US – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 15 Jan 2024 00:52:15 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 นักลงทุนสหรัฐฯ อัดฉีดเงินเข้าสตาร์ทอัพลดลงเกือบ 30% ในปี 2023 แม้ AI จะเป็นกลุ่มดึงดูดเม็ดเงินก็ตาม https://positioningmag.com/1458718 Sun, 14 Jan 2024 16:47:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458718 ปี 2023 นั้นอาจเป็นปีที่ไม่ค่อยดีมากนักสำหรับสตาร์ทอัพ เนื่องจากนักลงทุนสหรัฐฯ อัดฉีดเงินเข้าสตาร์ทอัพลดลงเกือบ 30% สาเหตุสำคัญคือต้นทุนทางการเงินจากการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา แม้ว่าในปีที่ผ่านมาเทคโนโลยี AI จะเป็นกลุ่มที่ดึงดูดเม็ดเงินก็ตาม

สำนักข่าว Reuters ได้รายงานข่าว โดยอ้างอิงรายงานข้อมูลจาก PitchBook ว่า เม็ดเงินของนักลงทุนในสหรัฐอเมริกาที่อัดฉีดเข้าไปยังสตาร์ทอัพในปี 2023 นั้นลดลงมากถึงเกือบ 30% เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีที่น่าสนใจอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังได้รับความสนใจก็ตาม

เม็ดเงินลงทุนในสตาร์ทอัพที่นักลงทุนสหรัฐฯ ได้ใส่เงินลงไปในปี 2023 อยู่ที่ 170,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 242,00 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ในปี 2021 นั้นอยู่ที่ 348,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ข้อมูลจาก PitchBook ยังชี้ว่าในปี 2023 นั้นบริษัทร่วมลงทุน (VC) ได้มีการระดมทุนมากถึง 67,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งลดลงจากปี 2022 ถึง 60% ซึ่งเม็ดเงินระดมทุนดังกล่าวถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เม็ดเงินลงทุนนั้นลดลงอย่างรวดเร็วคือต้นทุนการเงินของสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มสูงขึ้นจากการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้อัตราดอกเบี้ยนั้นสูงเกิน 5%

ผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่สูงในสหรัฐอเมริกาไม่ใช่แค่ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสตาร์ทอัพลดลงเท่านั้น แต่ยังทำให้หลายสตาร์ทอัพต้องปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ธุรกิจสามารถเลี้ยงตัวเองได้ หรือแม้แต่มาตรการอย่างการปลดพนักงาน

อย่างไรก็ดีในปี 2023 นั้นเทคโนโลยีที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือ AI ซึ่งเป็นผลจากความโด่งดังของเจ้าของ ChatGPT อย่าง OpenAI เป็นผลทำให้เม็ดเงินนั้นยังเข้ามาลงทุนในสตาร์ทอัพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดังกล่าว โดยรายงานของ PitchBook ชี้ว่า 1 ใน 3 ของสตาร์ทอัพเหล่านี้นักลงทุนในสหรัฐอเมริกาได้หว่านเม็ดเงินลงทุนลงไปด้วย

โดยดีลที่ใหญ่ที่สุดในปี 2023 ของสตาร์ทอัพเกิดขึ้นกับบริษัทด้าน AI อย่าง OpenAI และ Anthropic ซึ่งเม็ดเงินที่ลงทุนใน 2 บริษัทดังกล่าวนี้คิดเป็น 10% ของการลงทุนรวมในสตาร์ทอัพของนักลงทุน

]]>
1458718
Citi ประกาศปลดพนักงานกว่า 20,000 ราย หลังผลประกอบการออกมาแย่สุดในรอบ 15 ปี https://positioningmag.com/1458707 Sun, 14 Jan 2024 09:06:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458707 ซิตี้ (Citi) สถาบันการเงินรายใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศปลดพนักงานจำนวน 20,000 ราย หรือคิดเป็น 10% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด ซึ่งแผนการดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในปี 2026 หลังจากที่ผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดออกมาย่ำแย่สุดในรอบ 15 ปี 

Citi สถาบันการเงินรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ประกาศปลดพนักงานจำนวน 20,000 ราย หรือคิดเป็น 10% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด และการปลดพนักงานครั้งนี้จะช่วยทำให้บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องได้มากถึง 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐในระยะยาว

แผนการปลดพนักงานของ Citi จำนวน 20,000 ราย ตามหลังมาจากกระบวนการปรับโครงสร้างในรอบ 20 ปี โดยมีการทยอยปลดผู้บริหาร เพื่อลดความซับซ้อนขององค์กร และยังรวมถึงแผนล่าสุดในการนำธุรกิจในประเทศเม็กซิโกเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ จะทำให้พนักงานนั้นลดลงอีก 40,000 คน ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินรายนี้จะมีพนักงานเหลือ 180,000 ราย โดยแผนการดังกล่าวนี้จะแล้วเสร็จภายในปี 2026

ตัวแทนของ Citi ได้กล่าวกับ CNN ว่า แผนการปลดพนักงานนั้นเกิดขึ้นกับธุรกิจของ Citi ที่มีอยู่ทั่วโลก แต่ปฏิเสธที่จะแจกแจงตัวเลขตามทวีปต่างๆ ซึ่งสถาบันการเงินรายดังกล่าวจะมีค่าใช้จ่าย 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเกิดจากกระบวนการปลดพนักงานในช่วง 2 ปีหลังจากนี้

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Citi ต้องออกมาปลดพนักงานชุดใหญ่ เนื่องจากผลประกอบการของสถาบันการเงินรายนี้ในไตรมาส 4 ของปี 2023 ขาดทุนถึง 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการตั้งสำรองในส่วนต่างๆ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวยังเป็นผลประกอบการที่แย่สุดในรอบ 15 ปีของสถาบันการเงินรายนี้

Jane Fraser ซึ่งเป็น CEO ของ Citi ได้ออกมากล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 4 ถือว่า “ผิดหวังมากที่สุด”

ในช่วงที่ผ่านมา CEO หญิงของ Citi พยายามแก้ไขปัญหาด้านกฎระเบียบที่หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐอเมริกาได้สั่งให้สถาบันการเงินรายนี้ต้องแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดการด้านความเสี่ยง การจัดการด้านข้อมูล ไปจนถึงการควบคุมภายในสถาบันการเงิน

ไม่เพียงแค่การแก้ปัญหาภายในองค์กรเท่านั้น แต่ราคาหุ้นของ Citi เมื่อเทียบกับสถาบันการเงินรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ราคาหุ้นของ Citi ได้ปรับตัวลดลงสวนทางกับคู่แข่งรายอื่นที่มีราคาหุ้นเพิ่มขึ้น ทำให้ CEO รายดังกล่าวต้องสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนด้วย

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ CEO ของ Citi ต้องปรับโครงสร้างไม่ใช่แค่การปลดพนักงานเท่านั้น แต่ยังมีการขายธุรกิจในต่างประเทศออกไปเพื่อลดความเสี่ยง หรือแม้แต่การฟื้นฟูงบการเงินซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินรายใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐฯ กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง

ที่มา – CBS News, CNN, Yahoo Finance

]]>
1458707
ชาวไต้หวัน เเห่ไปฉีด ‘วัคซีนโควิด’ ที่อเมริกา สายการบินปรับเพิ่มเที่ยวบิน รับดีมานด์พุ่ง https://positioningmag.com/1335479 Fri, 04 Jun 2021 15:47:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1335479 ชาวไต้หวันจำนวนไม่น้อย ตัดสินใจเดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อฉีดวัคซีนโควิด-19’ หลังเจอปัญหาขาดแคลนวัคซีน เเละการระบาดระลอกใหม่ที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มต่อเนื่อง บรรดาสายการบินเตรียมเพิ่มเที่ยวบินรับดีมานด์ที่สูงขึ้น

เจ้าหน้าที่สายการบิน ระบุว่า ขณะนี้ความต้องการเดินทางไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีชาวไต้หวันบางส่วนจองตั๋วในเเพ็กเกจทัวร์วัคซีนไปตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพ..ที่ผ่านมา 

ผู้โดยสารหลายรายยอมจ่ายเงินกว่า 7.5 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ราว 8.4 ล้านบาท) ต่อคน เพื่อเช่าเครื่องบินเหมาลำไปสหรัฐฯ ซึ่งถูกจองจนเต็มไปถึงปลายเดือนก..แล้ว

บรรยากาศในสนามบินนานาชาติเถาหยวน กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังไร้วี่แววนักเดินทางมานานกว่า 1 ปี 6 เดือน เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (2 มิ..) มีนักเดินทางกว่า 2,700 คนเข้าใช้บริการสนามบิน ในจำนวนนี้กว่า 1,000 ราย วางแผนมุ่งหน้าไปที่เมืองลอสแอนเจลิส ซานฟรานซิสโก ซีแอตเทิล และนิวยอร์กของสหรัฐฯ เพื่อรับวัคซีนโควิด-19 และจะพักอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างน้อย 1-2 เดือน

ความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ ทำให้ EVA Air และ China Airlines ซึ่งเป็นสายการบินหลักของไต้หวันประกาศเพิ่มเที่ยวบินไปยังอเมริกา

โดย EVA Air วางเเผนเพิ่มเที่ยวบินไปยังลอสแอนเจลิสเป็นบินทุกวันจากเดิมที่สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป ส่วน China Airlines วางแผนที่จะใช้เครื่องบินขนาดใหญ่ขึ้นให้เพียงพอกับความต้องการเเละเพิ่มความสะดวกสบายให้นักเดินทาง

ก่อนวิกฤตโรคระบาด ราคาตั๋วที่นั่งชั้นประหยัดของ EVA Air เที่ยวบินปกลับไทเปลอสแอนเจลิส ช่วงที่ไม่ใช่ไฮซีซั่น มีราคาเพียง 2 หมื่นดอลลาร์ไต้หวัน (ราว 2.25 หมื่นบาท) เท่านั้น เเต่ตอนนี้ราคากลับพุ่งไปถึง 7 หมื่นดอลลาร์ไต้หวัน (ราว 7.8 หมื่นบาท) เเล้ว

ดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น มีความเกี่ยวข้องกับยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในไต้หวันที่พุ่งสูงขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะยอดผู้เสียชีวิตสะสมที่พุ่งตามไปด้วย” Philip Wang พนักงานของบริษัทนำเที่ยวแห่งหนึ่งในไทเปกล่าว

นับตั้งแต่วันที่ 25 เม.. เป็นต้นมา ไต้หวันพบผู้ติดเชื้อในท้องถิ่นมากกว่า 8,000 ราย และมียอดเสียชีวิตนับร้อยคน

Wang เล่าว่า ชาวไต้หวันโพ้นทะเล (ปัจจุบันเป็นพลเมืองอเมริกัน) ที่กลับบ้านเกิดเพื่อหนีโรคระบาดในสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้วตอนนี้กำลังพากันเดินทางกลับไปสหรัฐฯ เพื่อหนีการแพร่ระบาดในไต้หวันหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดเลวร้ายลง

ปัจจุบันมีชาวไต้หวันเพียง 3% จากทั้งหมดกว่า 23.5 ล้านคนของเกาะที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 แล้ว 

ทางการไต้หวัน ได้รับมอบวัคซีนมาแล้ว 870,000 โดส โดย 720,000 โดส ได้รับจาก AstraZeneca ขณะที่อีก 150,000 เป็นวัคซีนต้านโควิด-19 จาก Moderna เเละมีการสั่งซื้อวัคซีนจำนวน 10 ล้านโดสจาก AstraZeneca อีก 5 ล้านโดสจาก Moderna และอีก 4.7 ล้านโดสที่จะได้รับผ่านโครงการ Covax

นอกจากนี้ ยังมีการสั่งซื้อวัคซีนที่ผลิตเองในไต้หวันจากบริษัท Medigen Vaccine Biologics และ United Biomedical อย่างละ 5 ล้านโดส อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง เนื่องจากวัคซีนดังกล่าว ยังอยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิก

ชาวไต้หวันบางคนบอกกับ TVBS ว่า พวกเขากำลังจะเดินทางไปสหรัฐฯ เพราะที่นั่นมีมีวัคซีนที่ดีกว่าเเละเข้าถึงได้ง่ายกว่า เนื่องจากไต้หวันวางเเผนว่าจะฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์แถวหน้าก่อนเป็นลำดับแรก

ทั้งนี้ รัฐบาลไต้หวันประกาศว่า กระทรวงสาธารณสุขจะได้รับงบประมาณเพิ่มเติมอีก 7.92 หมื่นล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ราว 8.9 หมื่นล้านบาท) สำหรับสู้กับโรคระบาด รวมทั้งการจัดซื้อวัคซีน โดยงบประมาณก้อนใหม่นี้ เป็นงบเพิ่มเติมจากที่เคยอนุมัติไปก่อนหน้านี้ 4.2 เเสนล้านดอลลาร์ไต้หวัน ซึ่งจะใช้ได้จนถึง 30 มิ..ปีหน้า

 

 

ที่มา : SCMP , taiwannews 

]]>
1335479
ธนาคารใหญ่ในสหรัฐฯ เตรียมอัดโปร ‘บัตรเครดิต’ กระตุ้นใช้จ่าย ปั๊มรายได้ช่วงเศรษฐกิจฟื้น https://positioningmag.com/1333830 Tue, 25 May 2021 15:13:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1333830 บรรดาธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ วางเเผนการตลาดใหม่ ทุ่มออกโปรโมชันบัตรเครดิตเพื่อขยายหาฐานลูกค้า กระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค รับเศรษฐกิจฟื้นตัว ต่างจากปีที่เเล้วที่ระวังความเสี่ยงจนถึงขั้นดึงวงเงินสินเชื่อกลับคืน

Andrew Davidson นักวิเคราะห์จาก Mintel Comperemedia มองว่า สถาบันการเงินอย่าง Capital One , Citigroup และ JPMorgan มีเเผนจะอัดโปรโมชันบัตรเครดิตอย่างหนัก เพื่อหาลูกค้าใหม่เเละสนับสนุนให้ลูกค้าเก่าใช้จ่ายมากขึ้น เป็นกลยุทธ์การเพิ่มรายได้ในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัว หลังการฉีดวัคซีนได้ผลดี

ดยจะเน้นไปที่การทำตลาดดิจิทัล โปรโมตเเคมเปญโฆษณาเเละข้อเสนอต่างๆ ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook , Instagram , Youtube และ Podcast เพื่อดึงดูดให้ประชาชนหันมาใช้บริการบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นในปีนี้

ธนาคารใหญ่กำลังรอจังหวะการฟื้นตัวหลังโรคระบาด เพื่อทำรายได้ชดเชยส่วนที่หายไปในปีที่เเล้ว

โดยคาดว่า เเบงก์ต่างๆ จะเริ่มผ่อนคลายมาตรการการให้สินเชื่อมากขึ้น ซึ่งเป็นท่าทีที่เเตกต่างจากช่วงปีที่ผ่านมา ที่ธนาคารส่วนใหญ่ตัดสินใจชะลอข้อเสนอบัตรเครดิต เเละดึงวงเงินสินเชื่อกลับคืน เพราะมีความกังวลเรื่องความเสี่ยงการผิดชำระหนี้ หลังอัตราว่างงานในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ จากผลกระทบของโควิด-19

อย่างไรก็ตาม ด้วยมาตรการเยียวยาจากรัฐบาล ที่ให้เงินช่วยเหลือคนว่างงาน เเละปล่อยเงินกู้ให้เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ทำให้ชาวอเมริกันที่พึ่งพาการใช้บัตรเครดิต สามารถชำระหนี้ได้เเละยังมีการใช้จ่าย บางรายชำระยอดคงเหลือด้วย

โดยรวมเเล้ว ธุรกิจบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ยังคงทำกำไรได้ แต่มีรายได้ลดลง

จากข้อมูลของธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขานิวยอร์ก ระบุว่า ยอดเงินคงเหลือบัตรเครดิต (Card Balances) ของธนาคารในสหรัฐฯ ในปี 2020 ลดลง 14% ในช่วงการเเพร่ระบาด ขณะที่บัญชีที่มียอดหมุนเวียน (Revolving Balances) อยู่ที่ระดับ 39.7% ลดลงจากปี 2019 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 44.1%

ทั้งนี้ เฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยโดยเฉลี่ยของบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ที่ 16% สูงสุดที่ 25% (อ้างอิงจาก CreditCards)

แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เห็นได้ชัดเมื่อสถานการณ์โรคระบาดเริ่มคลี่คลายลง หลังการกระจายวัคซีนทั่วถึง ผู้คนกลับมารับประทานอาหารในร้าน ข้อจำกัดการเดินทางถูกยกเลิก มีการจัดคอนเสิร์ต สำนักงานใหญ่ๆ เริ่มกลับมาเปิดทำการ เป็นสัญญาณที่ดีต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคเเละโอกาสที่จะปล่อยสินเชื่อ

 

 

ที่มา : Reuters

]]>
1333830
รัฐโอไฮโอ เล่นใหญ่จูงใจฉีดวัคซีน จัด ‘Vaccine Lottery’ สุ่มเเจกเงินคนละ 31 ล้านบาท-ทุนเรียนฟรี https://positioningmag.com/1331929 Thu, 13 May 2021 07:31:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1331929 สหรัฐฯ งัดสารพัดวิธีจูงใจให้ประชาชนมาฉีดวัคซีนโควิด-19 ล่าสุดรัฐโอไฮโอ เล่นใหญ่ด้วยกลยุทธ์ ‘vaccine lottery’ สุ่มเเจกเงินรางวัลคนละ 1 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 31 ล้านบาท พร้อมมอบทุนการศึกษาเรียนมหาวิทยาลัย 4 ปีเต็มให้เยาวชน

Mike DeWine ผู้ว่าการรัฐโอไฮโอ ประกาศว่าจะมีการจับสลากเเจกเงินรางวัลคนละ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 5 รางวัลให้กับผู้โชคดีชาวโอไฮโอวัยผู้ใหญ่ ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อย 1 เข็ม นับเป็นแรงจูงใจทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดที่รัฐเคยประกาศมา

สำหรับกลุ่มเยาวชนที่อายุไม่เกิน 17 ปี ทางการก็มีรางวัลให้เช่นกัน โดยจะมีการมอบทุนการศึกษา 4 ปีเต็มจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอ ‘จำนวน 5 รางวัล’ ครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาทั้งหมดอย่างค่าเล่าเรียนค่าครองชีพที่พัก ฯลฯ

โดยทางการจะมีการแจกเงินรางวัลล้านแรกในวันที่ 26 ..นี้ จากนั้นจะประกาศรางวัลสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เรื่อยไปจนครบ 5 รางวัล ซึ่งเงินรางวัลเหล่านี้ เป็นงบประมาณที่จัดสรรมาจากเงินกองทุนบรรเทาทุกข์โควิด-19 ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ

หลายคนคงบอกว่าผมบ้าไปแล้ว เเละมองว่าไอเดียเเจกเงินหลายล้านดอลลาร์นั้นสิ้นเปลืองเปล่าๆ เเต่เเท้จริงเเล้ว สิ่งที่ไม่ควรสูญเสียที่สุด คือคนที่ต้องเสียชีวิตจากโควิด-19”

ขณะนี้ประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปที่อยู่อาศัยในรัฐโอไฮโอ ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็มไปเเล้วประมาณ 4.8 ล้านคนหรือราว 53.4% ​​

ที่ผ่านมา รัฐบาลกลางสหรัฐฯ หาวิธีดึงดูดใจให้คนไป ‘ฉีดวัคซีนโควิด-19’ โดยผุดโครงการ ‘ลดหย่อนภาษี’ ให้ผู้ประกอบการที่อนุญาตลูกจ้าง ‘ลาหยุดไปรับวัคซีน กระตุ้นเอกชนมีส่วนร่วมในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เร็วที่สุด หลังมีคนอเมริกันกว่า 15-20% ลังเลไม่อยากฉีด 

โดยธุรกิจขนาดเล็กกลาง และองค์กรไม่แสวงหากำไร ที่มีพนักงานน้อยกว่า 500 ราย จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายมากสุดถึง 511 ดอลลาร์สหรัฐต่อวันต่อคน ระยะเวลามากสุดถึง 10 วัน หรือ 80 ชั่วโมงทำการงาน ในระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 30 กันยายน 2021

ทั้งนี้ ธุรกิจที่มีพนักงานน้อยกว่า 500 รายนั้น นับเป็นกว่า 50% ของภาคเอกชนในสหรัฐฯ โดยโครงการลดหย่อนภาษีนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งประธานาธิบดีไบเดนเซ็นรับรองเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ส่วนในภาคเอกชนนั้น ตามเมืองต่างๆ ก็จูงใจให้ประชาชนฉีดวัคซีนด้วยของรางวัล ไม่ว่าจะเป็นเบียร์, พิซซ่า, ตั๋วรถไฟ บางรัฐก็เเจกพันธบัตรออมทรัพย์มูลค่า 100 ดอลลาร์

จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมเเละป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) รายงานว่าในเดือนที่ผ่านมา อัตราการฉีดวัคซีนทั่วประเทศ เฉลี่ย 3 ล้านครั้งต่อวัน เเต่เดือนนี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เหลือไม่ถึง 2 ล้านครั้งต่อวัน แม้ว่าประชาชนวัยผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ ทุกคนจะมีสิทธิ์ได้รับวัคซีนเเล้วก็ตาม

 

ที่มา : ABC , NBC 

]]>
1331929
คำสัญญาเเละนโยบายของ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ทิศทางใหม่อเมริกา https://positioningmag.com/1305031 Sun, 08 Nov 2020 05:28:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1305031 โจ ไบเดนจากพรรคเดโมแครต เตรียมขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 หลังเฉือนเอาชนะโดนัลด์ ทรัมป์ได้สำเร็จ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดของสหรัฐฯ คือ 78 ปี

โดยชัยชนะของไบเดน ส่งผลให้คามาลา แฮร์ริส’ (Kamala Harris) สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ วัย 56 ปีจากรัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้เป็น Running Mate ของไบเดน จะได้เป็นผู้หญิงคนแรก คนผิวสีคนแรก และคนเชื้อสายเอเชียคนแรก (แม่ของเธอเป็นชาวอินเดีย พ่อเป็นคนจาเมกา) ที่ได้นั่งเก้าอี้ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ

หลังจากที่ทราบผลชนะการเลือกตั้งในรัฐเพนซิลเวเนีย ที่เป็นรัฐสวิงเตทสำคัญ ทำให้เขามีคะเเนนคณะผู้เลือกตั้งเกินครึ่งที่ 270 ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ทวิตข้อความว่า

งานต่างๆ ที่รอเราอยู่ข้างหน้า อาจเป็นงานที่ยาก แต่ผมให้คำมั่นกับคุณตรงนี้ว่าผมจะเป็นประธานาธิบดีของชาวอเมริกันทุกคน ไม่ว่าคุณจะโหวตให้ผมหรือไม่ก็ตาม…ผมจะเก็บรักษาศรัทธาที่คุณมีให้กับผม

Photo : twitter @JoeBiden

จากนั้นไบเดนเเละเเฮร์ริส ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ ระบุว่า นี่คือเวลาแห่งการสมานแผล การเลือกตั้งจบลงแล้ว งานของเราคือการเดินหน้าด้วยการทำดีต่อกัน ด้วยความยุติธรรม และยึดถือหลักวิทยาศาสตร์ พร้อมด้วยพลังแห่งความหวัง”

คามาลา แฮร์ริส ได้กล่าวยกย่องผู้หญิงหลากหลายเชื้อชาติและสีผิวในอเมริกา ที่ช่วยต่อสู้ให้ผู้หญิงผิวสีในอเมริกาได้มีวันนี้ ประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศ และสิทธิที่จะได้แสดงความคิดเห็นหรือร่วมลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยเธอบอกว่า เด็กผู้หญิงทุกคนที่กำลังดูอยู่ จะเห็นว่านี่คือประเทศแห่งความเป็นไปได้

แม้ว่าฉันจะเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้ทำงานนี้ แต่ฉันจะต้องไม่ใช่คนสุดท้าย

โศกนาฏกรรมชีวิตของ “ไบเดน” ถูกนำมาใช้ในการหาเสียงครั้งนี้ด้วย โดยเขาสูญเสียภรรยาคนแรกและลูกสาวคนเล็กจากอุบัติเหตุรถชนเมื่อปี 1972 ส่วนลูกชาย 2 คนได้รับบาดเจ็บสาหัส ระหว่างนั้นทำให้เขาต้องนั่งรถไฟหลายชั่วโมงต่อวัน จากโรงพยาบาลในรัฐเดลาแวร์ เพื่อเข้าไปที่ทำงานในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก่อนจะพบรักใหม่ในปี 1977 กับ “จิลล์ ไบเดน” ผู้ที่จะมาเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ คนต่อไป

ไบเดน เป็นผู้มีประสบการณ์ในเกมการเมืองมาหลายทศวรรษ ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาถึง 7 ครั้ง และลงสมัครเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาหลายครั้ง ได้ขึ้นเป็นรองประธานาธิบดีครั้งเเรกในสมัยของ “บารัก โอบามา” ที่ดำรงตำเเหน่ง 2 สมัย

อย่างไรก็ตาม ไบเดน มีข้อครหาเรื่องชอบสัมผัสร่างกายเกินควร เเละถูกกล่าวหาว่าชอบ “ดมผมผู้หญิง” ซึ่งมีคลิปวิดีโอส่อไปในพฤติกรรมดังกล่าวทั้งกับผู้หญิงและเด็ก โดยมีผู้หญิงอย่างน้อย 8 คน ออกมากล่าวหาว่าถูกไบเดนลวนลาม

ตอนที่ไบเดน ประกาศลงสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ เขายืนหยัดต่อสู้เพื่อสองสิ่ง คือผู้คนที่สร้างประเทศนี้ และค่านิยมที่จะประสานรอยร้าวจากการแบ่งแยกในสังคม

รัฐบาลชุดใหม่ ต้องเผชิญความท้าทายหลายอย่าง ทั้งวิกฤตโรคระบาด COVID-19 ที่สหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก ปัญหาความไม่ยุติธรรมทางเชื้อชาติ อัตราการว่างงานที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ การฟื้นฟูเเละปกป้องสิ่งแวดล้อม สิทธิการรักษาพยาบาล และความสัมพันธ์กับนานาชาติ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับจีน ที่หลายฝ่ายกำลังจับตา

มาดูนโยบายหลักๆ ของ “โจ ไบเดน” ว่าจะเป็นไปในทิศทางไหนเเละจะผลักดันได้จริงหรือไม่

เศรษฐกิจ

ไบเดนจะเน้นไปที่การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้ “คนทำงาน” โดยสนับสนุนให้เพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 465 บาท) ต่อชั่วโมง จากอัตราปัจจุบันที่ 7.25 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 225 บาท) ต่อชั่วโมง ซึ่งมาตรการนี้ ถือว่าทำให้เขาได้คะเเนนเสียงจากคนหนุ่มสาวเพิ่มขึ้นอย่างมาก

พร้อมมุ่งเพิ่ม “เก็บภาษีผู้มีรายได้สูง” เพื่อนำมาสร้างงานให้กับชนชั้นกลางและล่าง ผ่านการลงทุนด้านบริการสาธารณะ ทั้งอุตสาหกรรม ไอที พลังงานสะอาด โดยการจะขึ้นภาษีจะกระทบกลุ่มประชากรที่มีรายได้เกิน 400,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี

อีกทั้งจะคิดภาษีมรดกเเบบใหม่ ที่จะคิดภาษีจากมรดกทั้งก้อน ต่างจากปัจจุบันที่ผู้ได้รับมรดกจะไม่ต้องเสียภาษีในส่วนของกำไร (Capital Gains) เเละไบเดนยังเตรียมร่างกฎหมายขึ้นอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเเละภาษีนิติบุคคลด้วย

นอกจากนี้ เขายังเสนอให้ทุ่มงบอีก 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อสินค้าที่ผลิตในอเมริกา เเละประกาศใช้กฎหมายสนับสนุนซื้อสินค้าของชาวอเมริกันสำหรับโครงการขนส่งใหม่ ๆ

(Photo by Gary Hershorn/Corbis via Getty Images)

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ไบเดนยืนยันว่าทันทีที่เขาเข้ารับตำเเหน่ง สหรัฐฯ จะกลับเข้าร่วมข้อตกลงด้านสิ่งเเวดล้อมระดับโลกอีกครั้ง โดยจะผลักดันให้อเมริกาบรรลุเป้าหมายลดการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ “ให้เป็นศูนย์” ภายในปี 2050

พร้อมประกาศจะทุ่มงบลงทุน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงการ “พลังงานสีเขียว” มีแผนเศรษฐกิจที่ต้องการให้ผลิตพลังงานสะอาดมากขึ้น โดยมองว่าการส่งเสริมสายการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะเป็นการช่วยคนชนชั้นแรงงานไปในตัวด้วย

นอกจากนี้ เขายังมีเเผนจะเพิ่มกำลังการผลิตของพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์ 500 ล้านหน่วย และกังหันลมแบบ wind turbine อีก 6 หมื่นหน่วย รวมถึงมีการสร้างสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ 5 แสนแห่งทั่วสหรัฐฯ

COVID-19 

ไบเดนประกาศว่า รัฐบาลชุดใหม่จะจัดให้มีการ “ตรวจหาเชื้อฟรี” และจ้างคน 1 แสนอัตรา สำหรับดำเนินโครงการติดตามตัวผู้สัมผัสเชื้อทั่วประเทศ เเละจะจัดตั้งศูนย์ตรวจหาเชื้ออย่างน้อย 10 แห่งในแต่ละรัฐ โดยเขาเห็นว่าผู้ว่าการรัฐทุกรัฐ ควรออกข้อบังคับเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย เเละให้คำเเนะนำที่ถูกต้องกับประชาชน

Photo : Shutterstock

ระบบสุขภาพ

ไบเดนตั้งธงไว้ว่าจะ “ขยายแผนโอบามาแคร์” หรือกฎหมายประกันสุขภาพ Affordable Care Act (ACA) สานต่อจากสมัยที่ทำงานเป็นรองประธานาธิบดี โดยเขาต้องการลดอายุขั้นต่ำของผู้มีสิทธิ์เข้ารับการรักษาตามนโยบาย Medicare จากผู้สูงอายุจากเดิมที่ 65 ปี เป็น 60 ปี เเละสัญญาว่าจะให้ชาวอเมริกันทุกคนมีทางเลือกขึ้นทะเบียนในประกันสาธารณสุขที่คล้ายกับ Medicare

เชื้อชาติ การอพยพ เเละการควบคุมปืน 

ไบเดน มุ่งจะลดปัญหาเหยียดเชื้อชาติในสหรัฐฯ ด้วยแผนเศรษฐกิจและสังคมเพื่อสนับสนุน “คนกลุ่มน้อย” เช่นจะ ทุ่มงบ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างงานและธุรกิจให้คนกลุ่มน้อย เเละจะกำหนดนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เสมอภาคทางเชื้อชาติในกระบวนการยุติธรรม เช่น การสนับสนุนงบประมาณเพื่อจูงใจหลายรัฐให้ลดอัตราการจำคุก

อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธข้อเรียกร้องที่อยากให้ลดงบประมาณหน่วยงานตำรวจ เพราะมองว่าควรมีไว้เพื่อรักษามาตรฐานของหน่วยตำรวจ เเต่ก็เห็นด้วยว่า งบประมาณของตำรวจในบางอย่าง ก็ควรจะถูกนำไปดูเเลภาคสังคม เช่น เรื่องปัญหาสุขภาพจิต

ส่วนกฎหมาย “ควบคุมปืน” เป็นไปตามเเนวทางของพรรคเดโมเเครตที่เน้นให้มีการตรวจสอบประวัติผู้ซื้อปืนอย่างละเอียด จำกัดจำนวนอาวุธปืนที่ประชาชนซื้อได้เหลือไม่เกิน 1 กระบอกต่อ 1 เดือน เเละจะให้ทุนวิจัยเรื่องการป้องกันความรุนแรงจากอาวุธปืน

ส่วนนโยบายเรื่องผู้อพยพ ไบเดนสัญญาว่า ภายใน 100 วันแรก หลังได้ทำงานเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขาจะเปลี่ยนนโยบายของทรัมป์ที่กีดกันครอบครัวผู้อพยพที่ชายแดนระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก ยกเลิกข้อจำกัดเรื่องการสมัครขอรับสถานะผู้ลี้ภัย และยกเลิกข้อห้ามเดินทางเข้าประเทศจากประเทศมุสลิม

(Photo by Spencer Platt/Getty Images)

การศึกษา

ไบเดนจะสนับสนุนโครงการเพื่อเด็กวัยก่อนเข้าเรียน เเละขยายสิทธิ์ “เรียนฟรี” รวมถึงผ่อนผันหนี้เงินกู้เพื่อการศึกษา เพิ่มวิทยาลัยที่ไม่เก็บค่าเล่าเรียน

นโยบายต่างประเทศ 

ไบเดน ประกาศว่าจะ กู้ชื่อเสียงของอเมริกา ผ่านการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ ทำงานร่วมกับนานาชาติในเวทีโลก

เขาเห็นว่า จีนมีนโยบายการค้าและสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นธรรม เเต่แทนที่จะมุ่งเป้าขึ้นกำแพงภาษีกับจีน สหรัฐฯ ควรจะจับมือกับพันธมิตรนานาชาติ กดดันเพื่อให้จีนไม่เพิกเฉย ซึ่งยังไม่เเน่ชัดว่าเขาจะมีทิศทางความสัมพันธืกับจีนต่อไปอย่างไร ท่ามกลางสงครามการค้าที่ยืดเยื้อมาหลายปี

 

]]>
1305031
‘โจ ไบเดน’ คว้าชัยเลือกตั้งอเมริกา เตรียมขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 https://positioningmag.com/1305018 Sat, 07 Nov 2020 17:21:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1305018 ‘โจ ไบเดน’ คว้าชัยเลือกตั้งอเมริกา เตรียมขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 เเต่ส่อเเววมีปัญหายืดเยื้อ หลังทรัมป์ฟ้องศาลในหลายรัฐ

สูสีเเละดุเดือดมาก กับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ‘โจ ไบเดน’ เฉือนชนะ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ไปหวุดหวิด โดยไบเดนมีคะเเนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งล่าสุดที่ 284 เสียง (เกินครึ่งที่ 270 เสียงเเล้ว)

ไบเดน จากพรรคเดโมเเครต พลิกเอาชนะทรัมป์ จากรีพับลิกัน ได้ในพื้นที่ “สวิงสเตท” สำคัญๆ เช่น รัฐวิสคอนซิน รัฐมิชิแกน รัฐแอริโซนา โดยเฉพาะ “รัฐเพนซิลเวเนีย” ที่ต้องลุ้นกันอย่างใจระทึก

ขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ มีคะแนนตามอยู่ที่ 214 เสียง โดยรัฐที่ตอนนี้ยังนับคะแนนอยู่ได้แก่ เนวาดา อลาสกา นอร์ท แคโรไรนา และจอร์เจีย

ก่อนหน้านี้ ทีมงานหาเสียงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาในกรุงวอชิงตัน ขอให้ระงับการนับ “คะแนนทางไปรษณีย์” ที่มาถึงหน่วยเลือกตั้งหลังวันลงคะแนน 3 พ.ย. ในรัฐเพนซิลเวเนีย หลังศาลสูงของรัฐเพนซิลเวเนียอนุญาตให้นับคะแนนจากบัตรทั้งหมด ที่มาถึงภายในวันที่ 6 พ.ย. โดยมีข้อยกเว้นคือ ต้องประทับตราไปรษณีย์ “ภายในวันที่ 3 พ.ย.”

ฝ่ายทรัมป์ ยังยื่นเรื่องต่อศาลรัฐมิชิแกน ขอให้ระงับการนับคะแนน จนกว่าคณะผู้สังเกตการณ์จะสามารถเข้าถึงครบทุกหน่วยลงคะแนน เเละยังขอนับคะแนนใหม่ในรัฐวิสคอนซินเเละจอร์เจียด้วย เนื่องจากพบความผิดปกติหลายอย่าง เเต่ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม

ข้อกังขาในเรื่อง “คะแนนทางไปรษณีย์” ดังกล่าว มีขึ้นเนื่องจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2020 มีประชาชนใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้ามากเป็นประวัติการณ์ เกิน 103 ล้านคน โดยเน้นการส่งบัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์ เนื่องจากการเเพร่ระบาดของ COVID-19

การที่กฎหมายและระบบไปรษณีย์ของแต่ละรัฐ มีรายละเอียดแตกต่างกัน ส่งผลให้บัตรลงคะแนนเดินทางมาถึงทางการช้ากว่าวันที่ 3 พ.ย. ซึ่งทรัมป์ต้องการไม่ให้มีการนับบัตรส่วนนี้

ขณะที่บางความเห็นมองว่า ชาวอเมริกาที่เลือก “โหวตทางไปรษณีย์” เป็นผู้ที่มีความกังวลในโรคระบาด จะมีเเนวโน้มจะเลือกไบเดนมากกว่า เนื่องจากไม่พอใจต่อการจัดการวิกฤต COVID-19 ของรัฐบาลทรัมป์ที่สหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก

พรรคเดโมแครต รักษาเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ แต่ส่วนต่างเหนือพรรครีพับลิกันลดลง หลังแพ้เหนือความคาดหมายหลายที่นั่ง ขณะที่พรรครีพับลิกันคาดว่าจะยังคงรักษาเสียงข้างมากในวุฒิสภาได้อีกหนึ่งสมัย

การชนะเลือกตั้งของ “ไบเดน” ครั้งนี้ ยังสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ เพราะ “คามาลา แฮร์ริส” จะได้ก้าวขึ้นเป็น “รองประธานาธิบดีหญิง” คนแรกของสหรัฐฯ ด้วย ซึ่งรัฐบาลใหม่มีกำหนดเข้าทำงานในทำเนียบขาว ช่วงเดือนม.ค.ปีหน้า

อ่านเพิ่มเติม : คำสัญญาเเละนโยบายของ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46…ทิศทางใหม่อเมริกา

 

]]>
1305018
ชาวอเมริกัน “แห่ซื้อปืน” ช่วงเลือกตั้งสหรัฐฯ หวั่นเกิดเหตุรุนเเรง หลังรู้ผลประธานาธิบดี https://positioningmag.com/1304296 Tue, 03 Nov 2020 11:45:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1304296 ชาวอเมริกัน ตื่นตระหนกช่วงเลือกตั้งสหรัฐฯ 2020 แห่ซื้อปืนไว้ป้องกันตัวเอง หวั่นเกิดเหตุรุนเเรงเเละความวุ่นวาย หลังประกาศผลประธานาธิบดี

ยอดซื้อขายอาวุธปืนทั่วสหรัฐฯ กำลังพุ่งสูงขึ้นในช่วงเลือกตั้ง บางร้านขายหมดเกลี้ยงภายในไม่กี่ชั่วโมง…

ปกติในร้านจะมีปืนวางอยู่เต็มเลย แต่ตอนนี้ความต้องการพุ่งสูงมาก บางครั้งสินค้าเข้ามาตอนเช้า พอถึงช่วงบ่าย ราว 3 ใน 4 ของสินค้าทั้งหมดก็ขายออกไปแล้ว เจ้าของร้านปืนเเห่งหนึ่งกล่าว

ประชาชนในสหรัฐฯ บางส่วนกำลังกังวลว่า หลังการเลือกตั้งจะเกิดเหตุความรุนแรงเเละการประท้วงในย่านที่พักอาศัยของตัวเอง โดยเฉพาะในพื้นที่รัฐ Swing State เขตที่มีคะเเนนเสียงสามารถชี้วัดตำแหน่งผู้นำคนใหม่ได้

อาวุธปืนในสหรัฐฯ มียอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ นับตั้งเเต่มีการแพร่ระบาด COVID-19 การลุกฮือประท้วงต่อต้านการเหยียดผิว เเละสถานการณ์การเลือกตั้งประธานาธิบดีที่สูสีกันมาก จนหลายคนเกรงว่าอาจเกิดเหตุรุนแรงขึ้นได้

สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (FBI) เผยว่า นับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกรกฎาคมที่ผ่านมา มียอดซื้อขายปืนในประเทศเพิ่มขึ้นถึง 71% โดยเฉพาะในช่วงกลางปีที่มีการระบาดหนัก หลายรัฐส่งคำร้องให้ FBI ตรวจสอบประวัติผู้ซื้อปืนมากถึง 3.9 ล้านครั้งภายในเดือนเดียว

ปัจจัยในการแห่ซื้อปืนของชาวอเมริกันในช่วงนี้ มีหลายเหตุผลด้วยกัน เช่น บางคนมองว่าหากโจ ไบเดนผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้ง นั้นหมายความว่า การซื้อปืนอาจทำได้ยากขึ้น

เนื่องไบเดน ประกาศจุดยืนในการคุมเข้มการจำหน่ายและครอบครองปืน เพราะมองว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะป้องกันเหตุการณ์กราดยิงที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงความรุนแรงจากอาวุธปืนต่างๆ

ขณะที่พรรครีพับลิกัน และโดนัลด์ ทรัมป์ต้องการเพิ่มเสรีภาพในการครอบครองปืน เพราะมองว่าสิทธิการป้องกันตนเองขั้นพื้นฐาน เป็นสิทธิอันชอบธรรมตามหลักรัฐธรรมนูญ

ในอีกมุมหนึ่ง ชาวเอเชียในสหรัฐฯ หลายคนตัดสินใจต่อแถวรอซื้อปืน ด้วยเหตุผลว่าพวกเขาต้องการใช้ป้องกันตัวจากความเกลียดชังทางเชื้อชาติที่มีมากขึ้น นับตั้งเเต่วิกฤต COVID-19

ด้วยเหตุผลต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ชาวสหรัฐฯ จำนวนมากเร่งซื้อปืนไว้ครอบครอง ก่อนผลเลือกตั้งจะออกมาในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 นี้ (หรือเช้าวันที่ 4 พฤศจิกายน ตามเวลาในไทย )

 

ที่มา : Sky News , Fox News , LA times

]]>
1304296
Cineworld จำใจปิดโรงหนังใน UK – อเมริกา ชั่วคราว เซ่นพิษ “เจมส์ บอนด์” เลื่อนฉายไปปีหน้า https://positioningmag.com/1299862 Sun, 04 Oct 2020 10:26:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1299862 อุตสาหกรรมภาพยนตร์ต้องตกที่นั่งลำบากอย่างสาหัส เมื่อการเเพร่ระบาดของ COVID-19 สะเทือนไปทั้งวงการ จากต้นน้ำอย่างผู้ผลิต ไปจนถึงปลายน้ำอย่างคนดู

ล่าสุด Cineworld เจ้าของเครือข่ายโรงหนังรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก เตรียมจะปิดให้บริการชั่วคราวในสหราชอาณาจักรเเละอเมริกา เมื่อไม่มีภาพยนตร์ระดับ Blockbuster เข้าฉายเลยจนถึงสิ้นปีนี้

โดยการตัดสินใจของ Cineworld ออกมาภายหลังมหากาพย์สายลับอย่าง เจมส์ บอนด์ 007 ภาคใหม่ “No Time To Die” ประกาศเลื่อนฉายจากเดิมเดือนพ..ปีนี้ ไปยังเดือนเม..ปีหน้า

The Sunday Times เปิดเผยว่า บริษัทกำลังเขียนจดหมายร้องเรียนถึงนายกรัฐมนตรี “บอริส จอห์นสัน” ของอังกฤษ เพื่อบอกว่าอุตสาหกรรมนี้กำลังจะอยู่ไม่ได้”

ด้านรายงานของ Variety ระบุว่า Cineworld กำลังจะหยุดให้บริการโรงภาพยนตร์ Regal Cinema ทั้งหมด 543 แห่งในสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยโรงภาพยนตร์ทุกแห่งทั่วสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้

เเม้ตอนนี้จะยังไม่มีกำหนดว่าจะกลับมาให้บริการอีกครั้งเมื่อใด เเต่ก็หวังว่าโรงหนัง Cineworld จะกลับมาเปิดอีกครั้งในปีหน้า ซึ่งตอนนี้ชะตากรรมของพนักงานกว่า 5,500 คนในอังกฤษ กำลังเเขวนอยู่บนเส้นด้าย

ก่อนหน้านี้ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ หวังว่าการเปิดตัวของหนังฟอร์มยักษ์อย่าง No Time To Die จะจุดประกายให้เกิดการฟื้นตัวของภาพยนตร์ในสหราชอาณาจักร หลังซบเซามานานตั้งเเต่เดือนมี..

Cineworld เป็นผู้ให้บริการโรงภาพยนตร์รายใหญ่อันดับ 2 ของโลกและใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร ซึ่งดำเนินธุรกิจในเครืออย่าง Cineworld และ Picturehouse

บริษัทรายงานผลขาดทุน 1.6 พันล้านดอลลาร์ (ราว 5 หมื่นล้านบาท) ในช่วง 6 เดือนเเรกของปีนี้ โดยผลกระทบหลักๆ มาจากการที่โรงภาพยนตร์ต้องปิดตัวลงชั่วคราวจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัด COVID-19 ตอนนี้โรงภาพยนตร์ของ Cineworld เริ่มกลับมาเปิดให้บริการบ้างแล้วใน 561 สาขา จากทั้งหมด 778 สาขาในเครือ เเต่ก็ยังถือว่าอยู่ในช่วงวิกฤตเเละต้องการเงินทุนเข้ามาใช้ดำเนินการธุรกิจ

นักวิเคราะห์ให้ความเห็นกับ BBC ว่า ตารางการเปิดตัวของหนังใหม่ในปีนี้ มีการเปลี่ยนเเปลงไปมาตลอดเวลา ถือเป็นปีเเห่งหายนะของทุกฝ่ายในอุตสาหกรรมนี้ โดยการตัดสินใจของ Cineworld ที่จะปิดให้บริการชั่วคราวไปก่อนจนถึงปีหน้านั้น ก็ถือว่าสมเหตุสมผล

 

ที่มา : Variety , BBC

]]>
1299862