“หนัง 3D” ได้เวลา Take off

จากผลวิจัยของ Pearl & Dean บริษัทด้าน Cinema Advertising พบว่า 34% ของกลุ่มตัวอย่างบอกว่าหนัง 3D เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ตื่นเต้นในการชมภาพยนตร์ 11% บอกว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อและปฏิวัติประสบการณ์ในการชมภาพยนตร์โดยสิ้นเชิง

ขณะที่อีก 41% บอกว่าหนัง 3D มีศักยภาพแต่ยังเป็นกลุ่มที่รีๆ รอๆ ดูว่าจะสร้างประสบการณ์ใหม่ในการชมภาพยนตร์ได้จริงหรือไม่ และมีเพียง 14%เท่านั้นที่มองว่า 3D เป็นเพียงกิมมิกหาใช่สาระสำคัญใดๆ ของหนังไม่

43% บอกว่าหนัง3D ทำให้พวกเขาเข้าถึงคาแรกเตอร์และพล็อตเรื่องมากขึ้น

“หนัง 3D ถูกขับเคลื่อนด้วย Animation และหนังเด็ก แต่เด็กก็ไปดูหนังกับผู้ใหญ่และทำให้ผู้ใหญ่ชื่นชอบและเลือกที่จะดูหนัง 3D อื่นๆ เองในเวลาต่อมา”

Jeffrey Katzenberg ซีอีโอของ DreamWorks เห็นแววของหนัง 3D ว่าจะถึงเวลาเกิดจริงจังเสียทีเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เช่นเดียวกับผู้ผลิตรายอื่นๆ ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ที่เริ่มเล็งเห็นศักยภาพของภาพยนตร์ 3D โดยเฉพาะจากภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง Polar Express ซึ่งมีรูปแบบ 3D ที่พัฒนาเฉพาะสำหรับ IMAX

ที่น่าสนใจคือหนัง 3D ฟอร์มดีแทบทุกเรื่องมีรายได้และกำไรงดงาม เช่น Alice In Wonderland ของทิม เบอร์ตัน ที่ออกฉายในระบบ 3D ได้กำไรเบ็ดเสร็จ 265.4 ล้านเหรียญฯ หนัง 3D ยังทำให้ตัวเลขใน Box Office พุ่งสูงขึ้นอย่างสวยงาม

ขณะที่ในปี 2552 นั้น 60%ของยอดขายตั๋วของหนังเรื่อง Monsters V Aliens ของค่ายนี้มาจากภาพยนตร์ที่ฉายในระบบ 3D

และจากนี้ไป Jeffrey บอกว่า ภาพยนตร์ทุกเรื่องของค่าย DreamWorks จะผลิตออกมาเป็น 3D ทั้งหมด โดยในปี 2553 นี้มีอย่างน้อย 3 เรื่องคือ Shrek Forever After, How To Train Your Dragon และ Megamind

ด้านดิสนีย์ก็มีแผนที่จะสร้างหนัง 3D ราว 22 เรื่องภายในปี 2554 นี้ ส่วนพิกซาร์เองก็เตรียมลงทุนสร้างหนัง 3D แบบเต็มสูบเช่นเดียวกัน

แม้โดยเฉลี่ยแล้วหนัง 3D จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากปกติอย่างน้อย 10 ล้านเหรียญ และอาจพุ่งสูงถึง 150 ล้านเหรียญเลยทีเดียว แต่กำไรที่หอมหวานกว่าเดิมก็คุ้มค่าที่จะลงทุน

ดังนั้นทั้งค่ายหนัง โปรดิวเซอร์ และสายหนังต่างเป็นปลื้มกันถ้วนหน้ากับรายได้ต่อเรื่องต่อโรงที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเป็นความชอบธรรมที่จะขายตั๋วในราคาแพงขึ้น ซึ่งผู้บริโภคส่วนหนึ่งยอมรับได้เนื่องจากเป็นการจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อประสบการณ์และอรรถรสที่แตกต่าง

ในสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะมีจอ 3D กว่า 3,000 เมื่อปี 2552 ทำให้เจ้าของโรงหนังแห่กันลงทุนเพิ่มเนื่องจากเห็นตัวเลขรายได้ที่แตกต่างและชัดเจน ขณะที่อีเวนต์ต่างๆ จะพุ่งตรงเข้าไปยังโรงภาพยนตร์มากขึ้น เพื่อใช้ระบบ 3D ในการถ่ายทอด ให้เกิดประโยชน์ที่แปลกใหม่และแตกต่างและเพิ่ม Value ให้กับคอนเทนต์ของตัวเอง

ขณะที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ปี 2552 ยังเลือกเปิดงานด้วยภาพยนตร์ 3D เรื่อง Up
แสดงให้เห็นว่าทั่วโลกต่างตื่นตัวและอ้าแขนรับหนัง 3D กันอย่างเอิกเริก

มีการวิเคราะห์กันมากว่า จะมีนักแสดงหน้าใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกมาก เพื่อลดต้นทุนของหนังที่เอาไปโปะใส่ 3D หมด ซึ่งเชื่อว่าหากฝีมือไม่น่าเกลียดจนเกินไป คนดูก็พร้อมที่จะรื่นรมย์กับเรื่องราวและเทคโนโลยี 3D อย่างเต็มใจ

นอกจากนี้เทรนด์ที่กำลังมาแรง คือ หนังยอดนิยมที่ประสบความสำเร็จใน Box Office จะถูกนำกลับมา Reformat เป็น 3D มากขึ้น เช่น The Lord of the Rings และ Star Wars เป็นต้น

ในอนาคต 3D จะได้รับความนิยมมากขึ้นหากพัฒนาให้สามารถรับชมได้โดยไม่ต้องใช้แว่นตา ขณะที่เด็กๆ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ 3D มาก่อน จะเป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ 3D เติบโต เนื่องจากไม่เคยสัมผัสกับ 3D ที่ไม่สมบูรณ์มาก่อนทั้งจอและแว่นตาซึ่งทำให้ผู้ใหญ่หลายคนเข็ดขยาดและเลือกที่จะอยู่ในโลก 2D อันคุ้นเคยต่อไปเช่นเดิม

ขณะที่ในไทยยังต้องควานหา Tipping Point ที่จะทำให้ค่ายหนังกล้าที่จะลงทุนสร้างภาพยนตร์ในระบบ 3D กันให้คึกโครมเหมือนในฮอลลีวู้ด

ส่วนในเอเชียก็คึกคักไม่แพ้กัน ญี่ปุ่นมีภาพยนตร์เรื่อง The Shock Labyrinth ซึ่งเป็นภาพยนตร์สยองขวัญ 3D เรื่องแรกของเอเชีย จากผู้กำกับ Ju-On ด้านเกาหลีใต้กำลังรุกตลาดหนัง 3D อย่างจริงจังโดยการสนับสนุนของรัฐบาล ภายใต้ชื่อ Big I Entertainment นอกจากนี้ยังมีบริษัทอื่นๆ อีก เช่น Vision 3 International และ CJ Power Cast