LINE MAN Wongnai – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 10 Nov 2025 07:06:38 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘นครพนม’ ม้ามืดแห่งแดนอีสาน โตเงียบจาก ‘สายมู’ กำลังมุ่งสู่ ‘Retirement Hub’ แห่งใหม่ https://positioningmag.com/1546061 Mon, 10 Nov 2025 05:55:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546061 นครพนม เคยเป็นเมืองที่นักเดินทางแวะเพียงชั่วครู่ เหมือนเรือล่องผ่านโค้งโขง ก่อนจะหายลับไปตามสายน้ำ แต่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เมืองเล็กริมฝั่งโขงกลับกลายเป็นจุดสว่างบนแผนที่เศรษฐกิจอีสาน อะไร ทำให้เมืองรองอย่างนครพนมไม่ใช่แค่ทางผ่านอีกต่อไป คำตอบทั้งหมดอยู่ในงานเสวนา “นครพนม Next Chapter พลิกเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัล”

COVID-19 จุดเปลี่ยนสำคัญ

ในอดีต จังหวัดริมขอบสุดประเทศไทยมักจะไม่ได้เป็นที่นิยมนักในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย ทำให้ นครพนม เป็นเมืองรองที่มักถูกมองข้าม จนเมื่อในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เกิดการระบาดของ COVID-19 หลายคนเริ่มมองหา ที่พึ่งทางใจ ทำให้นครพนมจึงกลายเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์ก ท่องเที่ยวสายมู เพราะไม่ได้มีเพียงพระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังมีพระธาตุประจำวันเกิดต่าง ๆ รวมถึงพญาศรีสัตตนาคราช และถ้ำนาคีนาคา ให้ได้มาสักการะบูชา

นอกจากนี้ นครพนมยังมีจุดแข็งเรื่องภูมิทัศน์ริมแม่น้ำโขงที่งดงามยาวกว่า 100 กิโลเมตร รวมถึงวัฒนธรรม เช่น ประเพณีไหลเรือไฟนครพนม ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญที่จัดขึ้นในช่วงเทศกาลออกพรรษา นอกจากนี้ ทางนครพนมเริ่มมีแลนด์มาร์กใหม่ ๆ ล่าสุดคือ ชิงช้าสวรรค์ Mekong River Eye’ สูง 50 เมตร ที่จะเปิดให้บริการภายในปีนี้  

“เมื่อก่อนนครพนมไม่ค่อยมีคนมาพัก เพราะจะไปจังหวัดข้างเคียงอย่างมุกดาหาร แต่หลังจากที่เริ่มมีแลนด์มาร์กอย่างพญาศรีสัตตนาคราช ทำให้คนมานอนที่นครพนมมากขึ้น ทำให้กระแสทางธุรกิจในชข่วง 5 ปีมานี้ ยิ่งช่วงเทศกาลที่พักแทบไม่พอรับนอกท่องเที่ยว” ชนนท์ กุลตั้งวัฒนา ประธาน YEC นครพนม กล่าว

ศก. ก็เด่นไม่แพ้ท่องเที่ยว

นครพนมถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจและการค้าชายแดนสูงมาก ด้วยที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ซึ่งเป็นประตูการค้าสำคัญเชื่อมไทยกับ สปป.ลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้ ผ่านสะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 3 จึงกลายเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งและส่งออกผลไม้ไทยไปจีน รวมถึงสินค้าทางการเกษตรและสินค้าแปรรูปอื่น ๆ 

ปัจจุบัน มูลค่าการค้าชายแดนของนครพนมสูงกว่า 120,000 ล้านบาท และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยในอนาคตเมื่อโครงการรถไฟทางคู่สายบ้านไผ่–นครพนมแล้วเสร็จในปี 2571 จะยิ่งเสริมศักยภาพด้านโลจิสติกส์ของจังหวัดให้แข็งแกร่งมากขึ้น ทั้งในด้านต้นทุนและเวลาในการขนส่งสินค้า 

คนรุ่นใหม่กลับมาทำงานที่บ้านเกิด

นอกจากนี้ ในช่วงที่ COVID-19 ระบาด ชาวนครพนมที่ออกไป ทำงานในต่างถิ่น ก็กลับมาอยู่บ้าน และเลือกจะปักหลักทำงานที่บ้านเกิด ส่งผลให้เห็นการ เพิ่มมูลค่าสินค้าและเศรษฐกิจของจังหวัด จากความสร้างสรรค์ของ คนรุ่นใหม่

โดย วิศรุต สร้อยคำ เจ้าของร้าน Chewa Cafe By SK Sroikham เล่าว่า ผู้ประกอบการท้องถิ่นของนครพนมมีบทบาทสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและเศรษฐกิจของจังหวัด ด้วยการนำ ของดีท้องถิ่น มาต่อยอดให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่มากขึ้น ตัวอย่างเช่นตนได้นำ กาละแม ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของนครพนม มาครีเอตเป็นเมนูเครื่องดื่มอย่างสมูทตี้ กาแฟ และไอศกรีมกาละแม ที่ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งสร้างการรับรู้ใหม่ ๆ จนกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวกลับไปซื้อต้นตำรับกาละแมเป็นของฝาก เกิดการหมุนเวียนรายได้กลับคืนสู่ชุมชน

ศก. ดิจิทัลสูงกว่าค่าเฉลี่ยอีสาน

ข้อมูลจาก LINE MAN Wongnai ชี้ว่าจังหวัดนี้คือ High Growth City ตัวจริง

  • GMV โต 16% (เฉลี่ยอีสาน 14%)
  • จำนวนออเดอร์โต 12% (เฉลี่ยอีสาน 10%)
  • จำนวนผู้ใช้โต 11% (เฉลี่ยอีสาน 5%)

โดย อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ รองประธานฝ่ายนโยบายสาธารณะและรัฐกิจสัมพันธ์ LINE MAN Wongnai เล่าว่า การมาของเดลิเวอรี่ไม่ได้แค่มาเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ใหม่ แต่ยังเพิ่มอาชีพ ไรเดอร์ โดยในภาคอีสานมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 480 บาทต่อวัน และบางพื้นที่สูงสุดถึง 3,500 บาทต่อวัน ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับคนในพื้นที่

แน่นอนว่าการมาของดิจิทัล ยิ่งช่วยให้ ผู้ประกอบการรายย่อยแข่งกับรายใหญ่ได้อย่างเท่าเทียม แต่ก็ต้องยอมรับว่าการแข่งขันของร้านคาเฟ่และอาหารในจังหวัดนครพนมสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดย วิศรุต เสริมว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จำนวนร้านคาเฟ่ในจังหวัดเพิ่มขึ้นจากหลัก 15-20 ร้าน เป็นกว่าร้อยร้าน ดังนั้น จึงไม่ได้วัดกันแค่คุณภาพ แต่ต้องแข่งเรื่อง Story Telling

อีเวนต์ย่อย จุดสำคัญโตอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ชนนท์ มองว่า การกระจายนักท่องเที่ยวให้มาเยือนตลอดทั้งปี ผ่านการสร้างอีเวนต์ย่อยหรือกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมในแต่ละช่วง ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้จังหวัดนครพนมเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการชูเรื่อง การพักผ่อนเชิงคุณภาพ

เพราะที่ผ่านมาภาพรวมการท่องเที่ยวของนครพนมมักจะ กระจุกตัวอยู่เฉพาะช่วงเทศกาลใหญ่ ๆ เช่น งานไหลเรือไฟ หรือช่วงวันหยุดยาว ซึ่งแม้จะสร้างรายได้จำนวนมาก แต่ก็มาพร้อมกับปัญหาความแออัดและการบริหารจัดการที่ยากลำบาก ส่งผลต่อประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวและความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว

“ที่ผ่านมา นครพนมเริ่มมีการจัดอีเวนต์ย่อย ๆ โดยโปรโมตจุดขายนครพนมในมุมที่แตกต่าง เช่น ความสงบ วิถีชีวิตเรียบง่ายและเสน่ห์ของวัฒนธรรมท้องถิ่น อย่างงานเทศกาลริมโขง กิจกรรมวิ่งมาราธอน งานศิลปะร่วมสมัย เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนเชิงคุณภาพมากกว่าการท่องเที่ยวแบบเร่งรีบในช่วงเทศกาล”

Next Chapter นครพนม 

ท่ามกลางสังคมไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคผู้สูงวัย นครพนมเริ่มถูกจับตาในฐานะเมืองที่มี DNA เหมาะสมสำหรับการพัฒนาพื้นที่อยู่อาศัยหลังเกษียณ

  • เมืองสงบ ปลอดมลพิษ
  • ค่าครองชีพเข้าถึงได้
  • วิวริมโขงที่ช่วยชาร์จพลังได้ทุกเช้า
  • มีโรงพยาบาลและบริการสุขภาพที่กำลังขยายตัว
  • ผู้คนเป็นมิตร ธรรมเนียมวัฒนธรรมอบอุ่น

การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) และธุรกิจที่เน้นการพักผ่อนเชิงคุณภาพกำลังเติบโตมากขึ้น ทำให้ทั้งภาครัฐและเอกชนมาองว่า นครพนมมีศักยภาพถูกพัฒนาเป็นเมืองที่ตอบโจทย์การ พักผ่อนระยะยาว ทั้งในมิติสุขภาพ วิถีชีวิต และภูมิทัศน์ นอกจากนี้ ธุรกิจการจัดประชุมและนิทรรศการ (MICE) ก็เป็นอีกโอกาสที่จะช่วยขยายฐานนักท่องเที่ยวกลุ่มองค์กรและภาครัฐ

นครพนมมีจุดแข็งด้านภูมิศาสตร์ที่โดดเด่น โดยเฉพาะทิวทัศน์ริมฝั่งโขงที่สามารถมองเห็นภูเขาฝั่ง สปป.ลาวได้อย่างสวยงาม ถือเป็นวิวที่สร้างรายได้ โดยไม่ต้องลงทุน เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนใครว่าที่ร้อยตรี รวยรุ่ง ใครบุตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้จะมองเห็นโอกาสมากมาย แต่ใช่ว่านครพนมจะไม่มีข้อจำกัด โดยเฉพาะเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกและสถานที่รองรับการจัดงานขนาดใหญ่ที่ยังขาดแคลน ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญที่ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันผลักดันในระยะต่อไป เพื่อให้จังหวัดสามารถก้าวขึ้นเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวและการจัดงานระดับภูมิภาคได้อย่างสมบูรณ์ในอนาคต

]]>
1546061
‘คนละครึ่งพลัส’ จะฟื้นตลาดร้านอาหารได้แค่ไหนในสายตา ‘สมาคมภัตตาคารไทย’ – ‘LINE MAN’ หลังชะลอตัวตั้งแต่หมดสงกรานต์ https://positioningmag.com/1545647 Thu, 06 Nov 2025 04:40:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1545647 นับตั้งแต่ที่ คนละครึ่งพลัส เริ่มใช้ได้ตั้งแต่ 29 ต.ค. จนถึงวันที่ 4 พ.ย. เวลา 12.00 น. มียอดการใช้จ่ายสะสมทั้งโครงการพุ่งสูงถึง 14,062 ล้านบาท มีผู้ใช้สิทธิ์แล้วกว่า 18 ล้านคน คิดเป็นกว่า 90% ของจำนวนผู้ได้รับสิทธิ์ แสดงให้เห็นเลยว่าโครงการคนละครึ่งพลัสปลุกกระแสการจับจ่าย อย่างไรก็ตาม หากเจาะไปที่ตลาดร้านอาหารที่วิกฤตมาทั้งปี คนละครึ่งพลัสเข้ามาช่วยได้มากน้อยแค่ไหนในสายตาผู้ประกอบการ

ทุกเสียงยัน คนละครึ่งช่วยได้จริง

ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai เปิดเผยว่า ย้อนไปในโครงการคนละครึ่งบน LINE MAN รอบก่อนหน้ามีร้านกว่า 100,000 ร้าน เข้าร่วมบนระบบเดลิเวอรี โดยร้านที่รับคนละครึ่งยอดขายมีการเติบโตเฉลี่ย 1-5 เท่า บางร้านเติบโตสูงสุดถึง 16 เท่า แสดงให้เห็นว่าโครงการคนละครึ่ง ช่วยกระตุ้นได้จริง

ด้าน เจ้เอ๋ ณัฐฐารินทร์ เจ้าหนี้คนดัง ตัวแทนประชาชนผู้ใช้คนละครึ่ง ชี้ให้เห็นว่า คนละครึ่งพลัสเป็นโครงการที่ทั้งประชาชนและร้านค้ารายย่อยเฝ้ารอ เพราะมันทำให้ผู้บริโภค ใช้จ่ายง่ายขึ้น และช่วยให้ร้านที่ผู้บริโภคยังไม่เคยใช้บริการ กล้าเข้าไปลอง และมีโอกาสที่จะกลายเป็นลูกค้าประจำของร้าน หากโครงการหมดไปแล้ว

เช่นเดียวกับ คุณาพงศ์ เตชวรประเสริฐ เจ้าของเพจขายดีไปด้วยกัน ที่มองว่า โครงการนี้ช่วยเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้าได้จริง เพราะลูกค้าตัดสินใจมาลองได้ง่ายขึ้น ขณะที่ ธนันท์รัท เกื้อหนุน เจ้าของร้านตำยำยั่ว by โบตั๋น เสริมว่า โครงการคนละครึ่ง ทำให้ร้านเล็กมีศักยภาพสู้กับร้านใหญ่ได้ดีขึ้น

ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai

อาจดันตลาดร้านอาหารทะลุ 7 แสนล้าน

ฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เล่าว่า นับตั้งแต่ช่วงหลังเทศกาล สงกรานต์ ตลาดร้านอาหารก็ ซบเซาลง ดังนั้น เชื่อว่าคนละครึ่งพลัสเป็นเหมือน สเตียรอยด์ ที่ฉีดแล้วเศรษฐกิจฐานรากจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในช่วง 2 เดือนนี้ และมีโอกาสที่ยอดขายรวมของร้านอาหารในปีนี้จะทะลุ 7 แสนล้านบาท จากที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 6-6.4 แสนล้านบาท

“รัฐบาลสนับสนุนเงิน 44,000 ล้านบาท รวมกับเม็ดเงินที่ผู้บริโภคจะใส่ลงไปอีกครึ่งหนึ่ง ก็คิดเป็นเกือบแสนล้าน    ยังไม่รวมโครงการกินดีมีคืน ดังนั้น ร้านอาหารก็ต้องแย่งชิงกัน”

อย่างไรก็ตาม ถ้าถามว่าคนละครึ่งจะช่วย โคเวอร์ยอดขายที่หายไป ในช่วงที่ผ่านมาได้หรือไม่ ทาง สุทธิพล สมวสุนธรา เลขาธิการสมาคมภัตตาคารไทย และทายาทรุ่น 3 ข้าวต้มเทเวศร์ เสริมว่า ตอบยาก เพราะแต่ละร้านยอดขายหายไปไม่เท่ากัน บางร้านยอดขายหดตัวตั้งแต่ 30-70% ขึ้นอยู่กับทำเล แต่มองว่าคนละครึ่งจะช่วยร้าน Micro SME มากกว่า

“หลังสงกรานต์มันเป็นช่วงโลว์ซีซัน บวกกับนักท่องเที่ยวหาย กำลังซื้อคนไทยก็หาย ดังนั้น คนละครึ่งมันควรมาไวกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่มาช่วงนี้ก็ถือเป็นช่วงไฮซีซันพอดี”

ฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย

Micro SME ได้ประโยชน์ แต่ไซส์ S น่าห่วง

ฐนิวรรณ อธิบายต่อว่า โครงการคนละครึ่งกลุ่มร้านอาหารที่ได้ประโยชน์ที่สุดคือ ร้าน Micro SME ที่มีจำนวนกว่า 6 แสนร้าน แต่อยากให้รัฐบาลขยายการเข้าร่วมของร้านที่มีรายได้ 1.8 ล้านบาทขึ้นไป หรือ SME ไซส์ S เพราะตอนนี้ต้นทุนร้านอาหารสูงขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นภาษีป้าย ประกันสังคมที่เจ้าของต้องทำให้ลูกจ้าง และค่าวัตถุดิบ

“ร้านอาหารร้านเล็ก เปิดง่าย ปิดง่าย บางร้านที่เคยปิดไป อาจจะกลับมาเปิดช่วงโครงการคนละครึ่งก็ได้ แต่ที่มีปัญหาคือ ร้านที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย ร้านที่ต้องจ่ายค่าที่ ค่าจ้างพนักงาน เพราะร้านแบบนี้ไปแล้วไปเลย ดังนั้น อยากให้รัฐบาลขยายให้ร้านที่มีรายได้ 1.8 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 3 ล้านเข้าร่วมคนละครึ่งเฟส 2”

สุทธิพล เสริมว่า ร้านที่ต้องเสีย Vat แม้จะได้เข้าโครงการ เที่ยวดีมีคืน ก็จริง และเหมือนจะได้ประโยชน์มากกว่า แต่โครงการคนละครึ่งกระตุ้นได้เร็วกว่า

คุณาพงศ์ เตชวรประเสริฐ เจ้าของเพจขายดีไปด้วยกัน

แนะร้านรีสกิล-อัพสกิล

ฐนิวรรณ ทิ้งท้ายว่า ตอนนี้การแข่งขันของร้านอาหารในไทยสูงขึ้นมาก เพราะไม่ได้มาจากแค่ผู้ประกอบการไทย  แต่ยังมีผู้ประกอบการต่างชาติที่เข้ามา อยากให้กระทรวงเกษตรและกระทรวงพาณิชย์ ช่วย เชื่อมโยงร้านอาหารกับเกษตรกร เพื่อลดคนกลางเพื่อจะลดต้นทุนวัตถุดิบ ลดต้นทุนขนส่ง เพื่อให้ร้านอาหารสามารถเติบโตได้ในระยะยาว ส่วนเกษตรกรก็สามารถขายสินค้าในราคาดีสูงขึ้น

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการควรจะต้องอัพสกิล-รีสกิล เช่น ใช้ Food Delivery เพื่อเพิ่มช่องทางการขายใหม่ ๆ  โดยทาง ยอด ชินสุภัคกุล เสริมว่า LINE MAN มีการจัดกิจกรรมร่วมกับ Depa เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และการใช้เทคโนโลยีอย่างซอฟต์แวร์จัดการร้าน หรือ POS เพื่อเพิ่มโอกาสให้ร้านค้าสามารถขอเงินทุนได้

ธนันท์รัท เกื้อหนุน เจ้าของร้านตำยำยั่ว by โบตั๋น

สุดท้าย ฐนิวรรณ ย้ำว่า อยากให้ร้านค้ารายย่อยเข้าคนละครึ่ง อย่ากลัวเรื่องภาษี เพราะถึงแม้ว่ารัฐบาลจะเน้นย้ำว่าจะไม่เก็บภาษีกับร้านที่เข้าโครงการคนละครึ่ง แต่สุดท้ายภายในปี 2570 ทุกคนต้องยื่นภาษี หนีไม่รอดอยู่แล้ว ดังนั้น การเสียภาษีไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพราะการอยู่ในระบบภาษีช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและต่อยอดสู่การขยายกิจการได้ในอนาคต

]]>
1545647
‘ยอด-ไลน์แมน วงใน’ ฉายภาพ ‘Food Delivery’ ปี 67-68 จะเริ่มเห็นชัดว่าใครจะอยู่ใครจะไป! https://positioningmag.com/1503579 Tue, 17 Dec 2024 02:56:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1503579 หากพูดถึงตลาด Food Delivery ในไทยปีนี้ ถือว่าเป็นปีที่มีความเคลื่อนไหวใหญ่ ๆ โดยเฉพาะการเกือบปิดตัวของ Robinhood โดย ยอด ชินสุภัคกุล แม่ทัพใหญ่ LINE MAN Wongnai จะมาฉายภาพของตลาดปีนี้ และมองไปถึงปีหน้า

2567 ปีแห่งความจริงของ Food Delivery

ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai เล่าว่า อ้างอิงจาก Google Sea eConomy 2024 ประเมินว่า ตลาด Food Delivery ไทยจะมีมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท เติบโต +7% ซึ่งถือว่า เติบโตกว่ามูลค่าตลาดร้านอาหาร ที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ +5% มีมูลค่า 7 แสนล้านบาท

ดังนั้น ปี 2567 ถือเป็น ปีแห่งความจริง เพราะแสดงการเติบโตของตลาดอย่างแท้จริงโดยที่ไม่มี ปัจจัยภายนอก ต่างจากที่ผ่านมาที่มีการระบาดของ COVID-19 ซึ่งปัจจัยในการเติบโตหลัก ๆ มาจาก จำนวนผู้ใช้ใหม่จากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับเทคโนโลยี

“ตลาดร้านอาหารไทยแข่งขันสูง แต่ละปีมีร้านปิดประมาณ 30% แต่ก็เปิดใหม่มาทดแทน ดังนั้น การเติบโตจะไม่สูง แต่ที่ตลาด Food Delivery โตกว่าเพราะยังมีโอกาสเติบโตจากผู้ใช้ใหม่ เช่น เด็กจบใหม่ ที่ 80-90% ต้องเคยใช้ Food Delivery หรือกลุ่มหลักที่ใช้อย่าง 30-40 ปี ก็ยังใช้ต่อเนื่อง ดังนั้น ตลาดจึงยังมีโอกาสโตจากคนรุ่นใหม่”

ภาพปีหน้าจะชัดว่าใครรอดในระยะยาว

แม้ว่าในปีนี้ SCBX จะยกธงขาวประกาศ ปิดตัวแพลตฟอร์ม Robinhood หลังจากขาดทุนสะสม 3 ปีกว่า 5,500 ล้านบาท แต่สุดท้ายแพลตฟอร์มก็ถูก ขาย ให้กับกลุ่มผู้ลงทุนที่นำโดย ยิบอินซอย (YIP IN TSOI) มาซื้อไปในมูลค่า 2,000 ล้านบาท

“Robinhood” บทใหม่ภายใต้ “ยิบอินซอย” ขอเก็บ GP 28% 

ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว ยอด มองว่า ในปีหน้าภาพจะยิ่งชัดเจนว่า ผู้เล่นรายไหนจะยังอยู่ เพราะด้วยลักษณะของตลาดที่มีความเป็นวอลลุ่มค่อนข้างสูง ธุรกิจต้องการ Economy of scale เพื่อทำให้ธุรกิจดำเนินการต่อได้ ดังนั้น ผู้เล่นรายเล็ก จะยิ่งอยู่ยาก เพราะต้องการไซส์เพื่อสเกล และภาพของตลาดไทยจะเหมือนกับต่างประเทศที่จะมีผู้เล่น อยู่รอด 2-3 ราย ซึ่งปีหน้าจะเห็นว่าผู้เล่นรายไหนจะอยู่รอดจากนี้ สำหรับตลาดไทยในปัจจุบันมีผู้เล่นหลัก ๆ อยู่ 4 ราย ได้แก่ LINE MAN Wongnai, Grab, Food Panda, Robinhood และ Shopee Food

ยืนยันเป็นเบอร์ 1

สำหรับภาพรวม 10 เดือนที่ผ่านมาของ LINE MAN Wongnai มีการเติบโต +35% โดยมั่นใจว่าเป็น เบอร์ 1 เมื่อวัดจากจำนวนธุรกรรมต่อวัน โดยปัจจุบันแพลตฟอร์มมีผู้ใช้กว่า 10 ล้านรายต่อเดือน ให้บริการครบ 77 จังหวัด ครอบคลุม 328 อำเภอ มีร้านค้าในระบบกว่า 5 แสนร้าน และมี ไรเดอร์กว่า 1 แสนคน

“เรายืนยันว่าเป็นเบอร์ 1 เมื่อเทียบวัดจากจำนวนธุรกรรมต่อวัน แต่บอกไม่ได้ว่าทิ้งห่างเบอร์ 2 แค่ไหน ถือว่ามีระยะห่างประมาณหนึ่ง แต่เราไม่เคยสบายใจ เพราะผมให้เกียรติคู่แข่งเสมอ เขาก็แข็งแรง เราเองก็ต้องสู้ทุกหยด ทุกเม็ด แม้ผู้เล่นเหลือน้อยก็วางใจไม่ได้”

ไรเดอร์ไม่โต เน้นเพิ่มรอบ

ในส่วนของจำนวนไรเดอร์ ยอด ระบุว่า ไม่เพิ่มขึ้น แต่เน้นเพิ่ม efficiency ให้ดีขึ้น ทำรอบได้มากขึ้น เพื่อเพิ่มรายได้แต่ละวัน โดยสามารถเพิ่ม productivity ของไรเดอร์ได้ถึง 50% ต่อวัน เมื่อเทียบกับ 2 ปีก่อน และปัจจุบันจำนวนไรเดอร์ที่ ทำประจำ มีมากกว่าพาร์ตไทม์ ซึ่งแพลตฟอร์มพยายามจะเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อเพื่อแก้ pain-point ให้กับลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพให้ไรเดอร์

ในปีนี้ฟีเจอร์ใหม่ที่ออกมาก็ได้รับผลตอบรับที่ดี เช่น การเพิ่ม ตัวเลือกจัดส่ง โดยพบว่า 25% เลือกจัดทันใจ และส่งถูก หรืออย่างฟีเจอร์ Multiple Pick-Up ที่ทำให้สั่งร้านที่ 2 ระหว่างทางได้ ซึ่ง 50% ของยูสเซอร์เคยใช้ฟีเจอร์นี้ เป็นต้น

“ฟีเจอร์ใหม่ ๆ 70% เป็นสิ่งที่อยู่ภายในที่ผู้ใช้ไม่ได้เห็น อาทิ Cooking time prediction ที่จะช่วยให้ไรเดอร์ไม่ต้องรอนาน ซึ่งสิ่งนี้ยูสเซอร์อาจไม่ได้เห็น แต่มาเพื่อแก้ปัญหาให้ทั้งไรเดอร์และลูกค้า”

มองโอกาสควบรวมกิจการ Food Delivery ด้วยกันยาก

สำหรับเป้าหมายการ IPO ภายในปีหน้า ยอดยังคงย้ำถึงเป้าหมายเดิมส่วนโอกาสการ ควบรวมกิจการในธุรกิจเดียวกัน ของ LINE MAN Wongnai ค่อนข้าง เป็นไปได้ยาก โดย ยอด ให้ความเห็นว่า เพราะเหลืออยู่ไม่กี่ราย และแข่งขันกันมานาน แต่ถ้าเป็นการ M&A ข้ามอุตสาหกรรมเพื่อสร้างการเติบโตยังเป็นไปได้ เช่นการ M&A กับ Rabbit LINE Pay เป็นต้น

ในส่วนของการ ลงทุนในสตาร์ทอัพไทย รวมถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยอด มองว่า มีความ ท้าทายมาก เพราะต้องยอมรับว่า นักลงทุนไม่อยากเสี่ยง ที่จะลงทุนกับสตาร์ทอัพระยะแรก ทำให้ช่วงสองปีที่ผ่านมานักลงทุนหันไปลงทุนในตลาดที่มีโอกาสเติบโตและให้ผลตอบแทนได้มากกว่า อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา

]]>
1503579
‘ไลน์แมน’ ทุ่ม 300 ล. อัดแคมเปญใหญ่สุดในรอบ 3 ปี หวังโตช่วงโค้งสุดท้าย 25% ย้ำ ไม่ได้ทำสงครามราคา แค่รักษาโมเมนตัม ‘ผู้นำ’ https://positioningmag.com/1492757 Thu, 03 Oct 2024 11:20:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1492757 แม้ว่าช่วงครึ่งปีแรก ตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ (Food Delivery) จะดูนิ่ง ๆ แต่มาช่วงครึ่งปีหลัง ตลาดเริ่มกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง ทั้งจากความชัดเจนของ Robinhood ที่ได้เจ้าของใหม่ และความดุเดือดของ 2 ผู้เล่นใหญ่อย่าง Grab และ LINE MAN ที่ต่างก็มั่นใจว่าตัวเองคือ ผู้นำ โดยล่าสุด LINE MAN ก็จัดใหญ่ทุ่มงบการตลาดถึง 300 ล้านบาท ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี

ตลาดรวมโตกว่าที่คาด แต่ไลน์แมนโตกว่า

ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าวว่า ภาพรวมตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ไทยคาดว่ามีสัดส่วนประมาณ 15% ของตลาดอาหารทั้งหมด หรือมีมูลค่าราว 1.2 แสนล้านบาท โดยมีโอกาสเติบโตเกือบ +10% ในปีนี้ ซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้

อย่างไรก็ตาม ยอดมั่นใจว่า LINE MAN มีอัตราการเติบโตเหนือตลาด และเป็นผู้เล่นที่ เติบโตเร็วสุดในตลาด เนื่องจากความครอบคลุมของพื้นที่ในการให้บริการ และจำนวนร้านอาหารที่ครอบคลุม โดยปัจจุบัน LINE MAN มีไรเดอร์กว่า 1 แสนคน ให้บริการครบ 77 จังหวัด ครอบคลุม 328 อำเภอ เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับ 2 ปีที่ผ่านมา และมีร้านค้าในระบบกว่า 7 แสนร้าน มีผู้ใช้กว่า 10 ล้านรายต่อเดือน

“ถ้าเป็นคนกรุงเทพฯ อาจไม่เห็นความแตกต่าง แต่ในต่างจังหวัดเราเป็นเบอร์ 1 เพราะให้บริการคลอบคลุม และจำนวนร้านอาหารเราก็เป็นเบอร์ 1 โดยเฉพาะร้านรายย่อยและสตรีทฟู้ด”

ทุ่ม 300 ล้าน แคมเปญใหญ่สุดในรอบ 3 ปี

อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ถือเป็นตลาดที่ Maturity ทำให้ผู้เล่นแต่ละรายไม่ได้ทุ่ม Subsidize เหมือนช่วงเริ่มต้น แต่จากภาวะเศรษฐกิจทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคค่อนข้างระมัดระวังเรื่องการจับจ่าย ทำให้ LINE MAN ได้ทุ่มงบการตลาด 300 ล้านบาท ออกแคมเปญ ถูกสุดทุกวัน พร้อมปรับให้ใช้ส่วนลดได้ 3 ต่อพร้อมกันในออร์เดอร์เดียว โดยไม่ต้อง Scbscibe เพื่อเป็นสมาชิก โดยแคมเปญดังกล่าวถือเป็นแคมเปญใหญ่สุดในรอบ 3 ปี

“ทุกครั้งที่ทำการสำรวจ ประเด็นค่าส่งถูก ราคาอาหารเป็นมิตร ถือเป็นเบอร์ต้น ๆ ที่ลูกค้าให้ความสำคัญ ดังนั้น เราจึงทำแคมเปญนี้ตลอด 3 เดือน แต่ถูกสุดทุกวันไม่ใช่แค่แคมเปญ แต่เป็นจุดยืนของเรา”

นอกจากนี้ LINE MAN ยังดัน Moon มาสคอตของแบรนด์ขึ้นมาเป็น พรีเซ็นเตอร์ รับกระแสมาสคอตมาร์เก็ตติ้งที่กำลังมาแรงเพื่อสร้าง ภาพจำ อีกทั้งยังมีการใช้ดารา อินฟลูเอนเซอร์มาสร้างแรงกระตุ้นในตลาด

วางเป้าโต 25% ช่วงโค้งสุดท้ายของปี

อย่างไรก็ตาม ยอด ย้ำว่า แคมเปญดังกล่าวไม่ใช่การเริ่ม สงครามราคา แต่ LINE MAN อยากจะกระตุ้นตลาดช่วงโค้งสุดท้ายของปี ซึ่งถือเป็นช่วงไฮซีซั่น เพื่อเพิ่มโมเมนตัมการเติบโต และเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ โดยคาดว่าในช่วงแคมเปญดังกล่าว จะช่วยให้ LINE MAN เติบโต 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา

“ภาพจำของตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ที่ต้อง Subsidize มันจะเปลี่ยนไปแน่นอน เพราะตลาดเริ่มมาชัวร์แล้ว แต่มันก็ต้องมีการแคมเปญเพื่อกระตุ้นตลาดบ้าง ซึ่งที่เราเลือกจัดแคมเปญใหญ่ช่วงไตรมาสสุดท้ายเพราะตอนนี้เรามีความมั่นใจ อยากจะบุกและกระตุ้นตลาดในช่วงหน้าหนาวซึ่งเป็นไฮซีซั่น”

ไม่หวั่นคู่แข่งเก่าคู่แข่งใหม่

กรณีที่ Robinhood ผู้เล่นอีกรายในตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ที่ได้เจ้าของใหม่ ทำให้ยังคงโลดแล่นอยู่ในตลาด พร้อมกับข่าวลือว่าอาจมี ผู้เล่นใหม่ เข้ามาในตลาด ยอด มองว่า ไม่ได้กังวล เพราะการแข่งขันในตลาดก็ยังคงมี และมองว่าตลาดฟู้ดเดลิเวรี่ไม่ใช่ตลาดที่จะเข้ามาได้ง่าย ๆ ต้องมีความพร้อมในด้านอินฟราสตรักเจอร์ และเน็ตเวิร์ก อย่างไรก็ตาม ยอด เชื่อว่า ตลาดยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว ยังขยายได้ โดยเฉพาะ Coverage ในระดับอำเภอ ซึ่งประเทศไทยมีอำเภอประมาณ 700-800 อำเภอ 

“Robinhood ยังทำตลาดต่อ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแผนหรือการแข่งขัน ก็ถือว่าผู้บริโภคมีตัวเลือกเพิ่มในตลาด ถือเป็นอีกแพลตฟอร์มไทยที่เป็นเพื่อนกับเราในวงการนี้”

แผนเข้าตลาดปีหน้ายังเหมือนเดิม

สำหรับแผนการเข้าเตรียมขายหุ้นไอพีโอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2025 ยอด ยืนยันว่า ยังคงเป็นเป้าเดิม แต่ไม่สามารถระบุชัดได้ว่าจะเป็นช่วงไตรมาสใด ในส่วนของการ ทำกำไร ไม่ได้มีความกังวล เพราะยังสามารถทำกำไรจากธุรกิจอื่น ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบบริหารจัดการร้านอาหาร ธุรกิจเพย์เมนต์ ซึ่งบาลานซ์กับธุรกิจออนดีมานด์ได้ แม้จะเป็นธุรกิจที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุดก็ตาม

เป็นเบอร์ 1 หรือไม่ ให้คนกลางพูดแทน

จากกรณีผลสำรวจของ Redseer Strategy Consultants บริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการธุรกิจสัญชาติอินเดีย ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับตลาด On-Demand ในประเทศไทยว่า ในช่วงครึ่งปีแรก LINE MAN Wongnai มีส่วนแบ่งตลาด 44% แซงหน้ายักษ์ใหญ่อย่าง Grab ที่มีอยู่ 40% ในด้านจำนวนการทำธุรกรรม ขณะที่ Grab เองได้ออกมาแสดงความเห็นว่า ไม่น่าเชื่อถือ

ซึ่งทาง ยอด ออกมาแสดงความเห็นว่า เพราะทั้ง LINE MAN และคู่แข่ง ต่างก็ มั่นใจในตัวเลขผลประกอบการของบริษัท อย่างไรก็ตาม การจะบอกว่า LINE MAN เป็นเบอร์ 1 คงต้องให้คนกลางเป็นคนพูด แต่ LINE MAN ยังมีความตั้งใจจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ให้ได้ และจากการสำรวจของหลาย ๆ สำนักก็ให้ LINE MAN เป็นเบอร์ 1

]]>
1492757
Bloomberg รายงาน Line Man Wongnai เตรียม IPO ปีหน้า ระดมทุนเกือบ 11,000 ล้านบาท https://positioningmag.com/1445676 Wed, 27 Sep 2023 04:51:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1445676 สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวไม่ระบุตัวตนว่า Line Man Wongnai อาจเข้าระดมทุนในปีหน้า ไวกว่าเป้าที่บริษัทวางไว้ในปี 2025 ล่าสุดบริษัทกำลังหาวาณิชธนกิจจากต่างประเทศ เพื่อช่วยในการระดมทุนเพิ่มเติมด้วย

สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Line Man Wongnai บริการส่งอาหารรายใหญ่ของไทย ได้เตรียม IPO เข้าตลาดหุ้นไทยในปีหน้า (2024) และจะระดมทุนมากถึง 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยเกือบ 11,000 ล้านบาท

ความเคลื่อนไหวของแหล่งข่าวดังกล่าวได้กล่าวว่า Line Man Wongnai ได้ที่ปรึกษาทางการเงินในไทยประกอบไปด้วยธนาคารกสิกรไทย และบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ขณะเดียวกันก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการหาวาณิชธนกิจจากต่างประเทศ เพื่อช่วยในการระดมทุนจากนักลงทุนสถาบันที่อยู่ในต่างประเทศ

สอดคล้องกับรายงานของสำนักข่าว Reuters ที่ได้สัมภาษณ์ ชอง อิน ยัง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ LINE MAN Wongnai ได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินแล้ว 

ถ้าหากอ้างอิงเม็ดเงินในการระดมทุนแล้ว Line Man Wongnai อาจติด 1 ใน 10 ของการระดมทุนในตลาดหุ้นไทยในรอบหลายปี และอาจสร้างความคึกคักให้กับตลาดหุ้นไทย เนื่องจากมีบริษัทแพลตฟอร์มเข้ามาระดมทุน

ก่อนหน้านี้ไม่นาน Line Man Wongnai ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการ Rabbit LINE Pay ร่วมกับ LINE ซึ่งดีลดังกล่าวถือเป็นดีลในการซื้อกิจการต่อจากการซื้อกิจการ Food Story สตาร์ทอัพไทยผู้พัฒนาระบบ POS (Point of Sale)

อย่างไรก็ดีแหล่งข่าวของสำนักข่าวดังกล่าวได้กล่าวว่า ดีลดังกล่าวยังอยู่ในระยะเริ่มต้นเท่านั้น เม็ดเงินในการระดมทุน รวมถึงระยะเวลาในการเข้าตลาดอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ ขณะที่ตัวแทนของบริษัทได้กล่าวกับ Bloomberg ว่าบริษัทมีแผนที่จะ IPO ในปี 2025 แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดอื่นๆ แต่อย่างใด

]]>
1445676
ผู้บริโภคจะเห็นอะไรใหม่หลัง Rabbit LINE Pay กลายเป็นของ LINE MAN Wongnai และ LINE เต็มตัว https://positioningmag.com/1443484 Tue, 05 Sep 2023 09:04:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1443484 ถือเป็นดีลที่สองของปี หลังจากที่ LINE MAN Wongnai เข้าซื้อกิจการ FoodStory สตาร์ทอัพไทยผู้พัฒนาระบบ POS (Point of sale) ล่าสุด LINE MAN Wongnai และ LINE ได้เข้าซื้อ Rabbit LINE Pay จากผู้ถือหุ้นเดิม สำหรับผู้ที่ใช้งานอยู่แล้วจะได้เห็นอะไรจากนี้บ้าง ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai และ ดร.พิเชษฐ ฤกษ์ปรีชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE ประเทศไทย ได้ออกมาอธิบายให้ฟัง

LINE MAN Wongnai ถือหุ้นสูงสุดใน RLP

ถ้าเป็นคนกรุงเทพฯ ที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS บ่อย ๆ เชื่อว่าก็คงจะใช้บริการ Rabbit LINE Pay (RLP) แน่นอน ซึ่ง Rabbit LINE Pay นั้นเป็นแพลตฟอร์มที่เกิดจาก LINE Thailand ร่วมมือกับทาง Rabbit Card และ mPay แพลตฟอร์มบริการทางการเงินของ AIS เข้ามาลงทุนร่วมกันเมื่อปี 2018 โดยทั้ง 3 พาร์ทเนอร์นั้นถือหุ้นเท่า ๆ กัน

โดยจุดเด่นของ Rabbit LINE Pay ก็คือ การใช้งานผ่านแพลตฟอร์ม LINE ได้เลยโดยไม่ต้องโหลดแอปฯ เพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นการซื้อตั๋ว BTS, ซื้อสินค้าใน LINE เช่น สติกเกอร์ รวมไปถึงร้านค้าชั้นนำต่าง ๆ ทั้งนี้ ตัวเลข ณ ปี 2022 Rabbit LINE Pay มีจำนวนผู้ใช้กว่า 10 ล้านราย

แม้จะไม่มีการเปิดเผยถึงมูลค่าการเข้าซื้อหุ้น RLP ต่อจาก แอดวานซ์ เอ็มเปย์ จำกัด และ บริษัท แรบบิทเพย์ ซิสเทม จำกัด แต่ ยอด ชินสุภัคกุล เปิดเผยว่า LINE MAN Wongnai เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยเชื่อว่า RLP นั้นเป็นส่วนสำคัญในการทำธุรกิจของ LINE MAN Wongnai โดยเปรียบเสมือน น้ำมันหล่อลื่น ให้กับธุรกิจ เพราะในทุกบริการต้องใช้ระบบเพย์เมนต์ นอกจากนี้ ยอด ยังมองว่า ตลาดอีเพย์เมนต์ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

“ทุกบริการของ LINE MAN Wongnai ไม่ว่าจะเป็น Food, Taxi Messengers หรือ LINE เองก็มีบริการอีคอมเมิร์ซอย่าง LINE Shopping และทุกอย่างต้องใช้ระบบเพย์เมนต์ทั้งหมด ดังนั้น RLP จะมาช่วยให้บริการต่าง ๆ มันไร้รอยต่อ (Seamless) มากขึ้น” ดร.พิเชษฐ กล่าวเสริม

จะได้เห็นอะไรใหม่?

ในแง่ขององค์กร RLP ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทั้งออฟฟิศและพนักงาน ในส่วนของผู้ใช้ก็เช่นเดียวกัน บริการไหนที่เคยใช้ได้ก็ยังใช้ได้ตามเดิม ไม่ว่าจะเติมเงินขึ้นรถไฟฟ้า BTS หรือการใช้จ่ายผ่านร้านค้าพันธมิตร ดังนั้น สิ่งที่ผู้บริโภคอยากรู้คือ บริการใหม่ที่จะได้เห็น

ซึ่ง ดร.พิเชษฐ ฤกษ์ปรีชา ได้เปิดเผยว่าจะมีบริการใหม่ ๆ เกิดขึ้นแน่นอน อย่างน้อยที่จะได้เห็นก็คือ สิทธิพิเศษที่มากขึ้น หากใช้งาน RLP ผ่าน LINE หรือ LINE MAN รวมถึงความเป็นไปได้ของบริการ กู้เงินออนไลน์ เพราะทาง LINE เองก็มี LINE BK บริการทางการเงินแบบ Social Banking ของบริษัท กสิกร ไลน์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่างบริษัท กสิกร วิชั่น จำกัด (บริษัทในเครือของธนาคารกสิกรไทย) และบริษัท ไลน์ ไฟแนนเชียล เอเชีย (LINE Financial Asia) อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีแผนชัดเจนว่าจะเห็นบริการใหม่ ๆ เร็วสุดเมื่อไหร่

“อาจยังไม่ชัดเจนว่าจะมีบริการอะไรใหม่ ๆ แต่เราจะพยายามดันทรานแซคชั่นของทั้ง LINE MAN Wongnai และ LINE เข้าไปใช้ใน RLP ให้ได้มากที่สุด แต่เราอยากให้คนเข้ามาในแพลตฟอร์มของเราแล้วทำได้ทุกอย่างตั้งแต่สั่งอาหารจนถึงกู้เงิน” ดร.พิเชษฐ กล่าว

ไม่ได้แข่งแค่กับ e-Wallet ด้วยกัน

แม้ว่าตลาดอี-วอลเล็ตปีนี้ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง ดอลฟิน วอลเล็ต จะหายไป แต่การแข่งขันก็ไม่ได้ลดน้อยลง โดย ยอด อธิบายว่า ตลาดอีเพย์เมนต์ยังมีความท้าทายจาก พร้อมเพย์ ที่ทำให้ทุกอย่างใช้งานได้อย่างเปิดกว้าง นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์ม เป๋าตัง ของรัฐบาล ดังนั้น การแข่งขันจึงกว้างมากเพราะมีทั้งธนาคารและแพลตฟอร์มอีวอลเล็ต ซึ่ง RLP ก็อยากจะเป็นผู้เล่นหลักของตลาดไทย ดังนั้น การมีบริการต่าง ๆ เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคยังใช้งานเป็นโจทย์ที่สำคัญ

“อย่างเป๋าตังเขาก็มีบริการซื้อสลากออนไลน์เพื่อดึงดูดให้ใช้งาน นี่ก็เป็นโจทย์ของเราว่านอกจากบริการที่มีที่ผู้บริโภคใช้อยู่แล้ว เราจะเพิ่มอะไรเข้าไปได้อีก”

อย่างไรก็ตาม ทิศทางของตลาดอีเพย์เมนต์ มีแต่ขาขึ้นไม่มีทางลง ตลาดจะใหญ่ขึ้นอีกเพราะผู้บริโภคใช้งานชินตั้งแต่เกิดโควิดระบาด คนใช้เงินสดน้อยลง เพียงแต่ตลาดยังไม่มาชัวร์ เพราะยังมีผู้เล่นที่ออกจากตลาดไปและยังมีผู้เล่นใหม่ ๆ เข้ามา

ปัจจุบัน แม้บริการ RLP จะยังไม่ทำกำไร โดยในปี 2565 รายได้รวม 319.63 ล้านบาท ขาดทุน 156.65 ล้านบาท แต่ในส่วนของผู้ใช้ยังคงเติบโต โดย ยอด กล่าวว่า ยังไงต้องทำให้ RLP มี กำไร และเติบโตในฐานะ STAND ALONE COMPANY ที่แข็งแกร่ง

]]>
1443484
Reuters รายงาน LINE MAN Wongnai ตั้งเป้า IPO ภายในปี 2025 และอาจระดมทุนในตลาดหุ้นอื่นด้วย https://positioningmag.com/1443167 Fri, 01 Sep 2023 05:33:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1443167 สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า LINE MAN Wongnai ตั้งเป้า IPO ภายในปี 2025 และอาจระดมทุนในตลาดหุ้นอื่นด้วย ซึ่งล่าสุดบริษัทได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินแล้ว และอาจเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ถ้าหากมีนักลงทุนสนใจมากพอ

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าว โดยอ้างอิงจากการสัมภาษณ์ผู้บริหารของ LINE MAN Wongnai ว่าผู้ให้บริการส่งอาหารรายใหญ่ของไทยรายนี้เตรียม IPO ภายในปี 2025 และอาจระดมทุนในตลาดหุ้นอื่นๆ ถ้าหากนักลงทุนสนใจ

สื่อรายดังกล่าวได้สัมภาษณ์ ชอง อิน ยัง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ LINE MAN Wongnai โดยล่าสุดบริษัทได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินแล้ว และตั้งเป้า IPO ภายในปี 2025 คาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงพิจารณาเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นอื่นเช่น สหรัฐอเมริกา ถ้าหากนักลงทุนสนใจจำนวนมากพอ

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวตามมาหลังจากที่บริษัทได้ซื้อกิจการ FoodStory รวมถึง Rabbit Line Pay

ก่อนหน้านี้ในเดือนพฤษภาคม ยอด ชินสุภัคกุล CEO ของ LINE MAN Wongnai ได้กล่าวว่า แพลตฟอร์มยังไม่ถึงจุดคืนทุน แต่ปัจจุบันถือว่าอยู่ไม่ไกลซึ่งเป็นไปได้ที่จะคืนทุนได้ภายในปี 2023 นี้ ซึ่งส่วนที่ขาดทุนอยู่คือ Food Delivery และในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าบริษัทจะทำ IPO

อย่างไรก็ดีในรายงาน Reuters ได้ชี้ว่า ตลาดหุ้นไทยมีกฎเกณฑ์ด้านภาษีที่เอื้ออำนวย แต่ความเชื่อมั่นของตลาดหุ้นไทยนั้นได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงความผันผวนของตลาด ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาบริษัทที่คาดว่าจะ IPO ไม่ว่าจะเป็น BigC รวมถึง SCG Chemical ต่างชะลอการ IPO ในตลาดหุ้นไทยไปก่อน เนื่องจากสภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวย

]]>
1443167
‘ไลน์แมน วงใน’ ระหว่างเดือนมิ.ย.65-มิ.ย.66 “ร้านอาหารเปิดใหม่” ทะลุ 1 แสนร้าน “แซนวิช-อาหารจีน” เป็นเทรนด์มาแรง https://positioningmag.com/1438813 Mon, 24 Jul 2023 10:55:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1438813 ในปี 2023 ที่สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 คลี่คลายเกือบ 100% ธุรกิจที่ฟื้นกลับมาก็คือ ร้านอาหาร โดย Insight จาก ไลน์แมน วงใน (LINE MAN Wongnai) พบว่าแค่ครึ่งปีแรกร้านอาหารเปิดใหม่ก็พุ่งทะลุ 1 แสนร้าน ไปแล้ว แต่แม้จะเปิดเยอะ ร้านที่อยู่รอดในช่วงปีแรกกลับมีแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น!

ร้านอาหารเปิดใหม่เยอะแต่เจ๊งเยอะกว่า

ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai ได้เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดร้านอาหารในช่วงเดือนมิ.ย.65 – มิ.ย.66 ว่า มีร้านอาหารเปิดใหม่เพิ่มขึ้นจาก 598,693 ร้าน เป็น 680,190 ร้าน เติบโตขึ้น 13.6% แสดงให้เห็นว่าพอวิกฤตโควิดเริ่มคลี่คลาย คนหันมาเปิดร้านอาหารกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าร้านอาหารเปิดใหม่จะมีเยอะ แต่จำนวนร้านที่ปิดตัวก็มีไม่น้อยเช่นกัน โดยจากสถิติพบว่ามีร้านอาหารถึง 50% ที่ต้องปิดตัวลงภายในปีแรก และ 65% ปิดตัวลงภายใน 3 ปี

ทั้งนี้ หากเจาะไปที่ ประเภทร้านอาหารที่กลับมา เติบโตมากที่สุดและเติบโตน้อยสุด 5 อันดับ บนแพลตฟอร์มเดลิเวอรี ได้แก่

  • อาหารเช้า โดยเฉพาะแซนด์วิช +34.2%
  • อาหารจีน +28%
  • สุกี้ยากี้ ชาบู +18.3%
  • ราเมน +14%
  • บาร์ +13.9%

ส่วน 5 ประเภทร้านอาหารที่การเติบโตชะลอตัวลง ได้แก่

  • Food Truck -63.8%
  • ข้าวต้มมื้อดึก -44.3%
  • พิซซ่า -39.2%
  • ซีฟู้ด/อาหารทะเล -36.1%
  • หมูกระทะ -31.7%

“ส่วนใหญ่ร้านอาหารที่เปิดใหม่จะเป็นร้านเล็ก ๆ ยิ่งเมื่อมีบริการเดลิเวอรี ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านยิ่งทำให้เปิดร้านอาหารได้ง่าย ทำให้การแข่งขันมันสูง พอเขาลองเปิดแล้วพบว่าขายไม่ดีก็ปิดตัวลง อัตราการปิดกิจการในช่วงปีแรกจึงสูงอย่างที่เห็น” ยอด อธิบาย

ราคา วัตถุดิบ ข้อกังวลใหญ่สุด

จากการสำรวจความเห็นร้านอาหาร 1,230 แห่ง ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2023 พบว่าปัญหาหนักใจที่สุด ได้แก่

  • ต้นทุนวัตถุดิบ 77%
  • ต้นทุนอื่น ๆ (ค่าเช่าที่, ค่าไฟ, ค่าน้ำ) 60%
  • จำนวนร้านคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น 57%
  • ลูกค้าใหม่ลดลง 47%
  • ลูกค้าประจำลดลง 45%
  • ค่าแรง 27%

ฐากูร ชาติสุทธิผล ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบจัดการร้านอาหาร FoodStory POS ของ LINE MAN Wongnai อธิบายว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ต้นทุนร้านอาหาร 25-30% จะมาจาก วัตถุดิบ มากที่สุด ตามด้วย ค่าแรง (20-25%), ค่าเช่าที่ (20-30%), ต้นทุนอื่น ๆ (10%) ที่เหลืออีก 10-20% คือ กำไร

ฐากูร ชาติสุทธิผล ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบจัดการร้านอาหาร FoodStory POS ของ LINE MAN Wongnai

Dine-in กลับมา หนึ่งในปัจจัยควบรวม Food Story

จากข้อมูลของร้านอาหารที่ใช้ Wongnai POS ยังพบว่ามูลค่าการซื้อขายรวม (GMV) ของยอดขายประเภทนั่งรับประทานที่ร้าน (Dine-in) กลับมามีอัตราการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย โดย ยอด ยอมรับว่าปัจจัยดังกล่าวทำให้ LINE MAN Wongnai ตัดสินใจที่ควบรวมกิจการกับ Food Story สตาร์ทอัพด้านโซลูชัน POS (Point of Sale) ที่บริษัทร่วมลงทุนตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว

ซึ่งจากการควบรวมของ LINE MAN Wongnai กับ Food Story ทำให้บริษัทกลายเป็นเบอร์ 1 ของตลาด POS ผ่านการมีส่วนแบ่งตลาด 40% ด้วยจำนวนการใช้งานกว่า 55,000 ร้านค้า มีมูลค่าการซื้อขายผ่านระบบราว 1.8 แสนล้านบาท ผ่านออร์เดอร์ที่สำเร็จ 636 ออร์เดอร์

“จริง ๆ เรามีคุยเรื่องควบรวมมากันหลายครั้งแรก แต่การที่ LINE MAN ควบรวมกับ Wongnai ก็ค่อนข้างใช้เวลา แล้วมาเจอโควิดอีก มาตอนนี้สถานการณ์คลี่คลาย ร้านอาหารกลับมาเติบโต การทานที่ร้านก็เกือบกลับมาเท่าปกติ เราเลยมองว่าถึงเวลาแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยมูลค่าดีลได้”

POS ตลาดหมื่นล้านที่ยังเติบโตได้

ร้านอาหารประมาณ 6 แสนร้าน ในไทย จะมีประมาณ 30% ที่ใช้ระบบ POS หรือประมาณ 150,000 ร้าน มีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท ดังนั้น ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เพราะยังมีร้านอาหารที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีอีกเยอะ ซึ่งการควบรวมของ LINE MAN Wongnai กับ Food Story จะยิ่งช่วยให้เจาะ ร้านอาหารขนาดกลาง (ร้านอาหารที่มีหลายสาขา หรือแฟรนไชส์) จากปัจจุบัน LINE MAN Wongnai จะเก่งในการเข้าถึงร้านรายย่อย ส่วน Food Story เน้นเชนร้านอาหารขนาดใหญ่

อย่างไรก็ตาม แม้ควบรวมกัน แต่จะไม่รีแบรนด์เป็นแบรนด์เดียวกัน เพราะ Food Story ถือเป็นแบรนด์ที่รู้จักอยู่แล้วโดยเฉพาะกับเชนร้านอาหารขนาดใหญ่ ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องรีแบรนด์

“เราเชื่อว่าควบรวมแล้วจะทำให้เราเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด เพราะการทำร้านอาหารมันมีรายละเอียดเยอะ เราเชื่อว่าการรวมเข้าด้วยกันจะทำให้พัฒนาหลาย ๆ ได้ดีขึ้น เร็วขึ้น โดยเฉพาะด้าน CRM เพราะเรามี Audience จากทั้ง LINE และ Wongnai ดังนั้น เรามีชาแนลดึงลูกค้ากลับมาได้ด้วย ไม่ใช่แค่เก็บดาต้าอย่างเดียว”

]]>
1438813
รายงานชี้ ตลาด Food Delivery ในอาเซียนโตเหลือ 5% ในปีที่ผ่านมา อาจทำให้ธุรกิจนี้อยู่ยากขึ้น https://positioningmag.com/1415760 Tue, 17 Jan 2023 17:53:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1415760 รายงานเกี่ยวกับธุรกิจ Food Delivery ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตของ GMV เพียงแค่ 5% เท่านั้น หลังจากที่มีการเติบโตทบต้นเป็นตัวเลข 2 หลักมาโดยแทบตลอด ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดนี้อาจทำธุรกิจได้ยากมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันมาร์จิ้นในการทำธุรกิจดังกล่าวก็ไม่ได้สูงมากนัก

Momentum Works บริษัทที่ปรึกษาจากสิงคโปร์ ได้ออกรายงานเกี่ยวกับธุรกิจ Food Delivery ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยชี้ว่าอัตราการเติบโตของยอดขายทั้งหมด (GMV) เหลือเพียงแค่ 5% จากปี 2021 มายังปี 2022 ทำให้มูลค่าตลาดของ Food Delivery นั้นอยู่ที่ 16,300 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับข้อมูลมูลค่าตลาดของ Food Delivery ในอาเซียน ทาง Momentum Works ได้รวบรวมตัวเลขจากผู้เล่นรายสำคัญๆ ในตลาดไม่ว่าจะเป็น Grab และ Foodpanda ที่เป็นผู้เล่นรายใหญ่ในละแวกนี้ GoTo ของอินโดนีเซีย LINE MAN Wongnai และ Robinhood ของไทย รวมถึงผู้เล่นรายอื่นๆ ในอาเซียน

ตัวเลขการเติบโตของ GMV ที่ลดลงในปี 2022 อาจทำให้ตลาด Food Delivery ในอาเซียนนั้นอาจทำธุรกิจได้ยากมากขึ้น

รายงานของ Momentum Works  ชี้ว่าตลาดธุรกิจ Food Delivery ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนก็คืออินโดนีเซีย มี GMV ขนาดใหญ่ถึง 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมาคือประเทศไทย มีขนาด 3,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามมาด้วยสิงคโปร์ที่มีขนาด 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่ง 3 ตลาดดังกล่าวนี้ GMV กลับลดลง จากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์กลับเข้าไปทานอาหารในร้าน ภัยน้ำท่วมในหลายพื้นที่ หรือแม้แต่การยกเลิกมาตรการสนับสนุนของรัฐบาล

แต่สำหรับตลาดอย่างมาเลเซียและฟิลิปปินส์เองก็มีขนาด GMV ที่กำลังเติบโตอย่างมากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามารุกของผู้เล่นรายสำคัญอย่าง Shopee Food

ในประเทศไทยนั้นในปี 2022 ที่ผ่านมาผู้เล่นอันดับ 1 ที่ครองตลาด Food Delivery ได้แก่ Grab มีส่วนแบ่งตลาดมากถึง 54% รองลงมาคือ LINE MAN ที่ 24% และ Foodpanda 16% ขณะที่ Robinhood นั้นมีส่วนแบ่งตลาด 6% และ ShopeeFood มีส่วนแบ่งแค่ 3% เท่านั้น

ขณะที่มองภาพใหญ่ในอาเซียนนั้น Grab ยังคงครอง GMV มากที่สุดในอาเซียนที่ 54% ขณะที่ Foodpanda อยู่ที่ 19% และ GoTo ที่ 12% ขณะที่ LINE MAN และ ShopeeFood นั้นกลับมี GMV รวมเท่ากันในอาเซียนที่ 6%

อย่างไรก็ดีในปี 2022 ที่ผ่านมานั้นมีข่าวลือที่ว่า Delivery Hero บริษัทแม่ของ Foodpanda อาจถอนตัวออกจากบางประเทศในอาเซียน และสำหรับในประเทศไทยนั้นก็มีข่าวลือว่า LINE MAN Wongnai เองอาจซื้อกิจการคู่แข่งรายนี้ด้วยซ้ำ

โดยเทรนด์ธุรกิจ Food Delivery ที่ Momentum Works มองในปี 2023 นี้ได้แก่การกลับมาทานอาหารในร้าน เรื่องของ Cloud Kitchen หรือการส่งสินค้าสด ระบบ POS สำหรับร้านค้าที่มีหลากหลายมากเกินไปจนน่ารำคาญ อาจทำให้มีผู้เล่นด้าน POS เข้ามา

นอกจากนี้ในรายงานดังกล่าวยังมีเรื่องของมาร์จิ้นธุรกิจ Food Delivery นั้นไม่ได้สูงอย่างที่คิด โดยได้ยกตัวอย่างของ Meituan ซึ่งเป็นบริการในประเทศจีนมาและบริษัทได้มาร์จิ้นเพียงแค่ 6% เท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วบริษัทจะต้องลดรวมถึงตัดต้นทุนลงมาเพื่อที่จะทำให้ธุรกิจนั้นสามารถอยู่รอดได้

Note: อัพเดต 18/01/2023 แก้ไขคำและข้อมูลที่ผิด

]]>
1415760
LINE MAN Wongnai เดินหน้าล่า “เทคทาเลนต์ต่างชาติ” อัพทีมเทคโนโลยีชนคู่แข่งระดับโลก https://positioningmag.com/1407452 Wed, 09 Nov 2022 11:21:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1407452 จากจุดเริ่มต้นที่เป็นแพลตฟอร์มรีวิวร้านอาหารและข้อมูลด้านไลฟ์สไตล์ จนกระทั่งปี 2020 วงใน (Wongnai) ได้ถูก ไลน์แมน (LINE MAN) แพลตฟอร์ม on-demand ส่งอาหารและส่งของของ LINE เข้าควบรวมกิจการในมูลค่า 3,300 ล้านบาท และได้รับเงินลงทุนรอบซีรีส์บีมูลค่า 9,700 ล้านบาท ทำให้ LINEMAN Wongnai ขึ้นเป็น ยูนิคอร์น ของไทย และหนึ่งในสิ่งที่บริษัทจะเร่งพัฒนาก็คือ การขยายทีมเทคโนโลยี โดยเร่งดึง เทค ทาเลนต์ เพื่อให้สู้กับแพลตฟอร์มระดับโลกได้

รู้จักโครงสร้างทีมเทคLINE MAN Wongnai 

หนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของสตาร์ทอัพก็คือ เทคโนโลยี ซึ่งผู้ที่อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีของ LINE MAN Wongnai ก็คือ ภัทราวุธ ซื่อสัตยาศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี LINE MAN Wongnai ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Wongnai โดยหลังจากที่ระดมทุนรอบซีรีส์บีมาได้ หนึ่งในภารกิจเร่งด่วนก็คือ ทีมเทคโนโลยีที่จะขยายจาก 350 เป็น 450 คน

ในส่วนของผู้ใช้ทั่วไปคงจะคุ้นชินกับแอป LINE MAN แต่จริง ๆ แล้วยังมีอีก 2 ส่วนก็คือ แอปสำหรับ ไรเดอร์ และ ร้านค้า ซึ่งปัจจุบันมีไรเดอร์กว่า 3 แสนราย และร้านค้าพันธมิตร 9 แสนร้านค้า นอกจากนี้ยังมีการทำ POS ให้กับร้านค้าที่มีหน้าร้าน ซึ่งอีโคซิสเต็มส์ทั้งหมดถูกดูแลโดยทีมเทคโนโลยีทั้งหมด 350 คน ซึ่งปัจจุบันแบ่งออกเป็น 3 ทีมใหญ่ ๆ ได้แก่

  • Engineering
  • Product
  • Data

เน้นใช้ทาเลนต์ไทยตอบโจทย์คนไทย

ปัจจุบัน 90% ของทีมเทคโนโลยีเป็นคนไทย โดย ภัทราวุธ ให้เหตุผลว่า ต้องการที่จะ ลงลึก ถึงสิ่งที่ลูกค้าไทยต้องการมากกว่า เพราะมีความเข้าใจถึงปัญหา และใกล้ชิดกับร้านค้าพันธมิตร ทำให้สามารถคัสตอมไมซ์เทคโนโลยีได้ตามความต้องการ และภายใต้ความคาดหวังของผู้บริโภคชาวไทยที่ใช้งานแพลตฟอร์มระดับโลกจนชิน ดังนั้น UX/UI ต้องใช้งานง่าย และนำเสนอสินค้าให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน (Personalize)

“อย่างตอนมีโครงการคนละครึ่ง เราก็เป็นแพลตฟอร์มแรก ๆ ที่สามารถซิงก์ให้ใช้จ่ายบนแพลตฟอร์ม ซึ่งสิ่งที่ท้าทายของบริษัทเทคโนโลยีไทยคือ เทคทาเลนต์ไทยไม่ได้มีเยอะมาก แต่เราต้องแข่งกับผู้เล่นเจ้าใหญ่ ดังนั้น เราที่มีคนน้อยกว่าก็ต้องลงลึกเพื่อเอาชนะ”

นอกจาการลงลึกความต้องการคนไทยแล้ว แต่กระบวนการทำงานก็เป็นอีกส่วนที่จะทำให้ชนะผู้เล่นรายใหญ่ ซึ่งทาง LINE MAN Wongnai ได้วางเคาเจอร์ในการทำงานไว้ 2 ส่วน ได้แก่ Flat Organization คือ ไม่มีระดับขั้น ทำให้สามารถทำงานได้เร็ว และ Cross-Functional Team ทำงานสอดประสานกันในลักษณะที่สามารถแก้ปัญหาภายในได้เอง

ภัทราวุธ ซื่อสัตยาศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี LINE MAN Wongnai

ถึงเวลาดึงต่างชาติ

แม้ว่าที่ผ่านมา LINE MAN Wongnai จะใช้คนไทยทำงานเป็นหลัก แต่ในการเพิ่มทีมเทคโนโลยีจากนี้ ภัทราวุธ ยอมรับว่าอาจทำให้สัดส่วนของคนต่างชาติเพิ่มเป็น 30% เพราะถึงเวลาที่บริษัทต้องดึงทาเลนต์ต่างชาติที่มีประสบการณ์ในแพลตฟอร์มระดับโลกมาร่วมงาน เพื่อให้ต่อสู้กับคู่แข่งระดับโลก

“แต่ละปีมีคนมาสมัครเทคทีมกับเราหลายหมื่นคน แต่ตอนนี้เราอยากได้คนที่มีประสบการณ์ มีความรู้เฉพาะทาง อยากได้ทาเลนต์ที่มีไมด์เซตสเกลใหญ่ เราเลยต้องไปหาคนจากต่างประเทศ เพราะเราไม่ได้อยู่ในจุดที่ต้องมาเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพื่อให้ทีมเทคทีมเราแข็งแรงมากขึ้น”

ปัจจุบัน กลุ่มที่ขาดมากที่สุดของบริษัทคือ Platform Engineering, Data Science และ Project Manager เพราะประเทศไทยไม่ได้มีบริษัทเทคโนโลยีเยอะ ทำให้หาคนที่มีประสบการณ์ได้น้อย

มั่นใจเบเนฟิตดึงดูด

ในปีนี้ ทีมเทคโนโลยีเริ่มทำงานแบบรีโมตเวิร์กกิ้ง โดยมีทีมใหม่อยู่ที่เชียงใหม่ตอนนี้มีพนักงานราว 20 คน โดยให้ทำงานที่เชียงใหม่โดยได้เงินเดือนและสวัสดิการณ์เหมือนทำงานในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ ทางบริษัทก็มีทีมที่อยู่ในต่างประเทศบ้าง เช่น จีน สิงคโปร์ อินเดีย

“เรามั่นใจว่าค่าตอบแทนของเราไม่น้อยหน้าบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ และอีกสิ่งที่จะดึดงดูดทาเลนต์ต่างชาติคือ เขาจะมาเป็นเฟืองตัวใหญ่ขององค์กรเรา บางคนเขาต้องการสิ่งนี้ เขาไม่ได้อยากจะไปอยู่บริษัทใหญ่แล้วเป็นแค่เฟืองตัวเล็กในองค์กร”

ทั้งนี้ บริษัทได้มีการเปิดรับนักศึกษาฝึกงานทุกปีต่อเนื่องมาแล้ว 2 ปี โดย ภัทราวุธ ทิ้งว่า LINE MAN Wongnai ไม่ได้อยากเป็นแค่สตาร์ทอัพใหญ่สุดในไทย แต่อยากสร้างแรงบัลดาลใจให้คนรุ่นใหม่ ๆ และอยากเป็นตัวเลือกแรกที่เขาอยากมาทำงานไม่ต้องไปต่างประเทศ ทำให้เขาเติบโตไปได้เรื่อย ๆ และสร้างอิมแพ็คให้กับสังคมได้

]]>
1407452