Pomelo – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 12 Sep 2022 22:53:39 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Pomelo ปลดพนักงาน 55 ราย เตรียมระดมทุนจากนักลงทุนเพิ่ม https://positioningmag.com/1399790 Mon, 12 Sep 2022 17:31:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1399790 สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวว่า Pomelo สตาร์ทอัพที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับแฟชั่น ได้ปลดพนักงานจำนวน 55 ราย คิดเป็นสัดส่วน 8% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด โดยบริษัทได้ให้เหตุผลว่าได้ปรับปรุงกระบวนการเพื่อก้าวไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนมากขึ้น

การปลดพนักงานของสตาร์ทอัพรายดังกล่าวนี้ได้เดินตามรอยบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการสั่งปรับลดจำนวนของพนักงานลง รวมถึงการลดขนาดบริษัทลงมา โดยให้เหตุผลไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย รวมถึงต้องการที่จะเติบโตแบบยั่งยืน

ปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Pomelo ได้วางเป้าหมายจะขยายการเติบโตของธุรกิจในหลายส่วน ตั้งแต่การขยายการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกไปยังต่างจังหวัด หรือแม้แต่การขยายบริการ Tap.Try.Buy ไปยังกลุ่มลูกค้าในประเทศสิงคโปร์เพิ่มเติม ก่อนที่จะมีข่าวปลดพนักงานออกมา

สตาร์ทอัพรายดังกล่าวนี้รายได้หลักยังมาจากช่องทางของ E-commerce รองลงมาเป็นรายได้จากบริการ Tap.Try.Buy รวมถึงช่องทางร้านค้า

นอกจากนี้ Bloomberg ยังได้รายงานว่า Pomelo ได้ติดต่อไปยัง Morgan Stanley วาณิชธนกิจชื่อดังเพื่อที่จะระดมทุนเพิ่มเติมจากภายนอกเพิ่มเติม แม้ว่าในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาบริษัทได้ระดมทุนไปถึง 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากกลุ่มนักลงทุนที่เคยลงทุนในบริษัทมาแล้วก็ตาม

Pomelo เป็นสตาร์ทอัพแฟชั่นเทคที่ก่อตั้งในไทยเมื่อปี 2013 โดยมีผู้ร่วมก่อตั้งเป็นชาวเอเชียนอเมริกัน 2 คน คือ เดวิด โจว และ เคซี่ เหลียง และสตาร์ทอัพรายนี้ตั้งเป้าที่จะเป็นเบอร์ 1 ในตลาดแฟชั่นของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้

]]>
1399790
อ่านโมเดลธุรกิจ “ลูกครึ่ง” ของ Pomelo เพื่อขึ้นเป็น “เบอร์ 1” ตลาด “แฟชั่น” ใน SEA https://positioningmag.com/1378817 Wed, 23 Mar 2022 09:24:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1378817 Pomelo พิสูจน์ความแข็งแกร่งในธุรกิจมานาน 9 ปี มีการพัฒนาโมเดลธุรกิจมาอย่างต่อเนื่องจนได้ “สูตร” เพื่อเข้าตีตลาดต่างประเทศ หวังขึ้นเป็น “เบอร์ 1” ในตลาด “แฟชั่น” ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลยุทธ์ของสตาร์ทอัพรายนี้คือการสร้างโมเดล “ลูกครึ่ง” ทั้งช่องทางขายแบบ Omnichannel และรูปแบบกึ่งมาร์เก็ตเพลสที่มีการคัดสรรแบรนด์ก่อนจะเข้ามาขายบนแพลตฟอร์ม

หากใครเดินศูนย์การค้าบ่อยๆ น่าจะเคยเห็นร้านค้าของ Pomelo ผ่านตาอยู่บ้าง แต่แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิงรายนี้ไม่เหมือนกับร้านค้าอื่นอยู่ 2 เรื่อง นั่นคือเป็น ธุรกิจที่มีช่องทางขายแบบ Omnichannel อย่างชัดเจน และ มีทั้งเสื้อผ้าแบรนด์ in-house ร่วมกับการคัดเลือกแบรนด์อื่นๆ เข้ามาขายบนแพลตฟอร์ม

Pomelo เป็นสตาร์ทอัพแฟชั่นเทคที่ก่อตั้งในไทยเมื่อปี 2556 แต่ผู้ร่วมก่อตั้งเป็นชาวเอเชียนอเมริกัน 2 คน คือ เดวิด โจว และ เคซี่ เหลียง เริ่มแรกมีการพัฒนาออกแบบเสื้อผ้าแบรนด์ตนเอง และขายผ่านอีคอมเมิร์ซเป็นหลัก โดยมีทั้งช่องทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน

Pomelo
หน้าร้านสาขาออฟไลน์

จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนในปี 2561 บริษัทเริ่มปรับช่องทางการขายเป็น Omnichannel เริ่มเปิดร้านค้าออฟไลน์ตามศูนย์การค้า ซึ่งไม่ใช่แค่เปิดเพื่อให้มีช่องทางขายทั้งออนไลน์-ออฟไลน์ แต่บริษัทสร้างฟังก์ชันสำคัญคือ Tap.Try.Buy ขึ้นมาเชื่อมโยงทั้งสองช่องทาง

ฟังก์ชันนี้เปิดให้ลูกค้าสามารถสั่งจองสินค้าทางออนไลน์ ส่งไปร้านสาขาที่สะดวก และเข้าไปลองสินค้าจริงได้ที่ร้าน จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ ซึ่งช่วยแก้ pain point ของลูกค้าออนไลน์ที่ไม่ได้ลองหรือสัมผัส จนอาจจะไม่พอใจสินค้าที่ได้ และลดขั้นตอนจากปกติลูกค้าต้องสั่งของไปส่งที่บ้าน ลองสินค้า และถ้าไม่ชอบต้องทำเรื่องส่งคืนสินค้าอีก

สินค้าปัจจุบันผสมผสานทั้ง in-house และแบรนด์อื่นที่คัดเลือกเข้ามา และมีทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ บิวตี้

หลังเปิดบริการนี้ ในปี 2562 บริษัทมีการขยับครั้งสำคัญอีก นั่นคือการเปิดแพลตฟอร์มให้แบรนด์อื่นๆ เข้ามาขายด้วยได้ เพราะบริษัทเริ่มมองว่า แบรนด์ in-house ที่มีน่าจะรองรับดีมานด์ได้ไม่มากพอ

ตามมาด้วยปี 2564 เปิดบริการ “Prism” เพื่อสนับสนุนแบรนด์อื่นๆ ให้การขายกับ Pomelo สะดวก เช่น บริการถ่ายภาพสินค้าและติดต่ออินฟลูเอนเซอร์, วิเคราะห์ดาต้าและช่วยวางแผนการทำตลาด, ส่งแบบผลิตสินค้าร่วมกับโรงงานซัพพลายเออร์ของ Pomelo

บริการ Prism ทำให้แบรนด์ที่เป็นพาร์ทเนอร์สะดวกขึ้น

ปัจจุบันการเติบโตของสตาร์ทอัพรายนี้ มีสินค้าขึ้นแพลตฟอร์มมากกว่า 50,000 SKUs ไปแล้ว และมีแบรนด์ร่วมวางขายกว่า 500 แบรนด์ ขยายตลาดไป 5 ประเทศ คือ ไทย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ แต่มีสำนักงานการผลิตอยู่ที่ประเทศจีน

เดวิด โจว ซึ่งดำรงตำแหน่งซีอีโอ ระบุว่า ล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม 2564 บริษัทรับเงินลงทุนจนถึง Series C+ มีเงินลงทุนสะสมประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ และเคยมีนักลงทุนรายใหญ่ร่วมลงทุนด้วย เช่น JD.com, กลุ่มเซ็นทรัล เป็นต้น

 

ตั้งเป้า “เบอร์ 1” ตลาดแฟชั่นของ SEA

โจวกล่าวในงานครบรอบ 9 ปีของ Pomelo ว่า ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป บริษัทมีเป้าหมายการทำงาน ดังนี้

  • ลงทุนมูลค่า 1,000 ล้านบาท เพื่อทำการตลาดและคอนเทนต์แบรนด์
  • ขยายสาขาจาก 27 สาขาในปัจจุบัน เป็น 54 สาขา โดยจะเน้นสาขาใหม่ในกลุ่มตลาดใหม่คือ สิงคโปร์, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
  • ขยายแบรนด์ที่ร่วมขายในแพลตฟอร์มจาก 500 แบรนด์ เป็น 2,000 แบรนด์ โดยจะขยายทั้งประเภทสินค้าใหม่ๆ เช่น Active Wear และขยายกลุ่มราคาให้กว้างขึ้นบนและล่าง ทั้งลงไปในกลุ่มราคาถูกลง และกลุ่มราคาพรีเมียมยิ่งขึ้น

เป้าหมายการทำงานเหล่านี้ เพื่อไปสู่การเติบโตของมูลค่าธุรกรรมรวมในตลาด (GMV) 260% ภายใน 3 ปี และระยะยาวแล้ว แบรนด์ต้องการจะเป็น “เบอร์ 1” ในตลาดแฟชั่นของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Pomelo
คณะผู้บริหาร โพเมโล แฟชั่น: (จากซ้าย) อริยะ พนมยงค์ คณะกรรมการบริษัท, เดวิด โจว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ฌอง โธมัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด

ปัจจุบัน GMV ของ Pomelo แบ่งสัดส่วนจากไทย 60% และจากประเทศอื่นๆ 40% และสัดส่วนจากแบรนด์ in-house 60% จากแบรนด์พาร์ทเนอร์ร่วมขาย 40% แต่ดังที่เห็นว่าทิศทางของการเติบโตจะออกต่างประเทศสูงขึ้น รับพาร์ทเนอร์มากขึ้น ดังนั้น สัดส่วนน่าจะเปลี่ยนไปในอนาคต

 

ฉีกแนวหนีคู่แข่งทั้ง “มาร์เก็ตเพลส” และ “แบรนด์ดั้งเดิม”

เมื่อถามถึง “คู่แข่ง” เนื่องจาก Pomelo มีโมเดลธุรกิจที่เป็น “ลูกครึ่ง” คือ เปรียบเสมือนมาร์เก็ตเพลสที่มีทั้งแบรนด์ in-house และแบรนด์อื่น แต่การรับสินค้าเข้ามาขายร่วมต้องผ่านการคัดสรรอย่างดี เพื่อให้ตรงกับสไตล์ของแพลตฟอร์มและฐานลูกค้าผู้หญิงวัยสาว ทำให้โจวมองว่า บริษัทไม่ได้มีคู่แข่งทางตรงที่ใช้โมเดลธุรกิจเหมือนกัน

การปรับตัวเป็น Omnichannel ของแบรนด์แฟชั่นใหญ่ๆ ก็ยังเป็นขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ขณะที่เราเข้าตลาดนี้ก่อน

“แต่คู่แข่งโดยอ้อมก็ต้องยอมรับว่าเป็นมาร์เก็ตเพลสออนไลน์อย่าง Lazada, Shopee ซึ่งมีหมวดสินค้าแฟชั่น หรือแพลตฟอร์มขายเสื้อผ้าออนไลน์รายใหญ่ รวมถึงร้านค้าปลีกแบรนด์ดั้งเดิมต่างๆ ที่วันนี้ปรับตัวเองเป็น Omnichannel แล้ว เริ่มเปิดเว็บไซต์เป็น brand.com” โจวกล่าว “อย่างไรก็ตาม การปรับตัวเป็น Omnichannel ของแบรนด์แฟชั่นใหญ่ๆ ก็ยังเป็นขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ขณะที่เราเข้าตลาดนี้ก่อน ทำให้เรามียอดขายทั้งจากระบบ Tap.Try.Buy จากระบบออนไลน์เท่านั้น และจากการขายหน้าร้านด้วย”

ในส่วนนี้ “ฌอง โธมัส” ซีเอ็มโอของบริษัท ให้ข้อมูลว่า Pomelo มียอดขายหลัก 51% จากการสั่งออนไลน์ รองลงมา 25% เป็นยอดขายหน้าร้าน และ 24% มาจากระบบ Tap.Try.Buy สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทเป็น Omnichannel อย่างแท้จริง สามารถผสมผสานช่องทางขายได้ทุกรูปแบบ

Pomelo
เชื่อมต่อโลกออนไลน์และออฟไลน์

 

“เทคโนโลยี” คือหัวใจสำคัญ

ภายนอกของ Pomelo เหมือนจะเป็นร้านค้าแฟชั่นที่ต้องเป็นเทรนด์เซ็ตเตอร์ที่ทันสถานการณ์เสมอ แต่ภายในมีหัวใจสำคัญอีกส่วนที่ทำให้แพลตฟอร์มประสบความสำเร็จคือ “เทคโนโลยี”

โจวกล่าวว่าแฟชั่นเทคอย่าง Pomelo มีกุญแจหลักด้านเทคโนโลยี 4 ข้อ คือ

  • การบริหารซัพพลายเชนได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่การผลิต คลังสินค้า จัดส่ง
  • คาดการณ์ตลาดได้อย่างแม่นยำ มีระบบแมชชีนเลิร์นนิ่งเพื่อเรียนรู้ว่าควรจะลดราคาชิ้นไหน เมื่อไหร่ และเท่าไหร่ ทำให้ได้รายได้สูงสุด
  • ลูกค้าได้เห็นสินค้าที่ผ่านการ Personalized บริษัทมีอัลกอริธึมที่แม่นยำเพื่อเสนอสินค้าให้ตรงใจรายบุคคล สามารถคาดเดาได้ว่าลูกค้ากำลังมองหาอะไรและชอบสินค้าแบบไหน เพื่อดึงสินค้านั้นขึ้นมาเสนอบนแอปฯ หรือในโฆษณาออนไลน์
  • ประสบการณ์ Omnichannel ที่ไร้รอยต่อ การจัดระบบ Try.Buy ที่ใช้ง่าย ถูกต้อง สะดวก

หัวใจเทคโนโลยีเหล่านี้คือที่มาของบริการ “Prism” ดังกล่าว บริษัทสามารถหารายได้เพิ่มจากการใช้องค์ความรู้เหล่านี้บริการแก่ลูกค้าพาร์ทเนอร์ที่มาร่วมขายบนแพลตฟอร์ม

รวมถึงดาต้าที่เก็บยังทำให้เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น Tap.Try.Buy ที่ลูกค้ามีสิทธิปฏิเสธไม่ซื้อสินค้าเมื่อลองแล้วไม่พอใจ ส่วนนี้โจวไม่ได้มองว่าเป็นปัจจัยลบที่ทำให้ยอดขายเสียไปหรือต้นทุนเพิ่ม แต่กลับเป็นปัจจัยบวก

“เราพบว่าลูกค้าที่ใช้บริการ Tap.Try.Buy มียอดซื้อสินค้ามากกว่าลูกค้าอีคอมเมิร์ซ 33% และมีอัตราซื้อซ้ำมากกว่า 18% เพราะเมื่อลูกค้าได้ลองก่อน จะรู้สึกพึงพอใจและกลับมาซื้อกับเราอีก เราจึงมองว่าการให้ลูกค้าได้ลอง แม้จะไม่ซื้อ ก็ยังดีกว่าลูกค้าซื้อไปแล้วแล้วพบว่าไม่พึงพอใจ” โจวกล่าว “ส่วนต้นทุนก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก เพราะเรามีรถที่ต้องวิ่งไปเติมซัพพลายที่ร้านค้าปลีกอยู่แล้ว ก็เพียงแต่เพิ่มสินค้าที่ลูกค้าสั่งเข้าไปลองสวมใส่เท่านั้นเอง”

]]>
1378817
Pomelo ดึงบิ๊กบอส H&M เสริมทัพ แต่งตั้ง Anders Heikenfeldt เป็น Chief Retail Officer https://positioningmag.com/1260911 Fri, 17 Jan 2020 04:48:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1260911 Pomelo ประกาศแต่งตั้ง Anders Heikenfeldt เป็น Chief Retail Officer โดยก่อนหน้านี้ Anders เป็นผู้บริหารของ H&M และล่าสุดได้มาร่วมงานกับ Pomelo โดยมีภารกิจสำคัญในการขยายตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Anders จะรับผิดชอบส่วนฝ่ายร้านค้าปลีก โดยจะพัฒนากลยุทธ์ธุรกิจแบบ Omnichannel รวมทั้งเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าในการเลือกซื้อสินค้าได้อย่างสะดวก ราบรื่น ทั้งจากที่ร้านสาขาและผ่านทางออนไลน์

ซึ่ง Anders มีประสบการณ์กว่า 10 ปี ในการพัฒนาและปรับกลยุทธ์ด้านประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้า ให้กับแบรนด์แฟชั่นต่างๆ โดยเชี่ยวชาญด้านการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดใหม่ ก่อนหน้านี้ Anders ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการให้กับกิจการหนึ่งของ H&M รวมทั้งเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับต้นๆ หลายตำแหน่งในบริษัท 6ixty 8ight และ COS อีกด้วย

เมื่อเดือนกันยายน 2562 Pomelo ได้ประกาศระดมทุนรอบ 3 (Series C) จำนวน 52 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อขยายธุรกิจ บริษัทได้เติบโตอย่างรวดเร็ว และว่าจ้างพนักงานใหม่อีกกว่า 200 คน นอกจากนี้ยังได้สร้างฐานธุรกิจในประเทศไทยและสิงคโปร์ โดยในปี 2562 ที่ผ่านมา ได้เปิดร้านใหม่รวมทั้งสิ้น 10 สาขา

“เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งยังมีเอกลักษณ์เฉพาะ รวมทั้งมีศักยภาพสูง ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มีส่วนร่วมในการขยายธุรกิจของ Pomelo ทั่วทั้งภูมิภาคนี้ รวมทั้งสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่แปลกใหม่ สะดวก และราบรื่น ให้กับลูกค้า ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์” นาย Anders กล่าว

เดวิด จู ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Pomelo กล่าวว่า

“การประกาศแต่งตั้งนาย Anders เป็นการเสริมทีมผู้บริหารของ Pomelo ครั้งสำคัญ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการปรับโฉมการช้อปปิ้ง”

]]>
1260911
ลากต่อไม่ไหว! “Pomelo” ปิดดีลรับไม้ต่อ “Looksi” ต่อจากกลุ่มเซ็นทรัล https://positioningmag.com/1260327 Mon, 13 Jan 2020 08:34:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1260327 Pomelo ประกาศปิดดีลร่วมกับ LOOKSI แพลตฟอร์มแฟชั่นอีคอมเมิร์ซของ Central Group Online เป็นที่เรียบร้อยแล้วในส่วนของมีเดียแพลตฟอร์ม ต่อยอดแบรนด์ดังระดับโลกเข้าเว็บไซต์

Looksi โบกมือลาเซ็นทรัล

สมรภูมิช้อปออนไลน์ยังคงมีเรื่องราวน่าตื่นเต้นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นรายใหญ่จากต่างประเทศ หรือค้าปลีกในประเทศเองก็ตาม โดย “กลุ่มเซ็นทรัล” เองได้พยายามที่จะลงมาเล่นในตลาดออนไลน์ด้วยวิธีหลายช่องทาง ทั้งปั้นแพลตฟอร์มเอง รวมถึงทางลัดในการเข้าซื้อกิจการแบรนด์ที่ทำตลาดอยู่แล้ว

เมื่อปี 2016 กลุ่มเซ็นทรัลได้รุกหนักด้วยการเข้าซื้อกิจการ Zalora แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซด้านแฟชั่นโดยเฉพาะ แล้วในปี 2017 ได้ทำการเปลี่ยนโฉมใหม่เป็นชื่อ “Looksi” หรือลุคสิ เป็นการเสริมทัพออนไลน์อย่างเต็มตัว ซึ่ง Zalora ได้ก่อตั้งในปี 2012 โดยกลุ่มร็อคเก็ต อินเตอร์เน็ต

แต่ดูเหมือนว่าเส้นทางของ Looksi ภายในชายคาของกลุ่มเซ็นทรัลอาจจะไม่เปรี้ยงมากนัก ประกอบกับหลายปัจจัยรอบตัวทั้งการแข่งขันของตลาดอีคอมเมิร์ซ พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้ชื่อของ Looksi ถูกกลืน และไม่ได้ถูกพูดถึงเป็นแพลตฟอร์มต้นๆ อีกต่อไป

จนถึงล่าสุดประเดิมปี 2020 Looksi ต้องโบกมือลาจากอ้อมอกของเซ็นทรัลแล้วเรียบร้อย ไปอยู่บ้านใหม่กับ “Pomelo” สตาร์ทอัพสินค้าแฟชั่นชื่อดังที่จะเข้ามารับช่วงบริหารต่อ

เดวิด จู ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Pomelo กล่าวว่า

เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้บริการลูกค้า และร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจของ Looksi บนแพลตฟอร์มของ Pomelo ในดีลระหว่าง Looksi กับ Pomelo ครั้งนี้ จะช่วยให้ Pomelo พัฒนาอย่างก้าวกระโดดกลายเป็นแพลตฟอร์มมัลติแบรนด์แฟชั่น เพื่อบริการลูกค้าผู้หลงใหลแฟชั่นทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โยกไปแพลตฟอร์ม Pomelo ทั้งหมด

ผลจากข้อตกลงทางธุรกิจดังกล่าว บริการบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของ Looksi จะยุติการให้บริการ และระบบจะโยกย้ายเข้าสู่แพลตฟอร์มของ Pomelo รวมถึงช่องทางการติดต่อสื่อสารบน Social Media โดยลูกค้า Looksi จะยังคงสามารถซื้อสินค้าที่หลากหลายต่อไปได้บนแพลตฟอร์มของ Pomelo ซึ่งใช้งานได้อย่างสะดวกและราบรื่นเช่นกัน

ส่งผลให้ Pomelo เพิ่มแบรนด์ดังระดับโลกที่อยู่บนแพลตฟอร์มของ Looksi อาทิ Adidas, Aldo, Havaianas, Topshop, Guess, Levi Jeans และ Nike เข้าสู่แอปพลิเคชั่นและเว็บไซต์ของ Pomelo ได้

โดยที่ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนกันยายนปี 2019 Pomelo ได้ระดมทุน Series C มูลค่า 52 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับการขยายธุรกิจให้ครอบคลุมทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

]]>
1260327