Thematic Optimize – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 10 Oct 2021 09:31:31 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 รับมือตลาดการเงินโลกผันผวน ลงทุนเมกะเทรนด์อย่างไรให้พอร์ตปัง https://positioningmag.com/1355465 Sun, 10 Oct 2021 07:53:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1355465

เริ่มเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 กันแล้ว บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกตลอด 9 เดือน ตกอยู่ในความผันผวนสูง ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด COVID-19 ที่ไม่คลี่คลาย และประเด็นข้อถกเถียงจาก 2 ขั้วมหาอำนาจโลก สหรัฐฯ กับจีน ที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำเอาทั้งนักลงทุนทั่วโลกต่างหวาดหวั่นไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว กลัวจะเกิด Big Shock จนอยากร้องขอตัวช่วย จะทำอย่างไรให้พอร์ตลงทุนที่มีอยู่แข็งแกร่งและรอดได้

ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา นักลงทุนทั่วโลกเผชิญกับประเด็นร้อนที่ถาโถมเข้ามา ผมขอกล่าวถึงฝั่งโลกตะวันตกก่อนครับ

ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ล่าสุดมีมติคงดอกเบี้ยนโยบายในกรอบ 0-0.25% และวงเงินซื้อสินทรัพย์ผ่านมาตรการการเงินผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) คงไว้ระดับเดิม 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน

แต่ Fed มีแนวโน้มจะเริ่มลดวงเงินซื้อพันธบัตรผ่านมาตรการ QE หรือ QE Tapering ในเดือนพฤศจิกายนนี้ และจะสิ้นสุดในกลางปี 2565

Photo : Shutterstock

สิ่งที่อยู่เหนือคาดการณ์ของตลาด คือ ถ้อยแถลงหลังประชุม FOMC สะท้อนมุมมองเจ้าหน้าที่ Fed บางส่วนใน 18 รายว่า มีความเป็นไปได้ที่ Fed จะเริ่มขยับขึ้นดอกเบี้ยในปี 2565 เร็วกว่าครั้งก่อนที่ประเมินว่า จะเริ่มปี 2566 ภายใต้ตัวแปรการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐฯ จะมีความต่อเนื่องและเป็นไปในทิศทางที่ดี

Fed ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 4.2% ในปี 2564 และ 2.2% ในปี 2565 ส่วนคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (ไม่รวมราคาอาหารสดและพลังงาน) ขยับขึ้นมาที่ 3.7% และ 2.3% ตามลำดับ จากตัวเลขประมาณการใหม่ จะเห็นว่า ปี 2565 อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานขยับสูงไล่ตามอัตราเงินเฟ้อทั่วไป เป็นสัญญาณบ่งชี้ Fed จำเป็นต้องดูแลโจทย์เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ผ่านการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายนั่นเอง

ฝั่งธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่สัญญาณเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว จึงเตรียมถอนนโยบายการเงินผ่อนคลาย โดยจะลดวงเงินซื้อพันธบัตรภายใต้โครงการ Pandemic Emergency Purchase Programe (PEPP) จากวงเงิน 80,000 ล้านยูโร ในอีก 3 เดือนข้างหน้าหรือช่วงปลายปีนี้ และยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0%

เพราะฉะนั้น ในช่วงปลายปี 2564 สภาพคล่องทางการเงินของโลกจะเริ่มตึงตัวขึ้น จากการทำ QE Tapering ของฝั่งสหรัฐฯ และฝั่งยุโรป จะมีผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนทั่วโลก และการบริหารพอร์ตลงทุนอย่างแน่นอน

Photo : Sutterstock

มากันที่โลกตะวันออก ข่าวช็อกโลกมากสุดในรอบปี 2564 ต้องยกให้จีน มหาอำนาจใหญ่อันดับ 2 ของโลก ประเดิมต้นปี ทางการจีนเข้ามาคุมเข้มการผูกขาดตลาดของธุรกิจเทคโนโลยี ของบิ๊กเทคอย่าง Alibaba, Tencent และ Meituan

ตามมาด้วยธุรกิจ Tech Education การออกกฎหมายความปลอดภัยของข้อมูล (Data Security Law) และกฎหมายปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Information Protection Law – PIPL) และยังคุมธุรกิจอื่นๆ อีก เช่น เสริมความงาม และกาสิโน

ล่าสุด ก็มีประเด็นข่าวที่ทำเอานักลงทุนทั่วโลกอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน สะเทือนตลาดหุ้นตลาดเงินดิจิทัล

เมื่อปลายเดือนกันยายน ธนาคารกลางจีนได้ทลายเหมือง Bitcoin ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยประกาศเป็นทางการว่า การทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซี หรือสกุลเงินดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นสกุลใดที่ใช้ซื้อสินค้าและบริการถือว่า ผิดกฎหมาย

ด้วยเหตุผลว่า สกุลเงินดิจิทัลจะรบกวนต่อระบบการเงินของจีน และเป็นช่องทางฟอกเงินที่นำไปสู่อาชญากรรมทางการเงิน หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกตรวจสอบอย่างละเอียด

เหตุการณ์ทลายเหมือง Bitcoin เกิดขึ้น ไล่หลังกรณีบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่เบอร์ 2 ของจีน อย่าง China Evergrande ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง กำลังเผชิญหนี้สินมากกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งหนี้ของสถาบันการเงินและหนี้หุ้นกู้ของนักลงทุน และแนวโน้มจะผิดนัดชำระหนี้ และเป็น NPL ในภาคการเงินของจีน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 2% ของ GDP ประเทศเลยทีเดียว

ทั้ง 2 วิกฤตกดดันทั้งตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง ดัชนี CSI300 และ HSI ปรับตัวลดลง 3% ผลกระทบส่งถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ เกิดแรงเทขายกดดันดัชนี DJIA ลดลง 2.4%

ราคาหุ้นของ China Evergrande นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ปรับตัวลดลงมาเกือบเท่าตัวแล้ว หลังจากบริษัทประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักและขาดสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ และ S&P ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของ China Evergrande เหลือ CCC คือ มึความเสี่ยงสูงในการผิดนัดชำระหนี้

นักวิเคราะห์ตีความกันไปว่า หากทางการจีนปล่อยให้ China Evergrande ล้มละลาย จะเกิดวิกฤต Subprime ในฝั่งเอเชีย เทียบกับกรณีสหรัฐฯ เคยปล่อยให้ Lehman Brothers ล้มและตามมาด้วยวิกฤต Subprime เมื่อปี 2551

Photo : Shutterstock

สถานการณ์ล่าสุด ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้อัดฉีดสภาพคล่อง 90,000 ล้านหยวนเข้าสู่ระบบสถาบันการเงินผ่านสัญญากู้ยืมระยะสั้น (Repo) อายุ 7-14 วัน นับเป็นการอัดฉีดสภาพคล่องที่มีมูลค่าสูงสุด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเจ้าหนี้สถาบันการเงิน ผู้ถือหุ้นกู้ และภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง แรงงานและลูกค้าที่วางเงินดาวน์จองซื้อกว่า 1.5 ล้านราย

พร้อมกับออกมาตรการมาดูแลและสั่งทำแผนจัดการปัญหาหนี้ของบริษัท การประสานงานกับผู้ซื้อทรัพย์สินที่มีศักยภาพภายในเดือนกันยายน และข้อเสนอการเจรจากำหนดเวลาการชำระเงินกับธนาคารและเจ้าหนี้ต่างๆ ทั้งนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าสูงถึง 29% ของ GDP จีน

แพลตฟอร์มของ Jitta ได้วิเคราะห์หุ้น China Evergrande บริษัทนี้มีงบการเงินที่อ่อนแอหลายด้าน เช่น กำไรลดลง มูลหนี้สูง กระแสเงินสดใช้เวลาหมุนเวียนมากกว่า 1 ปี ธุรกิจขาดการเติบโต และการจ่ายปันผลน้อย

แม้ว่าราคาหุ้นปัจจุบัน จะอยู่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง แต่ก็ไม่ได้แปลว่างบการเงินจะดีเสมอไป และนี่เองที่ทำให้อัลกอริทึมของ Jitta ไม่จัด China Evergrande ติดอันดับสูงของ Jitta Ranking ฮ่องกง

หากถามผมว่า จากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ยังลงทุนในหุ้นได้หรือไม่ แน่นอนครับว่า ปัจจัยความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และเป็น Big Surprise ที่พร้อมจะปะทุในทุกมุมโลก แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาสลงทุน เพียงแต่ควรตั้งหลักก่อน ถึงจะมองให้เห็น

Photo : Shutterstock

ผมมองว่า ตลาดหุ้นในบางประเทศอาจจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากข่าวสารต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่หากดูเป็นธีมธุรกิจ จะพบว่าหลายธุรกิจที่อยู่ในเมกะเทรนด์ มีโอกาสเติบโตในระยะยาว ซึ่งธีมเมกะเทรนด์ที่ยังคงมาแรงทำรายได้และกำไรเติบโตได้ดีมาก เช่น คลาวด์ ฟินเทค เทคโนโลยี หรือ AI และหุ่นยนต์ เป็นต้น

ปัจจุบัน Thematic Investment หรือธีมการลงทุน โดยลงทุนผ่านสินทรัพย์อย่าง ETF (Exchange Traded Fund) ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากเน้นไปที่ธุรกิจที่เป็นเมกะเทรนด์ และมองข้ามช็อตที่การเติบโตในอีก 5-10 ปีข้างหน้า หรือนานกว่านั้น

ไม่เพียงเท่านั้น ธีมการลงทุนใหม่ๆ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด มีเป็น 10 เป็น 100 ธีมให้คุณได้ลงทุน พร้อมกระจายความเสี่ยงใน ETF ไม่ต้องอิงไปกับหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่ง

Photo : Shutterstock

อย่าง Jitta Wealth มีทางเลือกเป็นกองทุนส่วนบุคคล Thematic เช่นเดียวกัน โดยแบ่งเป็น Thematic DIY ที่ให้นักลงทุนเลือกธีมจัดพอร์ตเอง และ Thematic Optimize ที่ให้ AI ของทีมงานพัฒนาขึ้นมา เลือกธีมที่น่าลงทุนที่สุดให้ในช่วงเวลานั้น

หลักการลงทุนที่ดีและยั่งยืน คือ เมื่อคุณเชื่อมั่นในสินทรัพย์ที่เลือกลงทุน ไม่ว่าจะเป็น ETF ที่ตอบโจทย์ หรือหุ้นที่มีพื้นฐานดี คุณควรหมั่นเพิ่มทุน หรือ DCA (Dollar Cost Averaging) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเฉลี่ยต้นทุน และทำให้พอร์ตโดยรวมไม่ผันผวนมาก จากการลงทุนในแต่ละช่วงเวลา

นอกจากนี้ การรีวิวพอร์ตลงทุน เมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น รายไตรมาส ถือเป็นการสร้างวินัยการลงทุนที่ดี เพราะงบการเงินของแต่ละบริษัทจะอัปเดตทุกไตรมาส มีทั้งผลกระทบเชิงบวกและลบ เมื่องบการเงินออก ทั้งนี้ Jitta Wealth ได้พัฒนาระบบปรับพอร์ตอัตโนมัติ เพื่อรักษาสัดส่วนพอร์ตลงทุนให้เหมาะสม

เมื่อเราเลือกสินทรัพย์ที่ดี และหมั่นลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ให้ระบบได้ปรับพอร์ตลงทุน ให้เงินได้ทำงานสร้างผลตอบแทนที่ดี อย่างน้อยก็หมดห่วงเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนได้แล้วครับ

]]>
1355465
รู้จัก Thematic Optimize จัดพอร์ตธีมเมกะเทรนด์ด้วย AI จาก Jitta Wealth หนุนคนไทยกล้าลงทุนต่างประเทศ https://positioningmag.com/1353855 Thu, 30 Sep 2021 14:40:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1353855 การลงทุนเเบบ Thematic เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเหล่านักลงทุนเริ่มเกาะธีมธุรกิจที่เติบโตตามเมกะเทรนด์โลกเป็นโอกาสทองของสตาร์ทอัพไทยอย่าง Jitta Wealth ที่จะเข้ามาเสิร์ฟความต้องการนี้ 

ล่าสุดกับการเปิดตัว ‘Thematic Optimize’ ตัวช่วยบริหารพอร์ตด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดูเเลการลงทุนตามธีมธุรกิจต่างๆ ทั่วโลกที่กำลังเติบโตอยู่ ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีการศึกษาเกี่ยวกับการสร้างอัลกอริทึมเพื่อวิเคราะห์คริปโตเคอร์เรนซี เเละนโยบายปรับลดวงเงินซื้อขั้นต่ำ เพื่อขยายฐานลูกค้า

“เราคาดหวังจะนำเทคโนโลยีมาช่วยเหลือนักลงทุน โดยเฉพาะการทำให้นักลงทุนไทยกล้าที่จะไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น”

ปัจจุบันตลาดการลงทุนไทยในอุตสาหกรรมการบริหารการลงทุน มีเม็ดเงินลงทุนอยู่ประมาณ 6.6 ล้านล้านบาท มีผู้ลงทุนอยู่ประมาณ 7 ล้านบัญชีในประเทศไทย

เผ่าตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะเวลธ์ จำกัด เล่าว่า ในปัจจุบันการลงทุนในตลาดต่างประเทศ เริ่มมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เเต่นักลงทุนไทยจำนวนไม่น้อย ยังมีความลังเลเเละไม่เเน่ใจ จุดนี้จึงเป็นที่มาของการพัฒนา Thematic Optimize ขึ้นมาเป็น ‘ตัวช่วย’ เเละในอนาคตก็จะมีการเพิ่มธีมเมกะเทรนด์ใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ย้อนไปเมื่อปี 2562 Jitta Wealth (จิตตะเวลธ์) ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (...) ให้เป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จิตตะเวลธ์ จำกัด หรือ Wealth Tech รายแรกในไทย

เเละต่อมาในปี 2563 ได้เปิดให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้ทั่วโลกผ่านแพลตฟอร์ม Jitta Wealth โดยหลักการลงทุนใช้เทคโนโลยี AI จัดการทั้งหมด เเบ่งเป็น 3 โมเดลการลงทุนที่เจาะกลุ่มลูกค้าเเตกต่างกัน ได้เเก่

Global ETF – การลงทุนความเสี่ยงต่ำ เน้นการทำ Asset Allocation กระจายลงทุนทรัพย์สินทั่วโลก เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ, จีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, พันธบัตร, หุ้นกู้ วงเงินลงทุนขั้นต่ำ 1 แสนบาท 

Thematic – การลงทุนเสี่ยงปานกลาง เน้นธีมการลงทุนสอดรับเมะกะเทรนด์โลก มีให้เลือกทั้งหมด 16 ธีม ล่าสุดกับ Thematic Optimize ที่ใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์การเติบโตเเละความเสี่ยงของธีมเมกะเทรนด์ต่างๆ จากหุ้นกว่า 2,500 หุ้น คัดเลือกออกมาเป็น 4 ธีมที่น่าลงทุนที่สุดในตอนนั้น นำมาจัดพอร์ตในสัดส่วนอย่างละ 25%

“ยิ่งกระจายความเสี่ยงเยอะ ก็ยิ่งปลอดภัย เเต่ผลตอบเเทนจะน้อยลงไปด้วย เราจึงคิดว่าจำนวน 4 ธีมเหมาะสม”

โดย Thematic Optimize จะมีการปรับพอร์ตให้โดยอัตโนมัติทุก 3 เดือน วงเงินลงทุนขั้นต่ำ 1 แสนบาท มีค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ 0.5% ต่อปี

สำหรับผลตอบแทนย้อนหลัง ระบบดังกล่าวสามารถทำกำไรเฉลี่ยทบต้น 25.22% ต่อปี ชนะดัชนี MSCI World Index (Total Return) ที่มีผลตอบแทน 13.78% ต่อปี (ข้อมูล ณ 31 ส.ค. 64)

Jitta Ranking – การลงทุนความเสี่ยงสูง เเต่ผลตอบเเทนก็สูงตามไปด้วย โดยจะใช้ AI วิเคราะห์ตัวหุ้นดีราคาถูก จัดสรรหุ้นเข้ามาในพอร์ต และทำการปรับพอร์ตทุกๆ 3 เดือน วงเงินลงทุนขั้นต่ำ 5 แสนบาท จับกลุ่มลูกค้าผู้ลงทุนที่มีรายได้สูง

ทั้งนี้ Jitta Wealth ถือว่าเป็นบริษัทมีการบริหารกองทุนส่วนบุคคลมากที่สุดในประเทศไทยกว่า 30,160 กองทุน มีการเติบโตกว่า 1,400% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนฝั่งของแพลตฟอร์ม Jitta Stock Analysis ที่ครอบคลุมการวิเคราะห์หุ้นกว่า 95% ทั่วโลก ปัจจุบันมีผู้ใช้งานค้นหาข้อมูลจากกว่า 5 แสนราย เข้าดูข้อมูลมากกว่า 1.2 ล้านครั้งต่อเดือน

หุ้นจีโนมิกส์-พลังงานสะอาด มาเเรง 

ตราวุทธิ์ ให้ความเห็นว่า ในระยะสั้นของเเนวโน้มหุ้นไทย จะมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มที่จะกระเตื้องขึ้น หลังมีการเปิดเมืองมากขึ้น เเละหากกระจายวัคซีนได้ผลดีก็อาจจะมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ โดยกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวกับการเปิดเมือง ลงทุนก่อสร้างต่างๆ ที่เคยหยุดชะงักไป น่าจะกลับมาเติบโต

สำหรับหุ้นในต่างประเทศ ธีมที่มาเเรงก็ยังเกี่ยวข้องกับการเปิดเมืองเช่นเดียวกัน อย่างค้าปลีก ท่องเที่ยว ที่เห็นได้ชัดในสหรัฐอเมริกา เเละหุ้นเทคโนโลยีที่ขยายตัวต่อเนื่อง อย่าง คลาวด์คอมพิวติ้ง ฟินเทค อีคอมเมิร์ซ บล็อกเชน เซมิคอนดักเตอร์ เเละ Internet of Things (IoT) ฯลฯ

ธีมที่คาดว่าจะขยายตัวได้เร็วมากในช่วง 3 ปีข้างหน้าคือ กลุ่มธุรกิจจีโนมิกส์’ (Genomics) ที่ดิสรัปต์วงการสุขภาพ เเละกลุ่มพลังงานสะอาด โดยเฉพาะในจีน ที่ทั้งสองมีการเติบโตเฉลี่ยกว่า 3 ปีให้หลังกว่า 60% ต่อปี

นักลงทุนเเห่หา Thematic

กระแสการลงทุนในธุรกิจที่เป็นธีม โดยเฉพาะในกลุ่มเมกะเทรนด์โลก หรือ Thematic Investment อย่าง กลุ่มเทคโนโลยี หรือเทคโนโลยีทางการเงิน, ระบบคลาวด์, หุ้นยนต์ AI, เกมและอีสปอร์ต รวมถึงพลังงานสะอาด หรืออาจจะเป็นธีมที่ลงทุนในเทคโนโลยีของประเทศผู้นำในอุตสาหกรรม เช่น สหรัฐฯ หรือจีน ที่คาดว่าจะเติบโตมีมูลค่ามหาศาลในอนาคตนั้น ได้รับความนิยมจากนักลงทุนทั่วโลกอย่างมาก และกำลังกลายเป็นการลงทุนกระแสหลัก เนื่องจากการลงทุนดังกล่าว ตอบโจทย์ภาวะเศรษฐกิจของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

“การลงทุนแบบ Thematic จะเน้นการลงทุนในกลุ่มธุรกิจผ่าน ETF (Exchange Traded Fund) เพื่อกระจายการลงทุนไปยังหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธีมหรือเมกะเทรนด์นั้นๆ” 

จากรายงาน “Global ETF Investor Survey” ประจำปี 2564 ของ Brown Brothers Harriman & Co. เผยผลสำรวจของนักลงทุนที่ลงทุนใน ETF ทั่วโลก ชี้ให้เห็นว่า 80% ของนักลงทุนวางแผนจะเพิ่มการจัดสรรเงินลงทุนไปยังกองทุน ETF แบบ Thematic มากขึ้น

สอดคล้องกับรายงานของ มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) ณ เดือน มิ.ย. 64 ที่ระบุว่า มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้กองทุน ETF ทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว โดยมีมูลค่าสินทรัพย์ดังกล่าวกว่า 5.9 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยที่สัดส่วนกว่า 51% ของกองทุนเหล่านี้อยู่ในยุโรป และสหรัฐฯ 

“สำหรับ Thematic Optimize ต้องรอดูว่าหลังเปิดตัวไปจนถึงสิ้นปีนี้ มีเเนวโน้มอย่างไรบ้าง เเละจะทำให้เราตั้งเป้าหมายของปีหน้าได้ เเต่เมื่อดูจากสถิติการลงทุนใน Thematic ของคนไทยที่ผ่านมา ก็คาดว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีมากๆ จากนักลงทุน” 

เดินหน้าปรับลดเงินลงทุนขั้นต่ำ

นอกจากนี้ Thematic Optimize จะมีโอกาสจะปรับลงเงินลงทุนขั้นต่ำลงจากเดิมที่ 1 เเสนบาท เพื่อให้เข้าถึงฐานลูกค้าได้มากขึ้น หากย้อนกลับไปจะเห็นว่า สมัยก่อนกองทุนส่วนบุคคล จะต้องมีเงินลงทุนเริ่มต้น 10 ล้านบาทขึ้นไป เเต่ Jitta Wealth เปิดตัวเเรกๆ มาด้วย การลดวงเงินลงทุนให้เริ่มต้น 1 ล้านบาท และก็เหลืออยู่ที่ 1 แสนบาทในตอนนี้

ในอนาคตแน่นอนว่าเราจะลงวงเงินลงทุนซื้อขั้นต่ำให้ลงมาได้อีกหลังจากมี Economy of Scale มากขึ้น และหารือร่วมกับพันธมิตรต่างๆ อย่าง Custodian หรือโบรกเกอร์ต่างๆ ที่ต้องให้ทุกฝ่ายเห็นตรงกัน เชื่อว่าในเร็วๆ นี้จะมีข่าวดีออกมา เพื่อให้การลงลงทุนที่ดีเข้าถึงทุกคนได้

เตรียมสร้างอัลกอริทึม วิเคราะห์ ‘คริปโตฯ’ 

เมื่อถามว่า ในอนาคตมีเเผนการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ อย่างคริปโตเคอร์เรนซีหรือสกุลเงินดิจิทัลที่กำลังเป็นกระเเสอยู่ตอนนี้หรือไม่นั้น

ซีอีโอ Jitta Wealth ตอบว่า มีความเป็นไปได้ หลังจากรับฟังความเห็นจากลูกค้าอยู่เสมอ นักลงทุนหลายคนเริ่มมีฟีดเเบ็กมาว่า อยากลงทุนในคริปโตฯ จะช่วยได้อย่างไรบ้าง เราก็คิดว่า มีอยู่ 2 ทางเลือกคือ

1) รอทางก...ของสหรัฐฯ อนุมัติ ETF ที่ลงทุนในคริปโตฯ ก่อน บริษัทก็จะสามารถนำ ETF Crypto มาเป็นส่วนหนึ่งของ Thematic ให้ลงทุนกันได้

2) Jitta จะสร้างอัลกอริทึมเพื่อไปวิเคราะห์ Crypto และอาจจะนำมาจัดเป็น Jitta Ranking Crypto ได้ผ่านโจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้คำนวณคุณภาพและมูลค่าได้ดีที่สุดและสร้างพอร์ตให้นักลงทุนได้เลย

แต่อย่างไรก็ตาม ต้องมีคำเตือนว่าเการลงทุนคริปโตฯ ยังใหม่มากเเละมีความเสี่ยงสูง ดังนั้นการวิเคราะห์ต่างๆ จะไม่เหมือนหุ้น หรือพันธบัตรต่างๆ ที่มี Historical Data ให้สามารถนำมาคำนวณได้

คริปโตฯ ยังมีความเสี่ยง โดยเฉพาะ Unknown Factor ที่ไม่รู้ในอนาคตอีกมาก อย่างการเข้ามาควบคุมกำกับจากรัฐบาลต่างๆ เเต่ก็มีความเป็นไปได้

สิ่งสำคัญของการลงทุน คือความเข้าใจ

กลยุทธ์หลักๆ ที่ Jitta Wealth นำมาใช้เพื่อเพิ่มผู้ใช้เเพลตฟอร์มคือการให้ความรู้เพราะเราเชื่อว่าสิ่งสำคัญของการลงทุน คือความเข้าใจ ดังนั้นต้องมีการสื่อสารผ่านสื่อต่างๆ เป็น educational channel ช่องทางต่างๆ เช่น หลักการลงทุนระยะยาว ดอกเบี้ยทบต้น การกระจายความเสี่ยง การวิเคราะห์หุ้น การเลือกธีมต่างๆ เป็นต้น

“เราเชื่อว่าถ้านักลงทุนเข้าใจ พวกเขาก็จะสามารถลงทุนกับเราได้อย่างสบายใจ ถือครองการลงทุนที่ผ่านทุกข์ ผ่านหนาว ผ่านหุ้นขึ้นหุ้นลงได้ ซึ่งระยะยาวจะนำไปสู่การมีผลตอบเเทนที่ดี ผู้ลงทุนก็จะเป็นคนเเนะนำคนรอบข้างถึงบริการของ Jitta Wealth เอง

ด้านพฤติกรรมของนักลงทุนไทยในช่วงโควิด ก็มีการเปลี่ยนเเปลงไปพอสมควร โดยในภาพรวม เขามองว่าผู้คนได้เรียนรู้มากขึ้นในช่วงโควิด เเม้จะมีคนจำนวนมากที่เลือกเพิ่มการลงทุนช่วงวิกฤต เเต่คนบางกลุ่มก็รู้สึกไม่กล้าลงทุนเเละหวั่นวิตก

“สุดท้ายสิ่งสำคัญที่สุดในการการลงทุนคือความเข้าใจ ความหนักเเน่นเเละวินัยในการลงทุน ผมเชื่อว่าใครก็ตามที่ลงทุนเเล้วผ่านโควิดปีที่เเล้วมาได้ เขาจะมีความรู้เเละความเข้าใจ ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น มีเเนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาวมากขึ้น”

ขณะเดียวกัน วิกฤตโควิดก็ทำให้นักลงทุนไทยทั้งหลาย ตระหนักว่า ควรจะเริ่มกระจายความเสี่ยงไปลงทุนให้หุ้นต่างประเทศบ้าง เพราะธุรกิจในประเทศ อาจจะไม่พร้อมรับวิกฤตใหม่ๆ หรืออะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นมาอีกในอนาคต

ในอีก 3 ปีข้างหน้า เราตั้งเป้าจะช่วยคนไทยไปลงทุนในต่างประเทศให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ทำให้ตลาดนี้คึกคักขึ้น รวมถึงให้ความรู้เพื่อสร้างความเข้าใจกับนักลงทุนเเละผู้คนทั่วไปที่ยังไม่ได้เข้ามาในตลาด

 

 

]]>
1353855