประทานเอง โดยไม่อยู่ในความดูแลของแพทย์ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ แต่ที่ Pride Clinic มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมนที่ให้ทำแนะนำในการรับฮอร์โมนอย่างถูกต้อง และปลอดภัย


มากกว่าแค่ผ่าตัดปรับเพศสภาพ แต่ดูแลครบวงจร และเข้าใจในความต้องการที่แท้จริง

จุดเด่น และจุดเเข็งของ Pride Clinic ที่แตกต่างจากสถานพยาบาลอื่นๆ ทั่วไป คือ การดูเเลเเบบเฉพาะบุคคลใช้ระบบการดูแลแบบแพทย์ประจำตัว หรือ Primary Care Physician ทำหน้าที่ให้คำปรึกษา, ดูแลต่อเนื่อง, ดูแลเรื่องการรักษา ป้องกันโรค สร้างเสริมสุขภาพ ฟื้นฟูสุขภาพทั้งกายและใจ และประสานงานร่วมกับแพทย์เฉพาะทางด้านอื่น เภสัชกร นักกายภาพบำบัด และนักโภชนากร

ที่สำคัญคือ Pride Clinic มีทีมศัลยแพทย์ในการผ่าตัดปรับเพศสภาพที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี และทำการผ่าตัดมาแล้วไม่น้อยกว่า 1,000 ราย รวมถึงมีแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัดที่ปัจจุบันในไทยยังมีจำนวนไม่มากนัก

“กระบวนการในการบริบาลซับซ้อนไม่ใช่แค่ผ่าตัดปรับเพศสภาพอย่างเดียว เพราะจุดประสงค์ของแต่ละคนแตกต่างกันไป มีระดับต่างกัน อย่างแรกคนไข้ต้องพบอาจารย์หมอก่อนเพื่อดูว่าจุดประสงค์ระดับไหน บางคนอาจจะไม่ได้ต้องการเปลี่ยนเพศสภาพ หรือแค่ต้องการปรึกษาในการปรับแก้บางจุดเท่านั้น โดยเฉพาะในส่วนของการให้ฮอร์โมนที่จำเป็นต้องผ่านแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะแต่ละคนมีการให้ฮอร์โมนในอัตราที่เเตกต่างกัน”

รวมไปถึง “ความลับ” ของผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญที่ทางบำรุงราษฎร์คำนึงถึงมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการให้คำปรึกษา ไปจนถึงกระบวนการผ่าตัด มั่นใจได้ว่าทุกอย่างจะมีความปลอดภัย เป็นส่วนตัว และถูกเก็บเป็นความลับ


เป็นพาร์ทเนอร์ระยะยาว ดูแลสุขภาพกันตลอดชีวิต

Pride Clinic ไม่ได้ให้บริการเพียงแค่เฉพาะกลุ่ม LGBTQ+ อย่างเดียวเท่านั้น แต่ให้บริการทั้งกลุ่มผู้ชาย ผู้หญิง ที่มีความต้องการปรับแต่งศัลยกรรม รวมถึงดูแลด้านความงาม รูปร่าง และผิวพรรณต่างๆ ด้วย รวมถึงให้คำปรึกษาสำหรับผู้ปกครอง และญาติๆ

อีกหนึ่งความสำคัญของ Pride Clinic ไม่ใช่แค่บริการทางการแพทย์ที่ผ่าตัด หรือให้บริการครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นเหมือนพาร์ทเนอร์ที่ดูแลกันไปตลอดชีวิต หรือ Life–time Health Partner ทั้งก่อนเข้ารับบริการในระยะบริการ เเละหลังบริการระยะยาวดูแลโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการในทุกขั้นตอน เพื่อให้เป็นตัวของตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด

“ถ้าคนไข้ที่เข้ารับการผ่าตัด บริการของเรามีทั้งดูแลก่อนผ่าตัด ดูแลแผลหลังผ่าตัด ทำแผล เปลี่ยนผ้าทำแผล มีนักกายภาพ นักโภชนากรให้คำแนะนำเรื่องอาหาร ดูแลทุกกระบวนการจนสามารถออกจากโรงพยาบาล และใช้ชีวิตปกติได้ หรือคนไข้ที่ต้องรับฮอร์โมนก็ต้องกินตลอดชีวิต เราก็ดูแลไประยะยาว”

หรือแม้แต่ช่วงหลังผ่าตัดแล้ว บำรุงราษฎร์มีบริบาลดูแลในช่วงการพักฟื้นภายหลังผ่าตัดอย่างต่อเนื่องที่ “ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์” ภายใต้โครงการรักษ ที่บางกระเจ้า จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นศูนย์บูรณาการสุขภาพ และการแพทย์แบบองค์รวมแห่งแรกในเอเชีย เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และจัดโปรแกรมแบบเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะบุคคลทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพใจ การปรับสมดุลของร่างกาย ดูแลผิวพรรณ ความงาม น้ำหนักตัว และการชะลอวัยให้ดูดี

นภัสเสริมอีกว่า “บำรุงราษฎร์เหมือนทีมฟุตบอลขนาดใหญ่ ได้กระบวนการรักษาจากทีมแพทย์ทุกแขนงมาทำร่วมกันทำให้ความผิดพลาดในการรักษาน้อยที่สุด ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการดูแล ถือว่าคุ้มค่า (Value for money) ที่ได้รับการบริการน่าพึ่งพอใจดูแลในทุกมิติ บำรุงราษฎร์นั้นเราให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยของผู้ป่วยสูงสุด หากเกิดกรณีฉุกเฉิน เรามีมาตรฐานที่จะดูแลได้อย่างทันท่วงที ทั้งทีมแพทย์ และบุคลาการทางการแพทย์ ทั้งแผนก ICU และก็มีห้อง ICU แผนก ER รองรับ”

หลังจากเปิดให้บริการ Pride Clinic มา 1 ปีพบว่ามีกลุ่มคนไข้ที่สนใจ และมาปรึกษาอย่างต่อเนื่องเกิดจากการบอกเล่าปากต่อปาก ปัจจุบันกลุ่มคนไข้มีสัดส่วนเป็นคนไทย 50% และชาวต่างชาติ 50%

ที่ Pride Clinic บำรุงราษฎร์มีการใช้กลยุทธ์ Gender-Inclusive Marketing ด้วยเช่นกัน ไม่มีการแบ่งแยกเรื่องเพศ หรือเลี่ยงการระบุเพศสภาพเลี่ยงโฆษณาว่าสำหรับผู้หญิง หรือผู้ชาย หรือการใช้เพศสภาพเป็นตัวตั้ง มีการเทรนบุคลากรให้เข้าใจคนทุกกลุ่ม หรืออย่างในต่างประเทศไม่ใช้สรรพนาม His หรือ Her ที่บำรุงราษฎร์ก็เลี่ยงการใช้สรรพนามแทนคุณผู้หญิง คุณผู้ชาย เรียกเป็น “คุณ” แทน

จะเห็นได้ว่าบำรุงราษฎร์พร้อมปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อให้ทันต่อยุคสมัย การให้บริการของ Pride Clinic จะเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้เห็นศักยภาพของบำรุงราษฎร์ที่พร้อมให้บริการแก่คนทุกกลุ่ม พร้อมเปิดรับโอกาสใหม่ๆ มุ่งยกระดับให้ครอบคลุมและมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นแต่เรายังคงไว้ซึ่งคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยสูงสุดของผู้รับบริการทุกคน

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Pride Clinic ได้ที่ https://www.bumrungrad.com/th/centers/pride-clinic

 

]]>
1400947
สนับสนุน “ความเท่าเทียม” อย่างไรไม่ให้เป็นแค่การตลาด ศึกษาจาก แสนสิริ-ยูนิลีเวอร์-ดีแทค องค์กรต้นแบบ UNDP https://positioningmag.com/1387741 Mon, 06 Jun 2022 04:06:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1387741 ถ้าองค์กรเอกชนสักแห่งลุกขึ้นมาออกนโยบายด้าน “ความเท่าเทียม” ทั้งทางเพศ ชาติ ศาสนา ฐานะ ผลกระทบจะเกิดขึ้นเป็นวงกว้างในสังคม เพราะเอกชนเกี่ยวพันกับทั้งพนักงาน ลูกค้า และคู่ค้าตลอดซัพพลายเชน เอกชนจะเป็นตัวเร่งความเปลี่ยนแปลงที่ดี ทำให้ UNDP เลือกจัดพันธกิจส่งเสริมการสร้างนโยบายความเท่าเทียมผ่านองค์กรเอกชน และคัดเลือก 3 องค์กรต้นแบบในไทย ได้แก่ แสนสิริ, ยูนิลีเวอร์ และ ดีแทค เพื่อร่วมมือกันส่งแรงบันดาลใจและแนวทางปฏิบัติให้องค์กรอื่นๆ

“ประเทศไทยนั้นมีความอดทนอดกลั้นต่อ LGBTQ+ แต่ไม่ใช่การโอบรับความหลากหลายนั้นเข้ามา” เรอโน เมแยร์ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (United Nations Development Programme: UNDP) กล่าวโดยสรุป

ความหมายของเขาคือประเทศไทยมีความอดทนต่อ LGBTQ+ เพศที่สามไม่ต้องหวั่นกลัวอันตรายต่อชีวิตหากเปิดเผยตัวตน แต่ที่ทางในสังคมยังมีส่วนที่ปิดกั้นไม่ให้เข้าถึง บางอาชีพยังไม่ต้อนรับ LGBTQ+ แม้กระทั่งเพศหญิงเอง ประเทศไทยมีอัตราส่วนผู้บริหารหญิงในองค์กรเอกชนที่มากกว่าหลายประเทศในโลก แต่ในวงการการเมืองการปกครองระดับสูงนั้นมีผู้หญิงอยู่น้อยมาก นอกจากนี้ยังมีความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นที่เป็นปัญหาในประเทศ

“ไทยทำได้ดีกว่าหลายประเทศ เราเปิดกว้างกว่าคนอื่น แต่ยังมีจุดที่พัฒนาได้อีก” เมแยร์กล่าว

 

3 องค์กรต้นแบบทำอะไรเพื่อ “ความเท่าเทียม” ?

เพื่อให้เกิดการพัฒนาดังกล่าว UNDP มองเห็นความสำคัญของการผลักดันผ่านองค์กรเอกชน โดยมีการจัด Roundtable Discussion รวมองค์กรเอกชนและภาครัฐมาพูดคุยเพื่อศึกษาแนวนโยบายและการปฏิบัติด้านความเท่าเทียม เพื่อให้ UNDP ได้รวบรวมองค์ความรู้ เป็นแกนกลางเครือข่ายในการให้คำปรึกษาองค์กรที่ต้องการจะสร้างความเท่าเทียมในอนาคต

UNDP ความเท่าเทียม แสนสิริ ยูนิลีเวอร์ ดีแทค
(จากซ้าย) ชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค, ณัฏฐิณี เนตรอำไพ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย, เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และเรอโน เมแยร์ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNDP)

โอกาสนี้ UNDP คัดเลือก 3 องค์กรต้นแบบความเท่าเทียมขึ้นมาเพื่อจะเป็น ‘พี่ใหญ่’ ที่ให้คำแนะนำองค์กรอื่นได้ ได้แก่ แสนสิริ, ยูนิลีเวอร์ และ ดีแทค ด้วยนโยบายองค์กรที่ปฏิบัติจริงและได้ผลจริง ไม่ใช่การ ‘Pinkwashing’ หรือสนับสนุน LGBTQ+ เพื่อประโยชน์ทางการตลาดเท่านั้น

“แสนสิริ”

เป็นองค์กรสัญชาติไทยแห่งแรกที่ร่วมลงนามในสัญญา UN Global Standards of Conduct for Business ของ UNDP สัญญานี้คือสัญญาว่าองค์กรจะปฏิบัติต่อพนักงาน LGBTQ+ อย่างเท่าเทียม ให้สวัสดิการที่เท่าเทียมกัน เช่น ลาเพื่อจัดสมรสกับคู่ชีวิต, ลาฌาปนกิจคู่ชีวิต, ลาเพื่อดูแลคู่ชีวิตและบุตรบุญธรรม และยังสามารถลาเพื่อผ่าตัดแปลงเพศได้ 30 วันต่อปี รวมถึงสิทธิที่บริษัทให้แก่คู่สมรส คู่ชีวิต LGBTQ+ จะได้รับด้วย เช่น วัคซีนทางเลือก ประกันสุขภาพ

ในแง่ของสินค้า แสนสิริเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ซึ่งลูกค้ามักจะมีการกู้สินเชื่อบ้าน บริษัทจึงพบปัญหาอย่างหนึ่งว่า คู่ชีวิต LGBTQ+ จะไม่สามารถกู้ร่วมกันได้เพราะไม่มีทะเบียนสมรสและไม่ถูกยอมรับว่าเป็นคู่ชีวิตทางพฤตินัย แสนสิริจึงเข้าพบกับธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเพื่อเจรจาขอให้ลูกค้า LGBTQ+ ที่เป็นคู่ชีวิตกัน พิสูจน์ได้ สามารถกู้ร่วมได้เป็นกรณีพิเศษ การเจรจาเหล่านั้นสำเร็จจนถึงทุกวันนี้

แสนสิริช่วยเจรจาสินเชื่อบ้านให้ลูกค้าคู่ชีวิต LGBTQ+ สามารถกู้ร่วมกันได้
“ยูนิลีเวอร์”

บริษัทผลิตสินค้าของใช้ในชีวิตประจำวัน เมื่อบริษัทใหญ่ขยับ จะมีผลกับลูกค้าจำนวนมาก ทำให้ยูนิลีเวอร์มีนโยบายการให้ความเท่าเทียมในหลายด้าน เช่น การสร้างความหลากหลายในโฆษณา ใช้คนธรรมดาหรือคนที่มีความแตกต่างให้มากขึ้น, สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในที่ทำงาน เพื่อให้ LGBTQ+ สามารถแสดงตัวตนได้โดยไม่รู้สึกหวาดกลัวและไม่มีผลกระทบต่อการทำงานหรือการเลื่อนขั้น, ตั้งเป้าเพิ่มการจ้างงานผู้พิการให้มีสัดส่วน 5% ภายในปี 2568 เป็นต้น

ยูนิลีเวอร์ ความเท่าเทียม
โฆษณาของ Sunsilk ที่พูดถึง LGBTQ+ มาตั้งแต่ปี 2562
“ดีแทค”

บริษัทในเครือเทเลนอร์ กรุ๊ป เนื่องจากเป็นบริษัทโทรคมนาคม ทำให้ดีแทคจะให้ความสำคัญกับการกระจายการเข้าถึงโทรคมนาคมอย่างเท่าเทียมในทุกกลุ่ม ทำให้จะดูแลกลุ่มที่ต้องการการดูแล เช่น โครงการ ‘ดีทั่วดีถึง ดีไปด้วยกันทุกคน’ ช่วยให้ผู้พิการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต โครงการ Safe Internet ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันออนไลน์ ป้องกันไซเบอร์บูลลี่ให้กับกลุ่มเยาวชน ให้ความรู้การใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัยแก่ผู้สูงวัย

ส่วนการจัดการภายในองค์กรของดีแทคก็มีนโยบาย ‘Zero-Tolerance’ ต่อการกีดกันด้วยเพศ ชาติ ศาสนา และมีสวัสดิการสำหรับ LGBTQ+ สามารถลาผ่าตัดแปลงเพศได้ และผู้หญิงสามารถลาคลอดบุตรได้ 6 เดือนต่อปี เพื่อให้ผู้หญิงไม่ต้องเลือกระหว่างชีวิตการงานหรือครอบครัวเมื่อวางแผนมีบุตร

ดีแทค ความเท่าเทียมนั่นคือรากฐานที่แต่ละบริษัททำมาตลอดหลายปี แต่ล่าสุดหลังจากร่วม Roundtable กับ UNDP ทำให้แต่ละบริษัทสามารถเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ และมีการประกาศจุดยืนร่วมกัน สร้างโครงการขยายผลเพื่อทำร่วมกันในประเด็นความเท่าเทียมต่อไป เช่น แนวคิดการสนับสนุนซัพพลายเออร์ในซัพพลายเชนที่เป็นบริษัทของ LGBTQ+ แต่ปัญหาคือยังไม่เคยมีใครจัดทำลิสต์บริษัทที่บริหารโดย LGBTQ+ มาก่อน ซึ่งทำให้ทุกบริษัทจะร่วมมือกันเพื่อรวบรวมฐานข้อมูลดังกล่าว

 

รู้ว่าเป้าคือ “ความเท่าเทียม” แต่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร

แสนสิริมีพนักงานกว่า 4,000 คน ยูนิลีเวอร์มีกว่า 5,000 คน และดีแทคอีก 6,000 คน ผลกระทบที่เกิดจากสามบริษัทนี้สูงมาก แต่จะเปลี่ยนสังคมได้มากกว่านี้เมื่อบริษัทอื่นๆ มีนโยบายความเท่าเทียม ลงไปถึงบริษัทในระดับ SMEs

“จากที่ได้พูดคุยมา บริษัท SMEs จะบอกว่าอุปสรรคหลักของเขาคือ ‘เงินทุน’ ทำให้เขาไม่พร้อมจะให้สวัสดิการคนทุกกลุ่มเสมอภาคกันหมด แต่จริงๆ แล้วบางอย่างสามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้เงิน เป็นเรื่องที่เริ่มจากทัศนคติของผู้บริหาร สร้างการปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมในชีวิตประจำวัน เพราะเรื่องแบบนี้เป็น top-down ผู้บริหารต้องแสดงให้เห็นก่อนว่าสนับสนุนการแสดงตัวตน ไม่มีการแบ่งแยกรังเกียจ หรือการโปรโมตเลื่อนขั้นก็โปร่งใสว่าไม่ใช้เรื่องเพศมาเกี่ยวข้อง” ณัฏฐิณี เนตรอำไพ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กล่าว

“สังคมภายนอกอาจจะยังตัดสินตัวตนของเขา แต่ที่ยูนิลีเวอร์เราไม่ตัดสิน อย่างล่าสุดเรามีผู้บริหาร LGBTQ+ ของไทยที่ได้รับการเลื่อนขั้นไปในระดับโกลบอลแล้ว เห็นได้ว่าเพศไม่มีผลต่อความก้าวหน้า”

Photo : Shutterstock

เรอโน เมแยร์ จาก UNDP กล่าวว่า ทุกวันนี้องค์กรในไทยตระหนักรู้ถึงเรื่อง “ความเท่าเทียม” แล้ว แต่สังคมยังสงสัยว่าการตั้งเป้าต่างๆ จะเป็นแค่การพูด “บลา-บลา-บลา” แต่ไม่มีการลงมือทำหรือเปล่า ซึ่ง UNDP เชื่อว่าส่วนใหญ่มีความตั้งใจที่ดี เพียงแต่ไม่มีประสบการณ์ว่าต้องทำอย่างไรมากกว่า ทำให้ดูเหมือนเป็นการ Pinkwashing อยู่บ่อยครั้ง

“ถ้าทำเรื่องความเท่าเทียมแล้วรายได้เพิ่มในลักษณะเป็นผลพลอยได้ แบบนี้โอเค แต่ถ้าทำเพื่อหาผลประโยชน์เป็นแค่การตลาดเท่านั้น อันนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง” เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริม

“ถ้าทำเรื่องความเท่าเทียมแล้วรายได้เพิ่มในลักษณะเป็นผลพลอยได้ แบบนี้โอเค แต่ถ้าทำเพื่อหาผลประโยชน์เป็นแค่การตลาดเท่านั้น อันนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง”

— เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

เมแยร์อธิบายว่า เมื่อปัญหาขององค์กรที่กำลังพยายามสร้างนโยบายความเท่าเทียมคือการไม่มีคู่มือ ไม่มีประสบการณ์ UNDP จึงเข้ามาเป็นสะพานเชื่อมให้องค์กรเหล่านี้ได้คุยกับองค์กรต้นแบบ เพื่อจะให้เห็นว่าการจัดการภายในเริ่มต้นได้จากตรงไหน เช่น การรับสมัครงานที่ไม่กีดกันทางเพศ, วิธีคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อความเท่าเทียม ต้องคิดให้ถึงต้นตอที่ช่วยแก้ปัญหาได้จริง ไม่ใช่การตลาด หรือการคิดให้ครบทั้งซัพพลายเชนเพื่อพาซัพพลายเออร์มาเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน

บนเวทีการพูดคุยครั้งนี้ยังมองเห็นประเด็นความเท่าเทียมที่ยังต้องพัฒนาในมิติอื่นอีก เช่น ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ช่องว่างรายได้ของประชาชน เป็นอีกประเด็นใหญ่ที่ต้องคิดหาวิธีปฏิบัติ และการระดมสมองจากหลายๆ องค์กรจะทำให้ไปด้วยกันได้เร็วกว่าเดิม

]]>
1387741
แอปฯ หาคู่ยอดฮิตในกลุ่มชาวเกย์ “Grindr” เตรียมเปิด IPO มูลค่า 2,100 ล้านเหรียญ https://positioningmag.com/1385045 Thu, 12 May 2022 07:26:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1385045 Grindr แอปฯ หาคู่ยอดฮิตในกลุ่มเกย์เตรียมเปิด IPO ผ่านการควบรวมกิจการบริษัท SPAC โดยจะทำให้บริษัทมีมูลค่าขึ้นไปแตะ 2,100 ล้านเหรียญ รับเทรนด์แอปฯ หาคู่ยังเป็นช่วงขาขึ้น

บริษัท Grindr ถือว่าผ่านเส้นทางปั่นป่วนมาหลายปีในแง่ของการถือครอง เนื่องจากบริษัทเคยขายหุ้นใหญ่ให้กับบริษัท Kunlun Tech Co จากประเทศจีน และเคยมีแผนจะเปิด IPO มาแล้วเมื่อปี 2018 แต่ต่อมารัฐบาลสหรัฐฯ เพ่งเล็งแอปฯ นี้ในแง่ความมั่นคงของชาติ โดยเกรงว่าจะมีการส่งข้อมูลอ่อนไหวของประชาชนอเมริกันให้กับรัฐบาลจีน จึงบีบให้ Kunlun Tech Co ต้องลดการถือครองหุ้นเมื่อปี 2020

บริษัทที่ชนะดีลเข้าซื้อหุ้นจาก Kunlun Tech คือ San Vicente ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าจากการลงทุน 3 ฝ่าย ได้แก่ Raymond Zage ซีอีโอ Tiga Investments, James Lu อดีตกรรมการบริหาร Baidu Inc และ Michael Gearon เจ้าของร่วมทีมบาสเกตบอล Atlanta Hawks โดยดีลขณะนั้นทำให้บริษัท Grindr ถูกประเมินมูลค่าไว้ที่ 620 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 21,500 ล้านบาท)

แผนการเปิด IPO ของ Grindr จะใช้วิธีควบรวมกิจการกับบริษัท Tiga Investments ของ Zage เอง ซึ่งบริษัทนี้ตั้งขึ้นมาเป็นบริษัท SPAC อยู่แล้ว

มูลค่าดีลทั้งหมดจะอยู่ที่ 2,100 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 73,000 ล้านบาท) ผู้ถือหุ้นเดิมจะลดสัดส่วนการถือครองเหลือ 78% และทุกคนในกลุ่ม San Vicente จะยังคงลงทุนต่อ

การเปิด IPO ครั้งนี้คาดว่าน่าจะยังต้องรอการรับรองจากคณะกรรมการด้านการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐฯ (CFIUS) ซึ่งเป็นหน่วยงานเดียวกับที่มีคำสั่งให้ Kunlun ขายหุ้นเมื่อ 2 ปีก่อน ประเด็นที่อาจจะถูกเพ่งเล็งคือ James Lu ซึ่งเป็นประธานกรรมการบริษัท Grindr ขณะนี้ ถูกสำรวจพบว่ามีความสัมพันธ์เชิงธุรกิจกับที่ปรึกษาบริษัท Kunlun

Photo : Shutterstock

Grindr ระบุในเอกสารนำเสนอต่อนักลงทุนว่า บริษัทมีผู้ใช้งานเฉลี่ย 11 ล้านรายต่อเดือน และรายได้ของบริษัทเมื่อปีก่อนเติบโตขึ้น 30%

ข้อมูลจาก Refinitiv ระบุว่า EBITDA ของบริษัท Grindr เมื่อปี 2021 อยู่ที่ 77 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,700 ล้านบาท) นั่นทำให้ดีลนี้ให้ค่าบริษัทสูงกว่ารายได้ 27 เท่า หากเทียบกับบริษัทในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน Match Group Inc (เจ้าของแอปฯ Tinder) ปัจจุบันมีมูลค่าสูงกว่า EBITDA 22 เท่า และบริษัท Bumble Inc มีมูลค่าสูงกว่า EBITDA 25 เท่า

ตลาดแอปฯ หาคู่ถือว่าอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยบริษัทวิจัย Grand View Research ประเมินว่า ภายในปี 2028 ตลาดแอปฯ หาคู่ทั่วโลกจะมีมูลค่าแตะ 11,030 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3.83 แสนล้านบาท) โดยระหว่างปี 2021-2028 น่าจะมีการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 5.6% โดยเฉพาะช่วงล็อกดาวน์ระหว่างเกิดโรคระบาด มีการใช้งานแอปฯ หาคู่สูงขึ้นมากเพื่อแก้เหงาและชดเชยช่วงที่ไม่สามารถไปพบปะคนใหม่ๆ ในชีวิตออฟไลน์ได้

งานวิจัยยังคาดว่า แม้ขณะนี้ตลาดใหญ่ที่สุดของแอปฯ หาคู่จะเป็นทวีปอเมริกาเหนือ แต่อนาคตตลาดเอเชียแปซิฟิกน่าจะเติบโตแรงกว่า โดยน่าจะโต CAGR 6.0% ในรอบ 7 ปีข้างหน้า เพราะเอเชียแปซิฟิกกำลังวางโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ทั่วถึงมากขึ้น ทำให้จะมีผู้ใช้บริการสูงขึ้น

Source: The Economic Times, PR Newswire

]]>
1385045
JobsDB ออกนโยบายไม่จำกัด “เพศ อายุ เชื้อชาติ สถานภาพสมรส” ในทุกประกาศงาน เริ่ม 1 ม.ค. 65 https://positioningmag.com/1367774 Mon, 20 Dec 2021 06:34:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1367774 จ๊อบส์ดีบี (JobsDB) ประกาศนโยบายสนับสนุนให้ผู้ประกอบการประกาศรับสมัครงาน โดยไม่ระบุข้อจำกัดทางเพศ อายุ เชื้อชาติ สถานภาพสมรส ฯลฯ เพื่อให้เกิดการจ้างงานที่เสมอภาค เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป

วันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมานี้ นับเป็น ‘วันสิทธิมนุษยชนสากล’ ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยองค์การสหประชาชาติ (UN) เพื่อให้ความสำคัญกับสิทธิพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนพึงได้รับ ด้วยความเป็นธรรมและเสมอภาคกัน จ๊อบส์ดีบี (JobsDB) จึงขอร่วมเป็นฟันเฟืองหนึ่งในการสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในตลาดงานประเทศไทย ผ่านการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการประกาศรับสมัครงาน โดยไม่ระบุข้อจำกัดทางเพศ อายุ เชื้อชาติ สถานภาพสมรส ฯลฯ เพื่อให้เกิดการจ้างงานที่เสมอภาค และทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

ในปัจจุบัน หลายบริษัททั้งภาครัฐ และเอกชนได้ร่วมรณรงค์และจัดตั้งนโยบายการจ้างงาน และการทำงานอย่างเป็นธรรมให้กับพนักงาน ทั้งนี้ เพื่อรักษาสิทธิมนุษยชน และสร้างความเสมอภาคในการได้รับโอกาสการจ้างงานให้เกิดขึ้นภายในองค์กร

จ๊อบส์ดีบี (JobsDB) จึงจัดตั้งนโยบายให้ผู้ประกอบการลงประกาศรับสมัครงานโดยไม่จำกัดอายุ เพศ เชื้อชาติ สัญชาติ สถานภาพสมรส และปัจจัยอื่น ๆ ที่สื่อถึงการเลือกปฏิบัติในประกาศงานทุกตำแหน่งที่เปิดรับ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป

Photo : Shutterstock

นโยบายนี้ได้รับการชื่นชมจากกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว สำหรับการแสดงเจตนารมณ์อย่างจริงจังเพื่อช่วยขับเคลื่อนสู่สังคมแห่งความเสมอภาค ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าว นอกจากจะช่วยองค์กรให้ได้ผู้หางานที่มีประสบการณ์ ความรู้ และความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานแล้ว ยังเป็นการเพิ่มโอกาสสู่ความสำเร็จของผู้หางานทุกคนทุกกลุ่มในประเทศไทยที่ล้วนมีความสามารถแตกต่างหลากหลายเฉพาะบุคคล

พรลัดดา เดชรัตน์วิบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า

“ปัจจุบัน สังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ขณะเดียวกันคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถก็เริ่มเข้าสู่ตลาดงานมากขึ้น ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป มาพร้อมกับวิถีชีวิตและบทบาทของผู้คนในสังคมที่เปลี่ยนแปลง ผู้คนในปัจจุบันมีความรู้ความเข้าใจ และเปิดรับความหลากหลายและความแตกต่างระหว่างบุคคลมากขึ้น จ๊อบส์ดีบี (JobsDB) ในฐานะแพลตฟอร์มหางานชั้นนำของเอเชีย เรามุ่งมั่นที่จะเชื่อมต่อผู้ประกอบการและผู้หางาน โดยให้ความสำคัญที่ประสบการณ์ และความรู้ความสามารถของผู้หางานเป็นหลัก เพื่อการหางานที่มีประสิทธิภาพและผลักดันการจ้างงานในระยะยาวโดยคำนึงถึงความเท่าเทียมกัน การขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้มองข้ามข้อจำกัดด้านสถานภาพทางสังคม ถือเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สู่ความเสมอภาคในการจ้างงานอย่างยั่งยืนในอนาคต”

]]>
1367774
บํารุงราษฎร์ ปั้นธุรกิจใหม่ ‘Pride Clinic’ เจาะ LGBTQ+ กำลังซื้อสูง เน้นครบวงจร-ดูเเลระยะยาว https://positioningmag.com/1339830 Thu, 01 Jul 2021 09:41:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1339830 บำรุงราษฎร์เสริมกลยุทธ์สร้างรายได้ เปิดตัวธุรกิจใหม่ ‘Pride Clinic’ เจาะกลุ่ม LGBTQ+ กำลังซื้อสูงทั้งในไทยเเละทั่วโลก ชูจุดเด่นการดูแลเชิงสุขภาพในระยะยาวเเบบ ‘Life-time value’ ครบวงจรตั้งเเต่ให้คำปรึกษาดูเเลจิตใจผ่าตัดเเปลงเพศศัลยกรรมตกเเต่ง ตามความต้องการเฉพาะบุคคล

ภญ. อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH กล่าวว่า Pride Clinic จะเป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพตามความต้องการ ให้กับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ด้วยการบริบาลตามมาตรฐานบำรุงราษฎร์และความปลอดภัยสูงสุด ทั้งก่อนเข้ารับบริการ ในระยะบริการ เเละหลังบริการระยะยาว

ปัจจุบันกลุ่มผู้บริโภคชาว LGBTQ+ ถือเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง มีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอย มีอยู่ทั่วโลกราว 468 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นชาวเอเชียถึง 288 ล้านคน เเละในไทยประมาณ 4 ล้านคน

บริการของ Pride Clinic ได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก ทั้งจากชาวไทย และชาวต่างชาติ โดยล่าสุดบำรุงราษฎร์ได้ร่วมมือกับพันธมิตรในจีน ที่คาดว่าจะเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าหลัก รวมไปถึงมีเเผนจะทำการตลาดไปยังกลุ่มประเทศอื่นๆ ในอาเซียนด้วย

ในเบื้องต้นเเม้จะยังไม่ได้ตั้งเป้าตัวเลขทางธุรกิจ เเต่โรงพยาบาลมองว่า ธุรกิจใหม่นี้จะเติบโตได้ดีในอนาคตเเละคาดหวังว่าจะทำรายได้เพิ่ม 2-3 เท่า โดยค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยโดยเฉลี่ยนั้นอยู่ในเรตที่กว้างมาก เพราะความต้องการของเเต่ละบุคคลไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับ ‘ออปชั่น’ ที่อยากได้เเละความเหมาะสมกับร่างกายเเละจิตใจ ตามคอนเซ็ปต์ ‘Be the best version of you’

สำหรับ ‘Pride Clinic’ จะเปิดให้บริการกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีอายุตั้งเเต่ 20 ปีขึ้นไป รวมถึงให้คำปรึกษาผู้ปกครองและญาติมิตร

นพ.สิระ กอไพศาล อายุรแพทย์ต่อมไร้ท่อและผู้ชำนาญการด้านฮอร์โมน โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องสำคัญ เช่น ยังมีความเข้าใจผิดและมีความเสี่ยงในการซื้อยาคุมกำเนิดมารับประทานเอง เพื่อทดแทนฮอร์โมนในเพศหญิง ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้

ดังนั้น ‘Pride Clinic’ จึงได้รับการออกแบบให้มีการบริบาลแก่กลุ่มหลากหลายทางเพศที่ครบวงจร ปลอดภัยเเละดูแลโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการในทุกขั้นตอน เช่น

  • การใช้ฮอร์โมนบำบัดเพื่อปรับลักษณะทางกายภาพหรือเตรียมความพร้อมเพื่อปรับเพศสภาพ (Hormone Therapy)
  • ศัลยกรรมเพื่อปรับลักษณะทางกายภาพ (Masculinizing/Feminizing Procedures)
  • การผ่าตัดเปลี่ยนเพศ (Gender-Affirming Surgery)
  • การฝึกพูดเพื่อเปลี่ยนเสียงเป็นเพศหญิง (Voice Feminizing Therapy)
  • การผ่าตัดกล่องเสียง (Voice Feminizing Surgery)
  • การดูแลรักษาด้านผิวพรรณ ความงามและรูปร่าง (Aesthetic and Skin)
  • การดูแลสุขภาพจิต (Mental health)
  • โปรแกรมสุขภาพแบบจำเพาะสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ (Check-up Program for Unisex) ในทุกช่วงวัย

“จุดเเข็งของ Pride Clinic คือการดูเเลเเบบเฉพาะบุคคลจริงๆ เพราะต้องเทคฮอร์โมนในอัตราที่เเตกต่างกัน ไม่ใช่เเค่ผ่าตัดเสร็จเเล้วก็จบ เเต่คือการดูเเลระยะยาว 20-30 ปี ไปตลอดชีวิต” 

อีกหนึ่งจุดเด่นของ Pride Clinic คือการมีทีมศัลยแพทย์ในการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ ที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี และทำการผ่าตัดมาแล้วไม่น้อยกว่า 1,000 ราย รวมถึงมีแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัด ที่ปัจจุบันในไทยยังมีจำนวนไม่มากนัก

โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีบริบาลดูแลในช่วงการ ‘พักฟื้นภายหลังผ่าตัด’ อย่างต่อเนื่องที่ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ภายใต้โครงการรักษ ตั้งอยู่ที่บางกระเจ้า จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวมแห่งแรกในเอเชีย ผสมผสานระหว่างการนำเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์สมัยใหม่ (Advanced Medical Science) มาใช้ร่วมกับ ศาสตร์การแพทย์แบบองค์รวม (Holistic Wellness) ที่เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และจัดโปรแกรมแบบ ‘เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะบุคคล’ ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ การปรับสมดุลของร่างกาย ดูแลผิวพรรณ ความงาม น้ำหนักตัว และการชะลอวัยให้ดูดีในแบบฉบับของแต่ละบุคคล

ก่อนจะเกิดวิกฤตโรคระบาดนั้น BH ให้การรักษาผู้ป่วยทั้งชาวไทยเเละต่างชาติกว่า 1.1 ล้านรายต่อปี คิดเป็นสัดส่วนผู้ป่วยไทยและต่างชาติอย่างละ 50% ขณะที่ ‘สัดส่วนรายได้’ ส่วนใหญ่มาจากผู้ป่วยชาวต่างชาติถึง 66% ส่วนผู้ป่วยคนไทยอยู่ที่ราว 34% เนื่องจากชาวต่างชาติจะเข้ามาทำการรักษาเคสหนัก เช่น การผ่าตัดหัวใจ รักษาโรคร้ายเเรง ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า

เมื่อการเเพร่ระบาดยังไม่หมดไปในเร็ววัน บำรุงราษฎร์ จึงปรับกลยุทธ์เพื่อหารายได้ช่องทางใหม่ ขยายธุรกิจใหม่ ขยับหาลูกค้าชาวไทยมากขึ้น พร้อมชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทย (Expatriate) ที่มีอยู่ราว 2.45 ล้านคน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่มีโอกาสทางธุรกิจอยู่มาก โดยมีการจัดเเคมเปญต่างๆ ออกแพ็กเกจโปรโมชัน คอร์สรักษาในราคาพิเศษ ฯลฯ

ก่อนหน้านี้ BH หันมาจับมือกับ ‘คลินิกขนาดเล็ก’ เพื่อขยายเครือข่ายไปต่างจังหวัด ให้เข้าถึง ‘ชุมชน’ มากขึ้น ตามแนวคิด ‘แพทย์ประจำครอบครัว’ ซึ่งเป็นบริการที่ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในยุโรป ‘คุ้นเคยกันดี’ เเต่ในเมืองไทยยังไม่เเพร่หลายมากนัก เเละล่าสุดกับเปิดตัวธุรกิจใหม่อย่าง Pride Clinic ที่มุ่งเจาะกลุ่ม LGBTQ+ ที่มีกำลังซื้อสูงทั้งในไทยเเละทั่วโลก

“ขณะนี้สัดส่วนการเติบโตคนไข้ชาวไทยและต่างชาติที่อยู่ในไทยดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะการรักษาโรคเฉพาะทาง คนไข้ต่างชาติก็มีเข้ามาเป็นเที่ยวบินพิเศษ ต่อไปหากสามารถเปิดประเทศได้ ก็จะทำให้ยอดคนไข้ต่างชาติกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง” ภญ. อาทิรัตน์ระบุ 

 

 

]]>
1339830
‘แฟชั่นไร้เพศ’ เทรนด์ที่แบรนด์ต้องรีบจับหากอยากได้ใจ ‘Gen Z’ https://positioningmag.com/1339177 Sat, 26 Jun 2021 16:27:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1339177 ในปัจจุบัน ความหลากหลายทางเพศ กลายเป็นสิ่งที่คนเริ่มเปิดกว้างรับมากขึ้น สถานะทางเพศไม่ได้มีแค่ ชาย หรือ หญิง อีกต่อไป แต่มีนิยมที่หลากหลายมากขึ้นหรือที่เรียกว่า LGBTQ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่คนทั่วโลกที่เปิดรับแต่รวมไปถึงวงการ แฟชั่น ที่เริ่มผลิตเสื้อผ้าในสไตล์ที่เรียกว่า ‘Gender neutral’ หรือ ‘Unisex’ ซึ่งเป็นเสื้อผ้าที่เป็นกลางทางเพศ หรือ ไม่ระบุเพศ

ปกติเมื่อเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าหรือจะดูหมวดหมู่เสื้อผ้าบนโลกออนไลน์ แน่นอนว่าจะเจอกับหมวดหมู่ เสื้อผ้าผู้หญิง และ เสื้อผ้าผู้ชาย แต่ในอนาคต หมวดหมู่เหล่านี้อาจจะหายไป เพราะเหล่าผู้บริโภคที่ชื่นชอบแฟชั่นบางส่วนชื่นชอบกับคอลเลกชั่นแฟชั่นแบบไม่ระบุเพศ โดยเฉพาะผู้บริโภค Gen Z ที่กำลังมีความต้องการแฟชั่นที่ เป็นกลาง และครอบคลุมมากขึ้น นั่นเป็นการกระตุ้นร้านค้าที่ต้องการดึงดูดลูกค้าเหล่านี้ต้องเริ่มให้ความสนใจ

การสำรวจเดือนธันวาคม 2020 โดยบริษัทการตลาดและที่ปรึกษา Wunderman Thompson จากผู้บริโภคชาวอเมริกันจำนวน 1,000 คนที่มีอายุระหว่าง 16-24 ปี 70% ของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นด้วยหรือเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า เพศไม่ได้กำหนดคุณค่าของผู้คน อย่างเคยเป็น

Shawn Grain Carter ศาสตราจารย์ด้านการจัดการธุรกิจแฟชั่นจาก Fashion Institute of Technology กล่าวว่า “แฟชั่นสะท้อนวัฒนธรรมและความเชื่อทางการเมืองของคนรุ่นหนึ่ง ซึ่งมักถูกนำโดยคนหนุ่มสาว หากแบรนด์แฟชั่นอยากอยู่รอด พวกเขาจะต้องสะท้อนให้คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าของแบรนด์เพื่อนำไปสู่ความจงรักภักดีของแบรนด์ตลอดชีวิต”

จะเห็นว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีแบรนด์ดังหลากหลายได้ออกคอลเลกชั่นที่มีความเป็น Gender neutral อย่างเช่น ZARA ที่ออก Ungendered collection  ส่วน H&M ก็มี H&M’s unisex collection ตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญและความต้องการของกลุ่มวัยรุ่นยุคนี้มากขึ้น ซึ่งพวกเขามองว่า Gender Neutral เป็นเรื่องสามัญทั่วไปเหมือนกับเสื้อผ้าที่มีอยู่ในท้องตลาด

ขณะที่ห้างสรรพสินค้าในอเมริกาเริ่มทำ The Phluid Project ซึ่งเป็นฉลากเสื้อผ้าที่เป็น Unisex โดยจะมีวางจำหน่ายในร้านค้ามากกว่า 5,000 แห่ง ผ่านการเป็นพันธมิตรกับร้านค้าปลีก เช่น Nordstrom (JWN), Target (TGT), Sephora และล่าสุด Saks Fifth Avenue ซึ่งเป็นร้านเอาท์เล็ตสุดหรูของ Saks Fifth Avenue

ผลิตภัณฑ์จากไลน์เสื้อผ้าและเครื่องประดับที่เป็นกลางทางเพศชุดแรกของ Saks Off Fifth

ตัวอย่างเช่น แคมเปญการตลาดช่วงฤดูร้อนปี 2021 ของแบรนด์ PacSun ได้นำเสนอมาร์เก็ตติ้งแคมเปญชื่อว่า ‘gender-free’ ซึ่งเป็นหมวดหมู่ที่เปิดตัวในเดือนกันยายน 2020 ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์แฟชั่นที่เรียกว่า Color Range ซึ่งเสื้อผ้าในคอลเลกชั่นที่แบรนด์กำลังเปิดตัวนั้นไม่ได้จำกัดเฉพาะสีบางสีและแยกเป็นชุดสำหรับเด็กหญิง เด็กชาย ชาย และหญิง แต่ ‘ไร้เพศ’ เนื่องจากแฟชั่นมีความลื่นไหล ไม่ใช่ผู้ชายหรือผู้หญิง และสไตล์สามารถเข้ากับร่างกายได้ทุกประเภท

“เราอาศัยอยู่ในสังคมไบนารีหรือการแบ่งแยกเพศเฉพาะชาย-หญิงมานาน โดยสิ่งที่ผู้บริโภค Gen Z ที่อายุยังน้อยกำลังท้าทายโครงสร้างนี้รวมถึงในด้านแฟชั่น” Rob Smith ซีอีโอและผู้ก่อตั้งโครงการ Phluid กล่าว

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน Saks Off Fifth ได้เปิดตัวเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่เป็นกลางทางเพศชุดแรก โดยรายได้ 100% จะนำไปบริจาคให้กับมูลนิธิ Phluid ซึ่งเป็นหน่วยงานสนับสนุนของ Smith’s label คอลเลกชั่นนี้มีการออกแบบสีรุ้งบนเสื้อยืด หมวก รองเท้าผ้าใบ และกระเป๋า ในราคาต่ำกว่า 50 ดอลลาร์

Sara Griffin รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดของ Saks Off Fifth กล่าวว่า คอลเลกชั่นกับโครงการ Phluid เป็นก้าวแรก เพื่อรองรับนักช็อปรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยสนใจเสื้อผ้าตามเพศแบบดั้งเดิม

“เรากำลังรับฟังลูกค้าของเราและจะทำการปรับเปลี่ยนต่อไป”

Source

]]>
1339177