japan – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 24 Apr 2024 05:38:25 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 7-Eleven ตั้งเป้าภายในปี 2030 จะมี 100,000 สาขาทั่วโลก เจาะตลาดยุโรป ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง เพิ่ม https://positioningmag.com/1470845 Wed, 24 Apr 2024 01:20:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470845 เซเว่น อีเลฟเว่น (7-Eleven) ได้ตั้งเป้ามีร้านสะดวกซื้อทั่วโลกแตะ 100,000 สาขาภายในปี 2030 โดยเน้นตั้งเป้าขยายสาขาในประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง หรือแม้แต่แอฟริกา 

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า Seven & i Holdings บริษัทแม่เจ้าของแฟรนไชส์ 7-Eleven ในประเทศญี่ปุ่น ได้เตรียมที่ขยายสาขาทั่วโลก โดยตั้งเป้าว่าภายในปี 2030 บริษัทจะขยายสาขาเพิ่มอีก 18% หรือคิดเป็น 100,000 สาขา เมื่อเทียบตัวเลขดังกล่าวกับตัวเลขล่าสุด

ตลาดที่ Seven & i Holdings จะเจาะโดยการขายสิทธิแฟรนไชส์สาขาก็คือ ยุโรป ลาตินอเมริกา นอกจากนี้ยังรวมถึงตะวันออกกลาง และแอฟริกา และจะทำให้เชนร้านสะดวกซื้อนั้นขยายสาขาได้เป็น 30 ประเทศทั่วโลก จากเดิมซึ่งอยู่ที่ 20 ประเทศ

แผนดังกล่าวนั้นตามมาจากแผนของ Seven & i Holdings ที่ตั้งเป้าในปี 2026 จะมีสาขาในทวีปเอเชียเพิ่มขึ้นอีก 3,600 สาขา โดยมองปัจจัยสำคัญมาจากชนชั้นกลางที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้นตาม ขณะเดียวกันร้านสะดวกซื้อเองก็ถือว่าตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้บริษัทได้ทุ่มงบลงทุนมากถึง 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเร่งขยายสาขาในสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ออสเตรเลียหลังจากในปีที่ผ่านมา Seven & i Holdings ได้ซื้อธุรกิจร้านสะดวกซื้อจำนวน 751 สาขากลับมา เพื่อที่จะขยายธุรกิจได้รวดเร็วมากขึ้น

นอกจากนี้แรงกดดันจากนักลงทุนยังทำให้ Seven & i Holdings เตรียมขายสินทรัพย์ที่ไม่สร้างกำไรให้กับบริษัทอย่างธุรกิจ Supermarket ในประเทศญี่ปุ่นออกไปอีกด้วย

ข้อมูลล่าสุดช่วงปลายปี 2023 จำนวนร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven นั้นมีอยู่มากกว่า 80,000 สาขาทั่วโลก โดยจำนวนสาขาที่เยอะมากสุดคืออยู่ในทวีปเอเชีย 

]]>
1470845
Krungsri Consumer เตรียมส่งโปรโมชันผ่อน 0% นาน 3 เดือนสำหรับการใช้จ่ายในญี่ปุ่น คาดยอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่แดนอาทิตย์อุทัยโต 50% ในปีนี้ https://positioningmag.com/1468749 Tue, 02 Apr 2024 13:41:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1468749 กรุงศรี คอนซูมเมอร์ (Krungsri Consumer) เปิดเผยถึงผลประกอบการในปี 2023 ที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทได้เตรียมส่งโปรโมชั่นจูงใจให้ลูกค้าสำหรับการจับจ่ายในประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัทตั้งเป้ายอดการใช้จ่ายบัตรในประเทศญี่ปุ่นจะเติบโตมากถึง 50% ในปีนี้

อธิศ รุจิรวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ได้กล่าวถึงยอดการใช้จ่ายบัตรรวมถึงยอดสินเชื่อส่วนบุคคลในปี 2023 ที่ผ่านมา โดยบริษัทมียอดบัตรเครดิตใหม่ 339,000 บัตร ยอดใช้จ่ายบัตร 365,000 ล้านบาท (เติบโต 10%) สินเชื่อใหม่ 92,000 ล้านบาท (เติบโต 6%) และสินเชื่อคงค้าง 148,400 ล้านบาท (เติบโต 3%)

สำหรับหมวดใช้จ่ายที่เติบโตสูงในปี 2023 ที่ผ่านมาได้แก่ ตัวแทนท่องเที่ยว สายการบิน โรงแรมและรถเช่า ตามลำดับ ซึ่งอธิศได้ชี้ถึงการเดินทางได้กลับมาอีกครั้ง ผู้คนเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น

แต่ถ้าหากเทียบยอดค่าใช้จ่ายสูงที่สุดในปีที่ผ่านมา ได้แก่ ประกันภัย ปั๊มน้ำมัน การซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และตกแต่งบ้าน โดยเขาชี้ถึงคนไทยได้ซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ซึ่งในอดีตไม่เคยมีหมวดหมู่นี้ติดอันดับต้นๆ ด้วยซ้ำ แสดงให้เห็นว่าไลฟ์สไตล์คนไทยเปลี่ยนไป

กลยุทธ์ในปี 2024 นั้น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ยังได้กล่าวว่าบริษัทจะเน้นการขยายพันธมิตรให้มากกว่านี้ ขณะเดียวกันก็จะเจาะกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้น โดยเขาชี้ว่าเพื่อที่จะรีเฟรชพอร์ตโฟลิโอของบริษัทด้วย ไม่ให้มีลูกค้าในช่วงอายุใดอายุหนึ่งมีสัดส่วนมากเกินไป

เขายังกล่าวว่าในปีนี้จะมีการเน้นในส่วนของ Flagship Product มากขึ้น ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะมีการปรับปรุงบัตรและเปิดตัวบัตรใหม่ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ยังรวมถึงกลยุทธ์ในการทำงานแบบประสานพลังในเครือกรุงศรีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินฝาก ประกัน หรือแม้แต่เรื่องของการบริหารความมั่งคั่งให้กับลูกค้าบัตรเครดิต

บริษัทตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตร 393,000 ล้านบาท ยอดสินเชื่อใหม่ 100,000 ล้านบาท ยอดสินเชื่อคงค้าง 151,000 ล้านบาท

อธิศ รุจิรวัฒน์ – กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด / ภาพจากบริษัท

ลูกค้ากรุงศรีฯ เที่ยวญี่ปุ่นเยอะ เตรียมจับมือพันธมิตรเพิ่ม

สมหวัง โตรักตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด ได้กล่าวถึงข้อมูลยอดใช้จ่ายผ่านบัตรของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ในปี 2023 นั้น สัดส่วนยอดใช้จ่ายผ่านบัตรในต่างประเทศ ญี่ปุ่นเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของลูกค้าของบริษัท และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับผลสำรวจที่ Visa ได้ทำไว้ว่าญี่ปุ่นถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับ 1 ของคนไทยอยากไปเที่ยว

กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศญี่ปุ่น ในฐานะบริษัทในเครือกรุงศรี หนึ่งในเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) บริษัทจึงเตรียมต่อยอดแคมเปญ “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา

บริษัทยังเปิดเผยข้อมูลลูกค้าของบัตรเครดิตในเครือกรุงศรีในปี 2023 ได้ใช้จ่ายในประเทศญี่ปุ่นมากถึง 2,200 ล้านบาท โดยลูกค้ากลุ่ม Gen X และ Gen Y นั้นมีสัดส่วนมากถึง 80% ซึ่งมียอดเฉลี่ยต่อคน 32,000 บาท เติบโต 10% เมื่อเทียบกับปี 2022

แต่ถ้าหากเรียงตามยอดใช้จ่ายในประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า โรงแรมหรือที่พัก สินค้าแฟชั่นเครื่องแต่งกาย เครื่องสำอางสินค้าเบ็ดเตล็ด และ สนามบินและสินค้าปลอดภาษี ตามลำดับ

สมหวัง โตรักตระกูล – กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด / ภาพจากบริษัท

ชู 4 แนวทางหลักขับเคลื่อนแคมเปญ

เพื่อต่อยอดกับแคมเปญดังกล่าว สมหวังยังกล่าวว่าบริษัทนั้นจะตั้งเป้าสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าในญี่ปุ่นมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการจับมือกับพันธมิตรในประเทศญี่ปุ่นและไทยเพิ่มมากขึ้น 600 แบรนด์ หรือแม้แต่การใช้เครือข่ายของ MUFG ในประเทศญี่ปุ่นเพื่อเพิ่มพันธมิตรในญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น โดยแนวทางในการขับเคลื่อน “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” ได้แก่

  • ขยายความร่วมมือโดยเพิ่มจำนวนพันธมิตร เพิ่มสิทธิประโยชน์ เสริมหมวดหมู่ใหม่ๆ เพื่อคนรักญี่ปุ่น
  • นำเสนอทางเลือกในการชำระเงินที่หลากหลาย อำนวยความสะดวกให้ลูกค้า เช่น Tap & Go
  • เสริมประสบการณ์ให้หลากหลาย ครบทุกเรื่องญี่ปุ่น ทั้งในและต่างประเทศ เช่น เพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านร้านอาหาร การช้อปปิ้ง และบริการ งานอีเวนต์ที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น
  • ใช้ข้อมูลและนวัตกรรม เพื่อที่จะเสริมประสิทธิภาพการตลาด

เตรียมส่งโปรโมชั่นผ่อน 0% นาน 3 เดือน หรือใช้บัตร Krungsri Boarding Card ก็ได้

สมหวังยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่าบริษัทเตรียมส่งโปรโมชั่นผ่อน 0% นาน 3 เดือน โดยลูกค้าสามารถเลือกผ่อนชำระรายการที่เป็นสกุลเงินเยนหรือร้านค้าในประเทศญี่ปุ่นได้ผ่านทางแอปพลิเคชั่น UCHOOSE ได้ ซึ่งเขาคาดว่าโปรโมชั่นดังกล่าวน่าจะออกมาได้ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้

นอกจากนี้สมหวังยังได้ชี้ถึงอีกทางเลือกของคนที่ชอบเที่ยวคือ Krungsri Boarding Card จากธนาคารกรุงศรีฯ ซึ่งเป็นบัตร VISA Prepaid Card ที่มีกระเป๋าเงิน e-Wallet ซึ่งสามารถใช้ 16 สกุลเงินต่างประเทศ และสกุลเงินบาทได้นั้น สมหวังได้ชูจุดเด่นที่ลูกค้าสามารถตั้งซื้อเรทค่าเงินได้ผ่านทาง Krungsri Mobile App

สมหวังได้กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่น 2,950 ล้านบาทในปีนี้ ซึ่งเติบโต 50% เทียบกับปี 2023 ที่ผ่านมา จากสิทธิประโยชน์ที่ครบ และเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง จะช่วยให้กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เป็นผู้นำธุรกิจในเซกเมนต์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวญี่ปุ่นได้

อธิป ศิลป์พจีการ – ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารธุรกิจกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด / ภาพจากบริษัท

ต้องปรับตัวให้เข้ากับนโยบายแบงก์ชาติ

อธิป ศิลป์พจีการ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารธุรกิจกรุงศรี เฟิร์สช้อยส์ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด ในส่วนของนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ได้ให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อที่จะแก้ปัญหาหนี้ในครัวเรือนที่มีระดับสูงอยู่ในเวลานี้ อธิปได้กล่าวว่าทางกรุงศรีฯ​ ได้มีนโยบายดังกล่าวมานานแล้ว แค่ต้องปรับตัวให้เข้ากับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยเท่านั้น

หลังจากนี้ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เตรียมจะเริ่มการสื่อสารกับลูกค้าในกลุ่มผ่านทุกช่องทางตามกำหนดการของ ธปท. เพื่อแจ้งสถานะว่าลูกค้าเหล่านี้อยู่ในกลุ่มลูกหนี้เป็นหนี้เรื้อรังนั้นจะสามารถเลือกที่จะปิดหนี้ผ่านโครงการสินเชื่อพิเศษที่อัตราดอกเบี้ย 15% ต่อปีได้

อย่างไรก็ดีเขาชี้ว่าลูกค้าที่เป็นกลุ่มลูกหนี้เป็นหนี้เรื้อรังนั้นคาดว่ามีไม่ถึง 10% ที่จะเข้าร่วมโครงการดังกล่าว เนื่องจากลูกค้าต้องการวงเงินสำรองเพื่อใช้จ่ายยามฉุกเฉิน ยกเว้นว่าลูกหนี้คนดังกล่าวนั้นต้องการที่จะยกเลิกบริการสินเชื่อไปเลย

กังวลเรื่องการปรับอัตราชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำ

กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ได้กล่าวถึงนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ได้ออกนโยบายไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องของการเพิ่มอัตราชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำจาก 5% เป็น 8% เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้น เขากังวลว่ามาตรการดังกล่าวดูเหมือนว่าตัวเลขอาจไม่สูง แต่ถ้ามองในมุมของลูกค้าเขากังวลว่าจะกระทบต่อภาระในการชำระหนี้

อธิศ ได้กล่าวว่า อัตราส่วนคงค้างของสินเชื่อของลูกหนี้ที่มีค่างวดค้างชำระเกินกว่า 90 วันของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ อยู่ที่ระดับ 1.14% สำหรับบัตรเครดิต และ 2.5%

เขากล่าวถึงตัวเลขในเดือนกุมภาพันธ์เริ่มเห็นสัญญาณของการผิดนัดชำระหนี้บ้างแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มรากหญ้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ขณะที่คนมีเงินก็จะไม่มีปัญหาในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด เขายังกล่าวเสริมว่ากรณีดังกล่าวเปรียบได้กับการขอให้คนที่ยังไม่ฟื้นตัวดีมากพอจ่ายเงินมากขึ้น

อธิศ ยังกล่าวว่าหลังจากในส่วนของมาตรการให้ชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำ 8% ออกมา 6 เดือนแล้วจะมีการประเมินผลอีกที และจะนำประเด็นดังกล่าวไปพูดคุยกับทางธนาคารแห่งประเทศไทยในภายหลัง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกันเป็นระยะๆ ในเรื่องดังกล่าว

]]>
1468749
ธนาคารกลางญี่ปุ่นขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 17 ปี นักวิเคราะห์ชี้เงินเยนอาจไม่แข็งค่าเท่าที่คาด https://positioningmag.com/1466718 Tue, 19 Mar 2024 10:25:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466718 ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วง 0-0.1% ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 17 ปี และยังเป็นการประกาศชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ว่าแดนอาทิตย์อุทัยได้ออกจากสภาวะเงินฝืดแล้ว แต่สำหรับค่าเงินเยนแล้วนั้นนักวิเคราะห์มองว่าอาจไม่ได้แข็งค่าเท่าที่คาดจากท่าทีที่ระมัดระวังของ BoJ

ธนาคารกลางญี่ปุ่น ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในช่วง 0-0.1% ซึ่งการปรับดอกเบี้ยดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี หลังจากที่ญี่ปุ่นได้ใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลาย รวมถึงการใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบมาเป็นระยะเวลานาน

BoJ ได้ประกาศอัตราดอกเบี้ยในช่วง 0-0.1% จากเดิมที่ญี่ปุ่นได้ใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบที่ -0.1% มาเป็นระยะเวลาเกิน 10 ปี มาตรการดังกล่าวตามมาหลังจากที่ญี่ปุ่นได้ปรับค่าแรงเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.3% เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแดนอาทิตย์อุทัยได้พ้นจากสภาวะเงินฝืดเป็นที่เรียบร้อย

ถ้อยแถลงของ BoJ ยังมีการกล่าวถึงตัวเลขเงินเฟ้อของญี่ปุ่นอยู่ในช่วง 2% (หรือมากกว่า) ซึ่งมีลักษณะมั่นคงมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง และมองว่านโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของญี่ปุ่นได้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวแล้ว

นอกจากนี้ในถ้อยแถลงของ BoJ ยังกล่าวว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอัตราที่สูงกว่าอัตราการเติบโตที่เป็นไปได้ (Potential Growth Rate)

นโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่นนอกจากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีนโยบายที่จะยกเลิกการซื้อกองทุนหุ้นญี่ปุ่นที่ซื้อขายในตลาดหุ้น (ETF) ทรัสต์การลงทุนในอสังหาริมทัพย์ในประเทศญี่ปุ่น (REITS) หรือแม้แต่การควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Yield Curve Control) เพื่อควบคุมให้นโยบายการเงินอยู่ในสภาวะผ่อนคลาย

การที่ญี่ปุ่นต้องใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบเนื่องจากปัญหาเงินฝืด ซึ่งเป็นผลกระทบของเศรษฐกิจในยุค 1990 ที่ฟองสบู่แตก ส่งผลต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น จนเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาทศวรรษที่สาบสูญ จนท้ายที่สุด ชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ออกนโยบายผ่อนคลายทางการเงินออกมาเพื่อจะแก้ปัญหาดังกล่าวนับตั้งแต่ปี 2012

ในช่วงที่ผ่านมา BoJ ได้ส่งสัญญาณการยกเลิกนโยบายผ่อนคลายทางการเงินมาโดยตลอด หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อในญี่ปุ่นนั้นปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนคาดว่าในท้ายที่สุดแล้วญี่ปุ่นจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี BoJ ยังยืนยันว่าจะไม่ใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดเหมือนกับธนาคารกลางของประเทศพัฒนาหลายประเทศที่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เร็วและรุนแรง เช่น สหรัฐอเมริกา ฯลฯ และยังชี้ว่านโยบายทางการเงินของญี่ปุ่นในช่วงเวลานี้ยังอยู่ในสภาวะผ่อนคลายอยู่

ผลกระทบจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของญี่ปุ่นหลายปีที่ผ่านมาคือส่งผลทำให้ค่าเงินเยนอ่อนค่า ซึ่งส่งผลดีต่อภาคการส่งออกและท่องเที่ยวของญี่ปุ่น แต่ผลกระทบคือการนำเข้าสินค้าของญี่ปุ่นจะมีราคาสูงมากขึ้น

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับค่าเงินเยนว่า “ตลาดคาดว่า BoJ จะเปลี่ยน แปลงนโยบายพร้อมกับท่าทีระมัดระวังเกี่ยวกับการคุมเข้มนโยบายเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยหาก BoJ ส่งสัญญาณว่าอาจเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวจะไม่เพียงพอที่จะทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นได้”

สำหรับค่าเงินเยนเมื่อเทียบกับค่าเงินบาทล่าสุดในวันนี้ (19 มีนาคม) ซื้อขายในช่วง 0.2396-0.2415 เยนต่อ 1 บาท ซึ่งยังไม่ได้แข็งค่าในทันทีจากนโยบายการปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าว

ที่มา – Reuters, The Guardian, CNN

]]>
1466718
Nissan และ Honda พิจารณาลดกำลังการผลิตรถยนต์ในจีน หลังผู้ผลิตในแดนมังกรแข่งขันดุเดือดมากขึ้น https://positioningmag.com/1466084 Tue, 12 Mar 2024 17:29:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466084 ‘นิสสัน’ และ ‘ฮอนด้า’ ผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น ได้พิจารณาลดกำลังการผลิตรถยนต์ในจีน หลังเจอแรงกดดันจากผู้ผลิตในประเทศหลายรายจากการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามรถยนต์ไฟฟ้าจากหลายแบรนด์

Nikkei Asia รายงานข่าวว่า นิสสัน (Nissan) และ ฮอนด้า (Honda) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น ได้พิจารณาเตรียมลดกำลังการผลิตในประเทศจีน โดยสาเหตุสำคัญคือผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นต้องดิ้นรนเพื่อไล่ตามการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้ากับผู้ผลิตแดนมังกร

โดย Nissan จะเริ่มพูดคุยกับบริษัทร่วมทุนในท้องถิ่นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพื่อลดกำลังการผลิตในจีนสูงสุดถึง 30% ขณะที่ Honda นั้นจะลดกำลังการผลิตราวๆ 20% กำลังการผลิตที่ลดลงจะทำให้ Nissan เหลือจำนวนรถยนต์ที่ผลิตในจีนเหลือแค่ 1.6 ล้านคันต่อปี ซึ่งผลิตในโรงงาน 8 แห่งทั่วประเทศจีน ขณะที่ Honda จะเหลือแค่ 1.2 ล้านคันต่อปีเท่านั้น

ในปี 2023 ที่ผ่านมา ปริมาณการผลิตรถยนต์ของ Nissan ในประเทศจีนลดลง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เหลือ แค่ 793,000 คันเท่านั้น ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนั้นถือเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดครั้งแรกในรอบ 14 ปีของบริษัทอีกด้วย

ในช่วงทศวรรษ 2000 ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นหลายรายได้เริ่มให้ความสำคัญกับการผลิตและการขายรถยนต์ในจีนแผ่นดินใหญ่ผ่านการร่วมทุนกับบริษัทในแดนมังกร เพื่อตอบสนองต่อคำขอของรัฐบาลจีนที่ขอให้ช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ

รถยนต์ญี่ปุ่นได้รับความนิยมในหมู่ชาวจีนเนื่องจากมีคุณภาพสูง ในช่วงปี 2020 ผู้ผลิตจากญี่ปุ่นได้ครองตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลซึ่งมีสัดส่วนมากถึง 20% แต่อย่างไรก็ดีเมื่อเวลาผ่านไป บริษัทในประเทศจีนหลายรายได้หันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นซึ่งเราจะเห็นได้จากหลากหลายแบรนด์

ขณะที่ผู้ผลิตจากญี่ปุ่นเองนั้นไม่สามารถที่จะไล่ตามเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของผู้ผลิตในประเทศจีนได้ นอกจากนี้ยังรวมถึงการแข่งขันทางด้านราคา หรือแม้แต่การเพิ่มลูกเล่นต่างๆ เข้ามา เพื่อดึงดูดลูกค้า

จีนยังมีผู้เล่นหน้าใหม่ที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็น Nio หรือ Xpeng หรือแม้แต่ผู้ผลิตสินค้าไอทีอย่าง Xiaomi ที่ลงมาลุยตลาดดังกล่าว รวมถึง Huawei เองก็ได้ร่วมทุนกับผู้ผลิตยานยนต์ในประเทศจีนก็มีแผนที่จะออกรถยนต์ไฟฟ้ามาสู่ท้องถนนให้ได้เช่นกัน

นอกจากนี้ยอดขายรถไฟฟ้าในประเทศจีนชะลอตัวลง แบรนด์จีนหลายแห่งยิ่งต้องแข่งขันเพิ่มมากขึ้น ก็ยิ่งสร้างแรงกดดันให้กับผู้ผลิตรถยนต์จากแดนอาทิตย์อุทัยเพิ่มมากขึ้น จนทำให้ท้ายที่สุดต้องมีการปรับลดการผลิต

]]>
1466084
ยังคงร้อนแรง! ดัชนีหุ้นญี่ปุ่น Nikkei ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 40,000 จุด เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ https://positioningmag.com/1464958 Mon, 04 Mar 2024 06:12:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1464958 ดัชนีหุ้นญี่ปุ่นอย่าง Nikkei 225 ได้ทำสถิติใหม่ที่ 40,000 จุดเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยปัจจัยที่ทำให้หุ้นญี่ปุ่นมาถึงจุดนี้ได้คือมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน กำไรของบริษัททำสถิติใหม่ การปฏิรูปด้านธรรมาภิบาล หรือแม้แต่เม็ดเงินจากนักลงทุนชาวต่างชาติ

ดัชนี Nikkei 225 ซึ่งรวบรวมบริษัทในประเทศญี่ปุ่นที่มีขนาดบริษัทใหญ่ที่สุด 225 บริษัท โดยล่าสุดวันนี้ (จันทร์ที่ 4 มีนาคม) ได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ทะลุ 40,000 จุดเป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่ดัชนีหุ้นญี่ปุ่นได้เอาชนะจุดสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้ตั้งแต่ปี 1989 ไว้ได้

ผลกระทบจากสภาวะตลาดหุ้นตกลงอย่างหนักของญี่ปุ่นหลังจากปี 1989 ยังก่อเกิดปัญหาคือ เศรษฐกิจมีปัญหาจากเงินฝืดที่เกาะกินเป็นระยะเวลายาวนานตั้งแต่ยุค 1990 จนทำให้มีการตั้งฉายาว่า ‘ทศวรรษที่หายไป’

มาตรการธนู 3 ดอก ซึ่งถือเป็นมาตรการผ่อนคลายทางการเงินตั้งแต่สมัยนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเกิดสภาวะดังกล่าวซ้ำรอย โดยมาตรการดังกล่าวธนาคารกลางญี่ปุ่นได้ซื้อสินทรัพย์ต่างๆ ในตลาดหุ้นไม่ว่าจะเป็น ETF หุ้นญี่ปุ่น พันธบัตรรัฐบาล หรือกองทรัสต์ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลทำให้ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา

ในช่วงที่ผ่านมากำไรของบริษัทจดทะเบียนญี่ปุ่นยังทำสถิติสูงสุดติดต่อกันหลายไตรมาส ขณะที่ค่าเงินเยนที่อ่อนค่ายังส่งผลให้บริษัทที่ทำธุรกิจในต่างประเทศมีกำไรเพิ่มสูงขึ้น ไม่เพียงเท่านี้ญี่ปุ่นเองมีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ส่งผลทำให้ดัชนีหุ้นญี่ปุ่นยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง

ดัชนีหุ้นญี่ปุ่นอย่าง Nikkei 225 ทำสถิติสูงสุดใหม่แล้ว / ข้อมูลจาก Google Finance

ขณะเดียวกันญี่ปุ่นยังสนับสนุนให้มียกเว้นการจัดเก็บภาษีจากกำไรและเงินปันผลที่ได้รับจากการลงทุนบางส่วนภายใต้โครงการ Nisa ซึ่งจะสร้างผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเพิ่มมากขึ้น รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นมีนโยบายในการปฏิรูปด้านธรรมาภิบาล ทำให้บริษัทมีความโปร่งใสมากขึ้น

ขณะเดียวกัน การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในบริษัทญี่ปุ่นของนักลงทุนชื่อดังอย่าง Warren Buffett ทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเริ่มเป็นที่สนใจของนักลงทุนชาวต่างชาติมากขึ้น นอกจากนี้ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ยังทำให้เม็ดเงินของนักลงทุนยิ่งไหลเข้าไปยังญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น

ในปี 2023 ที่ผ่านมาตลาดหุ้นญีปุ่นถือเป็นอีก 1 ตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในโลก และในปี 2024 ยังทำผลตอบแทนที่ดี นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาดัชนีได้ให้ผลตอบแทนไปแล้วถึง 20.20%

อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจของญี่ปุ่นนั้นถือว่าอยู่ในสภาวะท้าทายจากปัญหาโครงสร้างประชากรที่มีผู้สูงอายุจำนวนมาก ทำให้แรงงานมีจำนวนขาดแคลน ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว

โดยบทวิเคราะห์ล่าสุดจาก Bank Of America นั้นนักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ว่าดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นในสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 41,000 จุด จากปัจจัยของกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ยังเพิ่มขึ้นสูงต่อเนื่อง

ที่มา – Al Jazeera, Reuters

]]>
1464958
เขากลับมาแล้ว! Masayoshi Son เตรียมตั้งกองทุนเกี่ยวกับชิปด้าน AI มูลค่าสูงถึง 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ https://positioningmag.com/1463264 Tue, 20 Feb 2024 03:24:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463264 Masayoshi Son ซึ่งเป็น CEO ของ SoftBank เตรียมตั้งกองทุนเกี่ยวกับชิปด้าน AI มูลค่าสูงถึง 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยเน้นลงทุนในบริษัทชิปที่เกี่ยวข้องกับด้าน AI โดยเฉพาะ และขอเป็นผู้ท้าชิงในอุตสาหกรรมดังกล่าวกับ Nvidia ซึ่งครองตลาดชิปเร่งการประมวลผล AI อยู่ในเวลานี้

สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Masayoshi Son ซึ่งเป็น CEO ของ SoftBank เตรียมที่จะจัดตั้งกองทุนเพื่อที่จะลงทุนในด้านการผลิตชิปสำหรับเร่งการประมวลผลด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะ คาดว่าขนาดของกองทุนนั้นจะใหญ่มากถึง 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 3.6 ล้านล้านบาท

โครงการดังกล่าวมีชื่อเรียกภายในบริษัทว่า Izanagi โดยกองทุนดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมให้ ARM บริษัทออกแบบชิปที่ SoftBank เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ สามารถที่จะเป็นผู้ท้าชิงในอุตสาหกรรมดังกล่าวกับ Nvidia ซึ่งครองตลาดชิปเร่งการประมวลผล AI อยู่ในเวลานี้

สำหรับการจัดตั้งกองทุนนั้นคาดว่าเม็ดเงินราวๆ 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จะมาจาก SoftBank ซึ่งมีเม็ดเงินเหลือเฝืออยู่ในบริษัทอยู่แล้ว ขณะที่ 70,000 ล้านเหรียญคาดว่าจะมาจากนักลงทุนในตะวันออกกลาง

ถ้าหาก SoftBank ตั้งกองทุนได้สำเร็จก็จะกลายเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในบริษัทด้าน AI กองทุนใหญ่กองหนึ่งของโลก ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทประสบความสำเร็จในการจัดตั้งกองทุนขนาดยักษ์อย่าง SoftBank Vision Fund ที่ลงทุนในสตาร์ทอัพมาแล้ว

ความต้องการในการผลิตชิปเร่งการประมวลผล AI เพิ่มมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นทั้งบริษัทในสหรัฐอเมริกาอย่าง OpenAI เองก็มีแผนที่จะระดมทุนเพื่อสร้างโรงงานผลิตชิป หรือแม้แต่บริษัทจีนอย่าง Huawei เองก็ต้องให้ความสำคัญกับการผลิตชิปสำหรับ AI ก่อนด้วยซ้ำ

ก่อนหน้านี้ CEO ของ SoftBank มีความสนใจในเรื่องของ AI อย่างมาก และมีการพูดคุยกับ CEO ของ OpenAI อย่าง Sam Altman บ่อยครั้ง นอกจากนี้เขายังเคยกล่าวเรื่องเทคโนโลยี AI กับชาวญี่ปุ่นว่า “จะนำมันมาใช้หรือถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีกครั้ง” มาแล้ว

]]>
1463264
เยอรมนีแซงญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลก หลังแดนซามูไรเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย https://positioningmag.com/1462940 Fri, 16 Feb 2024 02:44:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1462940 เยอรมนีได้กลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลกแล้ว หลังขนาดเศรษฐกิจได้แซงหน้าญี่ปุ่น เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจของแดนซามูไรนั้นเกิดสภาวะถดถอยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2023 นอกจากนี้ยังรวมถึงค่าเงินเยนที่อ่อนค่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาด้วย

เยอรมนีได้กลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลกแล้ว หลังขนาดเศรษฐกิจได้แซงหน้าญี่ปุ่น เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจของแดนซามูไรนั้นเกิดสภาวะถดถอยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2023 ที่ผ่านมาอย่างไม่คาดคิด

ตัวเลขล่าสุดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่เป็นตัวเงิน (Nominal GDP) ของเยอรมนีอยู่ที่ 4.46 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แซงหน้าญี่ปุ่นซึ่งอยู่ที่ 4.21 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ขนาดเศรษฐกิจเยอรมนีแซงหน้าคือการรายงานตัวเลข GDP ในไตรมาส 4 ของญี่ปุ่นนั้นถดถอยอยู่ที่ 0.4% จากผลของสภาวะเศรษฐกิจโลกเนื่องจากเศรษฐกิจจีนอ่อนแอ การบริโภคภายในประเทศที่ซบเซา หรือแม้แต่การหยุดหน่วยผลิตของ Toyota ก็ส่งผลต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นเช่นกัน

เศรษฐกิจแดนซามูไรนั้นถือว่าถดถอยมาเป็นระยะเวลา 2 ไตรมาสติดต่อกันแล้ว

Yoshiki Shinke นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ Dai-ichi Life Research Institute กล่าวว่า เศรษฐกิจของญี่ปุ่น ไม่มีปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญในตอนนี้ ซึ่งส่งผลทำให้เศรษฐกิจยังขาดแรงผลักดันในการเติบโต

ความคล้ายคลึงกันของทั้งเศรษฐกิจเยอรมนีและเศรษฐกิจญี่ปุ่นคือทั้ง 2 ประเทศพึ่งพาการส่งออกสินค้าเป็นหลัก โดยญี่ปุ่นคู่ค้าหลักคือประเทศจีน ขณะที่เยอรมันนั้นคือสหรัฐอเมริกา (และจีนอยู่ในอันดับ 3) ไม่เพียงเท่านี้ในช่วงที่ผ่านมา 2 ประเทศต่างประสบปัญหาราคาพลังงานสูงขึ้น จนส่งผลต่อเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ปัญหาด้านโครงสร้างประชากรทั้งเยอรมนีและญี่ปุ่นที่ต้องต่างพบเจอเช่นกันในช่วงเวลานี้คือ สังคมผู้สูงอายุ และการลดลงของจำนวนประชากร

อย่างไรก็ดี Brian Coulton นักเศรษฐศาสตร์จาก Fitch Ratings ได้กล่าวว่า “การแซงหน้าของขนาดเศรษฐกิจในรูปแบบดอลลาร์สหรัฐของเยอรมนี เป็นผลมาจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าอย่างหนักเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่ง GDP ที่แท้จริงของญี่ปุ่นนั้นเหนือกว่าเยอรมนีมาตั้งแต่ปี 2019”

ที่มา – CNA, The Guardian, Euronews

]]>
1462940
รัฐบาลญี่ปุ่นทุ่มเงินเกือบ 11,000 ล้านบาท สนับสนุนการพัฒนาชิป 2 นาโนเมตร รวมถึงชิปที่เกี่ยวข้องกับ AI https://positioningmag.com/1462515 Tue, 13 Feb 2024 07:47:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1462515 รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศทุ่มเงินเกือบ 11,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการพัฒนาชิป 2 นาโนเมตรให้ได้ภายในปี 2027 และยังรวมถึงการพัฒนาชิปที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลด้านปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวกำลังมีบทบาทสำคัญในอนาคต

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ทุ่มเงินมากถึง 45,000 ล้านเยน หรือคิดเป็นเงินไทยเกือบ 11,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการพัฒนาชิปสำหรับ AI หรือแม้แต่เทคโนโลยีการผลิตชิปให้ได้ 2 นาโนเมตรให้ได้ภายในปี 2027 หลังจากที่ญี่ปุ่นได้ทุ่มทุนในการดึงอุตสาหกรรมไฮเทคเข้ามาในประเทศมากขึ้น

เม็ดเงินวิจัยและพัฒนาชิปจะนำไปใช้โดย Leading-Edge Semiconductor Technology Center ซึ่งมีการก่อตั้งในปี 2022 โดยแยกเป็น 28,000 ล้านเยนสำหรับพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการออกแบบชิปรุ่นต่อไปสำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเม็ดเงินอีกส่วน 17,000 พันล้านเยนสำหรับพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิป 2 นาโนเมตรหรือดีกว่าให้ได้

สำหรับ Leading-Edge Semiconductor Technology Center นั้นมีแกนนำคือ มหาวิทยาลัยโตเกียว AIST ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลญี่ปุ่น รวมถึง Rapidus บริษัทร่วมทุนของภาคเอกชนญี่ปุ่นเพื่อพัฒนาการผลิตชิป ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทอย่าง Sony NTT SoftBank Toyota ฯลฯ

โดย Leading-Edge Semiconductor Technology Center การวิจัยมีทั้งในเรื่องเทคโนโลยีการผลิต หรือแม้แต่วัสดุในการผลิตชิป ซึ่งญี่ปุ่นเองถือเป็นประเทศที่ส่งออกวัตถุดิบในการผลิตชิปอันดับต้นๆ ของโลก และจะมีการร่วมมือกับบริษัททั้งในญี่ปุ่นรวมถึงผู้เล่นสำคัญที่อยู่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

ก่อนหน้านี้ Fumio Kishida นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ต้องการให้มีการผลิตชิปในประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง และหวังว่าแผนการดังกล่าวทำให้ญี่ปุ่นสามารถกลับมาเป็นผู้นำในด้านนี้ได้ หลังจากที่เกิดความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยที่รัฐบาลเตรียมให้เม็ดเงินและสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อที่จะเพิ่มกำลังการผลิตชิปในญี่ปุ่นมากถึง 3 เท่าภายในปี 2030

ซึ่งบริษัทที่สนใจเข้าไปตั้งโรงงานผลิตชิปในญี่ปุ่นก็คือ TSMC และยังมีการประกาศตั้งโรงงานเพิ่มเติมที่จะผลิตชิปด้วยเทคโนโลยี 3 นาโนเมตร

ขณะเดียวกัน Rapidus เองซึ่งเป็นบริษัทของญี่ปุ่นได้วางเป้าหมายที่จะผลิตชิปด้วยเทคโนโลยี 1.4 นาโนเมตรให้ได้ภายในปี 2028

ที่มา – Reuters, JiJi, Nikkei Asia

]]>
1462515
KDDI ยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมอันดับ 2 ของญี่ปุ่น ซื้อหุ้นร้านสะดวกซื้อ Lawson สัดส่วน 50% มองว่าให้บริการลูกค้าเพิ่มมากขึ้นได้ https://positioningmag.com/1462263 Sun, 11 Feb 2024 12:40:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1462263 ยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมอันดับ 2 ของญี่ปุ่นอย่าง KDDI ได้ประกาศเข้าซื้อหุ้นของธุรกิจร้านสะดวกซื้ออย่าง Lawson โดยมองว่าสามารถให้บริการลูกค้าเพิ่มมากขึ้น จากร้านสะดวกซื้อซึ่งบริษัทมองว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังรวมถึงการหารายได้จากธุรกิจใหม่ๆ เช่น การเงิน ประกันฯ ได้อีกด้วย

KDDI ยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมอันดับ 2 ของญี่ปุ่น ประกาศเข้าซื้อหุ้น Lawson ยักษ์ใหญ่ร้านสะดวกซื้ออันดับ 3 ของญี่ปุ่น โดย KDDI ชี้ถึงการรุกเข้าหาลูกค้า เพื่อให้บริการต่างๆ ของบริษัท ขณะเดียวกันก็ยังทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการแข่งขันของธุรกิจโทรคมนาคมในญี่ปุ่นที่ดุเดือดจากผู้เล่นที่มากถึง 4 ราย

ก่อนหน้านี้ KDDI ถือหุ้น Lawson อยู่แล้วราวๆ 2.61% โดยเม็ดเงินที่ KDDI ใช้ซื้อหุ้นเพื่อเพิ่มเติมคาดว่าจะอยู่ที่ 500,000 ล้านเยน หรือคิดเป็นเงินไทย 120,257 ล้านบาท และหลังจากนี้คาดว่าจะมีการนำบริษัทออกจากตลาดหุ้นญี่ปุ่น จะกลายเป็นว่าเจ้าของ Lawson จะมี Mitsubishi และ KDDI เป็นเจ้าของธุรกิจแทน

เหตุผลที่ KDDI มองว่าการเข้าซื้อหุ้น Lawson สร้างประโยชน์ให้กับบริษัทคือ

  • จะทำให้สามารถบริการให้กับลูกค้าของ KDDI โดยเฉพาะอย่างยิ่ง au เครือข่ายโทรศัพท์มือถือเบอร์ 2 ของญี่ปุ่นสะดวกมากขึ้น เนื่องจากสาขาของ au มีแค่ 2,200 สาขาเท่านั้น
  • ให้บริการธุรกิจ E-commerce ของ Lawson ได้ดีมากยิ่งขึ้น
  • ทำให้รายได้ของ KDDI เพิ่มมากขึ้น จากเดิมมีแค่รายได้จากธุรกิจโทรคมนาคมเป็นหลัก และบริษัทได้หันมาให้บริการด้านประกันภัยและบริการทางการเงินมากขึ้น
  • นอกจากนี้ KDDI ยังมีแผนที่จะ Transformation ให้กับร้านสะดวกซื้ออย่าง Lawson ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ไปจนถึงการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์จากพลาสติกให้เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายง่าย ไม่เป็นโทษแก่สิ่งแวดล้อม

แม้ว่าประเทศญี่ปุ่นจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แต่ KDDI มองว่าร้านสะดวกซื้อเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งบริษัทมองว่าไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้เปลี่ยนแปลงไป และ Lawson ได้มีการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

KDDI ยังมองถึงการขยายสาขาเพิ่มเติมในญี่ปุ่นซึ่งมีสาขามากถึง 14,600 สาขา และยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมเบอร์ 2 ของญี่ปุ่นยังมองเห็นการเข้าถึงในธุรกิจอื่นของบริษัทไม่ว่าจะเป็นบริการทางการเงิน ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลลูกค้าของทั้ง 2 บริษัท หลังจากการทำธุรกรรมแล้วเสร็จ

ในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจร้านสะดวกซื้อในญี่ปุ่นเองนั้นได้ต่อสู้กันทั้งในญี่ปุ่น หรือแม้แต่นอกญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอบริการใหม่ๆ ผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการขยายสาขา โดยปัจจุบันคู่แข่งรายใหญ่ของ Lawson คือ Seven & i Holdings เจ้าของ 7-Eleven ที่ตั้งเป้าขยายสาขาในทวีปเอเชียเพิ่ม รวมถึง FamilyMart

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวนักวิเคราะห์ยังมองว่าหลังจากนี้บริษัทใหญ่ในญี่ปุ่นมีโอกาสที่จะควบรวมกิจการกันมากขึ้นหลังจากดีลดังกล่าวนี้ ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับนักลงทุนไม่น้อย

ที่มา – KDDI, Kyodo News, The Register, CNBC

]]>
1462263
Toyota ยังเป็นเบอร์ 1 ยอดขายรถยนต์มากสุด แซงแชมป์เก่า Volkswagen เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน https://positioningmag.com/1437023 Tue, 30 Jan 2024 07:45:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1437023 ‘โตโยต้า’ ได้แจ้งจำนวนยอดขายรถยนต์ของบริษัทนั้นมากถึง 11.2 ล้านคันทั่วโลก ทำให้บริษัทยังเป็นเบอร์ 1 ของผู้ผลิตรถยนต์ และยังแซงแชมป์เก่าจากเยอรมันอย่าง Volkswagen เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน แต่ในปีนี้บริษัทอาจประสบปัญหายอดขายลดลงหลังบริษัทลูกเผชิญเรื่องอื้อฉาวด้านความปลอดภัย

Toyota ผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่น ได้แจ้งยอดขายรถยนต์ของบริษัทและบริษัทลูกในปี 2023 ที่ผ่านมาทั่วโลกมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา นอกจากนี้ยอดขายรถยนต์ยังแซงหน้าคู่แข่งจากเยอรมันอย่าง Volkswagen เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน

ยอดขายรถยนต์ของบริษัทและบริษัทลูกในปี 2023 ที่ผ่านมาของ Toyota เติบโต 7.2% อยู่ที่ 11.2 ล้านคัน และมีรถที่ผลิตได้ทั้งหมด 11.5 ล้านคัน ซึ่งจำนวนดังกล่าวมากกว่าคู่แข่งจากเยอรมันอย่าง Volkswagen ซึ่งมียอดขายทั้งหมด 9.2 ล้านคัน

ถ้าหากนับแค่ Toyota อย่างเดียว ในปี 2023 ที่ผ่านมาบริษัทผลิตรถยนต์ได้ 10.3 ล้านคัน

โดยผู้ผลิตรถยนต์รายดังกล่าวนั้นผลิตรถยนต์ไฮบริดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของรถยนต์ที่ผลิตได้ทั้งหมด ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 104,018 คันคิดเป็นสัดส่วนแค่ 1% เท่านั้น

ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นรายนี้ผ่านสถานการณ์ Supply Chain หยุดชะงักในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ชิปขาดแคลน จนทำให้ Toyota ต้องปรับลดการผลิตมาแล้วในปี 2021 และยังรวมถึงการฟื้นตัวของความต้องการรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ยุโรป

อย่างไรก็ดีภายในปี 2024 นี้บริษัทลูกอย่าง Daihatsu อาจผลิตรถยนต์ได้ลดลง หลังจากบริษัทเผชิญเรื่องอื้อฉาวด้านความปลอดภัยในรถยนต์ 64 รุ่น จนทำให้บริษัทต้องลดการผลิตลง 25%

]]>
1437023