ASTV “รสจัด… ชัดในจุดยืน”

ขึ้นชื่อว่าทีวีไทย โดยเฉพาะฟรีทีวี แต่ไหนแต่ไรก็มีสภาพกึ่งหน่วยงานในการดูแลของรัฐบาล เพราะต้องมีเรื่องสัมปทานมาเกี่ยวข้อง บางช่องเช่น 11 หรือ NBT ก็อยู่ภายใต้กรมประชาสัมพันธ์ภายใต้รัฐบาลอย่างชัดเจน การเสนอข่าวโดยเฉพาะข่าวการเมืองซีกรัฐบาลนั้นก็คล้ายมีเพดานบางอย่างมากั้นไว้ โดยเฉพาะในสมัยรัฐบาลที่รวมศูนย์ทั้งอำนาจและทุนอย่างสมัยอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร หรือในยุครัฐบาล “พลังประชาชน” อย่างทุกวันนี้

แต่แล้วเมื่อ 3 ปีก่อนก็มีทีวีดาวเทียมช่องหนึ่งชื่อ ASTV มาทำลายเพดานนี้ลงไปในเวลาไม่นาน สร้างมาตรฐานข่าวการเมืองใหม่ ที่ฉะและแฉฝ่ายรัฐบาล ไปพร้อมกับวาง Positioning ตัวเองเป็นศูนย์กลางระดมมวลชนที่ไม่อาจจะทนกับข่าวทุจริตต่างๆ และท่าทีบางอย่างที่มีต่อสถาบันสำคัญของบุคคลใน “ระบอบทักษิณ” และกลายมาเป็นอีกแกนสำคัญในการเผยแพร่ข่าวสาร ของการเคลื่อนไหวต่างๆ ของขบวนการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ในช่วงตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

สมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย ได้เคยรายงานตัวเลขว่า ปัจจุบันมีคนดูรายการทีวีผ่านเคเบิลถึงราว 20 ล้านคนทั่วประเทศ และเคเบิลท้องถิ่นเหล่านี้ต่างก็เป็นสมาชิกรับช่วงสัญญาณเอเอสทีวีไปแบบฟรีๆ ดังนั้น ตัวเลขนี้เองที่บ่งชัดว่าฐานสมาชิกคนดูช่องรายการ ASTV นั้นมีมากนับสิบล้านคน และยังมีผู้ที่รับชมทางอินเทอร์เน็ต ผ่านเว็บผู้จัดการ www.manager.co.th อีกวันละหลายแสนคนทั่วโลก

จุดแจ้งเกิดความดังของ ASTV ปะทุขึ้นเมื่อรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ถูกถอดจากฟรีทีวีช่อง 9 อสมท ในปี พ.ศ.2548 จึงต้องย้ายกลับมาลงสถานีดาวเทียมอย่างเอเอสทีวี แต่แทนที่จะเงียบลงกลับทวีความดังยิ่งกว่าสมัยอยู่ฟรีทีวี และยิ่งเมื่อสนธิ ลิ้มทองกุล นำรายการขยายไปจัดยังหอประชุมเล็กธรรมศาสตร์ สู่หอประชุมใหญ่ และสวนลุมพินี ขยายผลไปเป็นการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ มาถึงทุกวันนี้

“เรือธง” ที่ทรงอิทธิพลของเอเอสทีวีจึงเป็นช่องข่าวที่ชื่อว่า News1 ที่แตกต่างจากทีวีทั้งหลาย โดยแสดงออกชัดในการเลือกข้างตรงข้ามกับความไม่ถูกต้องทั้งมวลภายใต้ระบอบทักษิณ แต่อย่างไรก็ตาม จิตตนาถ ลิ้มทองกุล ซีอีโอเครือผู้จัดการซึ่งรวมถึงเอเอสทีวี ได้นิยามความกล้าของเอเอสทีวีไว้มากกว่านั้น คือ “เรากล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล และยังรวมถึงกล้าที่จะตรวจสอบฝ่ายค้านด้วย”

อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เอเอสทีวีโด่งดังรวดเร็วและทรงอิทธิพลได้ในแค่ไม่กี่ปี ก็เพราะเนื้อหาเชิงตรวจสอบเหล่านี้ถูกนำเสนอแบบ “รสจัด” ชนิดที่ผู้อำนวยการสถานีอย่าง ประเมนทร์ ภักดิ์วาปี ผู้อำนวยการสถานี ASTV นิยามว่า “ถ้าใครดูเรา แล้วไปดูข่าวฟรีทีวี จะรู้สึกจืดไปเลย”

แต่จุดแข็งในด้านความกล้าหาญ เจาะลึก ของเอเอสทีวีนั้น ในอีกด้านก็เป็นจุดอ่อนในเรื่องที่ถูกกลุ่มธุรกิจบางรายมองว่าการลงโฆษณากับ ASTV อาจมีความเสี่ยงที่จะถูกกดดันจากธุรกิจและกลุ่มทุนที่เกี่ยวข้องกับ “ระบอบทักษิณ”

แต่แม้จะสุ่มเสี่ยงเช่นนี้ ก็ยังมีทั้งธุรกิจใหญ่ที่มั่นใจในความมั่นคง ไปจนถึงธุรกิจเล็กๆ ที่หาญชูธงกู้ชาติ กล้าที่จะเข้ามาสนับสนุนลงโฆษณากันหลากหลาย ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นผู้อำนวยการสถานีอย่างประเมนทร์อธิบายว่า เพราะค่าเช่าเวลาโฆษณาของที่นี่ เมื่อคำนึงถึงยอดคนดูมหาศาล ยังถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับสื่อทีวีไม่ว่าระบบใด รูปแบบไหน

วันนี้ที่ ASTV ขึ้นปีที่ 4 ก็มีจุดเปลี่ยนแห่งโอกาสอีกครั้ง จากความชัดเจนที่ได้ตกลงกับสมาคมเคเบิลทีวีไทย ที่จะใช้เบอร์ช่อง 31 ถึง 36 ไปทุกจังหวัด AC Nielsen จึงขยับพร้อมมาวัดเรตติ้งคนดูให้ จากที่ก่อนนี้มองข้ามเอเอสทีวีไปด้วยเหตุผลว่าแต่ละจังหวัดช่องต่างกัน ตรวจวัดยาก โดยจะไล่ตั้งแต่ 31 เป็นช่องข่าว News1 ถัดจากนั้นก็เป็น TOC, HappyVariety, อีสาน และช่องเถ้าแก่

เมื่อเข้าสู่ระบบตรวจวัดเรตติ้งเหมือนฟรีทีวีทั่วไป โอกาสที่โฆษณาทั้งหลายจากเอเยนซี่ใหญ่ๆ ที่กุมเม็ดเงินมหาศาลจะไหลเข้ามาตามยอดคนดูที่รอพร้อมอยู่ ก็เปิดกว้างออก

ทุกวันนี้ ASTV ยังออกอากาศไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครอบคลุมถึง 26 ประเทศ เช่น ลาว กัมพูชา มาเลเซีย เวียดนาม อินเดียตะวันออก ฮ่องกง จีนตอนใต้ เพื่อให้คนไทยในต่างแดนได้ดูด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดใหม่สำคัญของ ASTV นั้นอยู่ที่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งสนธิและพิธีกรข่าวหลายๆ คนต้องแวะเวียนไปจัดเสวนา และมีผู้ฟังจากชุมชนคนไทยมาต้อนรับคับคั่งเสมอ ซึ่งล่าสุด ASTV ก็ได้เปิดช่องใหม่สำหรับกลุ่มเป้าหมายนี้โดยเฉพาะ

ล่าสุดที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกลับมาสำแดงบทบาทอย่างเข้มแข็งอีกครั้ง สถานีข่าวอย่าง ASTV News1 ก็เป็นกลไกสำคัญที่จะผนึกกันเพื่อทั้งนำเสนอข่าว ผลักดันอุดมการณ์ และสานต่อภารกิจทางการเมืองต่อไป เช่นเมื่อใดที่กลุ่มพันธมิตรฯ มีแถลงการณ์ บรรดาสื่อจากทุกช่องทุกสำนักมาทำข่าวกันแน่นขนัด แต่ก็จะมีเพียงเอเอสทีวีนิวส์วันที่ผู้สนใจติดตามจะได้ดูสดทันทีและโดยตลอด