อัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มชะลอลง … เพิ่มทางเลือกให้กับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ

ท่ามกลางความหวั่นวิตกของหลายฝ่ายต่อปัญหาวิกฤติในภาคการเงินของสหรัฐฯ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทย ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจไทยล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2551 บ่งชี้การชะลอตัวแทบทุกด้าน ทั้งการบริโภค การลงทุน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การส่งออกซึ่งชะลอตัวลงไปค่อนข้างมาก แต่สัญญาณบวกอย่างหนึ่งที่ปรากฏคือ แรงกดดันราคาสินค้าที่ชะลอลง เห็นได้จากตัวเลขเงินเฟ้อของเดือนกันยายน 2551 ที่กระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศเมื่อวานนี้ (วันที่ 1 ตุลาคม 2551) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงได้วิเคราะห์สถานการณ์แนวโน้มภาวะเงินเฟ้อในระยะเดือนถัดๆ ไป โดยมีประเด็นสำคัญ ต่อไปนี้

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกันยายนที่ผ่านมา อยู่ที่ร้อยละ 6.0 (Year-on-Year) ชะลอลงจากร้อยละ 6.4 ในเดือนก่อนหน้า ต่ำที่สุดในรอบ 5 เดือน และต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่ร้อยละ 6.2 ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนนี้อยู่ที่ร้อยละ 2.6 ชะลอลงจากร้อยละ 2.7 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งต่ำกว่าเพดานกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ที่ร้อยละ 0.0-3.5) ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2

 การปรับตัวลดลงของอัตราเงินเฟ้อเดือนนี้ เป็นผลมาจากราคาข้าวและธัญพืชลดต่ำลง ขณะที่ราคาในหมวดยานพาหนะและน้ำมันเชื้อเพลิงปรับลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก อย่างไรก็ดี ราคาอาหารสดประเภทผักและผลไม้ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม ประกอบกับเป็นช่วงปลายฤดูกาล จึงส่งผลให้ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของเดือนกันยายน 2551 เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม (Month-on-Month) สูงขึ้นร้อยละ 0.2 สำหรับค่าเฉลี่ยของอัตราเงินเฟ้อในไตรมาสที่ 3 ปี 2551 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 7.3 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 3.0 ลดลงจากในไตรมาสที่ 2 ที่อยู่ที่ร้อยละ 7.5 และ 2.8 ตามลำดับ

 ทั้งนี้ แนวโน้มเงินเฟ้อในระยะเดือนถัดๆ ไป แม้ว่าในเดือนตุลาคมจะมีปัจจัยหนุนให้ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า (Month-on-Month) จากผลของราคาอาหารสดที่สูงขึ้น เนื่องจากพืชผลเสียหายจากภาวะน้ำท่วม ทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย รวมทั้งเป็นช่วงเทศกาลกินเจ ทำให้มีความต้องการบริโภคพืชผลประเภทผักสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราเงินเฟ้อ (Y-o-Y) น่าจะยังคงปรับตัวลดลง โดยส่วนหนึ่งเป็นผลของฐานเปรียบเทียบที่สูงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน ขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มชะลอตัว โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนตุลาคมจะต่ำลงมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 5.4-5.7 และอาจชะลอลงอีกในช่วง 2 เดือนสุดท้าย ถ้าราคาน้ำมันยังคงทรงตัวใกล้เคียงกับปัจจุบัน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานน่าจะรักษาระดับใกล้เคียงกับเดือนล่าสุดที่ประมาณร้อยละ 2.6 (ต่ำกว่าเพดานกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย) ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของทั้งปี 2551 อาจอยู่ที่ประมาณร้อยละ 6.2 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 2.5 โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยของปี 2550 ที่ผ่านมา ซึ่งเท่ากับร้อยละ 2.3 และ 1.1 ตามลำดับ

ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลงนับได้ว่าเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจ ทั้งในด้านภาระค่าครองชีพที่ลดลงน่าจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายของผู้บริโภค ขณะที่ในด้านการดำเนินนโยบายการเงิน ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกที่เผชิญปัญหาวิกฤตการณ์การเงินครั้งรุนแรงของสหรัฐฯ และกำลังลุกลามมาสู่ภูมิภาคยุโรป ทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้าที่อาจจะชะลอตัวลงลึกและยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ แรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลงนี้ จะทำให้ทางการมีทางเลือกในเชิงนโยบายมากขึ้นเพื่อรับมือกับความผันผวนภายนอกประเทศ ที่อาจจะส่งผลกระทบสะท้อนมาสู่ภาคธุรกิจส่งออก รวมทั้งตลาดเงินตลาดทุนของไทย

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญที่ยังคงต้องติดตามก็คือ สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก ที่แม้ว่าจะได้ปรับตัวลง แต่เป็นที่สังเกตว่าราคาน้ำมันเคลื่อนไหวในลักษณะที่มีความผันผวนสูง เนื่องจากทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก ณ ขณะนี้ ไม่เพียงแต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยในด้านอุปสงค์เพียงอย่างเดียว แต่ยังผันแปรตามมุมมองของตลาดการเงินที่มีต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์ฯ นอกจากนี้ ยังต้องติดตามทิศทางราคาสินค้าเกษตร ที่ภาวะน้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมาได้สร้างความเสียหายต่อพื้นที่การเกษตร ประมงและปศุสัตว์ ซึ่งหากสถานการณ์ภัยธรรมชาติยังคงดำเนินต่อไป ก็อาจเป็นตัวแปรให้ราคาสินค้าเกษตรกลับไปมีระดับสูงขึ้นได้ 