Nikkei Asia รายงานว่า Unicharm (ยูนิชาร์ม) เเบรนด์ผู้ผลิตของใช้ส่วนบุคคลจากญี่ปุ่น ที่มีสินค้าติดตลาดอย่างหน้ากากอนามัย ผ้าอนามัย เเละผ้าอ้อม ฯลฯ มีเเผนจะเพิ่มการส่งออกเป็นเท่าตัว ไปยังตลาดเอเชีย เช่น อินโดนีเซีย ไทย และเวียดนาม พร้อมจะขยายตลาดในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีรายได้สูง
ที่ผ่านมา บริษัทจัดจำหน่ายหน้ากากอนามัยรุ่น Cho-Kaiteki และ Cho-Rittai 3D Mask ได้ถึง 1.3 พันล้านชิ้นในปีที่แล้ว เเละมีการวางขายในต่างประเทศประมาณ 10% โดยส่วนใหญ่ผลิตในญี่ปุ่น
สำหรับกลยุทธ์เพื่อชิงตลาดครั้งนี้ Unicharm จะมีการปรับแพ็กเกจใหม่ ขยายโลโก้ Made in Japan ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เพื่อชูจุดเเข็งจากชื่อเสียงคุณภาพสินค้าที่ผลิตในญี่ปุ่น ดีไซน์ให้สวมใส่สบาย เน้นการป้องกันมลพิษเเละโควิด-19 ไปพร้อมๆ กัน
หน้ากากอนามัยของ Unicharm เเพงกว่าราคาเฉลี่ยในตลาดเอเชียอื่นๆ ถึง 5 เท่า โดยบริษัทมุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ปานกลาง–สูง ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยในเขตเมือง
“ความต้องการสวมใส่หน้ากากที่มีคุณภาพสูงยังมีอยู่มาก แม้ว่าจะมีราคาแพงกว่าก็ตาม” ตัวแทนของบริษัทระบุ
ก่อนที่จะเกิดวิกฤตโควิด บริษัทพยายามจะทำตลาดหน้ากากอนามัยในต่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ เเละตอนนี้ได้ผู้บริโภคก็หันมาสวมหน้ากากอนามัย ด้วยความจำเป็นที่ต้องป้องกันไวรัส
โดยในปีที่แล้ว Unicharm เปิดให้โรงงานตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อตอบสนองความต้องการภายในประเทศที่พุ่งสูงขึ้นเเละเริ่มติดตั้งเครื่องจักรเเละอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสำหรับส่งออกไปต่างประเทศ
ทั้งนี้ ในตลาดอินโดนีเซียและไทย Unicharm ครองส่วนแบ่งสูงสุดในกลุ่มผ้าอ้อมเด็กเเละผ้าอ้อมผู้ใหญ่ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยของผู้หญิง
ล่าสุด Unicharm ได้ตั้งเป้าเพิ่มยอดขาย เป็น 1.4 ล้านล้านเยน หรือเพิ่มอีกกว่า อีก 90% ภายในปี 2030 ซึ่งรายได้จากการส่งออกจะมีสัดส่วนมากถึง 70% ทำให้ต้องเร่งพัฒนาเพื่อเเข่งขันในตลาดนี้ให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการชิงตลาดกับสินค้าที่ราคาถูกกว่ากับจีน
โดยแม้ดีมานด์ของหน้ากากอนามัยในทั่วโลกในช่วงโรคระบาดจะพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ เเต่ส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ยังตกอยู่เป็นของสินค้าจากจีน
ข้อมูลของบริษัทวิจัย Euromonitor และหน่วยงานส่งออกของญี่ปุ่น ระบุว่า ปี 2020 ตลาดหน้ากากอนามัยทั่วโลกเติบโต 3 เท่า ส่วนในอาเซียนโตขึ้นถึง 5 เท่า โดยสินค้าจากจีนครองส่วนแบ่งในตลาดโลกเพิ่มขึ้นเป็น 74% จากเดิม 39%
ที่มา : Nikkei Asia
]]>เนื่องจากผ้าอ้อมสำเร็จรูปทั้งสำหรับเด็กและสำหรับผู้ใหญ่ในปัจจุบันนั้น หลังผ่านการใช้งานแล้วจะถูกกำจัดทิ้งด้วยการเผา ซึ่งทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่บรรยากาศ บริษัทจึงหวังว่าความพยายามรีไซเคิลนี้จะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้
Unicharm นั้นมีการวิจัยเทคโนโลยีดังกล่าวมานาน โดยมีนวัตกรรมดึงเอาเส้นใยในผ้าอ้อมสำเร็จรูปกลับมาทำความสะอาดเพื่อใช้ใหม่ พร้อมรับรองความสะอาดถูกสุขอนามัย และบริษัทเริ่มมีการทดลองรีไซเคิลด้วยนวัตกรรมนี้ที่จังหวัดคาโกชิม่ามาตั้งแต่ปี 2016
สาเหตุที่ Unicharm สนใจรีไซเคิลผ้าอ้อมสำเร็จรูป เป็นเพราะสังคมผู้สูงอายุของญี่ปุ่นที่มีจำนวนคนชราสูงขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้การเก็บและรีไซเคิลสินค้านี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง โดยบริษัทหวังว่าจะสามารถขยายเครือข่ายรีไซเคิลนี้ให้ได้เร็วที่สุด ผ่านความร่วมมือกับภาครัฐประจำท้องถิ่นต่างๆ
ผ้าอ้อมสำเร็จรูปของ Unicharm แบรนด์ที่คนไทยรู้จักเนื่องจากมีจำหน่ายในประเทศ เช่น ผ้าอ้อมเด็กมามี่โพโค ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ไลฟ์รี่ เป็นต้น
ส่วนการนำกลับมาใช้ใหม่อย่างไรนั้น บริษัทกล่าวว่า อยู่ระหว่างพัฒนาสินค้าใหม่ที่จะใช้เส้นใยหลังรีไซเคิลนี้ได้อยู่
]]>