ไมเคิล มันเฟรด สไตลเบิล ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แรบบิท แคร์ จำกัด เปิดเผยถึงตลาดประกันภัยนั้นมียอดเติบโตแบบทบต้นตั้งแต่ปี 2019-2021 เฉลี่ยที่ 3.8% ขณะที่ปี 2022 ที่ผ่านมานั้นเติบโต 4.3%
ขณะที่ช่องทางจำหน่ายกรมธรรม์นั้นมาจาก Broker ประกันภัยสัดส่วนมากถึง 70% แล้ว จากเดิมในปี 2018 ที่มีสัดส่วนเพียงแค่ 59% เท่านั้น โดยภาพรวมระยะยาว ไมเคิลมองว่าจะมีการควบรวมกิจการของ Broker เข้าด้วยกัน เนื่องจากต้นทุนในการทำธุรกิจที่มากขึ้น
ในปี 2022 ผู้บริหารสูงสุดของ Rabbit Care ได้กล่าวว่า ผลประกอบการในปี พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา แรบบิท แคร์บรรลุเป้าหมายเบี้ยประกันกว่า 3,000 ล้านบาท ขณะที่รายได้คอมมิชชั่นจากผลิตภัณฑ์ทางการเงินเติบโตขึ้น 144% ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ หลังจากการเปิดตัว CareOS ซึ่งเป็นการพัฒนาเครื่องมือเปรียบเทียบ ผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต เมื่อปีที่ผ่านมา
สำหรับกลยุทธ์ของ Rabbit Care ในปีนี้ ไมเคิล ได้กล่าวถึง ตลาดสินเชื่อในประเทศไทยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงขึ้น แม้ว่าความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบต่อการอนุมัติสินเชื่อ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น ส่งผลทำให้ในปีที่ผ่านมายอดสินเชื่อเติบโตแค่ 3% เท่านั้น ลดลงจากปี 2021 ที่เติบโตถึง 4.6%
ขณะเดียวกันเขายังชี้ว่าความต้องการของบริโภคต้องการจะหาสินเชื่อที่เหมาะสมกับตัวเอง จึงทำให้บริษัทมองเห็นช่องทางดังกล่าว
ปัจจัยดังกล่าว ทำให้ในปีนี้ทาง Rabbit Care ได้ขยายบริการสู่ตลาดสินเชื่อส่วนบุคคล โดยมีการเปรียบเทียบสินเชื่อระหว่างสถาบันการเงินต่างๆ นอกจากนี้ยังรวมถึงการจับมือกับพาร์ตเนอร์รายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้ง KTC หรือแม้แต่ KBJ Capital ซึ่งเป็นกิจการร่วมทุนระหว่าง Jaymart และ KB Kookmin Card จากประเทศเกาหลีใต้ เพื่อที่จะเจาะตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น
ไมเคิลยังกล่าวว่าคนไทย 15 ถึง 20 ล้านคนยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ ซึ่งเป็นโอกาสของบริษัท
นฝั่งของประกันภัยนั้น บริษัทจับมือกับพาร์ตเนอร์เตรียมที่จะออกประกันภัยรถยนต์แบบรายครั้ง (Pay Per Use) ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ไม่ได้ใช้รถยนต์บ่อยๆ แต่ต้องการประกันภัยที่ครอบคลุม
ปัจจุบัน Rabbit Care มีผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น ประกัน ฯลฯ รวมถึงผลิตภัณฑ์สินเชื่อ 16 ผลิตภัณฑ์ โดยในกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อเพื่อธุรกิจรายย่อย จาก 10 พาร์ตเนอร์ชั้นนำ ทั้งที่เป็นสถาบันการเงิน (Bank) และผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่มิใช่ธนาคาร (Non-bank)
เป้าหมายสำหรับปีนี้นั้น Rabbit Care มีการตั้งเป้าเบี้ยประกันรวมของทุกผลิตภัณฑ์ไว้ที่ 4,500 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้รายได้โดยรวมเติบโตจากปี 2022 มากถึง 50% ขณะที่ฝั่งของสินเชื่อคาดว่าจะปล่อยสินเชื่อ 1,500 ล้านบาทผ่านแพลตฟอร์มของบริษัท
]]>หลังจากในปี 2021 ทีผ่านมา แรบบิท ไฟแนนซ์ (Rabbit Finance) เริ่มรีแบรนด์ดิ้งปรับภาพลักษณ์ใหม่เป็น แรบบิท แคร์ (Rabbit Care) ตั้งเเต่ช่วงเดือนตุลาคมปี 2021 ที่ผ่านมา รวมถึงได้ผู้ลงทุนในบริษัทรายใหม่ แต่ล่าสุดในช่วงเดือนกันยายนของปี 2022 บริษัทนั้นมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในหลายประเด็น
ไมเคิล มันเฟรด สไตลเบิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Rabbit Care เปิดเผยว่า บริษัทได้ตั้งเป้าว่าเบี้ยประกันภัยในปีนี้จะแตะ 3,000 ล้านบาทได้ เนื่องจากในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2022 บริษัทได้ทำยอดไปแล้วมากกว่า 2,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ Rabbit Care ยังมีการเปิดตัวแพล็ตฟอร์มการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยภายในสิ้นปี 2022 บริษัทคาดว่าจะมียอดการสมัครบัตรเครดิตกว่า 300,000 ใบ
ขณะเดียวกันบริษัทยังได้เปิดตัว CareOS เป็นระบบปฎิบัติการณ์ความแคร์ ที่ช่วยประมวลผลผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและการเงินแบบ Omni-Channel ที่ช่วยทำให้สามารถเปรียบเทียบ หรือสามารถซื้อหรือสมัครบริการทางการเงินได้ทันที
อังเดร โอลิเวอร์ เพรนซโลว์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ ได้กล่าวว่าการพัฒนา CareOS ได้ใช้งบประมาณกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 365 ล้านบาท โดยมีนักพัฒนาระบบมากถึง 95 คน นอกจากนี้ระบบดังกล่าวที่ช่วยลูกค้าให้สามารถเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ได้แล้วนั้น ยังช่วยให้พันธมิตรของ Rabbit Care ใช้ข้อมูลในส่วนนี้สร้างแคมเปญทางการตลาดตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Rabbit Care ยังกล่าวว่าในกรณีของบัตรเครดิต Rabbit Care ยังมีฐานคะแนนส่งให้กับสถาบันการเงินว่ามีโอกาสที่จะอนุมัติหรือไม่ และบางแห่งสามารถพิจารณาได้เลย
ทาง Rabbit Care ยังได้ออกแคมเปญ Chief Family Officer หรือ CFO หมายถึง “ผู้บริหารครอบครัว” ซึ่งเป็นผู้นำในการตัดสินใจในการเลือกผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่าให้กับครอบครัว เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบที่หลากหลายในการจัดการภาระหน้าที่ทั้งในด้านการทำงานและที่บ้าน ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ต้องการแพลตฟอร์มอย่าง Rabbit Care ที่ช่วยให้สามารถเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ทางการเงินหรือแม้แต่ประกันภัย เพื่อประกอบการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ชยพัทธ์ สกุลร่มโพธิ์ชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเชิงพาณิชย์ ยังได้เปิดเผยกับ Positioning ว่าบริษัทมีแผนที่จะ IPO ในตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 4 ปีข้างหน้านี้ โดยบริษัทพยายามที่จะครองส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจให้ได้ 1 ใน 3 และบริษัทต้องการที่จะกระโดดมาเน้นด้านขายกรมธรรม์ออนไลน์เต็มตัวเจ้าแรกๆ ของไทย
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเชิงพาณิชย์ ได้กล่าวว่าบริษัทได้ระดมทุน Series C ไป และมีผู้ลงทุนรายใหม่คือ Winter Capital ซึ่งได้นำ Know How ให้กับบริษัทหลายเรื่อง เช่น ระบบการเก็บข้อมูล KYC เป็นต้น
ปัจจุบัน Rabbit Care มีผลิตภัณฑ์แผนประกันและสินเชื่อที่หลากหลายครอบคลุมมากกว่า 40,000 แผนประกัน ขณะที่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินนั้นมีมากกว่า 50 ตัวเลือก จากพาร์ทเนอร์รวมมากกว่า 50 บริษัทชั้นนำ โดยบริษัทได้เตรียมที่จะขยายตัวเลือกให้มากขึ้น โดยล่าสุดกำลังมีการเจรจากับพาร์ตเนอร์หลายรายเพื่อที่จะนำผลิตภัณฑ์การเงินอื่นๆ เข้ามาในแพลตฟอร์มมากขึ้นหลังจากนี้
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากการสัมภาษณ์
เเม้จะเจอความท้าทายจากวิกฤตโควิด เเต่ดูเหมือนว่าธุรกิจแพลตฟอร์มนายหน้าประกันภัย จะได้รับอานิสงส์ที่ดีจากการที่ลูกค้าเริ่มเห็นความสำคัญในการซื้อประกันมากขึ้น
ในปี 2564 ที่ผ่านมา Rabbit Care มีเบี้ยประกันภัยเติบโตเพิ่มขึ้นจาก 700 ล้านบาทในปี 2563 เป็น 1.9 พันล้านบาทในปี 2564 เพิ่มขึ้นถึง 166% เป็นแพลตฟอร์มนายหน้าประกันภัยที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย ขยายทีมงาน 300 คนสู่ 700 คนในปัจจุบัน
โดยประกันภัยรถยนต์ของบริษัท มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 212% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนหนึ่งมาจากการเข้าซื้อกิจการของโบรกเกอร์ ‘Asia Direct’ ขณะที่กลุ่มประกันสุขภาพ เติบโตขึ้น 261% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รวมถึงด้านประกันภัยองค์กรที่เติบโต 63%
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ผู้ถือหุ้นรายใหม่ผ่านรอบการลงทุน Series B ได้แก่ Samsung Ventures และ Korea Investment Partners
Rabbit Finance (แรบบิท ไฟแนนซ์) เริ่มรีแบรนด์ดิ้งปรับภาพลักษณ์ใหม่เป็น Rabbit Care (แรบบิท แคร์) ตั้งเเต่ช่วงเดือนตุลาคม ปีที่ผ่านมา
ไมเคิล มันเฟรด สไตลเบิล ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท แรบบิท แคร์ จำกัด เล่าว่า นับเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ผู้คนได้รู้จักเเบรนด์มากขึ้น ให้มากกว่าการเป็นมาร์เก็ตเพลสของผลิตภัณฑ์ประกัน ซึ่งได้ร่วมมือกับเอเยนซี่เจ้าใหญ่อย่าง ‘โอกิลวี่’ เพื่อสื่อสารเเบรนด์ในรูปแบบใหม่
โดยจะมุ่งเน้นไปยังการให้ ‘คำปรึกษา’ เเละนำเสนอโซลูชันการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประกันและการเงินอย่างโปร่งใส ในขณะเดียวกันยังแสดงออกถึงความใส่ใจทุกความต้องการของลูกค้า
ในส่วนของการออกเเบบโลโก้ใหม่นั้นที่เป็น ‘รูปหัวใจ’ นั้น ได้แรงบันดาลใจมาจากหูของมาสคอตกระต่าย รวมถึงการเปลี่ยนสีประจำองค์กรให้เป็น “Caring Blue” ที่สื่อถึงความสงบ และดูน่าเชื่อถือมากขึ้น ตลอดจนการเปลี่ยนสโลแกนของแบรนด์เป็น “ใช้ใจแคร์ ดูแลครบ” หรือ “Complete Care” ควบคู่ไปกับการนำเสนอมาสคอต “น้องแคร์” ในฐานะผู้จัดการความแคร์ สื่อให้เห็นถึงการดูแลและสนับสนุนลูกค้า
“เราอยากจะเป็นทางเลือกเเรกที่ให้คอยคำปรึกษา เมื่อผู้คนคิดจะซื้อประกันหรือผลิตภัณฑ์การเงินใดๆ สร้างความรู้เเละความเข้าใจ ให้สามารถตัดสินใจเลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด ในราคาที่ดีที่สุด”
สำหรับภาพรวมของตลาดประกันภัยทั่วโลก และในประเทศไทย ปี 2565 คาดว่าจะทยอยฟื้นตัวจากโควิด-19
โดยตลาดประกันภัยในไทย อยู่ในระดับที่ยังสามารถดำเนินการได้ดีเเละมีโอกาสขยายตัวได้สูง เนื่องจากสัดส่วนเบี้ยประกันรวมยังอยู่ที่ 5.3% ของ GDP ถือว่าต่ำกว่าตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อย่าง ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ เเละสิงคโปร์ ซึ่งมีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 20.8%, 17.4% , 11.6% เเละ 9.5% ของ GDP ตามลำดับ
แนวโน้มของตลาดในเชิงบวกนี้ สอดคล้องไปกับแนวโน้มพฤติกรรมการซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ของประชาชนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Rabbit Care คาดว่าการเติบโตของบริษัทในปีนี้ จะเเตะตัวเลข 2 หลัก ตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยเติบโตเเตะ 3 พันล้านบาท พร้อมตั้งเป้าหมายมีส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) เบี้ยประกันวินาศภัยในระดับ 5-10% ในช่วง 10 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันครองมาร์เก็ตแชร์เพียง 1% เพราะยังเป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีโอกาสเติบโตต่อไป
นอกจากนี้ ภายใน 18 เดือนข้างหน้า Rabbit Care มีเเผนจะขยายธุรกิจออกไปยังอาเซียนอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียด้วย
โดยในช่วงนี้จะมุ่งโฟกัสไปที่การสร้างเเพลตฟอร์มประกันเเละการเงินที่ครบวงจรให้เเข็งเกร่งก่อน ยังไม่ได้มองข้ามสเต็ปว่าจะขยายไปยังธุรกิจอื่น
กลุ่มลูกค้าหลัก Rabbit Care ส่วนใหญ่จะเป็นวัยทำงาน อายุ 30-50 ปีมีกำลังซื้ออาศัยในเมืองเเละเเถบชานเมืองซึ่งมักจะเป็นคนดูเเลการซื้อประกันให้คนในครอบครัว โดยบริษัทมีเเผนจะขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากขึ้นทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่เเละคนต่างจังหวัด
โจฮันเนส ฟริดริค วอน โรห์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แรบบิท แคร์ จำกัด เปิดเผยถึงกลยุทธ์ธุรกิจในปีนี้ ว่าจะเน้นตลาดออนไลน์ โดยได้พัฒนาระบบ ‘CareOS’ ด้วยงบประมาณหลายสิบล้านบาท เพื่อเสนอดีลประกันภัยในราคาที่ดีที่สุดภายในเวลาไม่ภายใน 30 วินาที เชื่อมต่ออัตโนมัติกับระบบของพันธมิตรกว่า 70 รายเเละพร้อมมองหาพันธมิตรใหม่ๆ
ช่วยให้ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบและซื้อประกันภัยและผลิตภัณฑ์ทางการเงินได้สะดวกสบาย ตรงกับความต้องการแบบเฉพาะบุคคลและประหยัดเวลา
นอกจากนี้จะมีเจ้าหน้าที่กว่า 300 คนให้คำปรึกษาผ่านการโทรและแชท ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ Care Emergency บริการช่วยเหลือเร่งด่วนสำหรับผู้ซื้อประกันรถยนต์ เเละ Health Caresultant บริการรับคำปรึกษาจากแพทย์สำหรับลูกค้าประกันสุขภาพ
Rabbit Care เตรียมจะขยายข้อเสนอผลิตภัณฑ์ในกลุ่มการ ‘ประกันภัยรถยนต์’ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น ตลอดจนการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพในราคาที่เข้าถึงได้ เเละวางแผนที่จะเปิดตัวแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำหรับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีความคุ้มครองทันทีภายในปีนี้
“พอร์ตการเติบโตหลักของเราในปีนี้ จะมาจากธุรกิจประกัยรถยนต์ ตามมาด้วยประกันสุขภาพและประกันชีวิต”
สำหรับการความท้าทายเเละการเเข่งขันในตลาด ผู้บริหาร Rabbit Care ยอมรับว่ามีการเเข่งขันสูงมากจึงต้องสร้างความเเตกต่างให้ได้เเละทำงานให้มีประสิทธิภาพ ทั้งการนำเสนอข้อมูลที่ครบถ้วนชัดเจนโปร่งใส ง่ายต่อการเปรียบเทียบ นำมาสู่การเเข่งขันด้านราคา บริการเเละคุณค่าที่ให้กับลูกค้า โดยเร็วๆ นี้จะเปิดตัวโปรดักต์ใหม่มาลองตลาดด้วย
ขณะที่ ชยพัทธ์ สกุลร่มโพธิ์ชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเชิงพาณิชย์ บริษัท แรบบิท แคร์ จำกัด กล่าวถึงกลยุทธ์การตลาดของ Rabbit Care ว่า จะมีการสื่อสารเเบบแบบครบวงจรบนแพลตฟอร์ม ‘ออมนิแชแนล’ ทั้งก่อนซื้อเเละดูเเลหลังการขายนำเสนอโปรโมชันต่างๆ ที่ดึงดูดใจ
อย่างในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ต้องทำให้ผลิตภัณฑ์ประกันภัยและการเงินเข้าถึงได้ง่ายขึ้น จึงได้จัดโปรโมชันด้วยข้อเสนอสุดคุ้ม ให้ลูกค้าได้ประหยัดสูงสุด 70% และ “ซื้อเลยจ่ายทีหลัง” กับโปรโมชัน ผ่อน 0% นาน 10 เดือนเป็นต้น
นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาครั้งแรก ซึ่งจะโปรโมตผ่านทางทีวี สื่อนอกบ้าน ทางวิทยุ และออนไลน์ โดยเนื้อเรื่องจะเป็นการยกตำแหน่งให้บุคคลที่คอยทำหน้าที่จัดการเรื่องการประกันภัยและการเงินให้คนในครอบครัว เป็นเหมือน Chief Family Officer หรือ CFO
สำหรับเเนวโน้มการบริหารความเสี่ยงของธุรกิจประกันในไทย เขามองว่า จากนี้จะมีการเปลี่ยนเเปลงพอสมควร หลังเจอกรณี ‘เจอ จ่าย จบ’ โดยเทรนด์ของธุรกิจประกันจะเน้นไปที่การรุกตลาดเรื่องรักษาพยาบาลมากขึ้น เเละประกันสุขภาพจะเป็นตัวชูโรงในตลาดไทย
]]>