รายงานจาก Wall Street Journal สื่อธุรกิจสหรัฐฯ ได้ชี้ถึงสถานการณ์แบรนด์เสื้อผ้าหลายแห่งนั้นพบว่าเสื้อผ้าไซส์เล็กได้กลับมาขายดีอีกรอบ เนื่องจากผลของปากกาลดน้ำหนัก หรือ Ozempic ขายดี จนทำให้เหล่าสาวๆ นั้นมีน้ำหนักลดลงจนกลับมาสามารถใส่เสื้อผ้าขนาดเล็กลงได้
สื่อรายดังกล่าวได้รายงานว่าผู้บริหารของแบรนด์เสื้อผ้าหลายแห่งนั้นไม่แน่ใจว่าการกลับมาของเสื้อผ้าไซส์เล็กนั้นมีความเกี่ยวข้องกับปากกาลดน้ำหนักหรือไม่ แต่พวกเขามองว่าการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวถือว่าแตกต่างกับในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากปกติแล้วการออกแบบเสื้อผ้าจะเน้นขนาดไซส์ใหญ่ และมีการออกแบบที่พรางรูปร่าง
แบรนด์เสื้อผ้าหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาได้กลับมามีการเติมสต๊อกสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อผ้าไซส์เล็กลง นอกจากนี้บางแบรนด์ยังตอบสนองความต้องการลูกค้าด้วยการเพิ่มลุคที่ดูโปร่งเพื่อที่จะเห็นรูปร่างมากยิ่งขึ้น หรือแม้แต่การออกแบบที่ดูหรูหรา
Lafayette 148’s ซึ่งเป็นแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ผู้บริหารได้กล่าวว่า 5% ของลูกค้าได้ซื้อเสื้อผ้าที่มีขนาดไซส์เล็กลงเนื่องจากสาวๆ ที่เป็นลูกค้ามีน้ำหนักลดลง ซึ่งลูกค้าบางรายที่ได้ใส่เสื้อผ้าขนาดไซส์ 12 ได้ลดไซส์ลงมาเหลือไซส์ 8 หรือบางรายได้ลดลงมาเหลือไซส์ 6 ด้วยซ้ำ
หรือแม้แต่ Rent the Runway บริการเช่าเสื้อผ้าในสหรัฐอเมริกา ได้มีการเปลี่ยนไซส์เสื้อผ้าครั้งใหญ่ในรอบ 15 ปี โดยนำเสื้อผ้าขนาดไซส์เล็กลงมาให้เช่า โดยผู้บริหารได้กล่าวว่าลูกค้า (ที่น้ำหนักลดลง) เริ่มมีความมั่นใจเริ่มลองเสื้อผ้าที่โชว์สัดส่วนของตัวเองมากขึ้น
หญิงสาวรายหนึ่งอายุ 32 ปีได้ให้สัมภาษณ์กับ Wall Street Journal เธอได้กล่าวว่า ในอดีตนั้นตัวเธอไม่มีความมั่นใจในรูปร่างของเธอเลยด้วยซ้ำ แต่หลังจากที่เธอได้ใช้ปากกาลดน้ำหนัก ส่งผลทำให้น้ำหนักของเธอลดลงไปมากถึง 60 ปอนด์ (หรือประมาณ 27 กิโลกรัม) ทำให้เธอกลับมามีความมั่นใจอีกรอบ กล้าที่จะลองใส่เสื้อผ้ามากขึ้น
สำหรับปากกาลดน้ำหนัก หรือ Ozempic ใช้งานโดยฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง ซึ่งตัวยานั้นมีการสังเคราะห์ฮอร์โมนคล้ายกับฮอร์โมน GLP-1 ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกไม่หิว และทานอาหารได้น้อยลง ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวได้รับอนุมัติจากหน่วยงานด้านสุขภาพในหลายประเทศ
อย่างไรก็ดีปากกาลดน้ำหนักอาจใช้ไม่ได้ผลสำหรับบางคน และอาจมีผลข้างเคียงในการใช้ นอกจากนี้การใช้งานอาจต้องมีการปรึกษาขอคำแนะนำจากแพทย์ที่เกี่ยวข้อง โดยราคาของปากกาลดน้ำหนักมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่หลักหมื่นบาทขึ้นไป
รายงานดังกล่าวยังชี้ว่าการที่เสื้อผ้ามีขนาดไซส์เล็กลงยังช่วยให้ผู้ผลิตเสื้อผ้านั้นกลับมามีกำไรจากต้นทุนการผลิตที่ลดลง และยังทำให้ค้าปลีกแบรนด์เสื้อผ้านั้นกลับมามียอดขายกระเตื้องมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีความมั่นใจในรูปร่างตัวเอง
]]>สำนักข่าว Bloomberg ได้รายงานถึงเชนร้านกาแฟอย่าง Luckin Coffee ที่มีข่าวฉาวในการปลอมแปลงยอดขายจนทำให้บริษัทถูกถอดออกจากกระดานซื้อขายหุ้นในสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 2020 แต่ล่าสุดสถานการณ์ของบริษัทนั้นดีขึ้นจากหลายปัจจัยด้วยกัน
การกลับมาของเชนร้านกาแฟรายดังกล่าวไม่ใช่เรื่องของความบังเอิญแต่อย่างใด แต่มาจากหลายปัจจัย เช่น เรื่องของการเปลี่ยนทีมผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ที่ทำให้เชนร้านกาแฟจากจีนรายนี้นั้นกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง จากการอัดฉีดเม็ดเงินกว่า 240 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2021 ทำให้บริษัทสามารถเดินหน้าในเรื่องธุรกิจได้อย่างสะดวก
ขณะเดียวกันบริษัทก็ได้ใช้กลยุทธ์เรื่องราคาเป็นหลักเช่นกัน โดยราคากาแฟขนาดไซส์เท่ากัน Starbucks จะอยู่ที่ราวๆ 33 หยวน ขณะที่ Luckin Coffee ราคาอยู่ที่ 11 หยวน ขณะที่ Cotti ซึ่งเป็นคู่แข่งรายสำคัญนั้นราคาจะอยู่ที่ 9.9 หยวน
ไม่เพียงเท่านี้เมนูของบริษัทเองก็ถือว่าดึงดูดลูกค้าไม่ว่าจะเป็นเมนูกาแฟอย่างลาเต้ที่ใส่นมมะพร้าว ซึ่งเมนูดังกล่าวในบางสาขานั้นครองยอดขายมากถึง 70% ในปี 2021 นอกจากนี้ยังมี ชานมไข่มุก หรือเมนูอื่นๆ ซึ่งเชนร้านกาแฟรายนี้พยายามที่จะเพิ่มเติมเพื่อที่จะดึงดูดลูกค้ามากขึ้น
สำหรับเมนูที่แปลกและสร้างกระแสให้กับบริษัทนั้นก็คือเมนูกาแฟใส่นม แต่มีการเพิ่มเหล้าจากบริษัทเหมาไถ (Moutai) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเหล้ารายใหญ่ของจีน และเมนูดังกล่าวถือว่าขายดีเช่นกัน
ปัจจุบัน Luckin Coffee นั้นมีสาขามากกว่า 18,500 สาขา และยังมีการขยายสาขาเพิ่มอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ในช่วงเดือนมิถุนายนปี 2023 ที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรไปแล้วกว่า 678 ล้านหยวน
คู่แข่งรายสำคัญอย่าง Starbucks นั้นผู้บริหารเองยังได้กล่าวถึงคู่แข่งที่อยู่ในประเทศจีนนั้นได้ใช้สงครามราคา แต่ก็มองว่าเรื่องดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น อย่างไรก็ดีในการรายงานผลประกอบการนั้นจะเห็นได้ว่าในไตรมาส 1 ของปี 2024 นี้เชนร้านกาแฟจากสหรัฐอเมริกากลับมียอดขายในจีนลดลง 6%
อย่างไรก็ดีราคาหุ้นของ Luckin Coffee ที่ซื้อขายนอกตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกานั้นยังถือว่ามีราคาต่ำกว่าจุดสูงสุดที่เคยทำไว้อยู่ที่ราวๆ 63% ซึ่งถือว่ายังเป็นหนทางที่เชนร้านกาแฟรายนี้ยังต้องฝ่าฝันอุปสรรค หรือแม้แต่ต่อสู้กับคู่แข่งหลายราย เพื่อที่จะทำกำไรให้ได้มากกว่าเดิม และมีราคาหุ้นกลับมาสูงกว่าเดิม
]]>Leena Nair ผู้บริหารสูงสุดของ Chanel ได้กล่าวว่า เธอได้เดินทางไปยังประเทศจีนและพบว่าวัยรุ่นจีนนั้นยังสนใจในสินค้า Luxury อยู่ ขณะที่ Philippe Blondiaux ซึ่งเป็นผู้บริหารด้านการเงินของบริษัท ก็ได้กล่าวว่าตลาดแดนมังกรยังถือว่าเป็นตลาดสำคัญ
ปัจจุบัน Chanel มีสาขาในประเทศจีน 18 สาขา ซึ่งคู่แข่งบางรายมีหน้าร้านมากกว่าในระดับ 40-50 ร้าน แต่แบรนด์หรูรายนี้ก็เตรียมที่จะเปิดสาขาเพิ่ม ซึ่งหนึ่งในสาขาที่เปิดเพิ่มเติมมีไว้สำหรับลูกค้ากำลังซื้อสูงและต้องการความเป็นส่วนตัว รวมถึงการเปิดศูนย์ซ่อมสินค้าของบริษัทในเซี่ยงไฮ้
ทิศทางของ Chanel นั้นถือว่าสวนทางแบรนด์หรูหลายแบรนด์ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงด้านรายได้ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจในประเทศจีนนั้นเติบโตช้ากว่าคาดไว้ ทำให้กำลังซื้อของเหล่านักช้อปของหรูลดลง หลายบริษัทเริ่มที่จะหารายได้ใหม่ๆ จากประเทศที่มีกำลังซื้อเติบโตสูงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย หรือแม้แต่ ตะวันออกกลาง
สำหรับผลประกอบการในปี 2023 ที่ผ่านมา Chanel มียอดขาย 19,700 ล้านยูโร เติบโต 16% เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่ผ่านมา โดยได้ผลดีจากยอดขายในทวีปเอเชียและยุโรปที่ยังเติบโต แม้ว่ายอดขายในสหรัฐอเมริกาจะชะลอตัวลงก็ตาม
ตลาดสินค้าหรูนั้นกำลังปรับตัวให้เข้ากับความต้องการที่ลดลงทั่วโลกในข่วงที่ผ่านมา เนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น และสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน ส่งผลให้ลูกค้าของแบรนด์หรูเหล่านี้ต้องใช้จ่ายอย่างรัดกุม
ที่มา – Reuters
]]>จากปี 2023 หลายคนมองว่าเป็นปีแห่งความหวัง เพราะมีการเลือกตั้ง ภาพของการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้น ทำให้คนคิดว่าปีนี้เศรษฐกิจต้องดีกว่าเดิม แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างเป็นแค่ภาพลวงตาในปี 2024 เพราะผู้บริโภคมองว่า รัฐบาลใหม่พึ่งไม่ได้ ในส่วนของ นักท่องเที่ยวมาเยอะจริง แต่รายได้ไม่เพิ่ม สวนทางกับ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้ ผู้บริโภคต้อง พึ่งพาตัวเอง ใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด
“เขามองว่านักท่องเที่ยวมาเยอะจริง แต่เลือกไปแต่งานอีเวนต์ใหญ่ ๆ หรือจังหวัดใหญ่ ๆ ไม่ไปเมืองรอง และรัฐเขาก็พึ่งไม่ได้ ต้องหาเงินเองให้ได้มากที่สุด ต้องพึ่งพาตัวเอง เพราะเงินมีเท่าเดิม แต่ของแพงขึ้น”
ภาพที่สะท้อนให้เห็นคือ คนมองว่า รายได้ทางที่ 2 ไม่เพียงพอ การใช้จ่ายเน้น ความคุ้มค่าที่สุด ดังนั้น จะใช้จ่ายแต่ละครั้งจะมีการ เปรียบเทียบ ทั้งการเปรียบเทียบระหว่างแพลตฟอร์มออนไลน์ และสินค้าหน้าร้าน เพื่อให้คุ้มราคามากที่สุด
การใช้จ่ายที่ลดลง ก็ส่งผลกระทบกับร้านโชห่วยเล็ก ๆ ที่เริ่ม ไม่ไม่สต็อกของเยอะ เพราะขายได้น้อยลง และจะเริ่มเห็น โปรโมชั่นแปลก ๆ ตามพฤติกรรมกลุ่มลูกค้าของร้าน เช่น การจับคู่สินค้าระหว่างขนมกับเครื่องดื่มชูกำลัง นอกจากนี้ ห้างท้องถิ่นจะรับบัตรประชารัฐมากขึ้น
บางชุมชนในต่างจังหวัด เริ่มหันมาผนึกกำลังกันเอง ทั้งขายของกันในชุมชน รวมถึงเริ่มทำกลุ่มออมทรัพย์ของตัวเอง ส่วนคนรุ่นใหม่เริ่มกลับบ้านเกิด ช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ในชุมชน
แต่นอกจากพึ่งพาตัวเองแล้ว อีกสิ่งที่พอจะพึ่งพาก็คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ สายมู เพื่อช่วยให้ความสบายใจ โดยคนไทยสามารถมูได้หมดไม่มีขีดจำกัด เช่น วัด, ตำหนัก แม้แต่มูออนไลน์ มูเลขมงคล, สีมงคล และนอกจากจะใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ การมูยังกลายเป็น ความเอนเตอร์เทน ได้ด้วย
แน่นอนว่าคนมูก็เพื่ออยากรวย ดังนั้น ต่อให้ไม่มีเงินแค่ไหน ลอตเตอรี่ ยังคงเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคซื้อ และเริ่มนิยมซื้อออนไลน์ เพราะว่าเลือกเลขที่ต้องการง่ายกว่า
การ เสิร์ช ไม่จำกัดแค่ใช้ Google อีกต่อไป แต่ผู้บริโภคเริ่มเก่งในการ ตั้งคำถาม นอกจากนี้มีการใช้ ChatGPT ในการหาข้อมูลเพราะช่วยสรุปมาให้แล้ว ในขณะที่ คอนเทนต์ เริ่มไม่มีเส้นแบ่งระหว่างเอนเตอร์เทนเมนต์ ข่าว และสาระความรู้
“อย่างรายการโหนกระแส บางคนก็ดูเพื่อเสพข่าวสาร แต่บางคนดูเพื่อความบันเทิง”
อย่างไรก็ตาม ด้วยความเครียดจากเศษฐกิจ คอนเทนต์ เอนเตอร์เทนเมนต์ ยังคงเป็นคอนเทนต์ยอดนิยม โดยผู้บริโภคยัง นิยมดูคอนเทนต์ทีวี เพียงแต่ไม่ได้ดูผ่านทีวี แต่กระจายไปทุกแพลตฟอร์ม อาทิ YouTube, TikTok และ Netflix
“คอนเทนต์ที่ฉายทีวียังอยู่ แต่คนดูบนออนไลน์ แปลว่าคนยังตามคอนเทนต์อยู่ ดังนั้น ต้องวางแผนการตลาดให้ดี”