WealthTech – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 01 May 2022 07:34:33 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เทรนด์ WealthTech โตก้าวกระโดด ‘StashAway’ ลุยภารกิจพาคนไทยลงทุนต่างประเทศ https://positioningmag.com/1383543 Sun, 01 May 2022 03:05:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1383543 ปัจจุบันการ ‘ลงทุนในสินทรัพย์’ นั้นง่ายเเละรวดเร็วกว่าสมัยก่อนมาก ด้วยเทคโนโลยีที่เข้าถึงผู้คน ค่าธรรมเนียมที่ถูกลง สามารถเริ่มลงทุนได้ตั้งเเต่เงินก้อนน้อยๆ พร้อมโอกาสในการเเสวงหาตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศ

เเม้ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศของคนไทย จะเพิ่มขึ้นอย่างมากตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เเต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ไม่น้อย เเละการมาของ ‘WealthTech’ เหมือนจะเป็น ‘ตัวช่วย’ เเละ ‘ทางเลือก’ ให้ก้าวผ่านกำเเพง
อุปสรรคการลงทุนเเบบเดิมๆ ที่มีมาในอดีตได้ 

วันนี้เราจะมาพูดคุยกันถึงภาพรวมของอุตสาหกรรม WealthTech กับ “ทิม – ยศกร นิรันดร์วิชย” CFA กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ StashAway แพลตฟอร์มบริหารการลงทุนเจ้าใหญ่ในเอเชีย พร้อมเป้าหมายที่หวังจะเเก้ Pain Point เปิดประตูให้คนทั่วไปเข้าถึงการลงทุน เเละเเผนกลยุทธ์การก้าวสู่ top of mind ในตลาดไทย 

WealthTech เปลี่ยนเกมการลงทุน 

ยศกร เริ่มต้นด้วยการอธิบายถึงความสำคัญของ WealthTech ต่อผู้คนทั่วโลกให้ฟังว่า เป็นเทคโนโลยีการลงทุนบริหารความมั่งคั่งที่จะมาดิสรัปวงการผู้จัดการกองทุน โดยมีหน้าที่เเละบทบาทหลักๆ 4 ประการ คือ

  • ทำให้การลงทุนเป็นเรื่องง่าย

สมัยก่อนผู้คนอาจมองว่าการลงทุนเป็นเรื่องไกลตัว รวมถึงการเข้าถึงที่ปรึกษาทางการเงินที่ต้องมีค่าใช้จ่าย เเต่ทุกวันนี้ ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเข้าถึงคำเเนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเเละข้อมูลข่าวสารที่เปิดกว้าง ค่าธรรมเนียมที่ถูกลง ทำให้เราเข้าถึงการลงทุนได้จากแอปพลิเคชันมือถือ

  • มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในยุคที่มีข้อมูลอยู่มหาศาล เทคโนโลยีจะเป็นตัวช่วยทำให้เราสามารถวิเคราะห์การลงทุนได้กว้างเเละลึกมากขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถตัดสินใจลงทุนบนพื้นฐานของข้อมูลได้ เพราะศัตรูที่เลวร้ายที่สุดของการลงทุนคืออารมณ์ซึ่งก็มีคนจำนวนไม่น้อย ที่ตัดสินใจลงทุนจากอารมณ์มากกว่าการยึดถือด้านข้อมูลเป็นหลัก

  • ค่าธรรมเนียมที่ถูกลง

เเพลตฟอร์ม Wealth Tech ทั่วโลกนั้นจะมีอัตราต่ำกว่าผู้เล่นดั้งเดิม ซึ่งบางเจ้าถูกลงกว่า 10 เท่า โดยค่าธรรมเนียมนั้นมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในระยะยาวที่จะมีผลโดยตรงต่อค่าตอบเเทน

  • เข้าถึงได้มากขึ้น

เทคโนโลยีทำให้ผู้คนเริ่มลงทุนได้โดยไม่ต้องมีขั้นต่ำ เเละใช้จำนวนเงินที่ไม่สูงมากจึงเข้าถึงคนหมู่มากได้ในเวลาที่รวดเร็ว

โดยกระเเสของ ‘WealthTech’ เริ่มต้นมาจากโซนสหรัฐอเมริกาเเละเเคนาดา ก่อนที่จะเข้ามายังเอเชีย ซึ่งในช่วงเเรกผู้เล่นส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มสตาร์ทอัพหรือบริษัทเทคฯ เเต่ปัจจุบันเริ่มเห็นผู้เล่นรายใหญ่อย่างกลุ่มธนาคารพาณิชย์ระดับโลก ขยับมาเข้าซื้อกิจการบริษัท WealthTech มากขึ้น

อีกเทรนด์ที่มาเเรงก็คือคริปโตเคอร์เรนซีหรือสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งบริษัท WealthTech ทั้งหลายต่างให้ความสนใจมากขึ้น เเละมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนต่างๆ เกี่ยวกับคริปโตฯ อย่างเช่น StashAway ที่สิงคโปร์ก็มี Crypto Offering มากขึ้น

ในประเทศไทย เราก็หวังว่าจะเอาเข้ามาได้ในเร็วๆ นี้ เเต่ก็ต้องผ่านขั้นตอนกระบวนการขออนุญาตต่างๆ ก่อน

Photo : Shutterstock

เงินทุนไหลเข้า เติบโตอย่าง ‘ก้าวกระโดด’ 

ภาพรวมอุตสาหกรรม WealthTech มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เเละมีการประเมินว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเติบโตได้ถึง 15-35%

บางสำนักข่าวระบุว่า WealthTech ทั่วโลกมีการบริหารเงินทั้งหมดอยู่ราว 2.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ตัวเลขจากทาง CNBC ระบุว่า เเค่เฉพาะในสหรัฐอเมริกา WealthTech ก็มีการบริหารเงินรวมกว่า 1.1 ล้านล้าน
เหรียญเเล้ว (คิดเป็นกว่า 2 เท่าของจีดีพีไทยทั้งประเทศ)

ส่วนในเเง่ของการระดมทุนนั้น เมื่อย้อนไปช่วงทศวรรษก่อนต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายนักเพราะนักลงทุนยังไม่ค่อยเข้าใจใน Business Model เเต่ตอนนี้กลับได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก

โดยในปี 2019 อุตสาหกรรม Wealth Tech มียอดการระดมทุนที่ราว 3.5 พันล้านเหรียญ ต่อมาในปี 2021 มีการเติบโตเเบบก้าวกระโดด ด้วยยอดการระดมทุนกว่า 1.6 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากอานิสงส์ด้านบวกในวิกฤตโควิด

ในช่วงเเรก StashAway ระดมทุนได้ยาก เเต่ช่วงหลังๆ มานี้ เรากลายเป็นฝ่ายที่เป็นผู้เลือกนักลงทุน สะท้อนให้เห็นเกมธุรกิจที่เปลี่ยนไป

ด้านการเเข่งขันนั้น มีผู้เล่นรายใหม่กระโจนเข้ามาในวงการนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดย StashAway จะมีคู่เเข่งหลักเฉลี่ยประมาณ 2-5 บริษัทในเเต่ละประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ตลาดใหญ่อย่างสิงคโปร์ ก็จะมีผู้เล่นหลัก 3-4 บริษัท ส่วนในไทยมีประมาณ 4-5 บริษัท

ในทุกวิกฤตใหญ่ของโลก จะเป็นช่วงที่คนเราสนใจเเละพิจารณาวางเเผนการเงินมากที่สุด จากผลกระทบทางรายได้เเละความรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต จึงต้องคิดหาทางว่าจะบริหารการเงินอย่างไรเพื่อให้รอดพ้นวิกฤต เเละรองรับเหตุที่ไม่คาดฝันอื่นๆ ที่จะอาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคตด้วย

StashAway ปักธงเเก้ Pain-Point การลงทุน 

สำหรับ StashAway เป็นเเพลตฟอร์มบริหารการลงทุนรายเเรกๆ ในภูมิภาคอาเซียน ที่เกิดขึ้นจาก Pain-Point ของผู้ก่อตั้งอย่าง Michele Ferrario ที่ต้องการมองหาโซลูชันการลงทุนที่เหมาะกับตัวเอง อีกทั้งยังต้องเจอค่าธรรมเนียมที่ค่อนข้างสูงเเละตัวเลือกน้อย

เขาจึงมีเเรงบันดาลใจที่จะสร้างเเพลตฟอร์มเพื่อเเก้ไขปัญหาเหล่านี้ขึ้นมา โดยร่วมมือผู้ร่วมก่อตั้งอีก 2 คน คือ Freddy Lim และ Nino Ulsamer ที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเเละมีประสบการณ์ด้านการบริหารสินทรัพย์ระดับโลก ต่อยอดขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้

StashAway เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มบริหารการลงทุนในรูปแบบแอปพลิเคชัน ที่เปิดให้นักลงทุนเข้าถึงสินทรัพย์ทั่วโลกได้ผ่านการลงทุนใน ETF โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) มากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ภายในระยะเพียง 4 ปี ซึ่งเร็วกว่าที่แพลตฟอร์มบริหารการลงทุนรายใหญ่ของโลกอย่าง Betterment และ Wealthfront

เปิดให้บริการแล้วใน 5 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง ไทย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เเละมีพนักงานราว 200 คน ผ่านการระดมทุนมาแล้ว 6 รอบ (Series D) โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุน Venture Capital ระดับโลกอย่าง Sequoia Capital India, Eight Roads Ventures และ Square Peg เเละมีทุนชำระแล้ว (Paid-Up Capital) รวม 61.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (ปี 2021)

อุตสาหกรรม Wealth Tech นั้นเป็นตลาดที่ใหญ่มากๆ เเค่ใน 5 ประเทศที่เราอยู่ก็มี financial wealth มูลค่ามากกว่า 5.5 ล้านล้านเหรียญเเล้ว จึงมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกเยอะมาก เเละนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น โดย StashAway ตั้งเป้าจะเป็นเเพลตฟอร์มอันดับหนึ่งในเอเชียให้ได้

วางกลยุทธ์สู่ Top of Mind ของคนไทย 

StashAway จะเน้นชูจุดเด่นด้าน ‘กลยุทธ์การลงทุน’ ที่พัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลก การปรับพอร์ตให้เข้ากับสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่เสมอ วิเคราะห์สัญญาณของตลาดด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมลงทุนด้วยความเสี่ยงที่เหมาะสม มีความหลากหลาย เเละค่าธรรมเนียมต่ำ

การที่คนไทยมีสัดส่วนการถือครองเงินสดถึง 47% ขณะที่ในสหรัฐฯ ประชาชนจะถือเงินสดเพียง 14% ก็เป็นอีกอุปสรรคหนึ่งในการเข้าถึงการลงทุนของคนไทย โดยการถือเงินสดนั้นมีความเสี่ยงว่าจะมูลค่าลดลง หากต้องเจออัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันคนไทยส่วนใหญ่ก็มีเงินไม่เพียงพอกับการเกษียณ เเละมีการลงทุนกระจุกตัวเเค่ในตลาดไทย เหล่านี้จึงต้องมีการสร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจด้าน wealth management ให้มากขึ้น 

ตลาดไทยค่อนข้างใหญ่ มูลค่าเฉพาะกองทุนรวมมีถึง 5 ล้านล้านบาท เเละยังมีคนถือเงินสดอยู่อีกกว่า 47% นับเป็นโอกาสของธุรกิจ WealthTech ดังนั้นการเเข่งขันที่ดุเดือดจึงเป็นเหมือนการร่วมกันสร้างตลาดให้ใหญ่ขึ้น มีจุดเด่นที่เเตกต่างกันไป เป็นการเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนมากขึ้น” 

โดยมีเเนวโน้มที่คนไทยจะหันไปลงทุนหุ้นต่างประเทศมากขึ้น เพราะหากเอาสินทรัพย์มาถือไว้ที่ตลาดไทยจะเป็นความเสี่ยงอย่างมาก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังซบเซา เนื่องจากพึ่งพาภาคท่องเที่ยวเป็นหลักจึงฟื้นตัวยาก อีกทั้งยังไม่มีหุ้นบิ๊กเทคคอมพานีระดับโลก

หลัง StashAway เปิดให้บริการในไทยอย่างเป็นทางการมาตั้งเเต่ช่วงเดือนก.ย. 2021 ผลตอบรับดีกว่าที่คาด โดยจากนี้ จะมุ่งกลยุทธ์การตลาดไปที่การสร้างความน่าเชื่อถือ สร้างความเชื่อมั่น ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลา เพราะการลงทุนเป็นสิ่งที่ต้องคิดให้รอบคอบ พร้อมให้ความสำคัญกับทีมดูเเลลูกค้าที่จะคอยซัพพอร์ตอยู่เสมอ ทำการตลาดเพื่อเพิ่มการรับรู้ผ่านทางออนไลน์เเละออฟไลน์ไปพร้อมๆ กัน

เราให้ความสำคัญกับทีมเเละการพัฒนาคนมากๆ เลือกคนที่ถูกเเละใช่ ขั้นต่ำต้องสัมภาษณ์กัน 4 รอบ เราไม่ได้เน้นหาคนที่มีประสบการณ์ตรง เเต่เน้นหาคนเก่ง เชื่อใน mission ของบริษัทเเละมีไฟในการทำงาน พร้อมมี Growth Mindset ที่จะเติบโต ให้ความยืดหยุ่นอย่างการให้ทำงานจากที่ไหนก็ได้ เเละลากี่วันก็ได้ในหนึ่งปี เน้นไปที่ความรับผิดชอบในงานเป็นหลัก

เป้าหมายของ StashAway ในตลาดไทย คือการได้เข้าไปอยู่ใน top of mind ของคนไทย เป็นเพื่อนคู่คิดช่วยให้คนไทยลงทุนต่างประเทศได้ง่ายขึ้น พร้อมมีการวางเเผนการเงินที่ดีเพียงพอต่อการเกษียณ

โดยผู้บริหาร StashAway มีคำเเนะนำถึงนักลงทุนหน้าใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนว่า

เราต้องตระหนักว่าการลงทุนเป็นสิ่งที่ต้องทำ ให้เงินของเราทำงานไปพร้อมๆ กับที่เราทำงาน โดยควรจะเน้นไปที่การลงทุนระยะยาว ด้วยพลังของผลตอบเเทนทบต้นซึ่งจะต้องใช้เวลา พร้อมกระจายการลงทุน อย่าเก็บไว้ในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมากเกินไป เลือกระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม อย่าหลอกตัวเอง ซิ่งหนักก็อาจจะเจ็บได้ เเละต้องรักษาวินัยในการลงทุนอยู่เสมอ

 

 

 

]]>
1383543
พลังเทคโนโลยี AI สร้างพอร์ตลงทุนให้แกร่ง ทานกระแสดิสรัปต์โลกอนาคต https://positioningmag.com/1366738 Tue, 14 Dec 2021 14:11:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1366738

เทรนด์การใช้เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) ในโลกการลงทุน นับวันยิ่งเป็นกระแสที่มาแรงไม่หยุด เพราะ AI เข้ามาช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น เปิดโลกแห่งการบริหารเงินผ่านสินทรัพย์คุณภาพดีทั่วโลก สร้างผลตอบแทนที่มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก 

ไม่เพียงเท่านั้น เทคโนโลยี AI เข้ามาเติมเต็มโอกาสการลงทุนให้กับคนจำนวนมากที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจมากเพียงพอที่จะเริ่มลงทุนด้วยตัวเอง หรือเป็นตัวช่วยสำหรับคนที่ไม่มีเวลาศึกษาสินทรัพย์ต่างๆ ช่วยเลือกและบริหารพอร์ตลงทุนให้ถึงเป้าหมายอย่างที่คุณต้องการ 

ปัจจุบันสถาบันการเงินจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บริษัทหลักทรัพย์แนะนำการลงทุน (บลน.) และบริษัทประกัน ต่างให้ความสำคัญกับการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี AI หรือที่เรียกเป็นไทยว่า ‘ปัญญาประดิษฐ์’ เพื่อเป็นตัวช่วยในการจัดพอร์ตลงทุน มาเป็นสูตรสำเร็จและปรับพอร์ตอัตโนมัติ ผ่านการออกแบบและพัฒนา ‘อัลกอริทึม’ ทำหน้าที่ในการวิเคราะห์และเลือกสินทรัพย์ที่น่าลงทุนที่สุด รวมไปถึงจัดการการซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยตัวระบบเอง 

การทำงานของอัลกอริทึมที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยมนุษย์ ผ่าน ‘สมองคน’ เริ่มต้นจากฐานข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เราเรียกว่า Big Data เมื่ออัลกอริทึมทำงานได้ตามเงื่อนไขและปัจจัยต่างๆ ที่ถูกโปรแกรมไว้แล้ว ตัวเทคโนโลยี AI จะประมวลผลออกมาเป็นผลลัพธ์สุดท้าย เรียกการทำงานแบบนี้ว่า ‘สมองกล’ 

Photo : Shutterstock

เพราะสมองคนมีความสามารถอย่างจำกัด แต่สมองกลมีความสามารถไม่จำกัด สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเป็นล้านๆ และประมวลผลออกมาได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอคติหรืออารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ที่พัฒนาไปได้ไกลกว่านี้ คือ สมองกลสามารถเรียนรู้ได้ ที่เรียกว่า Machine Learning 

ส่งผลให้เทรนด์บริหารพอร์ตลงทุนด้วยเทคโนโลยี AI เป็น 1 ในเครื่องมือของ WealthTech ที่กำลังเติบโตอย่างน่าจับตามอง 

อ้างอิงข้อมูลล่าสุดจาก Research and Markets ศูนย์รวมงานวิจัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ระบุว่า ตลาด WealthTech ของโลก จะโตจาก 54.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2564 มาอยู่ที่ 137.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2571 คาดว่า จะมีอัตราการเติบโตต่อปีที่ 14.1% ในช่วงปี 2564-2571 

สะท้อนภาพใหญ่ว่า WealthTech กำลังคืบคลานเข้ามามีอิทธิพลในการบริหารความมั่งคั่ง ต่อให้เป็นสถาบันการเงินขนาดใหญ่ หรือเป็นเพียงสตาร์ตอัป ก็ไม่อาจมองข้ามเทคโนโลยีเหล่านี้ที่จะเข้ามาดิสรัปต์โลกการลงทุนได้ตลอดเวลา

Photo : Shutterstock

สร้างโอกาสทำกำไร ให้เทคโนโลยี AI ช่วยจัดพอร์ตหุ้น

การมีเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการลงทุน สร้างประโยชน์มากมาย จากเดิมบริษัทจัดการลงทุนใช้ระบบดิจิทัลมาช่วยรวบรวมสินทรัพย์ทางการเงินที่น่าสนใจทั่วโลก เพื่อมานำเสนอหรือจัดพอร์ตลงทุนให้นักลงทุนเพียงเท่านั้น แต่มีข้อจำกัดคือ นักลงทุนมีทางเลือกไม่มากนัก ทั้งๆ ที่โลกการลงทุนเปลี่ยนแปลงและมีสินทรัพย์ทางการเงินใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา

ปัจจุบันด้วยวิวัฒนาการของเทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ มาช่วยสร้างความอัจฉริยะให้เทคโนโลยี AI ทำให้บริษัทจัดการลงทุนหันมาพัฒนาเทคโนโลยี AI มากขึ้น เพื่อมาออกแบบหลักการและกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการและเข้าถึงนักลงทุนมากขึ้น

หากคุณเองตัดสินใจจัดพอร์ตลงทุนและให้เทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาท ก่อนอื่นควรทำความเข้าใจกับหลักการทำงานของ AI และควรมีความเชื่อมั่นในผลลัพธ์ของ AI ด้วย โดยปล่อยให้ระบบโชว์ความสามารถได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ตื่นตกใจ หากบางช่วงบางเวลาพอร์ตลงทุนจะมีผลขาดทุน

ผมขอเล่าถึงกรณีศึกษาของแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta ที่เติบโตมาจากการหลักการลงทุนผ่าน AI มาเกือบ 10 ปี เรามีทีมงานพัฒนา AI และอัลกอริทึม เพื่อคัดเลือกหุ้นมาจัดพอร์ตลงทุน โดยยึดหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing – VI) ของ Warren Buffett นักลงทุนชื่อดังก้องโลก ด้วยแนวคิดที่ว่า ‘Buy a wonderful company at a fair price’ หรือ ‘ลงทุนในธุรกิจที่ยอดเยี่ยม ในราคาที่เหมาะสม’ 

Photo : Shutterstock

เพราะภารกิจของ Jitta ในฐานะสตาร์ตอัป WealthTech ต้องการทำให้การลงทุนในหุ้น ที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องยาก ให้กลายเป็นเรื่องง่าย โดยพัฒนา AI และออกแบบอัลกอริทึมมาวิเคราะห์พื้นฐานหุ้นผ่านงบการเงินย้อนหลัง 10 ปี ซึ่งปัจจุบันแพลตฟอร์ม Jitta ประมวลผลข้อมูลงบการเงินต่างๆ ทั่วโลกมากกว่า 750 ล้านดาต้าเซตต่อวัน จากจำนวนหุ้นมากกว่า 2,000 บริษัท ซัพพอร์ตตลาดหุ้นใน 19 ประเทศ

ถ้าให้คุณมานั่งอ่านงบการเงินย้อนหลังด้วยตัวเอง แค่ศึกษาเพียงบริษัทเดียว และยังต้องวิเคราะห์ว่า บริษัทนี้มีงบการเงินแข็งแกร่งหรือไม่ และราคาหุ้นยังต่ำกว่าพื้นฐานอยู่หรือเปล่า คงดูยุ่งยากและซับซ้อนมาก นี่ต่างหากคือ พลังเทคโนโลยี AI ผ่านแพลตฟอร์ม Jitta 

จากนั้น AI จะแปลงตัวเลขในงบการเงินของแต่ละบริษัทออกมาเป็น 2 ค่า เพื่อเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ คือ Jitta Score การให้คะแนน 0-10 ที่แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของธุรกิจผ่านงบการเงิน คะแนนยิ่งสูงก็ยิ่งเป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยมและ Jitta Line แสดงถึงมูลค่าหรือราคาหุ้นที่เหมาะสม ถ้าราคาปัจจุบันต่ำกว่าเส้น Jitta Line สะท้อนว่า ราคายัง Undervalued ควรนำมาจัดพอร์ตลงทุน

ผลลัพธ์สุดท้ายของเทคโนโลยี AI และอัลกอริทึมของแพลตฟอร์ม Jitta คือ จัดอันดับ ‘หุ้นดี ราคาเหมาะสม’ ออกมาเป็น Jitta Ranking ให้คุณไปเลือกจัดพอร์ตได้ง่ายๆ นั่นเอง 

Photo : Shutterstock

ปัจจุบันแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta เปิดให้ใช้ได้ทุกฟังก์ชันโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก เพราะเข้าถึงการวิเคราะห์ที่มีตรงตามหลักการ ประหยัดเวลาศึกษางบการเงินด้วยตัวเอง เลือกหุ้นมาจัดพอร์ตลงทุนได้ง่ายขึ้น และโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีขั้น 

แต่การพัฒนา WealthTech ไม่ได้จบเพียงเท่านั้น Jitta Wealth ในฐานะบลจ. ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ถือกำเนิดขึ้นมา เพื่อต่อยอดใช้แพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta ที่พัฒนาขึ้นมา มาเป็นการบริหารกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking มีตัวเลือกให้ 5 แผนการลงทุน ได้แก่ หุ้นไทย หุ้นเวียดนาม หุ้นจีน หุ้นสหรัฐฯ และหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ 

พอมาเป็นการบริหารกองทุนส่วนบุคคล ไม่ได้มีแค่เทคโนโลยี AI เท่านั้น ต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีลงทุนอัตโนมัติ (Automated Investing) เพื่อมาช่วยบริหารจัดการพอร์ตและรักษาวินัยการลงทุน รวมไปถึงรีวิวพอร์ตทุกไตรมาส เพราะ ‘หุ้นดี ราคาเหมาะสม’ เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ไม่มีสินทรัพย์ตัวไหนเป็นขาขึ้นตลอดเวลา

เมื่อเทคโนโลยี 2 แกนหลัก ทำงานพร้อมๆ กัน Jitta Wealth ได้จำลองผลตอบแทน (Back Test) ย้อนหลัง 10 ปีของกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking ทั้ง 5 แผนการลงทุน เฉลี่ยอยู่ที่ +9-24% ต่อปี นับเป็นบทพิสูจน์ของเทคโนโลยี AI และอัลกอริทึมที่ Jitta พัฒนาขึ้นมา และเทคโนโลยีลงทุนอัตโนมัติ ล้วนส่งให้พอร์ตลงทุนมีโอกาสทำกำไรสูงขึ้นและมากกว่าชนะดัชนีตลาดในระยะยาว เฉลี่ยอยู่ที่ +6-14% ต่อปี

Photo : Shutterstock

ผมมองว่า การบริหารกองทุนส่วนบุคคลในฐานะบลจ. จะมี 2 แกนหลักที่มีความสำคัญพอๆ กัน คือ การใช้เทคโนโลยี AI มาคัดเลือกสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี และการพัฒนาเทคโนโลยีลงทุนอัตโนมัติมาช่วยดูแลพอร์ตอย่างมีวินัย ดังนั้นประโยชน์จะตกอยู่ที่ตัวคุณในฐานะนักลงทุน เพราะได้ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี มีพอร์ตลงทุนสร้างกำไรในระยะยาว และมีค่าธรรมเนียมบริการจัดการต่ำอีกด้วย

พลังเทคโนโลยี AI สู่การเลือก ETF ที่น่าลงทุนที่สุด

สตาร์ตอัป WealthTech ที่บริหารกองทุนส่วนบุคคลผ่านการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI และเทคโนโลยีลงทุนอัตโนมัติ ส่งผลให้ Jitta Wealth สามารถออกแบบกองทุนส่วนบุคคลในสินทรัพย์อื่นๆ ที่หลากหลายมากขึ้น อย่างเช่น Global ETF และ Thematic สร้างทางเลือกการลงทุนให้คุณได้มากขึ้น พร้อมกระจายความเสี่ยงได้ทั่วโลกผ่าน ETF (Exchanged Traded Fund)

นโยบาย Global ETF คือ สูตรสำเร็จพอร์ตลงทุน เพิ่ม (Maximize) โอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี และลด (Minimize) ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการลงทุน ผ่านการคัดเลือก ETF ระดับท็อประดับโลกผ่านตราสารหนี้และหุ้นจัดพอร์ตตามทฤษฎีรางวัลโนเบล Modern Portfolio Theory ผ่าน 2 เงื่อนไข คือ การจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) และการกระจายความเสี่ยง (Diversification) นโยบายนี้จะใช้เทคโนโลยีลงทุนอัตโนมัติเท่านั้น เพื่อให้ได้ผลตอบแทนคาดหวังอยู่ที่ 4-8% ต่อปี 

นโยบาย Thematic คือ พอร์ตลงทุน ETF หุ้นทั่วโลก เป็นเมกะเทรนด์ที่มีโอกาสเติบโตระยะยาว พร้อมใช้เทคโนโลยีลงทุนอัตโนมัติ มี 2 แผนการลงทุน คือ Thematic DIY ที่คุณสามารถจัดพอร์ตเลือกธีมได้เองสูงสุด 5 ธีม ผลตอบแทน Back Test ย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ +12-18% ต่อปี และ Thematic Optimize ที่คุณวางใจให้เทคโนโลยี AI จัดพอร์ตเลือก 4 ธีม ผลตอบแทน Back Test ย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ +25% ต่อปี

ผมได้รับคำถามต่ออีกว่า เทคโนโลยี AI มาเลือกหุ้นผ่านการสแกนงบการเงินพอจะเห็นภาพชัดเจน แต่การเลือก ETF ธีมเมกะเทรนด์ที่น่าลงทุนที่สุด เทคโนโลยี AI จะทำงานอย่างไร เพราะ ETF เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นอีกนับสิบนับร้อยบริษัท แล้วจะออกแบบอัลกอริทึมมาประมวลผลได้อย่างไร 

Photo : Shutterstock

ก่อนอื่น Jitta Wealth จะเลือก ETF มาเป็นตัวแทนธีมเมกะเทรนด์ โดยใช้เกณฑ์มูลค่า AUM (Assets Under Management) ที่สูงสุด ค่าใช้จ่ายรวม (Total Expense Ratio) ต่ำที่สุด และมีราคา ETF ต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ

เมื่อเลือก ETF ได้แล้ว จึงเป็นหน้าที่ของเทคโนโลยี AI​ โดยทีมงานจะออกแบบและพัฒนาอัลกอริทึมผ่าน 3 องค์ประกอบ อันแรก คือ การเติบโตของบริษัทใน ETF ดูความแข็งแกร่งของงบการเงิน และประเมินแนวโน้มการเติบโตของรายได้ ส่วนนี้เป็นการต่อยอดแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta

อันที่สอง คือ ผลตอบแทนย้อนหลังของ ETF ดูความเคลื่อนไหวของราคาและผลตอบแทนรายไตรมาส และอันที่สาม คือ ความผันผวนของ ETF โดยใช้ค่าสถิติที่ระบุในเอกสารสรุปข้อมูลส่วนสำคัญ (Fact Sheet) เช่น Standard Deviation – SD (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) และค่าความผันผวนต่อปี (Annualised Volatility) เพราะค่าเหล่านี้ สะท้อนความเสี่ยงที่ผลตอบแทนและราคาของ ETF ในอนาคตจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้

หลังจากที่เทคโนโลยี AI คัดเลือกธีมที่น่าลงทุนที่สุดมาจัดพอร์ต 4 ธีมให้คุณแล้ว จะเป็นหน้าที่ของเทคโนโลยีลงทุนอัตโนมัติมาช่วยรักษาวินัยให้พอร์ตลงทุน ทั้งเปลี่ยนธีมและปรับพอร์ตทุกไตรมาส

นี่คือ กรณีศึกษาจากแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta สู่การบริหารกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth ที่ สะท้อนให้เห็นว่า ‘สมองกล’ ของเทคโนโลยี AI มีอิทธิพลมากในการช่วยคัดเลือกสินทรัพย์ที่น่าลงทุนที่สุด คุณจะเห็นว่า อัลกอริทึมจะถูกพัฒนาขึ้นมาตามหลักการที่โปรแกรมเข้าไป โดยปราศจากอารมณ์และอคติ ต่างจากการใช้ ‘สมองคน’ ของมนุษย์

นอกจากนี้ยังทลายข้อจำกัดการลงทุน สร้างโอกาสทำกำไรให้พอร์ตเติบโต ส่วนเทคโนโลยีลงทุนอัตโนมัติจะช่วยปรับพอร์ตลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ขายสินทรัพย์ที่มีความน่าสนใจน้อยลง และซื้อสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตมากกว่าเข้าพอร์ต

ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้มาช่วยจัดพอร์ตลงทุนและบริหารความมั่งคั่ง คุณจะสัมผัสได้ว่า ชีวิตง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น ผมคิดว่า ต่อไปการแข่งขันในธุรกิจบริหารความมั่งคั่งจะรุนแรงมากขึ้น เพราะแต่ละสถาบันการลงทุนจะทุ่มเงินลงทุนด้าน WealthTech มหาศาล เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดเงินฝากเงินลงทุนที่มีเม็ดเงินหมุนเวียนหลายล้านๆ บาท และแน่นอนว่า เทคโนโลยี AI ในโลกการลงทุนจะล้ำมากขึ้นไปอีกในอนาคต

]]>
1366738