นักเศรษฐศาสตร์จาก Harvard Business School และนักวิจัยจาก Tuck School of Business ได้เปิดเผยว่าตัวเลขการค้าโลกยังคงตัว ไม่ได้ลดลง แม้ว่าโลกจะอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งโดยจากสหรัฐอเมริกาและจีน ขณะเดียวกันการเชื่อมโยงด้าน Supply Chain อาจมีความเชื่อมโยงกันผ่านประเทศที่ 3 มากขึ้น
รายงานการวิจัยของ Laura Alfaro นักเศรษฐศาสตร์จาก Harvard Business School และ Davin Chor ซึ่งเป็นผู้ช่วยศาสตรจารย์ที่ Tuck School of Business แห่งมหาวิทยาลัย Dartmouth ได้เปิดเผยในการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่ Jackson Hole ว่าการค้าโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังคงมีตัวเลขที่คงตัว ไม่ได้ตกลงแต่อย่างใด
ตัวเลขที่ทั้ง 2 นักวิจัยได้เผยคือสัดส่วนปริมาณการค้าโลกนั้นอยู่ราวๆ 60% ของ GDP โลกรวมกัน ซึ่งไม่ได้ตกลงแต่อย่างใด แม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในสภาวะจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ปัญหาจากการแพร่ระบาดของโควิด รวมถึงกรณีที่รัสเซียบุกยูเครน
ท่ามกลางปัญหาดังกล่าวนี้ทำให้นักวิเคราะห์หรือแม้แต่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดว่าสัดส่วนการค้าโลกจะมีสัดส่วนลดลงเสียด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ดีในรายงานวิจัยดังกล่าวได้ชี้ถึงตัวเลขที่สหรัฐอเมริกานำเข้าสินค้าจากประเทศจีนลดลงเหลือ 16.5% ในปี 2022 จากเดิมอยู่ที่ 21.6% ในปี 2016 แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะลดลง แต่ผู้บริโภคกลับต้องแบกรับภาระจากต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้น
ในรายงานยังชี้ว่าจากปัญหาดังกล่าวกลับไม่ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตในสหรัฐอเมริกา เพื่อทำให้การผลิตสินค้าดีมากขึ้น สินค้ามีราคาถูกลงด้วยซ้ำ และการลดลงจากการนำเข้าสินค้าจากจีนนั้นจะถือว่าเป็นการตัดขาดจากกันหรือไม่ด้วย
นอกจากนี้ในรายงานยังได้กล่าวถึงการย้ายฐานการผลิตมายังเวียดนาม หรือแม้แต่เม็กซิโก ที่มีผู้ผลิตหลายรายได้ย้ายกำลังการผลิตออกนอกประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็น Apple หรือแม้แต่ Tesla นั้นสหรัฐฯ เองก็อาจยังเชื่อมต่อการค้ากับจีนผ่านประเทศที่บริษัทเหล่านี้ย้ายฐานการผลิตมาแทน
รายงานดังกล่าวยังชี้ว่าจีนได้ยกระดับกิจกรรมการค้าและการลงทุนกับเวียดนาม เม็กซิโก และประเทศอื่นๆ ที่มีการย้ายกำลังการผลิตออกนอกจากแดนมังกรด้วย