ซานฟรานซิสโกอาจจัดเก็บภาษีเทคโนโลยี หรือ Tech Tax จากบริษัทเทคโนโลยีเช่น กูเกิล (Google) ทวิตเตอร์ (Twitter) อูเบอร์ (Uber) Airbnb ฯลฯ ที่มาตั้งสำนักงานใหญ่ในซิลิคอนวัลเลย์ โดยมีแผนจะนำภาษีที่เก็บได้นั้น ไปช่วยเหลือคนยากจน เนื่องจากพบว่า การขยายตัวของธุรกิจเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ทำให้นครซานฟรานซิสโก กลายเป็นเมืองที่ผู้มีรายได้ต่ำ หรือรายได้ปานกลางไม่สามารถอาศัยอยู่ได้แล้วในปัจจุบัน
โดยแนวคิดดังกล่าวจะเรียกเก็บภาษี 1.5 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 120 ล้านเหรียญสหรัฐ จากรายได้ประจำปี ไปช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย และบริการต่างๆ สำหรับกลุ่มโฮมเลสที่ ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง ซึ่งร่างกฎหมายดังกล่าวจะถูกโหวตว่าจะได้ใช้หรือไม่ในเดือนพฤศจิกายนนี้ และในปัจจุบัน นครซานฟรานซิสโกถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่ประชากรมีความไม่เท่าเทียมกันสูงที่สุดเมืองหนึ่งของสหรัฐอเมริกาไปแล้วเรียบร้อย
เหตุที่ได้ชื่อดังกล่าว เพราะว่าภายในเมืองแม้จะมีบ้านราคามากกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ มากถึง 57.4 เปอร์เซ็นต์ของบ้านทั้งหมด แต่นครซานฟรานซิสโกก็มีคนไร้บ้านที่ต้องอาศัยเต็นต์นอนข้างถนนในยามค่ำคืนหลายร้อยคนเช่นกัน
แถมในแต่ละสัปดาห์จะมีเรื่องชวนตะลึงเกิดขึ้นในซานฟรานซิสโกอยู่บ่อยครั้ง ยกตัวอย่างเช่น ผู้เช่าที่ในนอร์ธบีชรายหนึ่งที่ถูกแจ้งให้ทราบว่า ค่าเช่าที่เขาต้องจ่ายเดือนละ 1,800 เหรียญสหรัฐ ถูกเปลี่ยนเป็น 8,000 เหรียญสหรัฐ
“การที่มีบริษัทเทคโนโลยีมาเติบโตในเมืองของเรา ได้ส่งผลกระทบต่อเมืองแล้ว ห้าปีหลังจากการเติบโตดังกล่าว คงถึงเวลาที่ซานฟรานซิสโกจะต้องขอให้บริษัทเทคโนโลยีเหล่านั้นต้องจ่ายค่าตอบแทนบ้าง” Eric Mar ผู้ร่างกฎหมายดังกล่าวเผย
อย่างไรก็ดี แนวคิด Tech Tax ได้ทำให้คนในเมืองเองแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรก คือ กลุ่มที่มองว่า เทคโนโลยี คือ ตัวช่วยให้ธุรกิจท้องถิ่นได้เติบโต และทำให้คนที่รวยอยู่แล้วยิ่งรวยขึ้น ส่วนอีกกลุ่มนั้นมองว่า บริษัทเทคโนโลยีคือผู้บุกรุก และต้องรับผิดชอบที่ทำให้วัฒนธรรมบางอย่างของคนร่ำรวยในอดีตต้องสูญสลายไป รวมถึงทำให้วงการอสังหาริมทรัพย์ของซานฟรานซิสโกเข้าขั้นวิกฤตด้วย
“พวกเขาสามารถจ่ายให้พนักงาน 25,000 เหรียญสหรัฐต่อปี ไปกับสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น นวดผ่อนคลาย ฟรีเบียร์ได้ แต่คงดียิ่งขึ้นหากพวกเขาสามารถจ่ายสัก 1,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อช่วยคนที่เหลือในซานฟรานซิสโกให้อยู่รอดได้ด้วย” Feng Kung ผู้จัดงาน Jobs with Justice และแสดงตนว่า เห็นพ้องกับการจัดเก็บภาษีเทคโนโลยีกล่าว
แม้ว่าบริษัทเทคโนโลยีจะมีมูลค่ากันหลายหมื่นหลายแสนล้าน แต่การจัดเก็บภาษีดังกล่าวก็ทำให้เกิดความกังวลเช่นกันว่า จะทำให้บริษัทเทคโนโลยีเหล่านั้นหันไปตั้งสำนักงานใหญ่ในรัฐอื่นแทนหรือไม่ ซึ่งหากมีการย้ายฐานก็อาจทำให้ฟองสบู่ของภาคอสังหาริมทรัพย์ในซานฟรานซิสโกแตกดังโพละ และเกิดปัญหาครั้งใหญ่ตามมาก็เป็นได้
ที่มา: http://www.manager.co.th/cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000066265