องค์กรที่ลงทุนกับบริษัทเทคโนโลยีมากที่สุดในโลกอย่าง SoftBank Group กำลังจะเลย์ออฟพนักงานเร็วๆ นี้ แหล่งข่าววงในที่เกี่ยวข้องเปิดเผยกับสำนักข่าว Bloomberg ว่า บริษัทจะ “ปลดพนักงาน” อย่างน้อย 20% ของกองทุน Vision Fund หรือเท่ากับประมาณ 100 ตำแหน่ง จากพนักงานที่มีทั่วโลกราว 500 คน

คาดว่าผลกระทบหนักที่สุดจะเป็นหน่วยงานในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และจีน เนื่องจากเป็นหน่วยที่มีพนักงานจำนวนมากที่สุด โดยมีจำนวนพนักงาน 200 คน, 150 คน และ 50 คนตามลำดับ นอกจากนี้ Vision Fund ยังมีหน่วยงานในละตินอเมริกาด้วย

ก่อนหน้านี้ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา “มาซาโยชิ ซัน” ผู้ก่อตั้ง SoftBank กล่าวในที่สาธารณะอยู่แล้วว่าบริษัทมีแผนจะ “ลดต้นทุน” เนื่องจากบริษัทประสบผลขาดทุน 23,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมากที่สุดที่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท

ผลขาดทุนนี้เกิดขึ้นจากราคาหุ้นเทคโนโลยีในพอร์ตบริษัทที่ดิ่งลงอย่างหนัก โดยเฉพาะบริษัท 2 แห่ง คือ Coupang บริษัทอีคอมเมิร์ซในเกาหลีใต้ และบริษัท DoorDash เดลิเวอรีส่งอาหารในสหรัฐฯ อีกทั้งยังมีปัญหาเงินเยนอ่อนค่าที่ทำให้รายได้บริษัทสูญจากค่าเงินแลกเปลี่ยนอีกถึง 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

รายงานข่าวระบุว่าผู้บริหารยังถกเถียงกันอยู่ว่าควรจะปลดพนักงานมากน้อยแค่ไหน ผู้บริหารบางรายเสนอให้เลย์ออฟสูงสุดถึง 50% ของพนักงานทั้งหมด

“อย่างที่มาซาโยชิกล่าวไว้ในงานแถลงงบประมาณครั้งล่าสุด เรากำลังทบทวนเรื่องขนาดองค์กรและโครงสร้างบริษัท อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการตัดสินใจที่แน่ชัด” ตัวแทนบริษัทตอบอีเมลนักข่าวเกี่ยวกับประเด็นนี้

ซันกล่าวเมื่อเดือนก่อนว่าเขาจะทบทวน “ทุกอย่าง” ที่มีโอกาสลดต้นทุนได้ โดยจะ “ไม่มีการเชือดวัวบูชายัญ” เกิดขึ้น

“การขาดทุนครั้งนี้เป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัท และเราจะแก้ไขอย่างจริงจัง” ซันกล่าวในงานแถลงผลประกอบการ “เราจำเป็นต้องพึ่งพิงการตัดต้นทุนในกองทุน Vision Fund ซึ่งการตัดต้นทุนก็ต้องรวมไปถึงการลดจำนวนพนักงาน เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมตัดสินใจแล้วว่าจะทำ”

ขณะนี้ซันกำลังรอให้วัฏจักรขาลงของหุ้นเทคโนโลยีจบลงก่อน เพื่อเขาจะได้ผลักดันการเปิด IPO ของบริษัทที่มีศักยภาพได้ โดยเฉพาะบริษัท ‘Arm’ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ออกแบบเซมิคอนดักเตอร์ สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในอังกฤษ SoftBank เข้าซื้อบริษัทนี้มาในราคา 32,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และตั้งเป้าจะเข็น Arm เข้าตลาดได้ช่วงปีหน้า พร้อมตั้งความหวังเป็นบริษัทชิปที่จดทะเบียนเข้าตลาดด้วยมูลค่าที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

Source

ความสัมพันธ์ของ “มาซาโยชิ ซัน” ประธานเเละผู้ก่อตั้ง SoftBank กับ “เเจ็ค หม่า” นั้นถือว่าเเน่นเเฟ้นมาหลายสิบปี ด้วยการเป็นนายทุนใหญ่ที่ตัดสินใจลงทุนใน Alibaba เมื่อปี 2000 กลายเป็นหนึ่งในดีลที่ประสบความสำเร็จที่สุด
ในโลกธุรกิจ

โดยปัจจุบัน Alibaba เป็นหนึ่งในบริษัทรายใหญ่ ด้วยมูลค่าตลาด 5.46 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 17.5 ล้านล้านบาท) ซึ่งมี SoftBank ร่วมถือหุ้นอยู่ 25%

ก่อนหน้านี้ แจ็ค หม่า ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งในบอร์ดบริหารของ SoftBank Group เป็นระยะเวลา 13 ปีเต็ม
เเละกำลังจะพ้นตำเเหน่งอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.นี้เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทไม่ได้เปิดเผยสาเหตุการลาออกของเขา โดยปีที่ผ่านมาหม่าได้เกษียณตัวเองจากตำแหน่งประธานบริหารของ Alibaba เพื่อหันมาทำงานการกุศล

• “แจ็ค หม่า” มหาเศรษฐีรวยที่สุดในจีน 3 แสนล้านหยวน รายได้เฉลี่ย 9.13 ล้านหยวน/ชั่วโมง

ด้าน SoftBank ประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นดำรงตำแหน่งในบอร์ดบริหารของบริษัทเพิ่มอีก 3 คน
ได้เเก่ โยชิมิสึ โกโตะ รองประธานอาวุโสของบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน SoftBank,
ลิปปู-ตัน ซีอีโอของ Cadence Design Systems และผู้ก่อตั้งบริษัท Walden International และ
ยูโกะ คาวาโมโตะ อาจารย์จาก Waseda Business School

นอกจากนี้ SoftBank ยังได้ประกาศแผนซื้อหุ้นคืนอีก 5 แสนล้านเยน (4.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในเดือนมี.ค.ปีหน้า เพิ่มเติมจากแผนซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 4.1 หมื่นล้านเหรียญที่เคยประกาศไว้เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน SoftBank กำลังเผชิญภาวะขาดทุนครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของบริษัท สาเหตุหลักๆ มาจากการลงทุนอย่างหนักในธุรกิจสตาร์ทอัพทั่วโลก ซึ่งตอนนี้กำลังเดือดร้อนจากการเเพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 หนึ่งในนั้นคือ WeWork สตาร์ทดาวรุ่งผู้ให้บริการ Co-Working Space

ทั้งนี้ SoftBank Group เปิดเผยว่าบริษัทมียอดขาดทุนสุทธิในปีงบการเงิน 2019 อยู่ที่ 9.6158 แสนล้านเยน
(ราว 9 พันล้านเหรียญสหรัฐ) เป็นการขาดทุนครั้งแรกในรอบ 15 ปี สวนทางกับงบการเงินปี 2018 ที่บริษัทเคยมีกำไรสุทธิถึง 1.41 ล้านล้านเยน

ขณะที่บริษัทมียอดขาดทุนจากการดำเนินงานในปีงบการเงิน 2019 อยู่ที่ระดับ 1.36 ล้านล้านเยน ลดลงจากงบการเงินปี 2018 ที่บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน 2.07 ล้านล้านเยนจากยอดขาย 6.19 ล้านล้านเยน โดยทาง SoftBank Group ไม่ได้เปิดเผยการคาดการณ์ผลประกอบการในปี 2020 เนื่องจากความไม่แน่นอนของสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจ

ที่มา : softbank , asia.nikkei , kyodonews