UOB – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 20 Dec 2023 05:22:41 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 UOB จับมือ 5 พาร์ตเนอร์ เปิดตัวบัตรเครดิต Co brand ย้ำสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น ตั้งเป้าปี 67 ยอดใช้จ่ายโต 10% https://positioningmag.com/1456483 Wed, 20 Dec 2023 05:12:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1456483 ยูโอบี จับมือ 5 พาร์ตเนอร์ เปิดตัวบัตรเครดิต Co brand ไม่ว่าจะเป็น Makro, Grab, Lazada, Mercedes หรือแม้แต่การบินไทย โดยยืนยันว่าสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นจากเดิม ไม่ลดลง ขณะเดียวกันคาดว่าในปี 2567 จะมียอดใช้จ่ายบัตรของลูกค้าเพิ่มขึ้นถึง 10%

ยูโอบี (UOB) ได้จับมือ 5 พาร์ตเนอร์ เปิดตัวบัตรเครดิต Co brand ไม่ว่าจะเป็น Makro, Grab, Lazada, Mercedes หรือแม้แต่การบินไทย โดยได้ยืนยันถึงสิทธิประโยชน์ของผู้ถือบัตรเพิ่มมากขึ้น ไม่ได้ลดลง และตั้งเป้าว่าภายในปี 2567 นั้นยอดใช้จ่ายบัตรของลูกค้าจะเติบโตได้ถึง 10%

หลังการเข้าซื้อกิจการธุรกิจลูกค้ารายย่อยของ Citi สำเร็จในปี 2565 ที่ผ่านมา ทำให้ธนาคารมีจำนวนลูกค้ารายย่อยเกือบ 8 ล้านรายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ธนาคารมีฐานลูกค้ารายย่อยใหญ่เป็นอันดับ 6 ของประเทศไทย หรือแม้แต่ฐานลูกค้าบัตรเครดิตที่เติบโตมากขึ้นกว่าเดิมกลายเป็น 1 ใน 3 ของผู้เล่นรายใหญ่

ภาพบัตรเครดิตใหม่ ของ 5 พาร์ตเนอร์หลังอยู่ภายใต้ชายคาของ UOB

สำหรับแบรนด์ที่ได้เปิดตัวบัตรเครดิต Co brand และสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มเติม ได้แก่

  • Grab โดยสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มจากเดิมคือ เพิ่ม Code ทุกวันศุกร์ รับคะแนน 3 เท่าในกลุ่มแฟชั่น ดีพาร์ตเมนต์สโตร์ หรือกลุ่ม Healthcare ถ้าหากผู้สมัครบัตรใหม่ยังได้สิทธิ์ Grab Unlimited 1 ปีเพิ่มด้วย
  • Lazada สิทธิประโยชน์ที่เพิ่มจากเดิมคือมีการแจก Code ของ Lazada มากกว่าเท่าตัว เมื่อเทียบกับของเดิม
  • Makro สิทธิประโยชน์ที่เพิ่มจากเดิมคือ ได้แต้ม 2 เท่าถ้าหากซื้อสินค้าใน Makro ในวันที่ 16 ของเดือน
  • การบินไทย สิทธิประโยชน์จะมีการเปิดตัวในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2567
  • Mercedes สิทธิประโยชน์จะมีการเปิดตัวในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2567

สุพรทิพย์ พงศาชำนาญกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Head of Card Business ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า UOB รู้สึกตื่นเต้นกับความร่วมมือครั้งนี้มาก เพราะจะทำให้ธนาคารมอบบริการทางการเงินที่หลากหลายเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์และความสนใจของลูกค้าที่แตกต่างกัน

เธอยังกล่าวเสริมว่า ความร่วมมือครั้งนี้ช่วยให้ UOB มอบบริการด้านการเงินที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่ในประเทศไทยเพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมถึงภูมิภาคอาเซียน และนี่เป็นสิ่งทำให้ธนาคารยูโอบีมีความโดดเด่นและแตกต่าง

นอกจากนี้การเปิดตัวบัตร Co brand ทั้ง 5 นี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นของธนาคาร ในการทำให้ธนาคารเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของลูกค้า บัตรแต่ละใบได้รับการออกแบบเพื่อมอบสิทธิประโยชน์ให้ตรงใจกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน 

สิทธิประโยชน์บัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้นของ UOB กับ 5 พันธมิตร

ไม่เพียงเท่านี้ UOB ยังมีการออกแบบบัตรเครดิตใหม่ โดยเสนอความเป็นแต่ละแบรนด์ เช่น Grab แสดงถึงเรื่องของความไม่จำกัด (Unlimited) บัตร Royal Orchid ของการบินไทยที่มีความเรียบแต่หรู ทางด้านบัตรของ Lazada ที่เป็นแนวตั้งนั้นมองเรื่องความแตกต่าง ขณะที่ Mercedes แสดงถึงแบรนด์แบบเรียบหรู เป็นต้น

ทาง UOB ยังกล่าวถึงการมอบสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับลูกค้าผู้ถือบัตร ไม่ว่าจะเป็นการจองตั๋วคอนเสิร์ตของ Taylor Swift ในช่วงที่ผ่านมา หรือแม้แต่การจองตั๋วคอนเสิร์ตของ Ed Sheran ในประเทศไทยที่ได้สิทธิพิเศษกับผู้ถือบัตรของ UOB ก่อนใคร

ผู้บริหารของ UOB ยังกล่าวว่า “ตั้งแต่ลูกค้ารู้ว่า Citi จะมาอยู่กับ UOB ลูกค้ามีความกังวลถึงสิทธิประโยชน์อย่างมาก แต่ธนาคารได้ต่อยอดสิทธิประโยชน์จากเดิม เช่น แต้มสะสมไม่หมดอายุ มีแคมเปญพิเศษให้โดยตลอด โดยคนที่ถือบัตรเดิมของ Citi ได้สิทธิประโยชน์ใหม่เช่นกัน และจะมีการส่งบัตรเครดิตใบใหม่ให้ในช่วงต้นปี 2567”

]]>
1456483
ปรากฏการณ์ Taylor Swift ส่งผลให้ UOB ได้ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 89% ในไตรมาสที่ผ่านมา https://positioningmag.com/1449401 Thu, 26 Oct 2023 10:20:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449401 คอนเสิร์ตของ Taylor Swift ที่จัดในประเทศสิงคโปร์ ได้สร้างผลดีกับสถาบันการเงินอย่าง UOB เมื่อรายได้ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 89% ในไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากเหล่าแฟนคลับแห่กันสมัครและใช้งานบัตรเครดิตเพื่อที่จะจองตั๋วคอนเสิร์ต

สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวว่า UOB สถาบันการเงินในสิงคโปร์ ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา โดยรายได้ค่าธรรมเนียมของบัตรเครดิตของสถาบันการเงินรายดังกล่าวเพิ่มขึ้นมากถึง 89% เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่ผ่านมา และยังทำสถิติใหม่ด้วย

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตของ UOB เพิ่มมากขึ้นก็คือ ผลจากปรากฏการณ์คอนเสิร์ตของ Taylor Swift ที่จัดในประเทศสิงคโปร์ ทำให้เหล่าแฟนคลับแห่กันสมัครบัตรเครดิตในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เนื่องจากสิทธิพิเศษของผู้ถือบัตรคือสามารถที่จะจองตั๋วคอนเสิร์ตได้ก่อนใคร

ปกติแล้วรายได้ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตคิดเป็นสัดส่วน 10% ของรายได้รวมทั้งหมดของ UOB แต่ปรากฏการณ์คอนเสิร์ตของ Taylor Swift ที่จัดในประเทศสิงคโปร์ส่งผลทำให้ไตรมาสที่ผ่านมารายได้นั้นทะลุเป้าเกือบ 20% ของรายได้รวมทั้งหมด

ไม่ใช่แค่ Taylor Swift เท่านั้น ล่าสุดทาง UOB ได้จับมือกับผู้จัดคอนเสิร์ต Ed Sheeran ในการให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ถือบัตรเครดิตของสถาบันการเงินรายนี้สามารถซื้อตั๋วคอนเสิร์ตได้ก่อนใครด้วย

Wee Ee Cheong ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดของ UOB ได้กล่าวว่า ถ้าคุณมีบัตรเครดิตของ UOB ก็ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบเล็กๆ น้อยๆ และจะมีอีกมากมายตามมาในภายหลังอย่างเช่น คอนเสิร์ตของ Ed Sheeran ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกัน (กับคอนเสิร์ตของ Taylor Swift)

]]>
1449401
UOB สำรวจผู้บริโภคชาวไทย มอง 6-12 เดือนข้างหน้าใช้จ่ายระมัดระวัง กังวลเศรษฐกิจชะลอตัว https://positioningmag.com/1446324 Sun, 01 Oct 2023 15:37:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1446324 ยูโอบี ได้ออกรายงาน ASEAN Consumer Sentiment Study 2023 ซึ่งเปิดเผยความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจของผู้บริโภคชาวไทย มีความกังวลถึงสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า และมองว่าทำให้มีการใช้จ่ายแบบระมัดระวังตัวมากขึ้นจากปัจจัยดังกล่าว

UOB ได้ทำการสำรวจผู้บริโภคในอาเซียน รวมถึงประเทศไทย และได้ออกรายงาน ASEAN Consumer Sentiment Study โดยในปี 2023 นี้ รายงานการศึกษาพบว่า ผู้บริโภคคนไทยยังคงเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของประเทศ แต่ก็มีความระมัดระวังและปรับตัวให้เข้ากับภาวะเศรษฐกิจที่อาจจะชะลอตัว

การสำรวจของ UOB ที่ทำในประเทศไทยได้เน้นเจาะกลุ่มชนชั้นกลางที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 50,000 บาท ไปจนถึงมากกว่า 200,000 บาท เป็นจำนวน 600 คนด้วยกัน

72% ของผู้ตอบแบบสำรวจ แสดงความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่อาจเกิดขึ้นในอีก 6-12 เดือนข้างหน้า ส่งผลให้ผู้บริโภคใช้จ่ายอย่างระมัดระวังกว่าเดิม และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางการเงิน โดยผู้ที่ตอบแบบสอบถามได้เลือกกันเงินสำหรับการออมและการลงทุนมากขึ้น 

โดย 3 ใน 4 ของผู้บริโภคในไทยมีความกังวลในสถานะการเงินของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนที่สูงขึ้น หรือแม้แต่ความมั่งคั่งของตัวเองลดลง ขณะที่ด้านการงานมองว่ากังวลในเรื่องที่จะได้โบนัสลดลง ความสามารถในการหาตำแหน่งงานที่ดีกว่า ไปจนถึงความเป็นไปได้ที่จะตกงาน

ข้อมูลจาก UOB

ผู้ตอบแบบสำรวจ 30% ยังกังวลถึงเรื่องของความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยข้าวของที่จำเป็นสำหรับตนเองและครอบครัว ขณะที่ความสามารถในการมีไลฟ์สไตล์แบบปัจจุบันรวมถึงด้านการออมเงินมีมากถึง 30% เช่นกัน ในด้านของการใช้เงินนั้น 25% มองว่าค่าใช้จ่ายตัวเองจะใช้มากขึ้น ขณะที่ 41% จะคงไว้ที่จำนวนเท่าเดิม ขณะที่ 31% จะลดด้านการใช้จ่ายลง

ในเรื่องของการเงินนั้น ผลสำรวจได้ชี้ว่า คนรุ่นใหม่ได้ให้ความสำคัญกับการออมและการลงทุน โดยเฉพาะ Gen Z เป็นกลุ่มที่ระมัดระวังที่สุด 41% มีแผนออมเงินมากขึ้นในปีนี้ ในขณะที่ Gen Y มุ่งเน้นการลงทุนมากที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น

ขณะที่ด้านของการใช้บริการของธนาคารผ่านช่องทางต่างๆ 61% นั้นใช้ช่องทางผ่านโทรศัพท์มือถือ 38% ผ่าน Internet Banking 30% ผ่านช่องทางเครื่องทำธุรกรรมอัตโนมัติ เช่น ATM หรือ CDM ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้บริโภคชาวไทยปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมดังกล่าวได้ดี

รายงานฉบับดังกล่าวยังชี้ว่า 89% ของผู้บริโภคยังพร้อมแบ่งปันข้อมูลส่วนตัวกับธนาคารเพื่อรับบริการเฉพาะบุคคลมากขึ้นผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร มากกว่าแอปพลิเคชันแบบอื่นๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจของผู้บริโภค ในการเปิดรับข้อเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่คัดสรรเฉพาะจากธนาคาร

]]>
1446324
UOB- The EM District ร่วมปั้น “ยูโอบี ไลฟ์” ฮอลล์จัดอีเวนต์แห่งใหม่ใน THE EMSPHERE รองรับ 6,000 คน https://positioningmag.com/1441251 Thu, 17 Aug 2023 15:45:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1441251 UOB และ The EM District รวมถึง AEG ร่วมปั้น “ยูโอบี ไลฟ์” ฮอลล์จัดอีเวนต์แห่งใหม่ใน THE EMSPHERE รองรับ 6,000 คน คาดว่าในแต่ละปีจะสามารถจัดงานต่างๆ ได้มากถึง 100 งาน โดยจะเน้นไปที่การจัดคอนเสิร์ตและกีฬาเป็นหลัก

ตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า ธนาคารยูโอบีประเทศไทย, ดิ เอ็มดิสทริค (The EM District) รวมถึง เออีจี (AEG) ประกาศความร่วมมือในการให้สิทธ์ยูโอบีใช้ชื่อแบรนด์ ยูโอบี ไลฟ์ (UOB LIVE) ศูนย์กลางการจัดงานแห่งใหม่ที่ครบครันและล้ำสมัยที่สุดในอาเซียน

การให้สิทธิ์ใช้ชื่อ UOB LIVE นั้นจะมีอายุ 5 ปี นับตั้งแต่การเปิดใช้งานวันแรก คาดว่าจะมีการเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีหน้า และเริ่มมีการติดต่อขอใช้พื้นที่ดังกล่าวบ้างแล้วด้วย

ขณะที่ ศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด และ ดิ เอ็มดิสทริค ได้เล่าถึง AEG มีแผนจะขยายธุรกิจ โดยบอร์ดผู้บริหารบอกว่ายุโรปน่าสนใจ แต่ Philip Anschutz ซึ่งเป็นเจ้าของ AEG กลับไม่เห็นด้วย

หัวเรือใหญ่ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป รายนี้ได้แนะนำประเทศไทยไปหลังจากการเข้าพบกับเจ้าของ AEG ซึ่งเขาเองเห็นด้วยกับแผนการดังกล่าวนี้ เธอยังได้พาบอร์ดผู้บริหารมาเที่ยวในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเธอมองว่าไทยสามารถผลักดัน World Class Entertainment ได้ และต่างฝ่ายต่างจริงจังในเรื่องนี้เช่นกัน

UOB LIVE นี้สามารถรองรับผู้เข้าร่วมงานได้ถึง 6,00 คน โดยที่โฟกัสหลักจะอยู่ที่งานประเภทคอนเสิร์ต และ กีฬา แต่สามารถรองรับจัดงานประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น งานสัมมนา หรือแม้แต่งานแต่งงานได้เช่นกัน โดยคาดว่าในแต่ละปีจะมีการจัดงาน 100 งานต่อปี แต่จะเน้นไปที่คอนเสิร์ตกับกีฬาเป็นหลัก

โดยฮอลล์ดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งในไฮไลต์ของ ดิ เอ็มสเฟียร์ (THE EMSPHERE) ศูนย์การค้าแห่งใหม่ ที่มาพร้อมกับแหล่งช็อปปิ้งระดับโลก ตัวเลือกร้านอาหารที่หลากหลาย และพื้นที่สำหรับความบันเทิง

ตัน ชุน ฮิน (ที่ 3 จากด้านซ้าย), ศุภลักษณ์ อัมพุช (กลาง), อดัม วิลคส์ (ที่ 4 จากด้านขวา)

อดัม วิลคส์ ประธานและผู้บริหารสูงสุดของบริษัท AEG แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่นำไปสู่ยุคใหม่ด้านความบันเทิง โดย UOB LIVE จะเป็นสัญลักษณ์แห่งอนาคต ด้วยการมอบประสบการณ์ความบันเทิงเหนือระดับ ผ่านความร่วมมือของ AEG, UOB และ เดอะ มอลล์ กรุ๊ป ถือเป็นก้าวสำคัญในการจัดกิจกรรมระดับเวิลด์คลาสเพื่อสร้างช่วงเวลาสุดพิเศษที่น่าจดจำให้กับผู้เข้าชมงานทั้งในไทยและระดับนานาชาติ

นอกจากนี้ ประธานและผู้บริหารสูงสุดของบริษัท AEG แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยังได้เล่าถึงสาเหตุที่จะทำให้ศิลปินต่างชาติไม่เข้ามาในประเทศไทย สาเหตุส่วนหนึ่งที่เขามองเป็นเพราะโครงสร้างพื้นฐานของไทยที่ไม่ดี

สำหรับความร่วมมือกับ UOB และ AEG นั้นครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ก่อนหน้านี้สถาบันการเงินจากประเทศสิงคโปร์รายนี้ได้จับมือกันโดยการให้สิทธิพิเศษกับลูกค้าบัตรเครดิตของ UOB สามารถที่จะซื้อบัตรคอนเสิร์ตของ Taylor Swift ที่ประเทศสิงคโปร์ได้ก่อนเพื่อน ก่อนที่จะมาจับมือกับ The EM District และ AEG อีกครั้งในกรุงเทพ

ขณะที่เม็ดเงินลงทุนของ UOB LIVE ที่ The EM District อยู่ที่ 150 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่เม็ดเงินอีก 350 ล้านเหรียญสหรัฐนั้นทาง AEG และ The Mall Group ได้ลงทุนในฮอลล์จัดอีเวนต์ที่ Bangkok Mall แต่ยังไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องของการให้สิทธิ์ใช้ชื่อแต่อย่างใด

ประธานและผู้บริหารสูงสุดของบริษัท AEG แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยังได้กล่าวถึงรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ UOB LIVE รวมไปถึงกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการจะประกาศให้ทราบอีกครั้งในเร็วๆ นี้

นอกจากนี้ทาง The EM District และ AEG ก็กำลังคุยกับผู้สนับสนุนรายอื่นๆ (Founding Sponsor) ของฮอลล์จัดอีเวนต์แห่งใหม่นี้ด้วย โดยเบื้องต้นมีทั้งแบรนด์รถยนต์ รวมถึงแบรนด์เครื่องดื่มเข้าร่วมแล้ว

]]>
1441251
UOB สำรวจพบ 3 ใน 4 ของ “ผู้บริหารไทย” เชื่อมั่นรายได้บริษัทฟื้นตัวปีนี้ แต่ยังต้องแบกต้นทุนเงินเฟ้อ https://positioningmag.com/1438981 Tue, 25 Jul 2023 11:55:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1438981 ผลสำรวจ “ผู้บริหารไทย” โดยธนาคารยูโอบี (UOB) พบว่า 3 ใน 4 เชื่อมั่นว่ารายได้ขององค์กรจะฟื้นตัวได้ในปีนี้ แม้ว่าปัจจัยลบเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อจะยังคงมีอยู่ โดยบริษัทที่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจปีนี้มากที่สุด ได้แก่ ภาคการผลิต ภาคอสังหาฯ-โรงแรม และธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค

ธนาคารยูโอบี จัดทำรายงาน UOB Business Outlook Study 2023 (SME& Large Enterprises) สำรวจความคิดเห็นและวิสัยทัศน์ของผู้บริหารไทยเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยในปีนี้หลังผ่านสถานการณ์โควิด-19 มา โดยสำรวจทั้งในองค์กรขนาดใหญ่และกลุ่ม SMEs รวมทั้งหมด 530 คน ครอบคลุมอุตสาหกรรม 10 กลุ่มในประเทศไทย

ผลสำรวจพบว่า 76% หรือ 3 ใน 4 ของผู้บริหารเชื่อมั่นว่าผลประกอบการขององค์กรในปี 2566 มีแนวโน้มสูงขึ้น

โดยธุรกิจที่มีความเชื่อมั่นสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจด้านการผลิตและวิศวกรรม (85%) ตามด้วย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการโรงแรม (80%) และ ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (79%)

74% ของบริษัทที่สำรวจยังเชื่อมั่นด้วยว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะ “ดีขึ้น” และกว่า 90% มั่นใจว่าจะเห็นกำไรฟื้นตัวกลับมาได้ภายในปี 2568

สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจของปีนี้ของบริษัทต่างๆ 5 อันดับแรก ได้แก่ การมองหาฐานลูกค้าใหม่  (37%) สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง (35%) ลดรายจ่าย (32%) หาแหล่งรายได้ใหม่ (30%) และนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ (29%)

 

“ต้นทุนพุ่ง” จากเงินเฟ้อยังเป็นปัจจัยลบ

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจพบว่า 90% ของธุรกิจที่สำรวจได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อมาตั้งแต่ปี 2565

61% ของธุรกิจบอกว่าบริษัทของตนมีต้นทุนการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น และ 44% กล่าวว่ากำไรลดลงจากปัญหานี้

อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นมีผลจากความขัดแย้งทางการเมืองโดยเฉพาะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ปัจจัยนี้ทำให้บริษัท 2 ใน 5 ที่สำรวจระบุว่าซัพพลายเชนของธุรกิจได้รับผลกระทบ และทำให้ต้นทุนสูง

ถึงแม้ว่าปัจจัยลบเหล่านี้ยังคงอยู่ แต่ 63% ของธุรกิจที่สำรวจยังมองบวกว่า อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยน่าจะถึงจุดสูงสุดแล้ว และน่าจะปรับลดลงได้ภายใน 6 เดือนถึง 2 ปี

กลยุทธ์ธุรกิจ: มองหาการขยายไปต่างประเทศ

ผลสำรวจนี้ยังพบด้วยว่า 90% ของธุรกิจต้องการจะขยายไปยังต่างประเทศภายใน 3 ปี เพื่อทางเพิ่มรายได้ เพิ่มกำไร และสร้างภาพลักษณ์ในระดับนานาชาติ

โดยธุรกิจที่ต้องการขยายไปต่างประเทศมากที่สุดคือ กลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ที่ทำธุรกิจค้าส่งและส่งออก (96%) เป้าหมายหลักที่บริษัทเหล่านี้ต้องการขยายไปคือ สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย และจีน อย่างไรก็ตาม มีส่วนหนึ่งเหมือนกันที่สนใจจะขยายไปนอกภูมิภาคเอเชีย (คิดเป็น 1 ใน 3)

ทั้งนี้ ความท้าทายหลักที่ภาคธุรกิจเผชิญเวลาขยายธุรกิจไปต่างประเทศคือ ขาดความรู้ทางกฎหมาย กฎระเบียบ และภาษี รวมถึงขาดพันธมิตรที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ปรับตัวสู่ดิจิทัล ส่วนความยั่งยืน…ยังต้องรอก่อน

เทรนด์การดำเนินธุรกิจที่เกิดขึ้นในโลกและในไทยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พบว่า บริษัทพร้อมแล้วที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ดำเนินธุรกิจ โดย 92% ของบริษัทไทยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจอย่างน้อย 1 หน่วยงาน ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่มากกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชีย

ธุรกิจมักจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น บริการลูกค้าได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่วน SMEs ไทยส่วนใหญ่จะใช้เพื่อปรับกระบวนการธุรกิจ

ส่วนความสนใจด้านความยั่งยืน 96% ของบริษัทที่สำรวจสนใจแนวทางทางการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน มองว่ากลยุทธ์ด้านความยั่งยืนจะช่วยส่งเสริมชื่อเสียงของบริษัทให้ดีขึ้น ทั้งยังสามารถดึงดูดพนักงานใหม่และนักลงทุน

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจนี้พบว่าแม้ 9 ใน 10 ของธุรกิจไทยจะประกาศเป้าหมายแล้วว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (net zero emission) แต่มีเพียง 51% ที่นำแนวคิดด้านความยั่งยืนมาปฏิบัติอย่างจริงจัง

เหตุที่บริษัทเกือบครึ่งหนึ่งที่สำรวจยังไม่ได้ปฏิบัติจริง 1 ใน 3 ของเหตุผลคือความกังวลว่าแนวปฏิบัติเพื่อความยั่งยืนจะทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น กระทบต่อกำไรบริษัท

สถานการณ์โควิดที่ผ่านมาเป็นตัวเร่งให้บริษัทในประเทศไทยเดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัล และผนึกกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนเพื่อรับมือต่อวิกฤตที่เข้ามา โดยยังสามารถปรับตัวให้ธุรกิจมีผลกำไรและเติบโตไปข้างหน้าท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน บริษัทที่ยังไม่พร้อมนำแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาลมาใช้อาจสูญเสียโอกาสทางธุรกิจได้ตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวทิ้งท้าย

]]>
1438981
UOB ประกาศซื้อธุรกิจรายย่อยของ Citi สำเร็จ ตั้งเป้าเป็น The Best Consumer Bank ในไทย https://positioningmag.com/1406244 Tue, 01 Nov 2022 17:56:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1406244 ยูโอบี (UOB) ประกาศว่าได้ดำเนินการเข้าซื้อกิจการธนาคารลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ป (Citi) ในมาเลเซียและไทยอย่างเสร็จสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้วในวันนี้ โดยการโอนธุรกิจมายัง UOB นั้นผู้บริหารได้กล่าวว่าลูกค้าแทบจะไม่ต้องเปลี่ยนแปลงหรือแม้แต่ได้รับผลกระทบ และตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนผ่านให้ไร้รอยต่อมากที่สุดด้วย

สำหรับธุรกิจธนาคารลูกค้ารายย่อยที่ UOB ซื้อต่อจาก Citi นั้นประกอบไปด้วยกลุ่มลูกค้าสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันและมีหลักประกัน ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และธุรกิจเงินฝากรายย่อย ซึ่งสถาบันการเงินรายใหญ่จากสิงคโปร์รายนี้ได้ซื้อธุรกิจจาก Citi ในไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม

สถาบันการเงินรายนี้จะยังคงให้ความสำคัญกับการโอนย้ายธุรกิจรายย่อยของ Citi เป็นไปอย่างราบรื่นในทั้ง 4 ประเทศ โดย UOB หวังว่าการโอนย้ายลูกค้าทั้งระบบจะแล้วเสร็จในอีก 12 ถึง 18 เดือนข้างหน้า ซึ่งจะทำให้มีลูกค้าจำนวนมากถึง 5.3 ล้านคนกระจายอยู่ทั่วอาเซียน และไทยเองถือเป็นประเทศที่มีฐานลูกค้ารายย่อยมากเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน

ตัวเลขที่น่าสนใจ หลังการซื้อธุรกิจรายย่อยของ Citi ของ UOB ในประเทศไทย

  • UOB กลายเป็นธนาคารที่มีฐานลูกค้ารายย่อยใหญ่เป็นอันดับ 6 ของประเทศไทย
  • ธุรกิจบัตรเครดิตของ UOB จะกลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่อันดับ 3 ของไทย
  • หลังจากซื้อธุรกิจรายย่อยของ Citi จะทำให้ UOB ในไทยมีรายได้จากลูกค้ารายย่อยสูงถึง 70%
  • ปัจจุบันพอร์ตสินเชื่อประเทศไทยมีสัดส่วนราวๆ 6% ของพอร์ตสินเชื่อรวมของกลุ่ม UOB
  • ขณะที่ในมาเลเซีย UOB กลายเป็นธนาคารที่มีฐานลูกค้ารายย่อยใหญ่เป็นอันดับ 5 และธุรกิจบัตรเครดิตของ UOB จะกลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่อันดับ 2

นอกจากนี้หลังจากการโอนย้ายลูกค้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วทาง UOB เองได้ตั้งเป้าที่จะเป็น The Best consumer Bank ในประเทศไทย แต่ถ้าหากมองภาพรวมในทั้งอาเซียนแล้วนั้น UOB ตั้งเป้าที่จะมีลูกค้ามากถึง 10 ล้านรายภายในระยะ 3-5 ปีหลังจากนี้

]]>
1406244
ยูโอบีเปิดตัวแอป UOB TMRW ที่แรกในไทย เตรียมเปิดตัวทั่วอาเซียนหลังจากนี้ https://positioningmag.com/1401831 Mon, 26 Sep 2022 17:21:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1401831 ยูโอบี ประเทศไทยจัดการรวม 2 แอปพลิเคชัน UOB Mighty กับ TMRW ให้กลายเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ชื่อ UOB TMRW โดยเปิดตัวในประเทศไทยเป็นที่แรก เนื่องจากมีการแข่งขันด้านดิจิทัลแบงก์กิ้งที่สูงแห่งหนึ่งในอาเซียน และจะมีการนำแอปดังกล่าวนี้เปิดตัวในประเทศอื่นๆ ทั่วอาเซียนในภายหลัง

เควิน แลม Head of UOB TMRW and Group Digital Banking ธนาคารยูโอบี เปิดเผยว่าในการเปิดตัว UOB TMRW ที่แรกในประเทศไทยเนื่องจากเป็นตลาดที่สำคัญ มีการใช้งาน รวมถึงการแข่งขันด้านดิจิทัลแบงก์กิ้งที่สูง เขาได้ชี้ว่าถ้าหากสามารถฝ่าด่านในประเทศไทยได้แล้วนั้น ที่อื่นในอาเซียนที่ UOB ให้บริการนั้นก็สามารถที่จะนำแอปพลิเคชันนี้ไปเปิดตัวได้

เขายังได้ชี้ว่าการแพร่ระบาดของโควิดยังทำให้การใช้ดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งรวมถึงบริการดิจิทัลแบงก์กิ้งของ UOB ด้วย จากเดิมใช้บริการดิจิทัลแบงก์กิ้งราวๆ 20% เท่านั้น แต่ปัจจุบันนั้นมีมากถึง 66%

โดยการเปิดตัวแอปพลิเคชัน UOB TMRW จุดเด่นที่เน้นได้แก่ Simple ใช้งานง่าย Seamless สามารถใช้งานบริการต่างๆ ของธนาคารได้อย่างไร้รอยต่อ รวมถึง Personalise ปรับแต่งเพื่อลูกค้าแต่ละคนตามความต้องการด้านการเงิน

หลังจากนี้ภายใน 24 เดือนจะมีการนำแอปพลิเคชัน UOB TMRW ไปเปิดตัวที่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียน โดยปัจจุบัน UOB มีลูกค้ามากถึง 5 ล้านคนทั่วอาเซียน

ยุทธชัย เตยะราชกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้แอปพลิเคชัน TMRW กับ Mighty นั้นจับคนละกลุ่มลูกค้ากัน ต่อมาเมื่อมีพัฒนาการในตลาด เช่น NDID ทำให้สามารถเปิดบัญชีข้ามธนาคารได้นั้น ทำให้ลูกค้าของธนาคารเพิ่มขึ้น

ต่อมาเมื่อมีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางการเงินในแอปพลิเคชัน TMRW รวมถึงมีการขยายให้ลูกค้า TMRW ใช้ได้ทั่วประเทศ จากเดิมที่อยู่แต่ในกรุงเทพฯ รวมถึงธนาคารพบว่าลูกค้าต้องการผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ อีกมาก เช่น การลงทุน ฯลฯ จึงทำให้ธนาคารตัดสินใจรวม TMRW กับ Mighty เข้าด้วยกัน กลายเป็น UOB TMRW

รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ยังได้กล่าวถึงกลยุทธ์ Retail Banking ของธนาคารนั้นประกอบไปด้วย

  • Omni-Channel มีช่องทางหลากหลายในการบริการ แต่เดิมลูกค้าต่างใช้บริการสาขา ตอนนี้สามารถหาลูกค้าใหม่จากออนไลน์ได้แล้ว สามารถเพิ่มรายได้ให้ธนาคารได้ และถ้าหากสาขามีปัญหาก็สามารถใช้ช่องทางดิจิทัลได้ Seamless Transaction
  • Traditional to Digital เปลี่ยนลูกค้าให้มาใช้บริการดิจิทัล ทำยังไงให้ลูกค้าใช้ชีวิตง่ายชึ้น มีธุรกรรมผ่านมือถือง่ายขึ้น เช่น ปรับวงเงินบัตรเครดิตผ่านแอปได้เลย 
  • Optimise Customer Lifeline Value  มีบริการใหม่ๆ เมื่ออายุของลูกค้าเพิ่ม เช่น บริการบัตรเครดิต สินเชื่อ บริการประกัน บริการการลงทุน ตลอดอายุของลูกค้า เป็นการดูแลลูกค้าแบบครบวงจร

โดยหลังจากนี้ทางแอปพลิเคชัน UOB TMRW จะมีการเพิ่มฟังก์ชันในการใช้งาน รวมถึงบริการทางการเงินใหม่ๆ เป็นระยะๆ

]]>
1401831
ดีล 1.2 เเสนล้านกับทิศทางธุรกิจรายย่อย ‘ซิตี้กรุ๊ป’ ในมือ UOB ต่อยอดลูกค้า ‘เครดิตดี’ https://positioningmag.com/1370465 Fri, 14 Jan 2022 11:54:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1370465 ดีลใหญ่วงการธนาคารในตลาดอาเซียน เมื่อยูโอบี (UOB) เร่งสปีดโค้งสุดท้ายคว้าดีลซื้อธุรกิจรายย่อยซิตี้กรุ๊ป’ (Citigroup) ในประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซียเเละเวียดนาม ด้วยมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท

ย้อนไปเมื่อช่วงต้นปี 2564 “ซิตี้กรุ๊ปประกาศขายกิจการลูกค้ารายย่อยใน 13 ประเทศทวีปเอเชียและยุโรปตะวันออก รวมถึงประเทศไทย จากแรงกดดันของนักลงทุนที่ต้องการให้ธนาคารลดต้นทุน โดยธุรกิจบัตรเครดิต สินเชื่อเงินฝาก จะถูกขายออกทั้งหมด ซึ่งทางซิตี้จะหันไปมุ่งเน้นธุรกิจบริหารความมั่งคั่งเเละธุรกิจลูกค้าสถาบันเเทน

จากนั้นมาก็มีกระเเสข่าวต่างๆ เกี่ยวกับการเเข่งขันเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของไทยนั้นก็มีตัวเต็งที่มาในช่วงเเรกๆ อย่างธนาคารกรุงเทพและธนาคารกรุงศรีฯ เเต่ในท้ายที่สุดธนาคารยูโอบีก็ชนะดีลนี้ไปได้

การตัดสินใจเข้าซื้อครั้งนี้ หลักๆ มาจากตลาดในประเทศไทยเเละเป็นราคาที่เหมาะสมผู้บริหารกลุ่มธนาคารยูโอบีกล่าว โดยขอให้ลูกค้ามั่นใจว่าจะมีการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ไม่บกพร่องเเละไม่มีอะไรหยุดชะงัก

ทุ่มซื้อ 1.2 เเสนล้าน 

กลุ่มธนาคารยูโอบี ได้ทำข้อตกลงเพื่อเข้าซื้อกิจการลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ป ซึ่งรวมถึงสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันและมีหลักประกัน ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และธุรกิจเงินฝากรายย่อย (ธุรกิจลูกค้ารายย่อย) ในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม (การเสนอซื้อกิจการ) และรวมไปถึงพนักงานธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ป

การพิจารณาข้อเสนอเงินสดสำหรับการเสนอซื้อกิจการนี้ จะคำนวณจากค่าพรีเมียมรวม 915 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 2.25 หมื่นล้านบาท) บวกกับมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ป 4,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 9.86 หมื่นล้านบาท) ทำให้เกิดมูลค่าในซื้อกิจการครั้งนี้ อยู่ที่เกือบ 5,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือกว่า 1.2 แสนล้านบาท 

คาดว่าจะลดอัตราส่วนของเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Common Equity Tier 1 หรือ CET1) ของธนาคารลง 0.7% เป็น 12.8% ตามสถานะเงินทุน ณ วันที่ 30 กันยายน 2021 ผลกระทบต่ออัตราส่วน CET1 คาดว่าจะมีไม่มากและจะยังอยู่ภายในข้อกำหนดด้านกฎระเบียบของหน่วยงานกำกับดูแล

นับเป็นทิศทางการขยายขอบเขตธุรกิจครั้งใหญ่ของยูโอบี เพื่อเจาะฐานลูกค้าผู้มีกำลังซื้อในอาเซียน และเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้การเติบโตในกลุ่มลูกค้าส่วนบุคคล เพิ่มเป็น 2 เท่าได้ภายใน 5 ปี

เพิ่มฐานลูกค้าอาเซียนเป็น 2 เท่า 

ปัจจุบันธุรกิจลูกค้ารายย่อยหรือ Retail Banking ของซิตี้กรุ๊ป มีสินทรัพย์สุทธิรวมทั้งสิ้นประมาณ 4,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 9.9 หมื่นล้านบาท) และฐานลูกค้าราว 2.4 ล้านราย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2021 และมีรายได้ประมาณ 500 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564

ส่วนธุรกิจ Retail Banking ของ UOB ใน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม มีฐานลูกค้าจำนวน 2.89 ล้านราย ดังนั้น เมื่อเข้าทำการซื้อกิจการรายย่อยของซิตี้กรุ๊ปแล้ว จะทำให้ฐานลูกค้ายูโอบีเพิ่มเป็น 5.29 ล้านราย

โดยเเบ่งเป็นในไทยราว 2.4 ล้านราย มาเลเซียราว 1.5 ล้านราย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ลูกค้ารวม 1.2 ล้านราย เเละเวียดนามอีกเกือบ 2 เเสนราย ซึ่งในเวียดนามส่วนใหญ่จะเป็นฐานลูกค้าของซิตี้ ทำให้ยูโอบีสามารถเจาะตลาดที่กำลังเติบโตสูงได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการซื้อธุรกิจครั้งนี้

หากไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกรรมนี้ในครั้งเดียว การเสนอซื้อกิจการนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของธนาคาร และผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ของธนาคารยูโอบีได้ทันที

ยูโอบีคาดว่าส่วน ROE จะเพิ่มขึ้นเป็น 13% ในปี 2566 จากปีนี้ที่อยู่เฉลี่ยราว 10% เเละประเมินว่ารายได้จากการขยายกิจการครั้งนี้น่าจะเพิ่มขึ้นราว 1.4 เท่า ซึ่งจะมีรายได้ชัดเจนขึ้นในช่วงปี 2567-2569 

คาดเเล้วเสร็จ กลางปี 65 ถึงต้นปี 67

การเข้าซื้อกิจการในแต่ละประเทศ จะเสร็จสมบูรณ์เมื่อได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารตามเงื่อนไขของแต่ละประเทศ รวมถึงประเทศสิงคโปร์ คาดว่าจะแล้วเสร็จระหว่างกลางปี 2565 ถึงต้นปี 2567 ขึ้นอยู่กับความคืบหน้าและผลของกระบวนการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลธนาคาร

ภายในครึ่งแรกของปี 2565 ธนาคารจะเข้าไปดำเนินการควบรวมกิจการในส่วนของประเทศไทยและมาเลเซียก่อน จากนั้นในช่วงครึ่งหลังของปี จะเข้าไปดำเนินการในส่วนของอินโดนีเซีย และเวียดนาม

โดยในไทยเเละมาเลเซีย คาดว่าจะควบรวมต่างๆ ทั้งด้านระบบเเละพนักงานเเล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 2 ปี 2566  อินโดนีเซียในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566 เเละเวียดนามในช่วงไตรมาส 1 ปี 2667”

ในระหว่างนี้ จะยังคงใช้ชื่อ Citi ไปก่อน เเละจะมีการเปลี่ยนให้ลูกค้ามาอยู่ภายใต้ยูโอบีทั้งหมดในช่วงปลายปี 2565 

ตลาดไทยหอมหวาน ลูกค้าเครดิตดี 

วี อี เชียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารยูโอบี (UOB) กล่าวว่า ลูกค้ารายย่อยในไทย เป็นพอร์ตที่มีคุณภาพ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ในระดับดีเเละจัดการได้ เเละลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มมีกำลังซื้อ จึงมองว่าจะเอื้อต่อการเติบโตของยูโอบีได้

การตัดสินใจเข้าซื้อครั้งนี้ หลักๆ มาจากตลาดในประเทศไทย

ประเมินว่า ยูโอบีจะมีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจรายย่อยของไทย อยู่ที่อันดับ 6 ขยับขึ้นมาจากปัจจุบันที่อยู่อันดับ 7 ขณะที่ธุรกิจบัตรเครดิต ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 3 จากอันดับ 8 และมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น เป็น 2.4 ล้านราย จากปัจจุบันที่ 1.3 ล้านราย

ผู้บริหารยูโอบี มองว่า การซื้อกิจการลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปใน 4 ประเทศ นับเป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่มาถึงในเวลาที่เหมาะสม เเละเป็นการเข้าซื้อในราคาที่เหมาะสมเพื่อขยายฐานลูกค้าได้ถึงสองเท่า เพิ่มความเเข็งเเกร่งด้านพันธมิตร เเละการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน

เรามุ่งหวังที่จะโอนย้ายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจที่มีคุณภาพของซิตี้กรุ๊ป และเตรียมต้อนรับทีมงาน สร้างคุณค่าให้กับฐานลูกค้า พนักงาน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ ของเราที่ขยายใหญ่ขึ้น

พร้อมยืนยันว่าพนักงานกว่า 5,000 รายในธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ป จากทั้ง 4 ประเทศ จะยังได้ทำงานเช่นเดิม หลังกระบวนการเข้าซื้อกิจการเสร็จสิ้น โดยไม่มีแผนปลดพนักงานเพราะถือเป็นทีมที่มีคุณภาพ

เน้นดิจิทัล Cross sale ต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ 

สำหรับกลยุทธ์ธุรกิจรายย่อยของธนาคารยูโอบี จะมุ่งเน้นไปที่การเจาะกลุ่มลูกค้ามั่งคั่งกำลังซื้อสูง ที่เพิ่มขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เป็นจุดเด่นของซิตี้กรุ๊ปจะยังมีการสานต่อเเละขยายความร่วมมือกับพันธมิตรมากขึ้น ฟีเจอร์ไหนที่ลูกค้าสนใจ ก็จะมีการสื่อสารกับลูกค้าทันที พร้อมผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย Cross sale ระหว่าง 2 ธนาคารเพื่อพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์อื่นต่อไป

นอกจากนี้ จะมุ่งการเข้าหากลุ่มคนรุ่นใหม่ ผ่าน UOB TMRW แพลตฟอร์มดิจิทัลของธนาคาร และให้บริการด้านการเงินผ่านช่องทางที่หลากหลาย (Omni-channel) เเละใช้ AI มาช่วยพัฒนาธุรกิจเเละบริการลูกค้าซึ่งความท้าทายของการโอนย้ายธุรกิจครั้งนี้ก็คือการรวมระบบเน็ตเวิร์กให้มาใช้เเพลตฟอร์มเดียวกัน

การเสนอซื้อกิจการนี้จะขยายเครือข่ายพันธมิตรของยูโอบี และเพิ่มขนาดธุรกิจลูกค้ารายย่อยในทั้ง 4 ประเทศขึ้นเป็นสองเท่า เร่งให้บรรลุเป้าขยายฐานลูกค้าในภูมิภาคเร็วขึ้นถึง 5 ปี

ด้าน ทีบอร์ พานดิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ Citi ประเทศไทย เผยว่า ธุรกรรมนี้เป็นผลดีต่อลูกค้า เพื่อนร่วมงาน และองค์กรของเรา Citi มุ่งมั่นที่จะทำให้ธุรกรรมนี้เป็นไปอย่างราบรื่น และในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในการให้บริการแก่ลูกค้าธนาคารกลุ่มลูกค้าบุคคลและลูกค้ากลุ่มบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ของเรา

ต้องติดตามต่อไปว่า Retail Banking ซิตี้โฉมใหม่ภายใต้บ้านยูโอบีจะเป็นไปในทิศทางใด

]]>
1370465
รวมมิตร 14 ธนาคาร “พักหนี้” ทั้งต้นทั้งดอก 6 เดือน ช่วย SMEs-รายย่อย ฝ่ามรสุม COVID-19 https://positioningmag.com/1273383 Tue, 14 Apr 2020 15:00:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1273383 “เเบงก์พาณิชย์-เเบงก์รัฐ” ขานรับนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พาเหรดออกมาตรการช่วยลูกหนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19

ลูกค้ารายย่อยเเละเจ้าของธุรกิจ SMEs ที่กำลังหาข้อมูลมาตรการ “พักชำระหนี้” ของธนาคารต่างๆ Positioning รวบรวมมาให้เเล้วถึง 14 ธนาคาร 

1. ไทยพาณิชย์ (SCB)

เริ่มต้นกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศมาตรการพักชำระสินเชื่อทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 6 เดือนให้แก่ลูกค้าผู้ประกอบการ SMEsที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาททุกราย โดยจะธนาคารดำเนินการพักหนี้
ให้ลูกค้ากลุ่มนี้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการ

“ลูกค้าเอสเอ็มอีมีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาททุกราย จะได้รับการพักชำระหนี้ 6 เดือนโดยอัตโนมัติโดยไม่จำเป็นต้องติดต่อธนาคาร”

นอกจากนี้ยังมีมาตรการสนับสนุน “สินเชื่อซอฟต์โลน” อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี โดยไม่คิดดอกเบี้ยในระยะ 6 เดือนแรก เนื่องจากรัฐบาลจะเป็นผู้รับภาระดอกเบี้ยในช่วงดังกล่าวแทนผู้ประกอบการ สามารถขอสินเชื่อซอฟต์โลนใหม่ได้ไม่เกิน 20% ของยอดหนี้คงค้าง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องทางการเงินสำหรับการดำเนินธุรกิจต่อไป

สำหรับลูกค้าที่ต้องการสินเชื่อซอฟต์โลนสามารถแจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2563 – 30 กันยายน 2563

อ่านเพิ่มเติม : ถาม-ตอบ กรณีลูกค้าสินเชื่อบุคคลและ SMEs ขอรับความช่วยเหลือจากการได้รับผลกระทบ COVID-19

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
? 02-722-2222

2. กสิกรไทย (KBank)

ตามมาด้วย กสิกรไทย ที่ปัจจุบันมีลูกค้าเงินกู้ในระบบที่เป็น SMEs อยู่ถึง 40% ได้ประกาศมาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับลูกค้าผู้ประกอบการที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท ระยะเวลา 6 เดือน เริ่มตั้งเเต่ 1 เมษายน 2563-30 กันยายน 2563 รวมถึงพร้อมให้เงินกู้เสริมสภาพคล่องลูกค้าผู้ประกอบการที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยให้ลูกค้าสามารถกู้ได้ 20% ของยอดวงเงินเดิม คิดอัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี
และไม่คิดอัตราดอกเบี้ย 6 เดือนแรก

อ่านเพิ่มเติม : รวมมาตรการช่วยเหลือด้านสินเชื่อทั้งหมดสำหรับลูกค้ารายย่อยและผู้ประกอบการของ KBank

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
? ลูกค้าบุคคล 02-8888888
? ลูกค้าผู้ประกอบการ 02-8888822

3. กรุงศรีอยุธยา

ด้านธนาคารกรุงศรีอยุธยา ก็ออกมาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยนาน 6 เดือนแก่ลูกค้าผู้ประกอบการ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท เริ่มตั้งเเต่ 1 เมษายน 2563 – 30 กันยายน 2563 เช่นกัน พร้อมด้วยมาตรการให้เงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่อง (Soft loan) แก่ลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยสามารถกู้ได้สูงสุด 20% ของยอดหนี้คงค้าง ณ สิ้นปี 2562 ในอัตราดอกเบี้ย 2% เป็นเวลา 2 ปี และไม่ต้องชำระดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนแรก

ทั้งนี้ ลูกค้าผู้ประกอบการ SMEs สามารถติดต่อผู้จัดการธุรกิจสัมพันธ์ หรือแจ้งขอรับมาตรการความช่วยเหลือได้ที่ โครงการรับเรื่องจากลูกค้าสินเชื่อที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 บนเว็บไซต์ krungsri.com

สำหรับลูกค้าสินเชื่อบ้าน จะมีมาตรการพักชำระเงินต้นเเละดอกเบี้ย 6 เดือนเเละพักชำระหนี้เงินต้น 6 เดือน ส่วนสินเชื่อบุคคล (สินเชื่อหมุนเวียนส่วนบุคคลเเละสินเชื่อกรุงศรี IFIN) พักชำระเงินต้นเเละดอกเบี้ย 6 เดือน ซึ่งเป็นโปรเเกรมสำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส COVID-19 เท่านั้นเเละขอสงวนสิทธิ์เเล้วเเต่กรณี

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
?1572
?เว็บไซต์ krungsri.com

กรุงศรีคอนซูมเมอร์ : ลูกค้าบัตรเครดิต

กรุงศรีคอนซูเมอร์ ปล่อยโครงการ “เราจะก้าวผ่านไปด้วยกัน กับกรุงศรี คอนซูมเมอร์” ช่วยเหลือลูกค้าบัตรเครดิตกว่า 6 ล้านบัญชี โดยออก 3 มาตรการพิเศษ ด้วยการลดยอดชำระขั้นต่ำต่อเดือน และการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 2 เดือน สำหรับ “ลูกค้าทุกราย” โดยไม่ต้องแจ้งความจำนง

รวมถึงการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม โดยเน้นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทางตรง เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม การบิน และบริการอื่นที่เกี่ยวเนื่อง รวมทั้งลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษ เหลือ 12% สำหรับบัตรเครดิต และ 22% สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล โดย “ลูกค้าต้องลงทะเบียน” เพื่อขอรับพิจารณาความช่วยเหลือดังกล่าวผ่านแอปพลิเคชัน UCHOOSE ซึ่งจะได้รับการพิจารณาเป็นรายกรณี

มีรายละเอียดดังนี้

มาตรการที่ 1 : ลดยอดชำระขั้นต่ำต่อเดือน สำหรับบัตรเครดิตจากเดิม 10% เหลือ 5% ตามรอบบัญชีตั้งแต่ 1 เม.ย. 2563 – 31 ธ.ค. 2564 ส่วนผลิตภัณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคลจากเดิม 5% เหลือ 3% ตามรอบบัญชีตั้งแต่ 18 มี.ค. 2563 – 31 ธ.ค. 2563 สำหรับลูกค้าทุกราย โดยมิต้องติดต่อแจ้งความจำนง

มาตรการที่ 2 : พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 2 เดือน ให้กับลูกค้าบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลทุกรายโดยมิต้องแจ้งความจำนงเป็นระยะเวลา 2 รอบบัญชี สำหรับลูกค้าทุกรายที่มีวันครบกำหนดชำระตั้งแต่ 14 เม.ย. – 12 มิ.ย. 2563 โดยดอกเบี้ยยังคงคำนวณตามอัตราปกติแบบลดต้นลดดอก ทั้งนี้ สถานะบัญชีของลูกค้าในช่วงระยะเวลาดังกล่าวจะไม่เปลี่ยนแปลง

มาตรการที่ 3 : ปรับลดดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษ เริ่มต้น 12% สำหรับลูกค้าในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ โดยลูกค้าต้องลงทะเบียนแจ้งความจำนง และจะได้รับการพิจารณาเป็นรายกรณี ส่วนผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษเหลือ 12% และลดภาระการชำระคืนด้วยการขยายการเวลาผ่อนชำระนานสูงสุด 48 เดือน ผลิตภัณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคล รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ เหลือ 22% และลดการผ่อนชำระขั้นต่ำเหลือเพียง 3%

โดยมาตรการดังกล่าว สำหรับลูกค้าในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว หรือธุรกิจที่ไม่สามารถเปิดให้บริการได้ตามประกาศของทางราชการ โดยลูกค้าต้องมีบัญชีสินเชื่อกับบริษัทก่อนเดือน มี.ค. 2563

ทั้งนี้ ลูกค้าจะถูกปรับลดวงเงินสินเชื่อ ให้คงเหลือเท่ากับยอดสินเชื่อคงค้างที่เข้าร่วมโครงการ โดยลูกค้าสามารถลงทะเบียนรับพิจารณาความช่วยเหลือดังกล่าว ผ่านแอปพลิเคชัน UCHOOSE ตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย. 2563 – 30 มิ.ย. 2563 โดยบริษัทจะทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2563 เป็นต้นไป

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
?บัตรเครดิตกรุงศรีอยุธยา krungsricard.com
?บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน centralthe1card.com
?บัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ firstchoice.co.th
?บัตรเครดิตเทสโก้ โลตัส วีซ่า tescolotusmoney.com

4. กรุงไทย

ธนาคารกรุงไทย ได้เพิ่มมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยประกาศพักชำระหนี้เงินต้นเเละดอกเบี้ย 6 เดือน ให้กับลูกค้าธุรกิจที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 100 ล้านบาท เพื่อรับมือกับรายจ่ายที่จำเป็นของธุรกิจ เริ่มมีผลเดือนเมษายน – กันยายน 2563 เเละยังสนับสนุนสินเชื่อใหม่ (Soft Loan) เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กลุ่มลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยกู้ได้สูงสุดไม่เกิน 20% ของยอดหนี้คงค้าง ณ 31 ธันวาคม 2562 อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี

“ธนาคารไม่คิดดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนแรก เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้”

ก่อนหน้านี้ กรุงไทยได้ออกมาตรการช่วยเหลือ “ลูกค้าทุกกลุ่มทุกขนาด” อย่างการพักชำระเงินต้น 12 เดือน ให้กับลูกค้ารายย่อย พักชำระเงินต้น 12 เดือน ขยายระยะเวลาชำระหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) และสินเชื่อ Trade Finance ออกไป 6 เดือน สำหรับลูกค้าธุรกิจที่มีรายได้ลดลง

มีการพักชำระหนี้ให้ลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจที่มีสถานะชำระปกติทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยนาน 3 เดือน ทั้งสินเชื่อบุคคลภายใต้การกำกับ และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท สินเชื่อธุรกิจที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 20 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีสินเชื่อ “กรุงไทยต้านภัยโควิด-19 ดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 2% ต่อปี คงที่ 2 ปีแรก วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาท ฟรีค่าธรรมเนียม บสย. ค้ำประกัน 4 ปี ทำธุรกรรมโอน รับ จ่าย ไม่คิดค่าธรรมเนียมนาน 1 ปี สำหรับลูกค้าธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม รถเช่า ร้านขายของฝาก ของที่ระลึก เป็นต้น

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
?02 111 1111
? facebook : Krungthai Care

5. กรุงเทพ

ด้านธนาคารกรุงเทพ ร่วมออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ประกอบการ SMEs ให้มีเงินทุนและสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจและรักษาการจ้างงานต่อไปโดยมี 2 มาตรการ ดังนี้

1. สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการค้าทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยและมีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท ได้พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยโดยอัตโนมัติ ระยะเวลา 6 เดือนและไม่เสียประวัติข้อมูลเครดิต เพื่อช่วยให้มีสภาพคล่องรองรับรายจ่ายจำเป็น

ทั้งนี้ ลูกค้าผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ ธนาคารขอแนะนำให้ชำระหนี้ตามปกติเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

2. ธนาคารพร้อมสนับสนุนสินเชื่อใหม่ (soft loan) เพื่อเป็นเงินกู้เสริมสภาพคล่อง สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการค้าทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย และมีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนพิเศษ 2% ต่อปี ในช่วง 2 ปีแรกและไม่คิดดอกเบี้ยในช่วง 6เดือนแรก ทั้งนี้ลูกค้าต้องมีสถานะผ่อนชำระปกติหรือค้างชำระไม่เกิน 90 วัน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 โดยแต่ละรายสามารถขอกู้ได้ไม่เกิน 20% ของยอดหนี้คงค้างของลูกหนี้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562

ด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่ออเนกประสงค์ที่ใช้ที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันวงเงิน ขณะอนุมัติไม่เกิน 3 ล้านบาท พักชำระเงินต้น จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยนาน 3 เดือน เเละวงเงินขณะอนุมัติตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไปขอความช่วยเหลือเป็นรายกรณีตามสถานการณ์

ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ประเภทเงินกู้ (Installment Loan) จะพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยนาน 3 เดือน

มาตรการปรับลดอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำมาอยู่ที่ 5% (จากเดิม 10%) จนถึง 31 ธันวาคม 2564 สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพทุกประเภท และทุกรายได้รับสิทธิอัตโนมัติ โดยไม่ต้องลงทะเบียนขอรับสิทธิปรับลดดอกเบี้ยลงเป็นพิเศษ อยู่ที่ 12% สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรงประกอบอาชีพหรือทำงานในธุรกิจโรงแรม การท่องเที่ยว สายการบินและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจากการที่รัฐบาลประกาศให้หยุดบริการชั่วคราวพักชำระเงินต้น และดอกเบี้ยนาน 3 เดือนยกเว้นดอกเบี้ยค้างชำระ 1 เดือน (ลงทะเบียนที่นี่)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
?1333
?bangkokbank.com

ธนาคารกรุงเทพ

6. LH BANK

ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แจ้งลูกค้าผ่านไลน์ ว่า พร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้าผู้ประกอบการ SMEs โดยจะพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน สำหรับเอสเอ็มอีที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท รวมถึงพร้อมปล่อยกู้เสริมสภาพคล่อง อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี ปลอดดอกเบี้ย 6 เดือน ซึ่งกู้ได้ไม่เกิน 20% ของหนี้คงค้าง ณ 31 ธ.ค.2562

สำหรับลูกค้าทุกกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส COVID-19 มีมาตรการช่วยเหลือ ได้แก่ ผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระ เช่น ปลอดเงินต้นสูงสุด 12 เดือน และขยายระยะเวลาเงินกู้ เพื่อให้ภาระการผ่อนชำระลดลง หลังหมดช่วงปลอดเงินต้น เเละสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติมด้วย

“ธนาคารคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้าได้ในระดับหนึ่งโดยมาตราการดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงตามผลกระทบที่เกิดขึ้นในระยะต่อไปและตามความเหมาะสมทางธุรกิจของลูกค้าแต่ละราย”

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
?1327

7. ออมสิน

ธนาคารออมสิน ออกมาตรการพักชำระเงินต้น และดอกเบี้ย โดยอัตโนมัติทันที สำหรับลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เป็นเวลา 6 เดือนตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. – 30 มิ.ย. 2563

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
?1115 หรือ 0-2299-8000

 

8. ธ.ก.ส.

ฝั่งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs เเละเกษตรกร โดยพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน ตั้งเเต่ 1 เม.ย. – 30 ก.ย. 2563 เพื่อเป็นการสนับสนุนเงินกู้เสริมสภาพคล่องให้ลูกค้าตามร่างพระราชกำหนดให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) โดยมาตรการอื่นๆ จะมีการเเจ้งให้ทราบต่อไป

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
? 0-2555-0555
? baac.or.th

9. ธพว.

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ระบุว่า ได้ออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือ SMEs โดยเลื่อนชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยอัตโนมัติให้ลูกค้าเป็นเวลา 6 เดือน เริ่มมีผลตั้งแต่เดือนเมษายน – กันยายน 2563 สำหรับภาระหนี้ที่พักชำระไว้ ธนาคารจะนำยอดดังกล่าว ไปรวมกับค่างวดในงวดสุดท้าย ซึ่งในช่วงที่ผ่อนปรนนี้ ไม่ถือว่าเสียประวัติข้อมูลเครดิต

โดยลูกค้าที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวจะได้รับสิทธิโดยอัตโนมัติทันที ไม่ต้องแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการ หรือลงทะเบียนใดๆ ทั้งสิ้นและหากลูกค้าท่านใด ต้องการชำระหนี้ตามเงื่อนไขที่เคยได้รับก็สามารถชำระได้ตามปกติ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
?1357
? smebank.co.th

10. EXIM BANK

ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM BANK แจ้งว่า ธนาคารได้มีมาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน สำหรับลูกค้าทุกรายที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทั้งทางตรงและทางอ้อม

พร้อมเงินกู้เสริมสภาพคล่องสำหรับลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยให้กู้ได้ไม่เกิน 20% ของยอดหนี้คงค้าง ณ 31 ธ.ค. 2562 คิดอัราดอกเบี้ยต่ำ 2% ต่อปี และ ปลอดดอกเบี้ยช่วง 6 เดือนแรก ซึ่งลูกค้าสามารถติดต่อขอกู้ได้จนถึง 31 ธ.ค. 2563

นอกจากนี้ยังมี โครงการ “สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน” เพื่อสนับสนุนสถานประกอบการในซัพพลายเชนของการส่งออกไทย โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 3% ต่อปี ระยะเวลากู้สูงสุด 7 ปี

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
? 02-617-2111 ต่อ 3510-2

11. UOB 

ธนาคารยูโอบี (ไทย) ประกาศมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ปรับลดอัตราการผ่อนชำระคืน ขั้นต่ำและมอบทางเลือกในการพักเงินต้น

โดยลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิตของธนาคารที่มีสถานะทางบัญชีปกติ จะได้รับการปรับลดอัตราผ่อนชำระคืนขั้นต่ำจาก 10% เป็น 5% สำหรับบัตรเครดิตยูโอบี และจาก 5% เป็น 2.5% สำหรับบัตรกดเงินสดยูโอบีแคชพลัส โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563

สำหรับลูกค้าบัตรเครดิตยูโอบีและทูมอร์โรว์ บัตรกดเงินสดยูโอบีแคชพลัสสามารถแจ้งความประสงค์ในการขอพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 รอบบัญชีหรือเปลี่ยนยอดหนี้คงค้างเป็นยอดผ่อนรายเดือนชำระรายเดือนสูงสุด 48 รอบบัญชี สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล i-Cash สามารถแจ้งความประสงค์ในการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 รอบบัญชี

ส่วนลูกค้าสินเชื่อบ้าน สามารถแจ้งความประสงค์เลือกพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 รอบบัญชีหรือพักชำระเงินต้นโดยชำระเฉพาะดอกเบี้ยเป็นเวลา 12 รอบบัญชี

ลูกค้าเอสเอ็มอี สามารถแจ้งความประสงค์ขอพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือนหรือเลือกพักชำระเงินต้นโดยชำระเฉพาะดอกเบี้ยได้สูงสุด 12 เดือน หรือยื่นขอสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องกับสินเชื่อโครงการ Soft Loan
ที่อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
? โทร 02 285 1555 , 02 343 3555
? uob.co.th

12-13. TMB & ธนชาต

ด้านธนาคารธนชาตได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อบ้านธนชาต หรือ Thanachart Home Loan ซึ่งประกอบไปด้วย สินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ (Refinance), สินเชื่อบ้านมือสอง (Resell house)สินเชื่อปลูกบ้าน (Self built) สินเชื่อบ้านแลกเงิน (Cash Your Home) และสินเชื่อโฮมพลัส (Home Plus)

ด้วยการพักชำระหนี้เงินต้น และดอกเบี้ย นานสูงสุด 3 เดือน และเมื่อครบกำหนดก็ต้องชำระหนี้คืนตามปกติ สำหรับระยะเวลาโครงการนั้นจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2564

สำหรับลูกค้าปัจจุบันสินเชื่อรถยนต์ธนชาต DRIVE ประเภทสินเชื่อรถยนต์ใหม่สินเชื่อรถยนต์ใช้แล้ว และ สินเชื่อรถแลกเงิน สามารถขอพักชำระหนี้ได้สูงสุดไม่เกิน 6 เดือน (Skip Payment) หรือขยายระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 96 งวด ทั้งนี้ โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด และเมื่อครบกำหนดให้กลับมาชำระหนี้ตามปกติ ส่วนประเภทสินเชื่อเล่มแลกเงิน สามารถขอพักชำระหนี้ได้ไม่เกิน 60 วัน

ด้านธนาคารทหารไทย ได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อบ้าน ทีเอ็มบี (TMB Home Loan) ด้วยการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย เป็นเวลาสูงสุด 3 เดือน และเมื่อครบกำหนดก็ต้องกลับมาชำระหนี้ตามปกติ
เช่ยเดียวกันกับธนาคารธนชาต

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
? โทร ธนชาต 1770 – TMB 1558
? thanachartbank.co.th , tmbbank.com

14. ธอส.

ล่าสุด “ธนาคารอาคารสงเคราะห์” ได้ยกระดับความช่วยเหลือเพิ่มเติมให้แก่ลูกค้าของธนาคารที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ในมาตรการที่ 5 โดยหลังจากพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 4 เดือนแล้ว ธนาคารจะยกดอกเบี้ยที่พักชำระไว้ทั้ง 4 เดือนให้กับลูกค้า เมื่อสิ้นสุดระยะเวลากู้ตามสัญญา

สำหรับกลุ่มลูกค้าทุกวัตถุประสงค์การกู้ที่มีวงเงินกู้ทุกบัญชีรวมกัน ไม่เกิน 3 ล้านบาท และมีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 35,000 บาท ครอบคลุมลูกค้า 1.1 ล้านบัญชี ทั้งสถานะบัญชีปกติ และสถานะบัญชีดอกเบี้ยผิดนัดหรือสถานะกฎหมาย และเตรียมกรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท จัดทำมาตรการที่ 6 พักชำระเงินต้นระยะเวลา 4 เดือน พร้อมลดดอกเบี้ยเหลือ 1.00% ต่อปี สำหรับ “บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข”

แจ้งความประสงค์ เข้ามาตรการผ่าน Mobile
Application : GHB ALL ตั้งแต่วันที่ 13 – 30 เมษายน 2563

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
? 0-2645-9000
?ghbank.co.th

หมายเหตุ :รวบรวมข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 14 เมษายน 2563 
ผู้สนใจติดต่อสอบถามทางธนาคารเพื่อการอัพเดตข้อมูลมาตรการอีกครั้ง 

]]>
1273383
เปิดศึกหาลูกค้าเงินกู้ ! บิ๊กธนาคาร เเข่งปล่อยสินเชื่อเอาใจ “ผู้ขายออนไลน์” บนอีคอมเมิร์ซ https://positioningmag.com/1256601 Wed, 11 Dec 2019 09:44:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1256601 ธนาคารยักษ์ใหญ่ในไทยกำลังลงสนาม “สินเชื่อออนไลน์” เอาใจเหล่า “ผู้ขายอีคอมเมิร์ซ” กันโครมๆ ทั้งปล่อยหมัดเด็ดกู้เร็วใน  1 นาทีไม่ต้องใช้เอกสาร หรือให้วงเงินกู้ 1 ล้านในวันเดียว ถ้ามีเงินหมุนเวียนธุรกิจดี

การขยับมา “หาลูกค้าเงินกู้” บนเเพลตฟอร์มใหม่ของธนาคาร ถือเป็น “Big Move” สำคัญทั้งด้านความท้าทายเเละโอกาส เพราะในไทยมีพ่อค้าเเม้ค้าที่เป็น SMEs รายย่อยเยอะมาก ครองตลาดขายของออนไลน์ เเตกต่างจากประเทศอื่นที่มักเป็นบริษัทห้างร้านใหญ่

เเละเหมือนเป็นการอุดช่องโหว่ “กู้นอกระบบ” ที่ไม่ปลอดภัยของไทยด้วย ซึ่งมักจะเป็นปัญหาของคนค้าขายไทยมาช้านาน นั่นคือการ “หมุนเงินไม่ทัน หาที่กู้ไม่ได้” คราวนี้ถ้าคุณค้าขายด้วยความสุจริต มีประวัติดีก็สามารถกู้ได้จากแอปพลิเคชั่นมือถือ ไม่ต้องเสียเวลามาธนาคาร ได้ทุนมาสต็อกของทันเทศกาลช้อปปิ้งใหญ่อย่าง 11.11 , 12.12

เรียกได้ว่า “วิน-วิน” กันทั้ง 3 ฝ่าย คือผู้ขายได้เงินทุนมาหมุนทัน ขายของดี – ธนาคารได้ดอกเบี้ย – เเพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดขายมากขึ้น สร้าง Branding เเละช่วยผู้ขายชั้นดีขยายกิจการในระยะยาว

ศึกชิงตลาดเงินกู้ผู้ขายออนไลน์  

ธนาคารกสิกรไทย เพิ่งออกสโลเเกน “ปฏิวัติเงินกู้ผู้ขายออนไลน์ รู้ผลไว 1 นาที” มาหมาดๆ หลังจับมือกับอีคอมเมิร์ซเจ้าใหญ่เเห่งอาเซียนอย่าง Lazada (ลาซาด้า) เเละ Shopee (ช้อปปี้) เเละวันนี้ (11 ธ.ค. ) ธนาคารยูโอบี ก็เปิดตัว สินเชื่อ UOB BizMerchant เพื่อใช้หมุนเวียนในธุรกิจวงเงินสูงสุด 1 ล้านบาท อนุมัติใน 1 วันพร้อมระบบบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ ตอบโจทย์ลูกค้าธุรกิจรายย่อยเหมือนกัน

สยุมรัตน์ มาระเนตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารยูโอบี (ไทย) กล่าวว่า “เราเล็งเห็นถึงความต้องการในกลุ่มผู้ค้าอีคอมเมิร์ซ ด้านความต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อใช้หมุนเวียนในธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ธุรกิจเอสเอ็มอีปัจจุบันต้องใช้ช่องทางอีคอมเมิร์ซ รวมถึงสื่อโซเชี่ยลมีเดียต่างๆ เพื่อทำการตลาดและเพิ่มยอดขายโดยรวม เราเข้าใจความท้าทายในเรื่องการบริหารจัดการออร์เดอร์และสต็อกสินค้าผ่านช่องทางการขายหลายช่องทาง จึงเป็นที่มาของความร่วมมือกับ Lazada และเบ็นโตะเว็บในครั้งนี้ ที่จะทำให้เราสามารถช่วยผู้ค้า ทั้งในเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่รวดเร็ว พร้อมเครื่องมือในการช่วยจัดการระบบร้านค้า”

ด้าน วีรวัฒน์ ปัณฑวังกูร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า  “เราเชื่อว่าผู้ประกอบการต้องการเงินทุนหมุนเวียน ต้องมีการสต็อกของไม่ว่ารายเล็กหรือรายใหญ่ ดังนั้นเราจึงให้กู้ตั้งเเต่ 2,000 บาทขึ้นไป โดยไม่ต้องเสียเวลาไปธนาคาร ไม่ต้องยื่นเอกสาร ให้เอาเวลาไปทำมาหากินขายของดีกว่า ง่ายกว่าการแชทไปขอยืมเงินเพื่อนเสียอีก”

“เราตั้งเป้าไว้ว่าสิ้นปี 2563 จะปล่อยกู้ได้ราว 1 หมื่นคน คิดเป็นวงเงินรวม 1,000 ล้านบาท เเละคิดว่ายอดจะโตได้กว่านี้อีก เพราะเเพลตฟอร์ม Lazada ใหญ่มาก”

ผู้บริหารกสิกรไทย ยังให้สัมภาษณ์อีกว่า “จะมีรายได้จากในส่วนของดอกเบี้ยอย่างเดียว ซึ่งก็เป็นความท้าทายของกสิกรไทยเช่นกันในแพลตฟอร์มนี้ แต่ด้วยปัจจุบันเรามีลูกค้าเงินกู้ในระบบที่เป็น SMEs ถึง 40% จึงต้องการสนับสนุนอย่างแท้จริง”

เทียบชัดๆ เงินกู้ออนไลน์ UOB vs KBank

UOB BizMerchant  

สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซบนแพลตฟอร์ม Lazada สินเชื่อดังกล่าวมอบ วงเงินสูงสุด 1 ล้านบาท โดยมีกำหนดระยะเวลาสัญญา 12 เดือน อนุมัติวงเงินภายภายใน 1 วัน เมื่อได้รับเอกสารครบ ลดระยะเวลาจากเดิม 7 วัน ในการขอสินเชื่อธุรกิจแบบเดิม เนื่องจากธนาคารจะใช้ข้อมูลเชิงลึกจากลาซาด้า ในการพิจารณาการให้สินเชื่อ

โดยผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซในนามบุคคลทั่วไปหรือจดทะเบียนนิติบุคคล ดำเนินธุรกิจบน Lazada  มาอย่างน้อย 6 เดือน และมีรายได้รวมเฉลี่ยในรอบ 6 เดือนล่าสุดมากกว่า 500,000 บาทขึ้นไป สามารถยื่นขอสินเชื่อ UOB BizMerchant ได้ และรับสิทธิพิเศษใช้บริการจากเบนโตะเว็บ ฟรี 3 เดือนแรก เพื่อบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุน ทั้งในเรื่องการจัดการคลังสินค้า การคำนวณค่าจัดส่ง บริหารคำสั่งซื้อจากหลายช่องทาง การตลาดออนไลน์เพื่อเพิ่มยอดขาย เป็นต้น

Kbank Lazada (Xpress Loan)

จุดเด่นอยู่ที่การอนุมัติเร็ว ดอกเบี้ยต่ำ ไม่ต้องใช้หลักประกัน ไม่ต้องมีเอกสาร และฟรีค่าธรรมเนียม ด้วยวงเงินกู้จาก 20,000 – 600,000 บาท เพื่อช่วยให้ผู้ขายออนไลน์บนลาซาด้า มีเงินทุนเพื่อหมุนเวียนและต่อยอดได้ทันความต้องการของธุรกิจ

โดยผู้กู้ต้องเปิดร้านกับ Lazada มาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน มีประวัติการค้าขายที่ดี มียอดขายสม่ำเสมอ มีความน่าเชื่อถือเเละมีการเปิดบัญชีกับธนาคารกสิกรไทย โดยจะได้รับการอนุมัติผ่านเเอปพลิเคชั่นอย่างเร็วที่สุดคือ 1 นาที เงินโอนเข้าบัญชีทันที เเละต้องดูเป็นรายบุคคล ซึ่งลาซาด้าจะเป็นผู้รับรองให้ว่าผู้ประกอบการว่าโปรไฟล์ดีพอจะกู้ผ่านหรือไม่

ส่วนอัตราดอกเบี้ยนั้น จะมีการคิดเเบบ Personalised Interest Rate ที่คิดดอกเบี้ยในอัตราตามรายบุคคล เช่นหากคุณทำการค้าขายบน Lazada มายาวนาน ยอดขายสม่ำเสมอ รายได้ดี ก็จะได้รับดอกเบี้ยต่ำมากเป็นพิเศษ

ทั้งนี้ ช่วงเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา กสิกรไทยได้ประกาศความร่วมมือกับ ช้อปปี้ (Shopee) โดยมีการให้ “เงินกู้ธุรกิจออนไลน์” (MADFUND) ของร้านค้าบนแพลตฟอร์มของช้อปปี้ ไม่ต้องยื่นเอกสาร ไม่ต้องมีหลักประกัน สมัครง่ายผ่านแอปพลิเคชัน K PLUS คัดกรองผู้รับสินเชื่อจากข้อมูลรายได้ และพฤติกรรมการค้าขายอื่น ๆ ประกอบกัน ด้วยวงเงินอนุมัติสูงสุด 600,000 บาทเช่นเดียวกัน

มองอนาคต ตลาดขายของออนไลน์ไทย 

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) หรือ ETDA ได้เริ่มจัดเก็บสถิติตั้งแต่ปี 2557 ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยมีมูลค่าอยู่ที่ 2 ล้านล้านบาท เติบโต 10.4%  และปี 2561 มูลค่าพุ่งไปที่ 3.2 ล้านล้านบาท เติบโต 14.0%

ด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีอัตราการเติบโตสะสมต่อปีอยู่ที่ 33% ระหว่างช่วงปี 2558-2562 ซึ่งปัจจัยหลักมาจากภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ที่คาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นจาก 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีนี้ เป็น 18,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ภายในปี 2568 (อ้างอิงข้อมูลจาก Google, Temasek, Bain & Company e-Conomy SEA 2019 Report)

แจ๊ค จาง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวถึงความเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซในอาเซียนเเละไทยว่า มีการเติบโตเป็นเท่าตัวเเละมีจำนวนผู้ซื้อโตกว่า 100% อย่างไรก็ตาม เเม้ตัวเลขจะดูเยอะเเต่คิดเป็นเพียง 3% ของภาพรวมทั้งหมด ด้วยจีนมีอยู่ถึง 20% เเละสหรัฐฯ อยู่ที่ 15% เเละนี่คือข้อบ่งชี้ว่าตลาดไทยเเละอาเซียนยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีก จึงเป็นเป้าหมายของลาซาด้าที่ต้องการจะยกระดับความสามารถด้านการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ SMEs รายย่อยเพราะเชื่อว่าไม่มีแบรนด์ใดใหญ่เกินไปหรือเล็กเกินไปสำหรับการประสบความสำเร็จในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

ในขณะที่ จอห์น แวกเนอร์ กรรมการผู้จัดการ Facebook ประเทศไทย กล่าวว่า “การที่มีผู้ซื้อขายผ่านเเชทออนไลน์ในไทยมากขึ้นนั้นเป็นการผสมผสานข้อดีของการซื้อขายสินค้าในโลกออนไลน์เเละออฟไลน์ เป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าที่มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนประเทศอื่น โดยในไทยจะเป็นการพูดคุยเเบบ treat me like a friend ให้ความรู้สึกสนิทสนม ผู้ซื้อรู้สึกสบายใจ เข้าถึงง่าย ไม่ซับซ้อน เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยที่เน้นความเป็นสังคมและชุมชน เเละนั่นคือจุดเด่นของการขายสินค้าผ่านการเเชทออนไลน์ที่กำลังเติบโตนี้”

ผู้บริหาร Facebook มองว่า ในปี 2020 องค์กรหรือบริษัทห้างร้านใหญ่ จะกระโดดเข้ามาในตลาด Conversational Commerce มากขึ้น หลังจากผู้ประกอบการรายเล็ก หรือ SMEs คลองตลาดค้าปลีกออนไลน์ในไทยมานาน ซึ่งธุรกิจก็ต้องรีบปรับตัวให้ทันรับเทรนด์นี้

อ่านเพิ่มเติม : รู้จัก Conversational Commerce คนไทยซื้อของออนไลน์ผ่าน “แชท” มากสุดในโลก

 

]]>
1256601