LGT – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 17 Jan 2024 12:01:43 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 LGT มองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ถดถอย อาจเห็นลดดอกเบี้ยช่วงกลางปี แนะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นอินเดีย-ญี่ปุ่น https://positioningmag.com/1459194 Wed, 17 Jan 2024 11:22:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1459194 นักยุทธศาสตร์การลงทุนของแอลจีที LGT ไพรเวทแบงก์กิ้งจากลิกเตนสไตน์ ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ถดถอย อาจเห็นลดดอกเบี้ยช่วงกลางปี ขณะเดียวกันกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้เขาได้แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นอินเดีย-ญี่ปุ่น

สเตฟาน โฮเฟอร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของแอลจีที (LGT) ไพรเวทแบงก์กิ้ง ภูมิภาคเอเชีย ได้กล่าวถึงเศรษฐกิจโลกปี 2024 ในเชิงบวก โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกานั้นเขาคาดว่าจะไม่ถดถอย เพียงแต่จะเติบโตชะลอตัวลง หลังจากที่เศรษฐกิจได้เติบโตอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา จนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องประกาศขึ้นดอกเบี้ย

สำหรับในปีนี้ LGT มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวแบบ Soft Landing เพื่อหลีกเลี่ยงเศรษฐกิจถดถอย และถ้าหากสถานการณ์เป็นไปตามนี้ Fed จะประสบความสำเร็จในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่สูงโดยไม่ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย

โดย LGT คาดว่า Fed จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในช่วงเดือนมิถุนายน ขณะที่ GDP ของสหรัฐอเมริกาในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ 2% และตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะกลับมาอยู่ที่ 2% ได้ในช่วงไตรมาส 3

ในส่วนของเศรษฐกิจญี่ปุ่น LGT คาดการณ์ว่าธนาคารกลางของญี่ปุ่นจะปรับนโยบายการเงินเข้มงวดขึ้นในปีนี้ และเงินเยนญี่ปุ่นคาดว่าจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกัน สเตฟาน มองว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้หลุดพ้นสภาวะเงินฝืดซึ่งกินเวลายาวนานถึง 25 ปีได้

ทางด้านของเศรษฐกิจอินเดีย LGT คาดว่า GDP จะโตได้มากถึง 6% จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น ถนน สะพาน ทางรถไฟ ท่าเรือ และสนามบิน สเตฟานยังมองว่าถ้าหากอินเดียไม่ลงทุนกับสิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถที่จะเป็นประเทศที่ส่งออกเหมือนกับจีน หรือแม้แต่ไทยได้

ข้อมูลจาก LGT

สำหรับจีน LGT คาดการณ์ว่า GDP จะเติบโตได้ 5% แต่ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์จะยังคงอ่อนแอต่อเนื่องไปถึงปี 2025 หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของ LGT มองว่าราคาบ้านในปักกิ่งลดลงไวมาก เขามองว่าสถานการณ์นั้นเหมือนกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสวิตเซอร์แลนด์ช่วงยุค 1990

LGT ยังมองว่าเศรษฐกิจยุโรปในปี 2023 ที่ผ่านมาซึ่งเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในเยอรมนีและอิตาลี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อส่งออกจากจีน อย่างไรก็ดีตัวเลขอัตราว่างงานในยูโรโซนถือว่าต่ำ ในปี 2024 นี้คาดว่า GDP จะกลับมาเติบโตได้ปานกลางจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป

ปิดท้ายด้วยเศรษฐกิจไทย LGT มองว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 3% ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการลงทุนระหว่างประเทศในภาคอุตสาหกรรมของไทย ขณะเดียวกันดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นโดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความคาดหวังต่อการผ่อนคลายทางการคลังที่สำคัญ (Digital Wallet) ที่อาจเกิดขึ้นในปีนี้

ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนในปี 2024 นั้น LGT คาดการณ์ว่านักลงทุนจะนิยมลงทุนในพันธบัตรมากกว่าหุ้นและเงินสดในช่วงครึ่งแรกของปี เนื่องจากระดับผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงอยู่ในระดับสูง แต่เมื่ออัตราดอกเบี้ยเริ่มลดลงในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าเงินทุนระหว่างประเทศจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้น ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิ

LGT ยังแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย ขณะที่อุตสาหกรรมที่ชอบคือ กลุ่มบริการด้านการสื่อสาร กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการแพทย์ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มสาธารณูปโภค กลุ่มพลังงาน กลุ่มวัสดุ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น

]]>
1459194
LGT มองกระแสโลกาภิวัตน์ยังไม่จางหาย ปริมาณการค้าโลกที่ยังสูง แต่ประเทศอื่นได้ประโยชน์จากการแข่งขัน https://positioningmag.com/1444947 Wed, 20 Sep 2023 15:37:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444947 Private Banking เจ้าใหญ่จากประเทศลิกเตนสไตน์อย่าง LGT ได้ให้มุมมองทางเศรษฐกิจว่า กระแสโลกาภิวัตน์ยังไม่จางหายไปไหน จากปริมาณการค้าที่ยังเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก แต่ประเทศอื่นจะได้ประโยชน์จากการแข่งขันนี้ ขณะเดียวกันก็มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่ถดถอย แต่ชะลอตัวลงหลังจากนี้

สเตฟาน โฮเฟอร์ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนในทีมบริการด้านการลงทุน บริษัท หลักทรัพย์ แอลจีที (ประเทศไทย) จำกัด หรือ LGT ได้กล่าวถึงกระแสที่โลกาภิวัตน์จะจางหายไป และจะเกิดกระแส Deglobalization หรือการทวนกระแสโลกาภิวัตน์นั้นเขามองว่าสามารถดูได้จากปริมาณการค้าโลกที่ยังทำสถิติสูงอยู่ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด

เขาได้ชี้ถึงสินค้าจากภาคการผลิตยังมีการแข่งขันที่สูงในตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นสินค้าจากจีน หรือแม้แต่สินค้าจากประเทศต่างๆ ที่มีการย้ายฐานการผลิต ไม่ว่าจะเป็น ไทย เวียดนาม ไปจนถึง เม็กซิโก ที่ล่าสุดสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าแซงประเทศจีนไปแล้ว แต่ก็มองว่านี่คือการแข่งขันซึ่งหลายประเทศเองก็ได้ประโยชน์

LGT มองว่าเมื่อมีสินค้าจำนวนมากขึ้นในท้องตลาดจะช่วยขับเคลื่อนให้เงินเฟ้อลดต่ำลงในอนาคดทั้งระยะกลางและระยะยาว และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ภาคธุรกิจมีความมั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในสหรัฐฯ และยุโรปจะสามารถกลับเข้าสู่ระดับปกติที่ 2% ภายในกลางปี 2024 ได้

นอกจากนี้ในมุมของ สเตฟาน ยังมองว่าจีนจะค่อยๆ ปรับค่าเงินหยวนให้อ่อนค่าลง เพื่อจะช่วยให้ภาคการผลิตจีนส่งออกสินค้าได้มากขึ้น แต่จะไม่เห็นค่าเงินหยวนอ่อนค่าอย่างรวดเร็วทันที เพราะไม่งั้นจะเห็นปัญหาอีกปัญหาหนึ่งก็คือเม็ดเงินไหลออกจากประเทศจีนอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ LGT มองว่าในช่วงที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเร็ว และแรงเพื่อที่จะสกัดเงินเฟ้อให้ได้ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ล่าสุดจะอยู่ที่ 5.25% แต่ตัวเลขเงินเฟ้อก็กำลังปรับตัวลงมาแล้ว ทำให่เขามองว่าหลังจากนี้จะมีการขึ้นดอกเบี้ยอีกแค่ 1 ครั้งเท่านั้น

แต่ถ้าหากมองไปยังตลาดแรงงานแล้วนั้น สเตฟานชี้ว่า ตอนนี้อัตราว่างงานของสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 3.8% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน แต่ยังถือว่าต่ำอยู่ ขณะที่ค่าจ้างในสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อก็ยังเติบโตเป็นบวก เขาได้อธิบายเพิ่มว่าแรงงานสหรัฐฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย แม้ว่าเงินเฟ้อจะสูงขึ้น ปัจจัยนี้จะช่วยให้การอุปโภคบริโภคและการใช้จ่ายในภาพรวมของสหรัฐฯ อยู่ในเกณฑ์ดี

ปัจจุบัน LGT เป็นกลุ่มบริษัทด้านการบริการไพรเวตแบงก์กิ้งและการจัดการสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งบริหารงานโดยราชวงศ์แห่งลิกเตนสไตน์ โดยบริษัทเปิดสำนักงานในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา และให้บริการด้านการลงทุนและการบริหารความมั่งคั่งที่มีเอกลักษณ์ให้กับลูกค้าบุคคลที่มีความมั่งคั่งลูกค้าองค์กร และสถาบันการเงินในประเทศ

ในปี 2024 นี้ สเตฟาน มองว่าจะเป็นปีที่ดีมากขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางน่าจะลดลงช่วงกลางปี และเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงแต่ไม่ใช่เข้าสู่สภาวะถดถอย กำไรต่อหุ้นของบริษัทในสหรัฐอเมริกาจะกลับมาฟื้นตัวได้ ขณะเดียวกันเขาก็มองว่าค่าเงินบาทอาจจะทรงตัวมากขึ้น

]]>
1444947
ราชวงศ์เก่าแก่ในยุโรป “ลิกเตนสไตน์” รุกธุรกิจ “ไพรเวทแบงก์” บริหารความมั่งคั่งไร้พรมแดน ดูแลความรวยให้เศรษฐีไทย เปิดสาขา LGT แห่งที่ 3 ในเอเชีย ย้ำเศรษฐีทั่วโลกชอบลงทุนแบบเดียวกัน “ธุรกิจตัวเอง-อสังหาฯ-ตลาดเงินตลาดทุน” https://positioningmag.com/1220180 Sun, 17 Mar 2019 14:31:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1220180 ราชวงศ์แห่งลิกเตนสไตน์ (Princely House of Liechtenstein) เป็นเจ้าของและบริหาร LGT กลุ่มบริษัทด้านการบริการไพรเวทแบงก์และการจัดการสินทรัพย์ซึ่งเป็นเอกชนที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดำเนินธุรกิจมาเกือบร้อยปี มีสำนักงานใหญ่ที่เมืองวาดุซ ประเทศลิกเตนสไตน์ ในช่วงกลางปี พ.. 2561 บริหารสินทรัพย์รวมมูลค่าถึง 2.075 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6.5 ล้านล้านบาท สำหรับในเอเชีย LGT เป็นไพรเวทแบงก์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 12 มีมูลค่าสินทรัพย์ที่บริหารมากกว่า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.9 ล้านล้านบาท อันดับความน่าเชื่อถือของ LGT Bank อยู่ที่ Aa2 จากการจัดอันดับของมูดี้ส์ และ A+ จากแสตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส มีการวัดความแข็งแกร่งทางการเงินโดยมีเงินกองทุนขั้นที่ 1 ในระดับ 18.7% มีฐานะการเงินมั่นคง มีพนักงานมากกว่า 3,000 คน ในสำนักงานมากกว่า 20 แห่งในยุโรป เอเชีย อเมริกา และตะวันออกกลาง

ราชวงศ์แห่งลิกเตนสไตน์ในยุโรปเก่าแก่กว่า 900 ปี มีธุรกิจครอบครัวคือ LGT Bank ก่อตั้งในปี 1920 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เกษตรกรรมและป่าไม้ ประเทศลิกเตนสไตน์ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป มีเศรษฐกิจที่เติบโตเข้มแข็ง ไม่มีภาระหนี้สาธารณะ มีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ระดับ AAA มีกฎหมายการเงินมากว่า 150 ปี และเป็นศูนย์กลางการเงินในอันดับต้นๆ ของโลก

เมื่อวานนี้ 6 มีนาคม 2562 LGT เปิดสำนักงานในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ภายใต้ชื่อบริษัทหลักทรัพย์ แอลจีที (ประเทศไทย) จำกัด โดยเจ้าชายฟิลลิพ ฟอน อุนด์ ซู ลิกเตนสไตน์ (H.S.H. Prince Philipp von und zu Liechtenstein) ประธานบริษัท LGT เจ้าชายฮูเบอร์ตัส อลอยซ์ ฟอน อุนด์ ซู ลิกเตนสไตน์ (H.S.H. Prince Hubertus Alois von und zu Liechtenstein) กรรมการบริหาร LGT ได้ทรงร่วมในพิธีเปิด พร้อมด้วย ดร.เฮนรี ไลเมอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LGT Private Banking Asia และคณะผู้บริหารของสำนักงานแห่งใหม่ในประเทศไทย

LGT ในไทยจะขับเคลื่อนและขยายตัวทางการตลาดภายใต้การดูแลโดยกานต์ คฤหเดชซึ่งมีประสบการณ์ด้านไพรเวทแบก์มากว่า 20 ปี และมีเอกภพ เมฆกัลป์จายที่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจตลาดเงินตลาดทุนและการบริหารความมั่งคั่งมากว่า 16 ปี ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของกลยุทธ์การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนในเอเชีย เนื่องจากประเทศไทยเป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีโอกาสที่น่าสนใจมากมาย โดยมีฐานลูกค้า นักลงทุนไทยมีการออมในระดับสูง ตลอดจนหน่วยงานกำกับดูแลของไทยเปิดให้นักลงทุนขยายการลงทุนไปทั่วโลก ดังนั้น การเปิดสำนักงานประจำในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นแห่งที่ 3 ในเอเชีย เพื่อบริการด้านการลงทุนและการบริหารความมั่งคั่งระดับโลกแก่กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ (high net worth individuals) และลูกค้าระดับองค์กร จึงเป็นการเปิดโอกาสให้สามารถให้คำปรึกษาและสนับสนุนลูกค้าชาวไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังสนับสนุนการดำเนินงานด้านไพรเวทแบงก์ของ LGT ในฮ่องกงและสิงคโปร์อีกด้วยซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมาภูมิภาคนี้เติบโตได้อย่างน่าพอใจ

สำหรับนักลงทุนรายใหญ่ทั่วโลกที่มีความมั่นคงสูง โดยทั่วไปจะลงทุนในธุรกิจของตัวเองเป็นหลักในอันดับแรก แล้วจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ จากนั้นจะลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนซึ่งมีมากขึ้น และที่สำคัญยังขยายการลงทุนไปต่างประเทศ จึงเป็นโอกาสให้ LGT นำเสนอความเชี่ยวชาญในการบริหารความมั่งคั่งแบบไร้พรมแดน นอกจากนี้ LGT ยังบริหารทรัพย์สินให้กับราชวงศ์ลิกเตนสไตน์ ดังนั้น บริการที่นำเสนอต่อราชวงศ์จึงนำมาให้บริการแก่ลูกค้าทั่วไปด้วย ขณะที่การมีโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่มั่นคง เครือข่ายระหว่างประเทศที่ครอบคลุม แนวทางการดำเนินงานที่เข้าถึงความต้องการของลูกค้าเฉพาะบุคคล และประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของที่ปรึกษาด้านการดูแลสินทรัพย์ รวมทั้งการโฟกัสหรือมุ่งให้บริการเฉพาะไพรเวทแบงก์อย่างเดียว เป็นจุดเด่นดึงดูดลูกค้า

ไทยมีมหาเศรษฐีมากเป็นอันดับ 9 ของเอเชีย / มหาเศรษฐีทั่วโลกชอบลงทุนอะไร

เว็บไซต์ maruey.com ให้ข้อมูลรายงาน The Wealth Report 2018 ของ Knight Frank ที่เปิดเผยเมื่อเดือนมีนาคม 2561 ทำให้รู้ว่า เมื่อปี 2560 ประเทศไทยมีมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมากกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,700 ล้านบาท อยู่ทั้งหมด 770 คน จากจำนวนทั้งหมด 129,730 คนทั่วโลก มากเป็นอันดับ 9 ของเอเชีย และได้รับการคาดหมายว่าในปี 2565 จำนวนมหาเศรษฐีไทยจะเพิ่มขึ้นอีก 210 คนเป็น 980 คน

สำหรับพอร์ตโฟลิโอของมหาเศรษฐีทั่วโลกพบว่า มหาเศรษฐีทั่วโลกเพิ่มการลงทุนในหุ้นมากที่สุด อยู่ที่ 52% โดยมหาเศรษฐีชาวเอเชียลงทุนเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น อยู่ที่ 78% รองลงมาเป็นทวีปอเมริกาเหนือ อยู่ที่ 65% ละตินอเมริกา 62% และถ้าประเมินจากผลตอบแทนจากตลาดหุ้นในปี 2560 แล้วคนรวยแล้วจะรวยขึ้น

ขณะที่อสังหาริมทรัพย์ทั้งที่เป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่อยู่อาศัยและที่พักเพื่อท่องเที่ยวพักผ่อน ได้รับความนิยมมากขึ้นโดยมีการลงทุนเพิ่มถึง 40% ส่วนตราสารหนี้กำลังลำบากเพราะอยู่ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้การถือครองตราสารหนี้อายุยาวมีโอกาสขาดทุนจากราคาซื้อขาย จึงน่าจะเป็นเหตุผลให้มหาเศรษฐีลงทุนเพิ่มพียง 6% เช่นเดียวกับทองคำซึ่งมีมหาเศรษฐีลงทุนเพิ่มเพียง 15% เท่านั้น และหันไปถือเงินสดมากขึ้น เฉลี่ยทั้งโลกอยู่ที่ 29%

ในส่วนของของสะสมไม่ว่าจะเป็น ชิ้นงานศิลปะ รถ ไวน์ และอื่นๆ ยังได้รับความนิยมเช่นเดิม ซึ่งในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา มหาเศรษฐีในทวีปออสเตรเลียมีการลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 53% และเฉลี่ยทั้งโลกอยู่ที่ 29% แต่เกือบครึ่งหนึ่งของมหาเศรษฐีในปัจจุบัน นอกจากจะสะสมด้วยความชื่นชอบส่วนตัวแล้ว ยังนับให้ของสะสมเป็นการลงทุนรูปแบบหนึ่ง โดยให้เหตุผลว่า นอกจากจะสุขใจที่ได้เป็นเจ้าของแล้ว กำไรที่ได้ยังน่าชื่นใจอีกด้วย โดยเฉพาะชิ้นงานศิลปะ ไวน์ และนาฬิกาที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในปี 2560 เมื่อเทียบกับการสะสมประเภทอื่นๆ

นอกจากนี้ สินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่ไม่มีการพูดถึงในรายงานของปีก่อนหน้า นั่นคือ Cryptocurrency ซึ่งในปีที่ผ่านมาราคา Cryptocurrency บวกขึ้นหลายเท่าตัว พบว่ามหาเศรษฐีทั่วโลกมีสัดส่วนการลงทุนใน “Cryptocurrency“ เพิ่มขึ้นถึง 16% ทวีปที่มีการลงทุนเพิ่มมากที่สุดคือ ละตินอเมริกา 33% รองมาเป็นรัสเซียและเครือรัฐเอกราช มีการลงทุนเพิ่ม 27% และแอฟริกา 24%

]]>
1220180