วิดีโอ เกม กับ หนัง สองธุรกิจคู่หู

วิดีโอเกมกับหนังมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกันมานานแล้ว เพราะวิดีโอเกมนั้นก็เหมือนภาพของหนังแฟนตาซี หรือหนังการ์ตูน จากหนังจึงเป็นวิดีโอเกม หรือจากวิดีโอเกมกลายเป็นหนัง หรือเกิดคู่กันทั้งหนังและวิดีโอก็ได้ ช่วยประหยัดการสร้างสรรค์เรื่อง และช่วยกันขยายตลาดให้กว้างขึ้นมาก

วิดีโอเกมที่ขายดีที่สุดในโลก บันทึกว่าคือ เกม Tomb Raider เกมนี้ทำเป็นหนัง ในปี 1996 โดยให้แองเจลิน่า โจลี่ เล่นเป็นสาวทูมบ์ ไรเดอร์ ทูมบ์ ไรเดอร์ เป็นการต่อสู้ในผจญภัยสถานที่ลึกลับ คล้ายๆ กับอินเดียน่า โจนส์ แต่ให้ตัวเอกเป็นผู้หญิง ภาคแรกของหนังก็ขายดีเหมือนเกม แต่ภาคต่อมารายได้แย่ลงมาก

ค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่างวอร์เนอร์ บราเธอร์ส มีบริษัท วอร์เนอร์ บาร์เธอร์ อินเตอร์แอคทีฟ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ เพื่อเอาดีในตลาดนี้ จากทรัพยากรภาพยนตร์ที่มีอยู่แล้ว เช่นล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ได้เซ็นสัญญาให้บริษัท อีเลคทรอนิค อาร์ทส พัฒนาวิดีโอ เกมจากภาพยนตร์ Batman Begins โดยมีการนำตัวนักแสดงจริงมาเป็นบุคลิกในเกม เพื่อให้วางขายพร้อมกับที่หนังแบทแมนภาคใหม่ออกฉาย

ที่จริงแล้ว วอร์เนอร์ บราเธอร์ส เคยสนใจตลาดวิดีโอ เกมมากกว่านี้ ขนาดที่ว่าในปี 1976 เคยซื้อบริษัท อาตาริไว้ แต่ภายหลังก็ขายไป

สำหรับ Electronic Arts เป็นรายเดียวกับที่พัฒนาวิดีโอ เกม The Godfather ซึ่งจัดงานเปิดตัวไปที่แหล่งก็อดฟาเธอร์ ย่านลิตเติล อิตาลี ในเมืองนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์นี้ โดยบริษัทเกมได้เซ็นสัญญากับดาราก็อดฟาเธอร์คือ เจมส์ คาน และโรเบิร์ต ดูวอลล์ เพื่อใช้บุคลิกและเสียง เล่นเป็นลูกสมุนของมาร์ลอน แบรนโด ที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งได้เซ็นสัญญามอบให้บริษัทใช้บุคลิกและอัดเสียงของเขาประกอบเกมไว้ก่อน บริษัทยังซื้อสิทธิ์ซาวนด์แทร็กจริงของหนังมาใส่เกมด้วย ส่วนสิทธิในการสร้างเลียนภาพยนตร์นั้นก็ซื้อจาก บริษัทพาราเม้าท์ พิกเจอร์

อีเอ บริษัทจากอังกฤษ ยังได้รับสิทธิจากวอร์เนอร์ บราเธอร์ เป็นผู้สร้างวิดีโอ เกมจากภาพยนตร์แฟนตาซีชุดดังแห่งยุคคือ Harry Potter โดยให้ตัวเกมมีบุคลิกเหมือนคนในหนังด้วย กำหนดออกวางเกมแบบนี้ชุดแรก พร้อมกับหนังตอนที่สี่ Harry Potter and the Goblet of Fire ในเดือนพฤศจิกายนนี้

ล่าสุดก็ซื้อสิทธิการสร้างวิดีโอเกม จากหนังเจมส์ บอนด์ ตอน From Russia With Love โดยซื้อบุคลิกและเสียงของฌ็อน คอนเนอรี่ กำหนดวางตลาดก่อนปลายปีนี้ โดยเกมให้เล่นได้ทั้งบนเครื่อง PlayStation 2 ของโซนี่ , Xbox ของไมโครซอฟท์ และ GameCube ของบริษัทนินเท็นโด ผู้ผลิตเครื่องเกมสามยี่ห้อหลัก

นอกจากนั้นเมื่อเดือนมกราคม อีเอยังเซ็นสัญญามูลค่าสูงถึง 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กับสถานีโทรทัศน์กีฬา ESPN เพื่อซื้อเนื้อหาของรายการ อาทิ X-Game เพื่อทำเป็นเกม ในระยะเวลา 15 ปี

อีเอ ตอนนี้เข้ามาเป็นเจ้าตลาดรายใหญ่ อันดับหนึ่งของตลาดแทนที่บริษัท Eidos จากอังกฤษ ซึ่งเคยเป็นเจ้าตลาดด้วยเกม Tomb Raider และ Hitman แต่ล่าสุดสถานะธุรกิจกำลังแย่ลง อับดับสองคือ Take-Two Interactive Software เจ้าของเกมดัง Grand Theft Auto และมีบริษัทเกมรายใหญ่อีกรายคือ Ubisoft จากฝรั่งเศส ที่อีเอเข้าไปซื้อหุ้นไว้ 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นเจ้าของเกม Tom Clancy และ Prince of Persia รวมถึงเกมหนังจากฮอลลีวู้ดเรื่องอื่นๆ อาทิ Alexander, King Kong เมื่อเดือนมกราคมได้เซ็นสัญญากับโซนี่ พิคเจอร์ ทำเกมจากหนังการ์ตูนที่ยังมีไม่มากเรื่องของโซนี่

หนังจากเกมที่ออกมาล่าสุด อาทิ เรื่อง Alone in the Dark ที่สร้างจากเกมเขย่าขวัญบนเครื่องอาตาริ โดยผู้กำกับชาวเยอรมัน Uwe Boll ที่เคยสร้างหนังจากเกมเรื่อง The house of the Dead และไม่ประสบความสำเร็จมาแล้วในปี 2003 เรื่องใหม่นี้นำแสดงโดย คริสเตียน สเลเตอร์ และทารา รีด ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน

เดือนกรกฎาคมนี้ จะมีหนังการ์ตูนเรื่องใหม่ Fantastic Four ซึ่งจะมีวิดีโอเกมออกมาด้วย ตัวหนังสร้างโดยทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ เกมโดยบริษัท แอ็คติวิชั่น เรื่องนี้ยังมีพิเศษที่มีการทำซาวนด์แทร็กหนังและเกมออกมาโปรโมตด้วย โดยเผยแพร่มิวสิกวิดีโอที่มีภาพตัดต่อจากเกมออกทางโทรทัศน์

ไมโครซอฟท์ซึ่งเป็นผู้ผลิตเกมก็ประกาศอยากสร้างหนังจากเกมดังชุด Halo ที่ขายไปได้แล้ว 600 ล้านดอลลาร์นับแต่เปิดตัวเมื่อปี 2001

ผู้กำกับหนังและนักเขียนบทหนังเขย่าขวัญ George A. Romero ก็ได้เซ็นสัญญากับผู้จำหน่ายวิดีโอเกม จากแคนาดา ชื่อ Hip Interactive เพื่อสร้างชุดวิดีโอเกมแบบเขย่าขวัญ ในชื่อว่า series of “George A. Romero Presents” horror games กำหนดวางตลาดก่อนสิ้นปีนี้ โดยเกมแรก บริษัทผู้ทำเกม ชื่อ Kuju Entertainment อยู่ในอังกฤษ จะเปิดเผยเกมแรกในงาน Electronic Entertainment Expo ที่ลอสแองเจลิส เดือนพฤษภาคม เกมอื่นๆ ก็จะไล่หลังตามมา ทั้งนี้จอร์จ บอกว่า จะสร้างตัวละครเขย่าขวัญขึ้นมาใหม่ จากเดิมที่หนังของเขาจะมีตัวเอกเป็นผีดิบ

บริษัท Top Cow Prods. ก็ประกาศสร้างหนังและวิดีโอเกม จากการ์ตูนชุด The Darkness เกมจะจำหน่ายโดยบริษัท Majesco และสร้างเกมโดย Starbreeze

ส่วนเกมสร้างจากหนังนั้น ที่ผ่านมาหนังดังๆ ถูกสร้างเป็นเกมไปแทบหมดแล้ว โดยเฉพาะหนังแฟนตาซี เช่น Star Wars, Jame Bond, Terminator, Spider man, The Lord of the Ring และถึงแม้ว่าจะมีตัวอย่างมากมายที่เกมสร้างจากหนังฮิต หรือหนังสร้างจากเกมฮิต ไม่ประสบความสำเร็จในอีกตลาด แต่ฮอลลีวู้ด และวิดีโอเกมก็มีความสัมพันธ์กันเสมอ

ล่าสุดซึ่งทำให้ผู้บริหารบริษัทบันเทิงคึกคัก และกำลังสนใจตลาดเกมมากขึ้น เพราะความสำเร็จจากหนังเป็นเกม ที่เกิดกับ Pixar Animation Studios ของสตีฟ จ๊อบส์ ซึ่งเป็นเจ้าแห่งสตูดิโอการ์ตูนรายใหม่ของโลก โดยถึงต้นปีที่ผ่านมา บริษัท THQ Inc. ซึ่งเป็นผู้ทำวิดีโอเกมจากหนังการ์ตูนของบริษัท ขาย Finding Nemo ไปแล้ว 7 million ชุด และขายเกมมาใหม่จากหนังเรื่อง The Incredibles ได้ 4 ล้านชุด

จากสถิติแล้วมีเกมเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ที่ทำยอดขายได้ถึงล้านชุด แต่ค่าทำเกมนั้นอยู่ที่ 3-40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้วแต่ความซับซ้อนของเกม ขณะที่ค่าทำหนังนั้นอยู่ที่ประมาณ 70 ล้านดอลลาร์

สำหรับตลาดเกมรวมนั้นใหญ่ไม่ใช่น้อย คือ มูลค่าทั่วโลกสูงถึง 24.5 พันล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะโตถึง 55 พันล้านในปี 2008