ไต้หวันเข้มจัด! คิดค่าปรับชาย “หนีกักตัว” 7 ครั้ง รวมเป็นเงินกว่า 1 ล้านบาท

Photo : Facebook TWCDC
ชายไต้หวันกลับจากจีนแผ่นดินใหญ่ ลักลอบออกจากสถานที่กักตัว 7 ครั้ง ถูกปรับเป็นเงิน 1 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ประมาณ 1.07 ล้านบาท) สะท้อนความเข้มงวดของไต้หวันอีกครั้ง

ชายที่ไม่ถูกเปิดเผยชื่อรายหนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองไทจง ไต้หวัน อยู่ระหว่างกักตัวในอพาร์ตเมนต์ส่วนตัว (Home Quarantine) หลังจากกลับจากทำธุรกิจในจีนแผ่นดินใหญ่ แต่เขาฝ่าฝืนกฎการกักตัว ลักลอบออกจากที่พัก 7 ครั้งในรอบ 3 วัน

TTV News สื่อท้องถิ่นไต้หวัน รายงานว่า ชายคนนี้ลักลอบออกจากอพาร์ตเมนต์เพื่อไปช้อปปิ้ง ซ่อมรถ และอื่นๆ จนเพื่อนบ้านพบเห็นและเข้าไปต่อว่า จึงเกิดการทะเลาะวิวาทกัน และเรื่องไปถึงหูตำรวจในที่สุด

หน่วยงานรัฐท้องถิ่นของไทจงยืนยันว่า ชายผู้นี้กลับจากจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 64 ตามกฎต้องกักตัวอยู่กับบ้าน 14 วัน แต่กลับฝ่าฝืนกฎ โดย Lu Shiow-yen นายกเทศมนตรีเมืองไทจง กล่าวประณามการกระทำนี้ว่าเป็น “การทำผิดอย่างร้ายแรง” และเสริมว่าชายคนนี้ “ต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง”

ดังนั้น ชายคนนี้จะถูกปรับเป็นเงิน 1 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ประมาณ 1.07 ล้านบาท) ซึ่งเป็นโทษสูงที่สุดที่จะเรียกปรับสำหรับกรณีการลักลอบหนีกักตัวในไต้หวันจากเหตุ COVID-19 แต่ถ้ามีการลักลอบแล้วใช้ขนส่งสาธารณะด้วย จะถูกเรียกปรับเป็น 2 เท่า

นอกจากนี้ การกักตัวในจำนวนวันที่เหลือ ทางภาครัฐจะ “งด” จ่ายเงินชดเชย 1,000 ดอลลาร์ไต้หวันต่อวันให้ชายคนนี้อีกด้วย

ไต้หวันคือหนึ่งในพื้นที่ที่ควบคุมการระบาดของ COVID-19 ได้ดีที่สุดในโลก จากการปิดเกาะอย่างรวดเร็ว ระดมปูพรมตรวจโรคและตามตัวผู้มีความเสี่ยง (contact tracing) รวมถึงมีมาตรการที่เข้มงวดมาก

ตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน ชายฟิลิปปินส์คนหนึ่งเคยถูกปรับเป็นเงิน 3,500 ดอลลาร์ไต้หวัน (ประมาณ 3,747 บาท) จากการออกจากจากห้องที่พักกักตัวในโรงแรมแค่ 8 วินาที โดยมีหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด หรือย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคมปีก่อน ชายไต้หวันในไทเปผู้หนึ่งก็เคยถูกปรับสูงสุด 1 ล้านดอลลาร์ไต้หวันแบบนี้มาแล้ว เพราะหนีกักตัวออกไปเที่ยวไนต์คลับ สะท้อนภาพว่าไต้หวันยังคงเข้มงวดแม้เวลาผ่านไปเกือบปีก็ตาม

จนถึงปัจจุบัน ไต้หวันซึ่งมีประชากร 23 ล้านคน มีเคสผู้ติดเชื้อ COVID-19 เพียง 889 คน และผู้เสียชีวิต 7 คนเท่านั้น อ้างอิงข้อมูลจาก Johns Hopkins University

Source