LGBTQ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sat, 14 Sep 2024 06:08:08 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ถอดกลยุทธ์ ‘มาเซราติ’ ประเทศไทย ทำไมถึงเป็นแบรนด์ที่ได้ใจลูกค้า ‘LGBTQ+’ https://positioningmag.com/1489864 Fri, 13 Sep 2024 05:08:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1489864 แม้ว่าในอดีต ผู้ชายอาจถูกมองว่ามีความสนใจในรถยนต์มากกว่าผู้หญิง แต่ในปัจจุบันความคิดนี้ไม่เป็นความจริงเสมอไป ความสนใจในรถยนต์เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพศใดเพศหนึ่ง ดังเช่น มาเซราติ ในไทย ที่มีสัดส่วนลูกค้าที่เป็นกลุ่ม LGBTQ+ ถึง 30% ของยอดขาย อะไรทำให้มาเซราติประเทศไทยถึงมัดใจลูกค้ากลุ่ม LGBTQ+ ได้ ไปหาคำตอบกัน

รู้จักมาเซราติ

เชื่อว่าคนที่ชื่นชอบรถยนต์ต้องรู้จักกับ มาเซราติ (Maserati) แบรนด์รถยนต์หรูสัญชาติอิตาลีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง โดยเฉพาะโลโก้ ตรีศูล ของเทพโพเซดอน ซึ่งได้แรงบัลดาลใจมา น้ำพุแห่งเนปจูน ซึ่งเป็นรูปปั้นสัญลักษณ์ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโบโลญญา ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดของแบรนด์

โดยมาเซราติ ได้ถือกำเนิดจากพี่น้องตระกูลมาเซราติในปี 1914 ที่เริ่มจากการผลิตหัวเทียนสำหรับรถยนต์ ก่อนจะต่อยอดไปสู่การพัฒนา รถแข่ง ในปี 1920 จนมาทศวรรษ 1930 มาเซราติขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ไปสู่รถยนต์หรูสำหรับใช้งานบนท้องถนน

หลังจากที่แบรนด์มี ยุคทอง ในช่วง ทศวรรษ 1950-1960 มาเซราติก็ประสบปัญหาทางการเงิน เข้าสู่ช่วงขาลงในปี 1970-1980 และถูกซื้อกิจการไปมาหลายครั้ง จนมา ทศวรรษ 1990 มาเซราติถูกซื้อโดยกลุ่มเฟียต และเริ่มฟื้นฟูแบรนด์อีกครั้ง

ปัจจุบัน มาเซราติเป็นแบรนด์รถยนต์หรูที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นและสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม ทำให้มาเซราติมักถูกเปรียบเทียบเสมือนงานศิลปะบนล้อ เพราะผสมผสานความหรูหราเข้ากับความสปอร์ตได้อย่างลงตัว

แค่ 6.5 ล้าน ก็เป็นเจ้าของมาเซราติได้ 

สำหรับประเทศไทย มาเซราติ แบรนด์ พาร์ทเนอร์บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็มจีซี-เอเชีย (MGC-ASIA) ผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้ครบวงจร

อย่างไรก็ตาม ภาพจำของมาเซราติมักจะเป็น รถซูเปอร์คาร์ ราคา 20-30 ล้านบาท แต่ในความเป็นจริงแล้ว มาเซราติในไทยมีรถหลายเซกเมนต์ โดยแบ่งเป็น 

  • Maserati Grecale เอสยูวี เริ่มต้นประมาณ 6.5 ล้านบาท
  • Maserati GranTurismo สปอร์ตคูเป้ เริ่มต้น 12.9 ล้านบาท
  • Maserati MC20 ซูเปอร์คาร์ เริ่มต้น 23.5 ล้านบาท

โดย ปิยะเทพ ศิวากาศ ผู้จัดการทั่วไป มาเซราติ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา มาเซราติประเทศไทยมียอดส่งมอบประมาณ 60 คัน สำหรับปีนี้มียอดจองโตขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก 20% โดยคาดว่าสิ้นปีนี้จะมียอดส่งมอบประมาณ 70 คัน 

ปิยะเทพ ศิวากาศ ผู้จัดการทั่วไป มาเซราติ ประเทศไทย

ลูกค้ารุ่นใหม่ 30% เป็น LGBTQ+

หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจของแบรนด์มาเซราติในไทยก็คือ ลูกค้า LGBTQ+ โดย ปิยะเทพ เล่าให้ฟังว่า กลุ่มลูกค้ามาเซราติจะแบ่งชัดเจนได้ 2 กลุ่ม ได้แก่ ลูกค้ากลุ่มดั้งเดิม อายุ 50-60 ปี ที่มี ชื่นชอบในตัวแบรนด์อยู่แล้ว แต่อีกกลุ่มที่น่าสนใจ คือ Urban Luxury อายุ 35-40 ปี ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ถึง 30% เป็น LGBTQ+

โดย ปิยะเทพ มองว่า สาเหตุที่ทำให้มาเซราติมัดใจลูกค้ากลุ่ม LGBTQ+ ก็คือ การ คัสตอมไมซ์ได้ตามความต้องการของลูกค้า ต่างจากแบรนด์พรีเมียมที่อาจมีสินค้าในราคาเดียวกัน แต่ไม่สามารถคัสตอมไมซ์รถได้ตามใจ จุดนี้จึงเป็น ข้อได้เปรียบ ของมาเซราติ เพราะต้องยอมรับว่า ลูกค้ากลุ่มลักชัวรีต้องการ สะท้อนความเป็นตัวตน ผ่านทุกสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแฟชั่น, ที่พัก รวมถึงรถยนต์ ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ของมาเซราติเลือกที่จะคัสตอมไมซ์รถเพื่อให้สะท้อนถึงตัวตน บางคนใช้งบมากกว่าราคารถด้วยซ้ำ

“เพราะคนมีเงินเขาไม่ค่อยชอบแต่งตัวเหมือนใคร ถ้าเจอคนใส่ชุดเหมือนกันเขาก็จะรู้สึกเสียเซลฟ์เหมือนกัน ดังนั้น แนวคิดนี้มันก็ไปบนฐานลูกค้ามาเซราติเหมือนกัน เราเลยเห็นว่าลูกค้าส่วนน้อยมาก ๆ ที่ไม่ปรับแต่งรถที่สั่ง บางคนใช้แต่งรถแพงกว่าราคารถก็มี”

6 หรือ 50 ล้านก็ได้ประสบการณ์เอ็กซ์คลูซีฟ

อีกจุดที่ทำให้มาเซราติยังคงมีลอยัลตี้เหนียวแน่น ซึ่งวัดได้จาก 20% ของยอดขายแต่ละปีมาจากลูกค้าเก่า ก็คือ ประสบการณ์ที่ได้รับ ด้วยโควต้าจำหน่ายแต่ละปีที่จำกัด ทำให้นอกจากจะทำให้ลูกค้าคัสตอมไมซ์รถได้ตามใจ การบริการก็สามารถได้ได้ทั่วถึง ในระดับเดียวกันไม่ว่าจะซื้อรถราคา 6 ล้านบาท หรือ 20 ล้านบาท

“หนึ่งที่หลายแบรนด์ในระดับราคา 5-6 ล้านบาททำไม่ได้ก็คือ เอ็กซ์พรีเรียนซ์แบบเหนือระดับ เพราะเขาเน้นวอลลุ่ม ดังนั้น สิ่งที่จะสร้างความแตกต่างได้คือ ประสบการณ์ นี่จึงเป็นสิ่งที่เราเน้นย้ำว่า เขามาเลือกแล้วเลือกไม่ผิด เพราะว่าการที่จะจ่ายเงิน 6-7 ล้านบาท ทุกคนอยากมีความเอ็กซ์คลูซีฟ มีความ VIP”

นอกจากนี้ ที่มาเซราติประเทศไทยรู้จักพฤติกรรมลูกค้าในเชิงลึกเป็นเพราะ การมีส่วนร่วมของแบรนด์ เพราะลูกค้ามาเซราติจะมี คลับ ที่มักจะะจัดกิจกรรมเพื่อพบปะสังสรรค์และพรีเซนต์ตัวเอง ซึ่งมาเซราติก็ได้ทำงานร่วมกับประธานคลับ เพื่อพยายามมีส่วนร่วมและสนับสนุน นอกจากนี้ ทางมาเซราติเองก็จะมีการจัดกิจกรรมในช่วงรอยต่อที่คลับไม่มีกิจกรรม รวมแล้วทั้งมาเซราติและคลับมีการจัดกิจกรรมประมาณ 8-9 ครั้ง/ปี

“คลับของลูกค้าเราจะไม่เหมือนแบรนด์อื่น คือ เน้นพบปะ สังสรรค์ ปาร์ตี้ ได้มาแลกเปลี่ยน ไม่ได้มาเน้นไปที่การขับขี่รถ”

ทุ่มงบ 10 ล้าน รีโนเวตโชว์รูมพารากอน

ล่าสุด บริษัทได้ทุ่มงบประมาณกว่า 10 ล้านบาท รีโนเวตโชว์รูมรถยนต์มาเซราติ ชั้น 2 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ภายใต้คอนเซ็ปต์ห้องศิลป์แห่งความหลงใหล ซึ่งจะมี Corporate Identity เหมือนกับที่อิตาลี โดยโชว์รูมใหม่นี้จะไม่ได้เปิดโล่ง แต่ล้อมรอบด้วยกระจกใส มองเห็นได้จาก 3 ด้าน พร้อมโชว์รถเพียงแค่ รุ่นเดียว เสมือนโชว์งานศิลปะ 

นอกจากนี้จะมีห้องพิเศษซึ่งเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถรังสรรค์รายละเอียดการตกแต่งรถยนต์มาเซราติแบบ immersive 3D ที่เรียกว่าโปรแกรม Fuoriserie ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันกับโชว์รูมในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี และนับเป็นโชว์รูมมาเซราติ ที่มาพร้อมอัตลักษณ์ใหม่ แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

ขอโตช้า ๆ เพื่อรักษาตัวตน

ปิยะเทพ ยอมรับว่า ในแง่คนทำธุรกิจก็อยากเติบโต แต่แบรนด์มาเซราติมีข้อจำกัดในเรื่องของ กำลังการผลิต นอกจากนี้ ถ้าแบรนด์ขายมากขึ้น การลงทุนก็ต้องมากขึ้นตาม เพื่อรักษามาตรฐานการบริการ ดังนั้น แนวทางการเติบโตของมาเซราติจะไม่เน้นเรื่อง จำนวน เพื่อรักษาคุณภาพของบริการ และ คาแรกเตอร์ ของแบรนด์ซึ่งก็คือ ความ Personalize 

“คนทำธุรกิจเราอยากขายเยอะอยู่แล้ว แต่ลูกค้าเราก็พูดเองว่าอย่าไปทำเยอะ ๆ นะ อย่าไปทำเป็นแมสนะ เราเลยต้องบาลานซ์ทั้งลูกค้าเก่า และหาลูกค้าใหม่ ดังนั้น เราอยากคงคาแรกเตอร์ของเราไว้คือ โปรดักส์ที่มีความ Personalize แต่สุดท้ายแล้ว ทุกอย่างที่เราทำมันไม่ใช่เพราะนโยบายของเรา แต่พฤติกรรมลูกค้าที่เป็นตัวกำหนด”

]]>
1489864
โอบรับความหลากหลาย! ค้นพบความสุขทั้งกายและใจด้วยหัวใจที่เท่าเทียม ในงาน SX TALK SERIES #4 HEALTHY PRIDE “หลากหลายอย่างมีสุข” https://positioningmag.com/1479531 Tue, 25 Jun 2024 04:00:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1479531

โอบรับความหลากหลาย! ค้นพบความสุขทั้งกายและใจด้วยหัวใจที่เท่าเทียม ในงาน SX TALK SERIES #4 HEALTHY PRIDE “หลากหลายอย่างมีสุข”

.

งานเสวนาที่ชวนคุณมาร่วมเปิดมุมมองกับหลากทัศนะ พร้อมคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจความหลากหลายอย่างมีสุข

.

วิทยากรร่วมเสวนา

✨หัวข้อ: ครอบคลุม เข้าใจ ห่วงใย ไม่แบ่งแยกในกลุ่ม LGBTQ+

รศ.นพ.กระเษียร ปัญญาคำเลิศ หัวหน้าสาขาเวชศาสตร์ทางเพศและวัยหมดระดู ฝ่ายสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย คลินิกสุขภาพเพศครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

.

หัวข้อ: วิถีการเปลี่ยนแปลง การปรับตัว การเปลี่ยนการดูแลตนเองในการข้ามเพศ

อ.นพ.ธนภพ บำเพ็ญเกียรติกุล คลินิกสุขภาพเพศครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

.

หัวข้อ: การเตรียมตัว ปรับตัว การให้ฮอร์โมนในวัยต่าง ๆ การใช้ฮอร์โมนหลายรูปแบบ

อ.นพ.อัมรินทร์ สุวรรณ คลินิกสุขภาพเพศครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

.

หัวข้อ: การเตรียมตัวดูแลสำหรับการเตรียมตัวข้ามเพศ

ผศ.พญ.พูนพิศมัย สุวะโจ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่ง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

.

#เข้าร่วมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

ลงทะเบียนร่วมกิจกรรมที่ลิงค์นี้ https://forms.gle/QRpZNcTTy2AMxtyR8

หรือ Walk-in หน้างาน วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน 2567 เวลา 13:30 – 15:30 น. C asean Samyarn CO-OP ชั้น 2

]]>
1479531
สยามพิวรรธน์ปักธง “สยามเซ็นเตอร์” ศูนย์กลางแฟชั่นที่สนับสนุนกลุ่ม LGBTQ+ กว่า 3 ทศวรรษ หนุนดีไซเนอร์ไทยแจ้งเกิดบนเวทีโลก พร้อมฉลองความสำเร็จมหกรรม Pride อีเวนต์สุดยิ่งใหญ่ https://positioningmag.com/1476418 Tue, 04 Jun 2024 12:48:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1476418

กลุ่มสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโกลบอลเดสติเนชั่นอันดับ 1 ของไทย อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์  สยามดิสคัฟเวอรี่ ไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ เป็นหนึ่งในองค์กรที่ให้ความสำคัญในเรื่องความหลากหลาย และความเท่าเทียมมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย ที่ “สยามเซ็นเตอร์” ให้ความสำคัญและเห็นคุณค่าของทุกความหลากหลาย พร้อมมอบโอกาสให้แก่ทุกคนในฐานะเมืองแห่งไอเดียที่ล้ำเทรนด์ หรือ Ideaopolis ตลอดกว่า 30 ปีที่ผ่านมา สยามเซ็นเตอร์สนับสนุนกลุ่ม LGBTQ+ เป็นเวทีแจ้งเกิดผู้มีความสามารถในวงการแฟชั่น ตั้งแต่ยังก์ดีไซเนอร์ไปจนถึงแบรนด์ไทยระดับแถวหน้าของวงการ และแบรนด์ระดับตำนานที่เติบโตโดดเด่นในเวทีโลก ขณะเดียวกันสยามเซ็นเตอร์สนับสนุนงานเฉลิมฉลองในเดือนแห่งความภาคภูมิใจ หรือ Pride Month ของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งงาน Bangkok Pride Festival 2024 ที่จัดโดย บางกอกไพรด์และกรุงเทพมหานคร ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากเป็นมหกรรมไพรด์อีเวนต์สุดยิ่งใหญ่ ที่ดึงดูดทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาร่วมงานหลายแสนคน


สยามเซ็นเตอร์ ศูนย์กลางแฟชั่นที่สนับสนุนกลุ่ม LGBTQ+

สยามเซ็นเตอร์  เมืองแห่งไอเดียที่ล้ำเทรนด์ ศูนย์การค้ามาตรฐานสากลแห่งแรกของประเทศไทย ที่ครองใจคนไทยและนักท่องเที่ยวมาทุกยุคทุกสมัย และบรรดาร้านค้าชื่อดังทั้งในประเทศและต่างประเทศล้วนเปิดสาขาแรกที่สยามเซ็นเตอร์  และยังเป็นศูนย์กลางแห่งแฟชั่นที่ล้ำสมัยอยู่เสมอ เป็นสถานที่ในดวงใจของบรรดานักออกแบบดีไซเนอร์ที่ใฝ่ฝันอยากมาเปิดร้านภายในบ้านหลังใหญ่ของไทยดีไซเนอร์แห่งนี้ สยามเซ็นเตอร์ได้มอบโอกาสให้แก่ นิสิต นักศึกษา นักออกแบบรุ่นใหม่ ทุกเพศสภาพ ได้เวทีในการนำเสนอพลังสร้างสรรค์ โดยการแข่งขันประกวดยังก์ดีไซเนอร์ พร้อมผลักดันให้ก้าวสู่ธุรกิจแฟชั่น และร่วมพัฒนาแบรนด์ เพื่อให้ยืนหยัดในวงการแฟชั่นทั้งไทยและระดับโลก แน่นอนว่าวงการแฟชั่นเป็นศูนย์รวมของคอมมูนิตี้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ทั้งดีไซเนอร์ สไตลิสต์ เมคอัพอาร์ทิส ช่างทำผม นักออกแบบ ออแกไนเซอร์ และอาชีพอื่นๆ อีกมากมาย สยามเซ็นเตอร์จึงเป็นเสมือนเพื่อนสนิทของเหล่า LGBTQ+ มาอย่างยาวนาน

ล้ำเทรนด์ หรือ Ideaopolis ตลอดกว่า 30 ปีที่ผ่านมา สยามเซ็นเตอร์สนับสนุนกลุ่ม LGBTQ+ เป็นเวทีแจ้งเกิดผู้มีความสามารถในวงการแฟชั่น ตั้งแต่ยังก์ดีไซเนอร์ไปจนถึงแบรนด์ไทยระดับแถวหน้าของวงการ และแบรนด์ระดับตำนานที่เติบโตโดดเด่นในเวทีโลก ขณะเดียวกันสยามเซ็นเตอร์สนับสนุนงานเฉลิมฉลองในเดือนแห่งความภาคภูมิใจ หรือ Pride Month ของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งงาน Bangkok Pride Festival 2024 ที่จัดโดย บางกอกไพรด์และกรุงเทพมหานคร ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากเป็นมหกรรมไพรด์อีเวนต์สุดยิ่งใหญ่ ที่ดึงดูดทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาร่วมงานหลายแสนคน

ไทยดีไซเนอร์ที่ได้ร่วมก้าวเดินและรันวงการแฟชั่นไทยร่วมกับสยามเซ็นเตอร์ มีมากมาย อาทิ AB-Normal, Anatomie, Baking Soda, Curated by Ek Thongprasert, Flynow, Frank Garcon, Friday27Nov, Good Mixer, Greyhound, House of PB, ICONICS, Kanapot, Kloset, Leisure Project, Milin, P.Mith, Painkiller, Playhound by Greyhound, Q design and Play, Rotsaniyom, Senada, Shaka Leisure, Theatre, Tube Gallery, Wonder และอีกมากมาย ที่เปิดในร้าน Absolute Siam Store และ The Wonder Room ไทยดีไซเนอร์เหล่านี้ นับเป็นผู้มีความสำคัญต่อวงการแฟชั่นไทย นำเสนอพลังความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัดเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวไทยและคนทั่วโลก เป็น Soft Power ที่สร้างเม็ดเงินในอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยจนเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างชื่อเสียงและรายได้ให้แก่ประเทศ มีไทยดีไซเนอร์หลากหลายแบรนด์ที่เปิดร้านในสยามเซ็นเตอร์มาอย่างยาวนาน ขณะเดียวกันอีกหลายแบรนด์ได้ขยับขยายธุรกิจ แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผูกพันและความภาคภูมิใจที่สยามเซ็นเตอร์มีให้ต่อไทยดีไซเนอร์ไทยทุกแบรนด์มาโดยตลอด

ปัจจุบันสยามเซ็นเตอร์ยังครองความเป็นศูนย์กลางแฟชั่นและนำเสนอเทรนด์สุดล้ำแห่งยุคสมัย นำเสนอแฟชั่นที่ตอบสนองสไตล์และคอมมูนิตี้ที่แตกต่าง รวมทั้งร้าน Absolute Siam ศูนย์รวมงานสร้างสรรค์สินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์และของที่ระลึก นำเสนอสินค้าที่แตกต่างมีจำหน่ายเฉพาะที่สยามเซ็นเตอร์เพียงแห่งเดียว สร้างสรรค์ครีเอทด้วยดีไซน์แปลกใหม่จากการร่วมคอลลาบอเรชั่นระหว่างแบรนด์ไทยดีไซเนอร์ชื่อดัง เป็นสินค้า Exclusive แบบไม่เคยมีมาก่อน


Pride Community Destination ศูนย์รวมคอมมูนิตี้ที่เห็นคุณค่าของทุกความหลากหลาย

ด้วยจุดยืนที่มุ่งมั่นและสนับสนุนความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (Diversity, Equality & Inclusion) มาโดยตลอด โดยสยามเซ็นเตอร์เป็นศูนย์การค้าแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้ร่วมกับสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNDP Thailand) องค์กรระดับโลกที่ดำเนินงานเพื่อพัฒนาชีวิตของผู้คนตามหลักธรรมาภิบาลในทุกด้าน และได้ทำงานร่วมกันมาโดยตลอดทุกศูนย์การค้าในกลุ่มสยามพิวรรธน์ ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิดอารยสถาปัตย์ (Universal Design) ซึ่งเป็นการออกแบบพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการบริการต่างๆ เพื่อคนทั้งมวล

ในปีนี้ ซึ่งเป็นปีสำคัญที่ประเทศไทยจะมีกฏหมายสมรสเท่าเทียม นับเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มสยามพิวรรธน์จึงผนึกกำลังกับองค์กรพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมฉลองเดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ สนับสนุนการจัดงาน Bangkok Pride Festival 2024 ในหลากหลายมิติ ภายใต้แคมเปญ The Celebration: Right to Love” ตลอดทั้งเดือนมิถุนายน นี้

โดยสยามเซ็นเตอร์ ร่วมสร้างไฮไลท์ที่ดึงดูดสายตาคนทั่วโลก โดยการนำเวิลด์คาแรกเตอร์ระดับโลก Teletubbies” มาร่วมเป็น Pride Ambassador และจัดงาน Siam Center x Teletubbies Experience Space และงาน Wacoal X Teletubbies Café ซึ่งเป็น Teletubbies Café แห่งแรกในเอเชีย สร้างความฮือฮาและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

ขณะที่ สยามพารากอน ได้เปิดพื้นที่ ให้กับ บางกอกไพรด์ และ กรุงเทพมหานคร จัดงาน Bangkok Pride Forum 2024 เวทีสำคัญที่บุคคลและผู้แทนองค์กรที่ทำงานและเกี่ยวข้องกับด้านสิทธิ LGBTQ+ และสตรีทั้งไทยและต่างประเทศ มาร่วมเสวนาและให้ความรู้กว่า 30 หัวข้อ และ Drag Bangkok Festival 2024 เทศกาลแดร็กสุดยิ่งใหญ่ระดับโลกครั้งแรกในไทยและเอเชียโดยร่วมมือพันธมิตร คือ เยลโล่ แชนแนล และ องค์กรบางกอกไพรด์ ถือเป็นมิติใหม่ของการสร้างปรากฏการณ์ที่ให้ทั้งสาระและความสนุกสนาน  ด้านไอคอนสยามและไอซีเอส จัดแคมเปญ “ICONSIAM Pride Out Loud เฉิดฉายหัวใจภาคภูมิ” เพื่อยกย่องและเชิดชูคุณค่าที่อยู่ในตัวตนของเพศที่หลากหลายในทุกอาชีพ โดยจัดกิจกรรมต่อเนื่องตลอดทั้งเดือน

สยามพิวรรธน์ ยังสร้างกิมมิกใหม่ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม ด้วยการเปิดตัวน้ำดื่มวันสยาม Pride Edition ที่เป็น Limited Edition ดีไซน์ใหม่ด้วยสีลวดลายของกระป๋องเป็น 6 สีสันสดใส ตามธงสีรุ้ง ที่มาพร้อมแนวคิดขับเคลื่อนสังคมบริโภคยั่งยืนด้วยบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มจากอะลูมิเนียมสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ 100% สอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการขยะแบบครบวงจร  Siam Piwat 360° Waste Journey to Zero Waste และการขับเคลื่อนสู่องค์กรขยะเป็นศูนย์

 

ทั้งหมดนี้สะท้อนความสำเร็จของสยามพิวรรธน์ ผู้สร้าง Global Destination ของไทย ที่มุ่งมั่นนำเสนอไอคอนิคอีเวนต์ยิ่งใหญ่ สร้างประวัติศาสตร์และปรากฏการณ์ใหม่ ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก พร้อมร่วมสนับสนุนอย่างแข็งขันและผลักดันให้ประเทศไทยฉายศักยภาพมุ่งสู่เป้าหมายในการจัด Bangkok WorldPride 2030

]]>
1476418
สยามพิวรรธน์ฉลองเดือนแห่ง Pride สุดยิ่งใหญ่ “The Celebration: Right to Love” https://positioningmag.com/1473510 Tue, 14 May 2024 12:45:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1473510

กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารศูนย์การค้าสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม ไอซีเอส และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ตอกย้ำจุดยืนสนับสนุนนโยบายด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (Diversity , Equality & Inclusion) พร้อมด้วยพันธมิตรองค์กรภาครัฐและเอกชน กว่า 50 องค์กร ร่วมฉลอง Pride Month และฉลองในโอกาสที่ประเทศไทยมีกฏหมายสมรสเท่าเทียม นับเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดแถลงข่าว การจัดงาน “The Celebration : Right to Love” โดยได้รับเกียรติจาก คุณแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นประธานในงาน

เพื่อตอกย้ำการเป็นโกลบอลเดสติเนชั่นที่ดึงดูดทั้งชาวไทยนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และไอคอนสยาม จึงร่วมเป็นองค์กรหลักในการจัดงาน Bangkok Pride ซึ่งมีกิจกรรมหลัก ประกอบด้วย งาน Bangkok Pride Parade งานฉลองเดือนแห่งไพรด์ที่รวมพลังคอมมูนิตี้ LGBTQ+ ทั้งชาวไทยและที่จะเดินทางมาจากทั่วโลกเพื่อมาร่วมงานในวันที่ 1 มิ.ย. 2567

สยามพารากอน เปิดพื้นที่สนับสนุนการจัดงาน Bangkok Pride Forum 2024 เวทีสำคัญที่เปิดต้อนรับบุคคลและผู้แทนองค์กรที่ทำงานและเกี่ยวข้องกับด้านสิทธิ ของเหล่า LGBTQ+ และสตรี ทั้งไทยและต่างประเทศ รวม 20 เซสชั่น ระหว่างวันที่ 31 พ.ค. – 4 มิ.ย. 2567 ณ SCBX Next Tech ชั้น 4 สยามพารากอน, และได้ร่วมจัดงาน Drag Bangkok Festival 2024 ที่ยกระดับจัดเฟสติวัลครั้งแรกของไทยและเอเชีย มาจัดใจกลางกรุงเทพฯ รวมศิลปินแดร็กทั่วโลก ระดมทุกสีสันของความสนุกตลอดเทศกาล ณ พาร์คพารากอน ระหว่างวันที่ 31 พ.ค. – 3 มิ.ย. 2567

สยามเซ็นเตอร์ นำเสนอไฮไลท์สำคัญของงานโดยร่วม Co-create & Collaboration กับเวิลด์คาแรกเตอร์ระดับโลก “Teletubbies” ที่มีสีสันสดใสแตกต่างกันแต่สามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยนอกจาก Teletubbies จะร่วมเดินในขบวน Bangkok Pride Parade แล้ว ยังมีงานสำคัญ ได้แก่ Siam Center x Teletubbies Experience Space และงาน Wacoal X Teletubbies Café ซึ่งเป็น Teletubbies Café แห่งแรกในเอเชีย ที่ชั้น G สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ จับมือ Mister International Thailand ปีนี้มีคอนเซ็ปต์ร่วมปล่อยพลังของผู้ชายที่มีความหลากหลายและแตกต่าง พร้อมกิจกรรม Road to On Runway

ไอคอนสยาม และไอซีเอส ฉลองด้วยแคมเปญ “ICONSIAM Pride Out Loud เฉิดฉายหัวใจภาคภูมิ” จัดกิจกรรมตลอดทั้งเดือน อาทิ Pride Out Loud Exhibition , งาน Pride Market , แฟชั่นโชว์ “Pride Out Loud presents : Thai Pride x ICONCRAFT” , การแสดงสายน้ำตกหลากสีรุ้ง ในโซนอลังการ ชั้น 6 และการแสดง “ICONIC Multimedia Water Features” ธีมสีรุ้ง ที่ยาวที่สุดที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนี้ เพื่อฉลองที่ประเทศไทยจะมีกฏหมายสมรสเท่าเทียม สยามพิวรรธน์พร้อมให้การสนับสนุนการจัดงานสมรสหมู่ โดยยินดีเปิดพื้นที่ อาทิ พารากอน ฮอลล์ สยามพารากอน และ ทรูไอคอนฮอลล์ ไอคอนสยาม ร่วมกับกรุงเทพมหานคร และสำนักงานเขต เพื่อใช้จัดงานสมรสหมู่ พร้อมรองรับคู่สมรสที่จะมาร่วมงานทั้งในกรุงเทพฯ และจากต่างจังหวัด รวมถึงคู่สมรสจากต่างประเทศ

ทั้งนี้การจัดงาน “The Celebration Right to Love” ได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากองค์กรพันธมิตรกว่า 50 องค์กร อาทิ บางกอกไพรด์, องค์กรภาคีเครือข่ายคอมมูนิตี้ LGBTQ+, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย , กรุงเทพมหานคร , สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย UNDP และอีกมากมาย รวมทั้งองค์กรจากนานาประเทศ เป็นปรากฏการณ์สำคัญที่สยามพิวรรธน์มุ่งมั่นตั้งใจร่วมผลักดันให้การจัดงาน Bangkok Pride เป็น Global Festival ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และแสดงถึงศักยภาพของประเทศไทยที่พร้อมเป็นเจ้าภาพจัดงาน World Pride 2030

]]>
1473510
ดราม่าพนักงาน “Starbucks” สหรัฐฯ แฉบริษัทสั่ง “แบน” ของตกแต่งสีรุ้งในช่วง Pride Month https://positioningmag.com/1434124 Wed, 14 Jun 2023 13:05:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1434124 สหภาพแรงงาน “Starbucks” ในสหรัฐฯ แฉผ่านโซเชียลมีเดียว่าบริษัทมีคำสั่ง “แบน” การตกแต่งร้านด้วยสีรุ้งในช่วง Pride Month ขณะที่ฝั่งบริษัทปฏิเสธคำสั่งดังกล่าวไม่เป็นความจริง ถือเป็นดราม่าที่ขัดต่อความเป็นมาของเชนร้านกาแฟแบรนด์นี้ที่ให้การสนับสนุน LGBTQ มาตลอดหลายปี

สหภาพแรงงาน Starbucks สหรัฐฯ ทวีตแฉคำสั่งจากบริษัทให้งดการตกแต่งด้วยสีรุ้งเพื่อฉลอง Pride Month และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน Forbes ว่า สหภาพฯ ได้รับคำบอกเล่าจากพนักงานใน 21 มลรัฐว่าได้รับคำสั่งแบบเดียวกัน โดยในรัฐโอคลาโฮมาให้เหตุผลกับพนักงานว่า จำเป็นต้องงดตกแต่งร้านด้วยสีรุ้งเพื่อความปลอดภัยของร้านเอง หลังจากห้าง Target ถูกขู่วางระเบิดเพราะวางจำหน่ายสินค้าต้อนรับ Pride Month

พนักงานบางคนยังแชร์ภาพหรือวิดีโอลงในโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok , Twitter เพื่อยืนยันว่ามีคำสั่งงดเกิดขึ้นจริง เช่น วิดีโอการเก็บของตกแต่งสีรุ้งออกจากสาขาหนึ่งในรัฐวิสคอนซิน ซึ่งทำให้กลุ่มสหภาพแรงงานออกมาเคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์บริษัท

อย่างไรก็ตาม Andrew Tull โฆษก Starbucks ปฏิเสธว่านโยบายงดตกแต่งร้านด้วยธงสีรุ้งนั้นไม่เป็นความจริง และกล่าวว่าข้อกล่าวหานั้นเป็น “ข้อมูลที่ผิด” รวมถึงให้ความมั่นใจว่าบริษัทยังสนับสนุนชุมชน LGBTQ เช่นเดิม

Starbucks นั้นมีชื่อเสียงเรื่องการเป็นบริษัทที่เป็นมิตรกับ LGBTQ มานาน โดยบริษัทนี้ได้คะแนนระดับสมบูรณ์แบบจาก “ดัชนีความเท่าเทียมในองค์กร” จัดโดย Human Rights Campaign ซึ่งจะพิจารณาจากการดูแลและสวัสดิการที่ให้แก่พนักงาน LGBTQ และไม่ใช่เพิ่งจะได้ในปีนี้ แต่บริษัทได้สถานะนี้มาตั้งแต่ปี 2015 และยังสนับสนุนการจัดเทศกาล Pride รวมถึงบริจาคให้กับกลุ่ม LGBTQ มาโดยตลอด

(Photo : Shutterstock)

อีกตัวอย่างการสนับสนุน LGBTQ คือเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน Starbucks อินเดีย มีการออกอากาศโฆษณาชุดหนึ่งเล่าเรื่องคุณพ่อที่พยายามจะกลับมาสานสัมพันธ์อันดีกับลูกสาวที่เป็นทรานสเจนเดอร์ ซึ่งทำให้ได้รับทั้งคำชื่นชมในความกล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่ และคำวิจารณ์จากกลุ่มอนุรักษนิยม

ไม่ว่าความจริงในกรณีดราม่านี้จะเป็นเช่นไร แต่ที่เห็นได้ชัดคือสังคมอเมริกันมีการโต้กลับจากกลุ่มอนุรักษนิยมขวาจัดรุนแรงขึ้นมากในปีนี้ โดยมีอินฟลูเอนเซอร์หลายรายที่คอยติดตามล่าชื่อบริษัทที่ถือว่าเป็นบริษัท “woke” ซึ่งหมายถึงผู้ที่มีแนวคิดเรื่องความเท่าเทียมทางวัฒนธรรมต่างๆ เช่น เพศ เชื้อชาติ ช่องทางเหล่านี้มีผู้ติดตามตั้งแต่ 1-2 ล้านคนต่อช่อง

กลุ่มอนุรักษนิยมเหล่านี้ต้องการจะ “ทำสงครามทางวัฒนธรรม” และรู้สึกรับไม่ได้อีกต่อไปแล้วกับ “ทุนนิยมสีรุ้ง” ที่เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน

ตั้งแต่ต้นปีนี้มีแบรนด์จำนวนมากที่ถูกโซเชียลมีเดียกลุ่มขวาจัดไล่ล่าเพื่อบอยคอต เช่น Bud Light เบียร์ที่เลือกทรานสเจนเดอร์ชื่อดังมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ให้แบรนด์ หรือห้าง Target ที่เปิดจำหน่ายสินค้าเพื่อ LGBTQ ต้อนรับ Pride Month ทำให้ถูกกลุ่มขวาจัดบุกข่มขู่พนักงานจนห้างต้องยอมนำของบางชิ้นออกจากชั้นวางจำหน่าย

Source

]]>
1434124
ฟังเสียงชาวโซเชียลช่วง ‘Pride Month’ กับประเด็น #สมรสเท่าเทียม ที่ถูกจุดอีกครั้ง https://positioningmag.com/1434038 Wed, 14 Jun 2023 08:12:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1434038 เฉลิมฉลองเดือนแห่งความหลากหลายไปอย่างยิ่งใหญ่กับงาน “บางกอกไพรด์ 2023” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการเฉลิมฉลอง Pride Month ปีที่ 2 ของไทย ณ ใจกลางสยาม เพื่อย้ำและสร้างการยอมรับความหลากหลายทางเพศในสังคมไทย

งานดังกล่าวถือเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ Pride Month ถูกพูดถึงบนโลกโซเชียลมากขึ้น ตามการยอมรับของสังคมที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น โดย บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลการพูดถึงเรื่องราวของเดือนแห่งความหลากหลาย รวมถึง บางกอกไพรด์ 2023 ที่ถูกจัดขึ้นในเดือนนี้เช่นกัน โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1 – 11 มิถุนายน 2566 ผ่านเครื่องมือ Social Listening อย่าง ZOCIAL EYE พบว่า มีการพูดถึงกว่า 38,547 ข้อความ และเพียงไม่กี่วันมีจำนวนเอ็นเกจเมนต์มากกว่า 26,993,306 เอ็นเกจเมนต์

ข้อความส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบน Facebook มากที่สุด (39%) ตามมาด้วย Twitter (35%) Instagram (19%) และ อื่น ๆ (7%) ส่วนใหญ่เป็นการโพสต์รูปภาพงานเดินขบวนพาเหรดผ่านแฮชแท็ก #BangkokPride2023 และ #บางกอกไพรด์2023 ทั้งจากเหล่าคนดัง ดารา นักร้อง นักแสดงต่าง ๆ

 

สมรสเท่าเทียมถูกพูดถึงอีกครั้ง

หลังจากที่สภารับหลักการ #สมรสเท่าเทียม ในวาระหนึ่งไปแล้วเมื่อ 15 มิถุนายน 2565 จนเกิดเป็นการพูดถึงและจับตามองเป็นอย่างมากเมื่อปีที่ผ่านมา และยังมีการพูดถึงและจับตามองเรื่อยมา โดยในปีนี้ กระแสของการพูดถึง #สมรสเท่าเทียมก็กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ และมีการเปลี่ยนชุดสภาบวกกับการยืนยันจากเสียงของพรรคที่มีเสียงข้างมากจากประชาชนว่าจะผลักดันสมรสเท่าเทียมแน่นอน ยิ่งตอกย้ำความสำเร็จของการเรียกร้องความเท่าเทียมที่แท้จริง

นอกจากนี้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่เป็นผู้ผลักดันเรื่องการสมรสเท่าเทียม ก็มาร่วมเดินขบวนพาเหรด ก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ทำให้มีการพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ทำให้เกิดการพูดถึงในวงกว้างมากขึ้น สร้างการรับรู้และความเข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางเพศมากขึ้น

แบรนด์ถูกตั้งคำถามว่าเข้าใจหรือแค่เกาะกระแส

เมื่อก้าวเข้าเดือนมิถุนายน เราจะเห็นหลาย ๆ องค์กรและแบรนด์เปลี่ยนรูปโปรไฟล์ เปลี่ยนรูปโลโก้เป็นสีรุ้ง หรือทำการตลาดที่สินค้ามีลวดลายสีรุ้งประดับ เพื่อที่จะต้อนรับเทศกาล Pride Month หรือเดือนแห่งการเฉลิมฉลองความภาคภูมิใจของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศนี้ แต่ถึงอย่างนั้นองค์กรหรือแบรนด์เหล่านี้ก็ยังคงถูกตั้งคำถามจากคนบนโซเชียลว่าการทำแคมเปญสีรุ้งในเดือนนี้นั้น เป็นการใช้พื้นที่ขององค์กรส่งเสียงเพื่อเข้าใจเพื่อนมนุษย์ผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างแท้จริงหรือเป็นเพียงแค่การเกาะกระแส

 

ไวรัลจากพาเหรด

แน่นอนว่างานบางกอกไพรด์ หรืองานเดินขบวนพาเหรด ถือเป็นงานที่ถูกจับตามองในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการสร้างสรรค์ความคิดในเรื่องของการแต่งตัว และประเด็นเด่น ๆ ที่ถูกพูดคือ เสื้อของพิธา ที่ใส่มาร่วมเดินขบวน ที่ชาวโซเซียลต่างแคปเจอร์แล้วนำมาโพสต์ถึงความสวยงามของเสื้อ หรืออีกหนึ่งคนอย่าง ช่อ พรรณิการ์ อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ รังสรรค์มาในชุด Amy Winehouse นักร้องดังระดับตำนานจนคนบนโซเชียลต่างชื่นชมในความปังครั้งนี้

การพูดถึงนั้นไม่ถูกพูดถึงแค่กับคนเท่านั้น ยังถูกพูดถึงไปยังสัตว์เลี้ยงที่มาร่วมงานบางกอกไพรด์ครั้งนี้ อย่างไวรัลที่เห็นกัน หญิงโม น้องหมาชิวาว่าสายแฟ ที่เกิดจากการที่ ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทยอุ้มน้องถ่ายรูปแล้วน้องทำตาหวาน สะท้อนให้เห็นถึงความเปิดกว้างที่ไม่ใช่เฉพาะแค่กับมนุษย์ ยังเปิดกว้างไปถึงสัตว์เลี้ยงตัวน้อย ๆ ที่ร่วมโลกกับเราด้วยนั่นเอง

]]>
1434038
ข่าวร้ายรับ Pride Month! ห้าง “Target” และร้าน “Swatch” มีเหตุให้งดขายสินค้า LGBTQ+ https://positioningmag.com/1431580 Wed, 24 May 2023 14:03:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1431580 ข่าวร้ายรับPride Month จากสองฟากโลก ห้างสรรพสินค้าอเมริกัน “Target” ต้องนำสินค้าสำหรับ LGBTQ+ ออกจากชั้นวางจำหน่าย หลังพนักงานห้างตกเป็นเป้าข่มขู่จากลูกค้าบางกลุ่ม ขณะที่นาฬิกาสีรุ้งของ “Swatch” ถูกเจ้าหน้าที่รัฐยึดทรัพย์ในมาเลเซีย

Pride Month เทศกาลเฉลิมฉลองของ LGBTQ+ ทั่วโลกจะจัดขึ้นเป็นประจำในเดือนมิถุนายนของทุกปี ทำให้กลุ่มธุรกิจบางแห่งมักจะสร้างสรรค์สินค้าหรือทำการตลาดให้สอดคล้องกับเทศกาลนี้ด้วย แต่ปีนี้ยังไม่ทันเข้าสู่ช่วง Pride Month ก็เริ่มมีข่าวร้ายเกิดขึ้น

สำนักข่าว AP รายงานว่า ห้างสรรพสินค้า Target ในสหรัฐฯ จำเป็นต้องเก็บสินค้าบางชิ้นออกจากชั้นวางจำหน่ายทั่วประเทศ โดยสินค้าดังกล่าวเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ LGBTQ+ ที่ห้างเริ่มนำมาจำหน่ายตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม

สาเหตุที่ต้องเก็บออก เพราะลูกค้าของห้างบางส่วนเริ่มเปิดฉากปะทะกับพนักงานห้างด้วยความรุนแรง ซึ่งอาจจะทำให้พนักงานห้างไม่ปลอดภัยได้

“ตั้งแต่เราแนะนำคอลเล็กชันของปีนี้ เราก็เริ่มเล็งเห็นว่าพนักงานของเราถูกข่มขู่จนรู้สึกไม่ปลอดภัยและรบกวนสภาพการทำงาน” Target ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2023 “เมื่อพิจารณาสถานการณ์ที่ผันผวนเช่นนี้ เราจึงต้องเปลี่ยนแปลงแผนของเรา ด้วยการนำสินค้าบางชิ้นที่เป็นตัวการให้เกิดพฤติกรรมการปะทะกันอย่างชัดเจน”

ห้างสรรพสินค้า Target ในสหรัฐฯ​ (Photo: Shutterstock)

Target ปฏิเสธที่จะชี้ชัดว่าสินค้าชิ้นไหนที่จะถูกนำออกจากชั้นวาง แต่กระแสสังคมนั้นเห็นได้ชัดว่าสินค้าที่มีปัญหาคือ ชุดว่ายน้ำที่ผลิตขึ้นสำหรับทรานสเจนเดอร์ที่ยังไม่แปลงเพศ ทำให้ ‘เก็บทรง’ ได้แนบเนียนขึ้น สินค้าชิ้นนี้ออกแบบโดย Abprallen แบรนด์จากอังกฤษ

ก่อนหน้านี้ สินค้าคอลเล็กชัน Pride Month ของห้าง Target ตกเป็นเป้าการสร้างวิดีโอข้อมูลเท็จในโซเชียลมีเดียมาเป็นสัปดาห์แล้ว ยกตัวอย่างเช่น ชุดว่ายน้ำสำหรับทรานสเจนเดอร์ชิ้นดังกล่าว ถูกนำไปปั่นกระแสโจมตีว่ามีผลิตในไซส์เด็กด้วย ซึ่งไม่เป็นความจริง

ปีนี้ถือเป็นปีที่กระแสต่อต้าน LGBTQ+ โดยเฉพาะกลุ่มทรานสเจนเดอร์ รุนแรงมากในสหรัฐฯ ก่อนหน้าประเด็นของ Target ก็เพิ่งจะมีประเด็นที่เบียร์ยี่ห้อ Bud Light เลือกสาวทรานสเจนเดอร์ชื่อดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ (อ่านรายละเอียดได้ที่นี่)

 

เจ้าหน้าที่มาเลย์บุกยึดนาฬิกา “สีรุ้ง” ในร้าน Swatch

อีกฟากหนึ่งของโลก สำนักข่าว Reuters รายงานว่า เมื่อวันที่ 13-14 พฤษภาคม 2023 เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยของ “มาเลเซีย” บุกตรวจค้นร้านนาฬิกา Swatch และได้ยึดทรัพย์นาฬิกาข้อมือสีรุ้งในคอลเล็กชันต้อนรับ Pride Month ไปทั้งหมด

นาฬิกาชุด Pride Collection ของ Swatch สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อร่วมฉลองเทศกาลนี้ และต้องการส่งข้อความเรื่องความเท่าเทียมและความหลากหลาย

“เราขอคัดค้านหนักแน่นว่า คอลเล็กชันนาฬิกาที่ใช้สีรุ้งและให้ความหมายถึงสันติภาพและความรักนั้นไม่ได้เป็นอันตรายต่อใครทั้งสิ้น” นิก ฮาเย็ก ประธานกรรมการบริหาร Swatch Group จากสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวกับสำนักข่าว Reuters ขณะที่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นสวิส Tages-Anzeiger ระบุว่า บริษัทจะดำเนินการทางกฎหมายเพื่อขอคืนสินค้าที่ถูกยึดทรัพย์

พฤติกรรมที่สื่อถึงความรักต่อเพศเดียวกันนั้นผิดกฎหมายในมาเลเซีย แม้ว่าจะไม่ค่อยมีคดีที่ถูกตัดสินโทษจริงให้เห็นมากนัก แต่จะมีการป้องปรามที่ทำให้แสดงออกได้ไม่เต็มที่ เช่น เมื่อปีก่อนนี้มีเจ้าหน้าที่ด้านศาสนาอิสลามเข้าคุมตัวคนในงานปาร์ตี้ฮัลโลวีน 18 คนที่คาดว่าเป็นสมาชิกกลุ่ม LGBTQ+ ไปสอบถามข้อมูล

ที่มา: AP, Reuters

]]>
1431580
ผู้บริหารฝ่ายการตลาดถูกพักงาน เซ่นวิกฤตเบียร์ “Bud Light” เลือก “สาวทรานส์” ช่วยโฆษณา https://positioningmag.com/1428318 Mon, 24 Apr 2023 08:26:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1428318 เบียร์ยี่ห้อ “Bud Light” เผชิญวิกฤตหลังจากเลือก “สาวทรานส์” ชื่อดังมาโฆษณา ลุกลามจนเป็นกระแสบอยคอตในหมู่ผู้บริโภคกลุ่มอนุรักษ์นิยม ล่าสุดผู้บริหารฝ่ายการตลาดของแบรนด์นี้ถูกบริษัทสั่งพักงานแล้ว

Anheuser-Busch Inbev บริษัทเจ้าของเบียร์ยี่ห้อ Bud Light ประกาศการพักงานผู้บริหารระดับสูง “อลิสซา ไฮเนอร์ไชด์” รองประธานบริหารฝ่ายการตลาดของเบียร์ Bud Light และจะส่ง “ท็อดด์ อัลเลน” รองประธานบริหารที่ดูแลเบียร์ Budweiser ทั่วโลกมาดูแลแทนชั่วคราว

ตามรายงานข่าวของ Insider บริษัท Anheuser-Busch กำลังเข้าจัดระเบียบลำดับการทำงานในทีมงานด้านการตลาดให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้บริหารอาวุโสของทีมลงมาดูแลกิจกรรมของแบรนด์อย่างใกล้ชิด

“ขั้นตอนเหล่านี้จะทำให้เรายังคงมุ่งมั่นกับสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด นั่นคือการกลั่นเบียร์ที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้บริโภคทุกคน ขณะที่ยังคงสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับชุมชนของเราและประเทศ” โฆษกของบริษัทแจ้ง

 

จุดเริ่มต้นกระแสบอยคอต

การพักงานผู้บริหารระดับสูงของ Bud Light เกิดขึ้น 1 เดือนหลังจากที่เบียร์ Bud Light เลือกทำแคมเปญร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ “ดีแลน มัลเวนีย์” ซึ่งเธอเป็น “ทรานส์เจนเดอร์” บุคคลข้ามเพศจากชายเป็นหญิง และทำคอนเทนต์เล่าเรื่องราวเส้นทางการเป็นทรานส์เจนเดอร์ของตนเอง

ทรานส์เจนเดอร์ Bud Light
วิดีโอประกาศการทำแคมเปญร่วมกัน กลุ่มอนุรักษ์นิยมเริ่มออกมาต่อต้านทันทีหลังวิดีโอชิ้นนี้เผยแพร่ (Photo: IG@dylanmulvaney)

แคมเปญใหญ่ที่ทำร่วมกันเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา โดยมัลเวนีย์โพสต์ใน Instagram ของเธอว่า Bud Light กำลังจะออกกระป๋องเบียร์รุ่นพิเศษเป็นลายใบหน้าของมัลเวนีย์ เพื่อร่วมฉลองครบรอบ 1 ปีที่มัลเวนีย์เปิดเผยตัวว่าเธอเป็นผู้หญิง

ปรากฏว่าวิดีโอแคมเปญนี้จุดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในสหรัฐอเมริกา โดยกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ต่อต้านทรานส์เจนเดอร์ออกมาสร้างกระแสให้ร่วมกันบอยคอตเบียร์ Bud Light การบอยคอตเหล่านี้มีกลุ่มเซเลปคนดังหลายคนช่วยเป็นกระบอกเสียง เช่น Kid Rock ซึ่งเป็นศิลปินดังในสหรัฐฯ มีการอัดคลิปตนเองยิงกระป๋องเบียร์ Bud Light ทิ้ง

จากนั้นกระแสก็เริ่มลุกลามไปในหมู่คนทั่วไป หลายคนอัดคลิปตนเองทำลายเบียร์ Bud Light ด้วยวิธีที่แสดงความเกลียดชังต่างๆ ทั้งโยนทิ้งขยะ ขับรถทับกระป๋อง ใช้รถแทรกเตอร์บดขยี้ ฯลฯ

คลิปยิงกระป๋องเบียร์ Bud Light ของ Kid Rock (Photo: IG@kidrock)

แรกเริ่มเดิมทีที่มีกระแสต่อต้านเกิดขึ้น Bud Light เลือกที่จะยืนข้างมัลเวนีย์ โดยบอกว่า “แบรนด์มีการทำงานกับอินฟลูเอนเซอร์หลายร้อยคน เป็นหนึ่งในหลายเส้นทางที่แบรนด์จะได้เชื่อมสัมพันธ์กับผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะแบ่งตามเพศ/อายุ หรือแบ่งตามความสนใจ”

มัลเวนีย์เองก็ออกมาตอบโต้ด้วยเช่นกันว่าเธอกำลัง “ตกเป็นเป้า” ของการวิจารณ์

“เป็นเรื่องน่าเศร้าเพราะทุกสิ่งที่ฉันทำเป็นเรื่องเชิงบวกทั้งนั้น” เธอกล่าว “เป็นความพยายามที่จะสานสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ที่อาจจะยังไม่เข้าใจฉัน เป็นคอนเทนต์เพื่อให้คนได้หัวเราะกัน หรือทำให้เด็กสักคนรู้สึกมีตัวตนในโลกนี้”

 

กลุ่มต่อต้านทรานส์ทวีความแรงในสหรัฐฯ

Anheuser-Busch Inbev หรือ AB Inbev เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากเบลเยียมที่มีผลิตภัณฑ์จำหน่ายไปทั่วโลก เบียร์ที่เป็นที่รู้จักในไทย เช่น Budweiser, Corona Extra, Hoegaarden, Stella Artois เป็นต้น และปกติแคมเปญการตลาดของ AB Inbev มักจะเป็นที่สนใจ

ทั้งนี้ สำนักข่าว Insider วิเคราะห์ว่า การบอยคอต Bud Light ที่ทำแคมเปญกับทรานส์เจนเดอร์นั้น เชื่อมโยงได้กับความรู้สึกมุ่งร้ายรุนแรงในฝ่ายอนุรักษ์นิยมชาวอเมริกันที่มีต่อบุคคลข้ามเพศ

กฎหมายต่อต้านทรานส์เจนเดอร์เริ่มมีการบังคับใช้ในหลายรัฐทั่วประเทศในปีนี้ เช่น รัฐโอคลาโฮมา ออกกฎหมายแบนไม่ให้บริษัทประกันครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการแปลงเพศ รัฐเซาธ์แคโรไลน่า ออกกฎหมายแบนไม่ให้มีการรักษาทางการแพทย์เพื่อปรับเพศสภาพในกลุ่มเยาวชน รวมถึงรัฐฟลอริด้า เริ่มควบคุมเวที ‘แดรกควีน’ ไม่ให้เยาวชนเข้าชม

ยังไม่มีการรายงานว่ากระแสต่อต้านเหล่านี้ทำให้ Bud Light เสียรายได้หรือความนิยมไปมากน้อยแค่ไหน แต่การพักงานผู้บริหารระดับสูงก็นับได้ว่าเป็นสัญญาณว่า แบรนด์อาจจะต้องการจะห้ามเลือดไม่ให้เหตุการณ์ลุกลามไปมากกว่านี้

Source

]]>
1428318
การปั้น Pride Clinic ของ “บำรุงราษฎร์” ให้เป็นพาร์ทเนอร์ด้านสุขภาพระยะยาวของกลุ่ม LGBTQ+ https://positioningmag.com/1400947 Mon, 26 Sep 2022 04:00:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1400947

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเด็นที่ร้อนแรงอันดับต้นๆ คงหนีไม่พ้นเรื่อง LGBTQ+ที่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแค่ประเด็นที่พูดเป็นกระแส หรือการตลาดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นแรงกระเพื้อมที่ทำให้สังคมตระหนักถึงความหลากหลายทางเพศมากขึ้น ในประเทศไทยเองก็มีการเปิดรับมากขึ้นเช่นกัน


โรงพยาบาลที่เคารพทุกความแตกต่าง

“โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์” เป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญในเรื่องความหลากหลายมาตลอดระยะเวลา 42 ปีของการดำเนินงาน เรียกว่าปลูกฝังอยู่ใน DNA ของบุคลากรทุกคนเลยก็ว่าได้ นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องสถานพยาบาลที่มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากลที่ให้การรักษาผู้ป่วยที่ดีที่สุดแล้ว บำรุงราษฎร์เองยังเปิดโอกาสทุกคนให้เข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพมาตรฐาน โดยไม่คำนึงเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม หรือเพศสภาพแต่อย่างใด ทำให้ในปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ป่วยทั่วโลกมีผู้ป่วยต่างชาติมารับบริการมากถึง 190 ประเทศ

การเปิด Pride Clinic เมื่อกลางปี 2564 เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ตอกย้ำการให้ความสำคัญเรื่องความหลากหลาย และมอบบริการสำหรับกลุ่มที่ไม่จำกัดเพศสภาพอย่างสมบูรณ์แบบ ความน่าสนใจอยู่ที่การวางจุดยืนเป็น Life–time Health Partner ครบวงจรให้กับกลุ่ม LGBTQ+ ตั้งเเต่ให้คำปรึกษาดูเเลจิตใจการให้ฮอร์โมน ผ่าตัดปรับเพศสภาพ ศัลยกรรมตกเเต่ง รวมไปถึงการฟื้นฟูหลังผ่าตัด

นภัส เปาโรหิตย์ Chief Marketing Officer โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเปิด Pride Clinic ว่า

“โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีจุดแข็งในคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยระดับสากล ตลอดจนการรักษาในระดับจตุตถภูมิ (Quaternary Care) ซึ่งเป็นขั้นสูงสุดในการรักษาโรคซับซ้อนต่างๆ ด้วยความชำนาญของแพทย์เฉพาะทางและเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคระบบทางเดินอาหาร โรคเกี่ยวกับกระดูกและข้อ โรคหลอดเลือดสมอง และการปลูกถ่ายอวัยวะ ปลูกถ่ายไตปลูกถ่ายหัวใจปลูกถ่ายกระจกตาปลูกถ่ายตับเป็นต้น เรียกว่ามีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูงในด้านการผ่าตัดที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก

แต่นอกจากการเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคซับซ้อนแล้วทางบำรุงราษฎร์เราเปิดให้บริการเกี่ยวกับเรื่องการผ่าตัดปรับแต่งเพศสภาพ การให้ฮอร์โมน ศัลยกรรมตกแต่งและผิวพรรณมาก่อนแล้ว จึงเล็งเห็นโอกาสในการยกระดับบริการทางด้านนี้ให้เด่นชัด เลยหยิบสิ่งที่เรามีประสบการณ์มาแล้ว ผนวกกับกลยุทธ์ในการเปิดกลุ่มตลาดใหม่ให้ชัดเจน จึงมีการเปิดเป็น Pride Clinic ที่ให้บริการแบบครบวงจรอย่างเต็มรูปแบบ”

อีกหนึ่งความสำคัญในการเปิด Pride Clinic ก็คือ แต่เดิมกลุ่ม LGBTQ+ อาจจะมีข้อจำกัด หรือตัวเลือกในการเข้ารักษาพยาบาล Pride Clinic จึงเข้ามาตอบโจทย์กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อให้มีทางเลือกในการดูแลสุขภาพ และการบริบาลแบบตอบโจทย์ทุกความต้องการ

รวมไปถึงเรื่องความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน หลายคนยังมีความเข้าใจผิด และมีความเสี่ยงในการซื้อยาฮอร์โมนมารับประทานเอง โดยไม่อยู่ในความดูแลของแพทย์ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ แต่ที่ Pride Clinic มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมนที่ให้ทำแนะนำในการรับฮอร์โมนอย่างถูกต้อง และปลอดภัย


มากกว่าแค่ผ่าตัดปรับเพศสภาพ แต่ดูแลครบวงจร และเข้าใจในความต้องการที่แท้จริง

จุดเด่น และจุดเเข็งของ Pride Clinic ที่แตกต่างจากสถานพยาบาลอื่นๆ ทั่วไป คือ การดูเเลเเบบเฉพาะบุคคลใช้ระบบการดูแลแบบแพทย์ประจำตัว หรือ Primary Care Physician ทำหน้าที่ให้คำปรึกษา, ดูแลต่อเนื่อง, ดูแลเรื่องการรักษา ป้องกันโรค สร้างเสริมสุขภาพ ฟื้นฟูสุขภาพทั้งกายและใจ และประสานงานร่วมกับแพทย์เฉพาะทางด้านอื่น เภสัชกร นักกายภาพบำบัด และนักโภชนากร

ที่สำคัญคือ Pride Clinic มีทีมศัลยแพทย์ในการผ่าตัดปรับเพศสภาพที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี และทำการผ่าตัดมาแล้วไม่น้อยกว่า 1,000 ราย รวมถึงมีแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัดที่ปัจจุบันในไทยยังมีจำนวนไม่มากนัก

“กระบวนการในการบริบาลซับซ้อนไม่ใช่แค่ผ่าตัดปรับเพศสภาพอย่างเดียว เพราะจุดประสงค์ของแต่ละคนแตกต่างกันไป มีระดับต่างกัน อย่างแรกคนไข้ต้องพบอาจารย์หมอก่อนเพื่อดูว่าจุดประสงค์ระดับไหน บางคนอาจจะไม่ได้ต้องการเปลี่ยนเพศสภาพ หรือแค่ต้องการปรึกษาในการปรับแก้บางจุดเท่านั้น โดยเฉพาะในส่วนของการให้ฮอร์โมนที่จำเป็นต้องผ่านแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะแต่ละคนมีการให้ฮอร์โมนในอัตราที่เเตกต่างกัน”

รวมไปถึง “ความลับ” ของผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญที่ทางบำรุงราษฎร์คำนึงถึงมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการให้คำปรึกษา ไปจนถึงกระบวนการผ่าตัด มั่นใจได้ว่าทุกอย่างจะมีความปลอดภัย เป็นส่วนตัว และถูกเก็บเป็นความลับ


เป็นพาร์ทเนอร์ระยะยาว ดูแลสุขภาพกันตลอดชีวิต

Pride Clinic ไม่ได้ให้บริการเพียงแค่เฉพาะกลุ่ม LGBTQ+ อย่างเดียวเท่านั้น แต่ให้บริการทั้งกลุ่มผู้ชาย ผู้หญิง ที่มีความต้องการปรับแต่งศัลยกรรม รวมถึงดูแลด้านความงาม รูปร่าง และผิวพรรณต่างๆ ด้วย รวมถึงให้คำปรึกษาสำหรับผู้ปกครอง และญาติๆ

อีกหนึ่งความสำคัญของ Pride Clinic ไม่ใช่แค่บริการทางการแพทย์ที่ผ่าตัด หรือให้บริการครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นเหมือนพาร์ทเนอร์ที่ดูแลกันไปตลอดชีวิต หรือ Life–time Health Partner ทั้งก่อนเข้ารับบริการในระยะบริการ เเละหลังบริการระยะยาวดูแลโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการในทุกขั้นตอน เพื่อให้เป็นตัวของตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด

“ถ้าคนไข้ที่เข้ารับการผ่าตัด บริการของเรามีทั้งดูแลก่อนผ่าตัด ดูแลแผลหลังผ่าตัด ทำแผล เปลี่ยนผ้าทำแผล มีนักกายภาพ นักโภชนากรให้คำแนะนำเรื่องอาหาร ดูแลทุกกระบวนการจนสามารถออกจากโรงพยาบาล และใช้ชีวิตปกติได้ หรือคนไข้ที่ต้องรับฮอร์โมนก็ต้องกินตลอดชีวิต เราก็ดูแลไประยะยาว”

หรือแม้แต่ช่วงหลังผ่าตัดแล้ว บำรุงราษฎร์มีบริบาลดูแลในช่วงการพักฟื้นภายหลังผ่าตัดอย่างต่อเนื่องที่ “ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์” ภายใต้โครงการรักษ ที่บางกระเจ้า จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นศูนย์บูรณาการสุขภาพ และการแพทย์แบบองค์รวมแห่งแรกในเอเชีย เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และจัดโปรแกรมแบบเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะบุคคลทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพใจ การปรับสมดุลของร่างกาย ดูแลผิวพรรณ ความงาม น้ำหนักตัว และการชะลอวัยให้ดูดี

นภัสเสริมอีกว่า “บำรุงราษฎร์เหมือนทีมฟุตบอลขนาดใหญ่ ได้กระบวนการรักษาจากทีมแพทย์ทุกแขนงมาทำร่วมกันทำให้ความผิดพลาดในการรักษาน้อยที่สุด ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการดูแล ถือว่าคุ้มค่า (Value for money) ที่ได้รับการบริการน่าพึ่งพอใจดูแลในทุกมิติ บำรุงราษฎร์นั้นเราให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยของผู้ป่วยสูงสุด หากเกิดกรณีฉุกเฉิน เรามีมาตรฐานที่จะดูแลได้อย่างทันท่วงที ทั้งทีมแพทย์ และบุคลาการทางการแพทย์ ทั้งแผนก ICU และก็มีห้อง ICU แผนก ER รองรับ”

หลังจากเปิดให้บริการ Pride Clinic มา 1 ปีพบว่ามีกลุ่มคนไข้ที่สนใจ และมาปรึกษาอย่างต่อเนื่องเกิดจากการบอกเล่าปากต่อปาก ปัจจุบันกลุ่มคนไข้มีสัดส่วนเป็นคนไทย 50% และชาวต่างชาติ 50%

ที่ Pride Clinic บำรุงราษฎร์มีการใช้กลยุทธ์ Gender-Inclusive Marketing ด้วยเช่นกัน ไม่มีการแบ่งแยกเรื่องเพศ หรือเลี่ยงการระบุเพศสภาพเลี่ยงโฆษณาว่าสำหรับผู้หญิง หรือผู้ชาย หรือการใช้เพศสภาพเป็นตัวตั้ง มีการเทรนบุคลากรให้เข้าใจคนทุกกลุ่ม หรืออย่างในต่างประเทศไม่ใช้สรรพนาม His หรือ Her ที่บำรุงราษฎร์ก็เลี่ยงการใช้สรรพนามแทนคุณผู้หญิง คุณผู้ชาย เรียกเป็น “คุณ” แทน

จะเห็นได้ว่าบำรุงราษฎร์พร้อมปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อให้ทันต่อยุคสมัย การให้บริการของ Pride Clinic จะเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้เห็นศักยภาพของบำรุงราษฎร์ที่พร้อมให้บริการแก่คนทุกกลุ่ม พร้อมเปิดรับโอกาสใหม่ๆ มุ่งยกระดับให้ครอบคลุมและมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นแต่เรายังคงไว้ซึ่งคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยสูงสุดของผู้รับบริการทุกคน

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Pride Clinic ได้ที่ https://www.bumrungrad.com/th/centers/pride-clinic

 

]]>
1400947
สนับสนุน “ความเท่าเทียม” อย่างไรไม่ให้เป็นแค่การตลาด ศึกษาจาก แสนสิริ-ยูนิลีเวอร์-ดีแทค องค์กรต้นแบบ UNDP https://positioningmag.com/1387741 Mon, 06 Jun 2022 04:06:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1387741 ถ้าองค์กรเอกชนสักแห่งลุกขึ้นมาออกนโยบายด้าน “ความเท่าเทียม” ทั้งทางเพศ ชาติ ศาสนา ฐานะ ผลกระทบจะเกิดขึ้นเป็นวงกว้างในสังคม เพราะเอกชนเกี่ยวพันกับทั้งพนักงาน ลูกค้า และคู่ค้าตลอดซัพพลายเชน เอกชนจะเป็นตัวเร่งความเปลี่ยนแปลงที่ดี ทำให้ UNDP เลือกจัดพันธกิจส่งเสริมการสร้างนโยบายความเท่าเทียมผ่านองค์กรเอกชน และคัดเลือก 3 องค์กรต้นแบบในไทย ได้แก่ แสนสิริ, ยูนิลีเวอร์ และ ดีแทค เพื่อร่วมมือกันส่งแรงบันดาลใจและแนวทางปฏิบัติให้องค์กรอื่นๆ

“ประเทศไทยนั้นมีความอดทนอดกลั้นต่อ LGBTQ+ แต่ไม่ใช่การโอบรับความหลากหลายนั้นเข้ามา” เรอโน เมแยร์ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (United Nations Development Programme: UNDP) กล่าวโดยสรุป

ความหมายของเขาคือประเทศไทยมีความอดทนต่อ LGBTQ+ เพศที่สามไม่ต้องหวั่นกลัวอันตรายต่อชีวิตหากเปิดเผยตัวตน แต่ที่ทางในสังคมยังมีส่วนที่ปิดกั้นไม่ให้เข้าถึง บางอาชีพยังไม่ต้อนรับ LGBTQ+ แม้กระทั่งเพศหญิงเอง ประเทศไทยมีอัตราส่วนผู้บริหารหญิงในองค์กรเอกชนที่มากกว่าหลายประเทศในโลก แต่ในวงการการเมืองการปกครองระดับสูงนั้นมีผู้หญิงอยู่น้อยมาก นอกจากนี้ยังมีความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นที่เป็นปัญหาในประเทศ

“ไทยทำได้ดีกว่าหลายประเทศ เราเปิดกว้างกว่าคนอื่น แต่ยังมีจุดที่พัฒนาได้อีก” เมแยร์กล่าว

 

3 องค์กรต้นแบบทำอะไรเพื่อ “ความเท่าเทียม” ?

เพื่อให้เกิดการพัฒนาดังกล่าว UNDP มองเห็นความสำคัญของการผลักดันผ่านองค์กรเอกชน โดยมีการจัด Roundtable Discussion รวมองค์กรเอกชนและภาครัฐมาพูดคุยเพื่อศึกษาแนวนโยบายและการปฏิบัติด้านความเท่าเทียม เพื่อให้ UNDP ได้รวบรวมองค์ความรู้ เป็นแกนกลางเครือข่ายในการให้คำปรึกษาองค์กรที่ต้องการจะสร้างความเท่าเทียมในอนาคต

UNDP ความเท่าเทียม แสนสิริ ยูนิลีเวอร์ ดีแทค
(จากซ้าย) ชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค, ณัฏฐิณี เนตรอำไพ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย, เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และเรอโน เมแยร์ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNDP)

โอกาสนี้ UNDP คัดเลือก 3 องค์กรต้นแบบความเท่าเทียมขึ้นมาเพื่อจะเป็น ‘พี่ใหญ่’ ที่ให้คำแนะนำองค์กรอื่นได้ ได้แก่ แสนสิริ, ยูนิลีเวอร์ และ ดีแทค ด้วยนโยบายองค์กรที่ปฏิบัติจริงและได้ผลจริง ไม่ใช่การ ‘Pinkwashing’ หรือสนับสนุน LGBTQ+ เพื่อประโยชน์ทางการตลาดเท่านั้น

“แสนสิริ”

เป็นองค์กรสัญชาติไทยแห่งแรกที่ร่วมลงนามในสัญญา UN Global Standards of Conduct for Business ของ UNDP สัญญานี้คือสัญญาว่าองค์กรจะปฏิบัติต่อพนักงาน LGBTQ+ อย่างเท่าเทียม ให้สวัสดิการที่เท่าเทียมกัน เช่น ลาเพื่อจัดสมรสกับคู่ชีวิต, ลาฌาปนกิจคู่ชีวิต, ลาเพื่อดูแลคู่ชีวิตและบุตรบุญธรรม และยังสามารถลาเพื่อผ่าตัดแปลงเพศได้ 30 วันต่อปี รวมถึงสิทธิที่บริษัทให้แก่คู่สมรส คู่ชีวิต LGBTQ+ จะได้รับด้วย เช่น วัคซีนทางเลือก ประกันสุขภาพ

ในแง่ของสินค้า แสนสิริเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ซึ่งลูกค้ามักจะมีการกู้สินเชื่อบ้าน บริษัทจึงพบปัญหาอย่างหนึ่งว่า คู่ชีวิต LGBTQ+ จะไม่สามารถกู้ร่วมกันได้เพราะไม่มีทะเบียนสมรสและไม่ถูกยอมรับว่าเป็นคู่ชีวิตทางพฤตินัย แสนสิริจึงเข้าพบกับธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเพื่อเจรจาขอให้ลูกค้า LGBTQ+ ที่เป็นคู่ชีวิตกัน พิสูจน์ได้ สามารถกู้ร่วมได้เป็นกรณีพิเศษ การเจรจาเหล่านั้นสำเร็จจนถึงทุกวันนี้

แสนสิริช่วยเจรจาสินเชื่อบ้านให้ลูกค้าคู่ชีวิต LGBTQ+ สามารถกู้ร่วมกันได้
“ยูนิลีเวอร์”

บริษัทผลิตสินค้าของใช้ในชีวิตประจำวัน เมื่อบริษัทใหญ่ขยับ จะมีผลกับลูกค้าจำนวนมาก ทำให้ยูนิลีเวอร์มีนโยบายการให้ความเท่าเทียมในหลายด้าน เช่น การสร้างความหลากหลายในโฆษณา ใช้คนธรรมดาหรือคนที่มีความแตกต่างให้มากขึ้น, สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในที่ทำงาน เพื่อให้ LGBTQ+ สามารถแสดงตัวตนได้โดยไม่รู้สึกหวาดกลัวและไม่มีผลกระทบต่อการทำงานหรือการเลื่อนขั้น, ตั้งเป้าเพิ่มการจ้างงานผู้พิการให้มีสัดส่วน 5% ภายในปี 2568 เป็นต้น

ยูนิลีเวอร์ ความเท่าเทียม
โฆษณาของ Sunsilk ที่พูดถึง LGBTQ+ มาตั้งแต่ปี 2562
“ดีแทค”

บริษัทในเครือเทเลนอร์ กรุ๊ป เนื่องจากเป็นบริษัทโทรคมนาคม ทำให้ดีแทคจะให้ความสำคัญกับการกระจายการเข้าถึงโทรคมนาคมอย่างเท่าเทียมในทุกกลุ่ม ทำให้จะดูแลกลุ่มที่ต้องการการดูแล เช่น โครงการ ‘ดีทั่วดีถึง ดีไปด้วยกันทุกคน’ ช่วยให้ผู้พิการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต โครงการ Safe Internet ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันออนไลน์ ป้องกันไซเบอร์บูลลี่ให้กับกลุ่มเยาวชน ให้ความรู้การใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัยแก่ผู้สูงวัย

ส่วนการจัดการภายในองค์กรของดีแทคก็มีนโยบาย ‘Zero-Tolerance’ ต่อการกีดกันด้วยเพศ ชาติ ศาสนา และมีสวัสดิการสำหรับ LGBTQ+ สามารถลาผ่าตัดแปลงเพศได้ และผู้หญิงสามารถลาคลอดบุตรได้ 6 เดือนต่อปี เพื่อให้ผู้หญิงไม่ต้องเลือกระหว่างชีวิตการงานหรือครอบครัวเมื่อวางแผนมีบุตร

ดีแทค ความเท่าเทียมนั่นคือรากฐานที่แต่ละบริษัททำมาตลอดหลายปี แต่ล่าสุดหลังจากร่วม Roundtable กับ UNDP ทำให้แต่ละบริษัทสามารถเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ และมีการประกาศจุดยืนร่วมกัน สร้างโครงการขยายผลเพื่อทำร่วมกันในประเด็นความเท่าเทียมต่อไป เช่น แนวคิดการสนับสนุนซัพพลายเออร์ในซัพพลายเชนที่เป็นบริษัทของ LGBTQ+ แต่ปัญหาคือยังไม่เคยมีใครจัดทำลิสต์บริษัทที่บริหารโดย LGBTQ+ มาก่อน ซึ่งทำให้ทุกบริษัทจะร่วมมือกันเพื่อรวบรวมฐานข้อมูลดังกล่าว

 

รู้ว่าเป้าคือ “ความเท่าเทียม” แต่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร

แสนสิริมีพนักงานกว่า 4,000 คน ยูนิลีเวอร์มีกว่า 5,000 คน และดีแทคอีก 6,000 คน ผลกระทบที่เกิดจากสามบริษัทนี้สูงมาก แต่จะเปลี่ยนสังคมได้มากกว่านี้เมื่อบริษัทอื่นๆ มีนโยบายความเท่าเทียม ลงไปถึงบริษัทในระดับ SMEs

“จากที่ได้พูดคุยมา บริษัท SMEs จะบอกว่าอุปสรรคหลักของเขาคือ ‘เงินทุน’ ทำให้เขาไม่พร้อมจะให้สวัสดิการคนทุกกลุ่มเสมอภาคกันหมด แต่จริงๆ แล้วบางอย่างสามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้เงิน เป็นเรื่องที่เริ่มจากทัศนคติของผู้บริหาร สร้างการปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมในชีวิตประจำวัน เพราะเรื่องแบบนี้เป็น top-down ผู้บริหารต้องแสดงให้เห็นก่อนว่าสนับสนุนการแสดงตัวตน ไม่มีการแบ่งแยกรังเกียจ หรือการโปรโมตเลื่อนขั้นก็โปร่งใสว่าไม่ใช้เรื่องเพศมาเกี่ยวข้อง” ณัฏฐิณี เนตรอำไพ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กล่าว

“สังคมภายนอกอาจจะยังตัดสินตัวตนของเขา แต่ที่ยูนิลีเวอร์เราไม่ตัดสิน อย่างล่าสุดเรามีผู้บริหาร LGBTQ+ ของไทยที่ได้รับการเลื่อนขั้นไปในระดับโกลบอลแล้ว เห็นได้ว่าเพศไม่มีผลต่อความก้าวหน้า”

Photo : Shutterstock

เรอโน เมแยร์ จาก UNDP กล่าวว่า ทุกวันนี้องค์กรในไทยตระหนักรู้ถึงเรื่อง “ความเท่าเทียม” แล้ว แต่สังคมยังสงสัยว่าการตั้งเป้าต่างๆ จะเป็นแค่การพูด “บลา-บลา-บลา” แต่ไม่มีการลงมือทำหรือเปล่า ซึ่ง UNDP เชื่อว่าส่วนใหญ่มีความตั้งใจที่ดี เพียงแต่ไม่มีประสบการณ์ว่าต้องทำอย่างไรมากกว่า ทำให้ดูเหมือนเป็นการ Pinkwashing อยู่บ่อยครั้ง

“ถ้าทำเรื่องความเท่าเทียมแล้วรายได้เพิ่มในลักษณะเป็นผลพลอยได้ แบบนี้โอเค แต่ถ้าทำเพื่อหาผลประโยชน์เป็นแค่การตลาดเท่านั้น อันนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง” เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริม

“ถ้าทำเรื่องความเท่าเทียมแล้วรายได้เพิ่มในลักษณะเป็นผลพลอยได้ แบบนี้โอเค แต่ถ้าทำเพื่อหาผลประโยชน์เป็นแค่การตลาดเท่านั้น อันนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง”

— เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

เมแยร์อธิบายว่า เมื่อปัญหาขององค์กรที่กำลังพยายามสร้างนโยบายความเท่าเทียมคือการไม่มีคู่มือ ไม่มีประสบการณ์ UNDP จึงเข้ามาเป็นสะพานเชื่อมให้องค์กรเหล่านี้ได้คุยกับองค์กรต้นแบบ เพื่อจะให้เห็นว่าการจัดการภายในเริ่มต้นได้จากตรงไหน เช่น การรับสมัครงานที่ไม่กีดกันทางเพศ, วิธีคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อความเท่าเทียม ต้องคิดให้ถึงต้นตอที่ช่วยแก้ปัญหาได้จริง ไม่ใช่การตลาด หรือการคิดให้ครบทั้งซัพพลายเชนเพื่อพาซัพพลายเออร์มาเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน

บนเวทีการพูดคุยครั้งนี้ยังมองเห็นประเด็นความเท่าเทียมที่ยังต้องพัฒนาในมิติอื่นอีก เช่น ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ช่องว่างรายได้ของประชาชน เป็นอีกประเด็นใหญ่ที่ต้องคิดหาวิธีปฏิบัติ และการระดมสมองจากหลายๆ องค์กรจะทำให้ไปด้วยกันได้เร็วกว่าเดิม

]]>
1387741