สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เผยผลสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ปี 2559 มีการใช้อินเทอร์เน็ตผ่านทั้งโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ เฉลี่ย 6.4 ชั่วโมง/วัน หรือ 45 ชั่วโมง/สัปดาห์
โดยเพศที่สาม และ Gen Y เป็นกลุ่มที่มีการใช้อินเทอร์เน็ตโดยเฉลี่ยสูงที่สุด อยู่ที่ 48.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และ 53.2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ตามลำดับ
สมาร์ทโฟนยังคงเป็นอุปกรณ์หลักที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตนิยมใช้ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยมีจำนวนผู้ใช้งาน 85.5% และมีจำนวนชั่วโมงการใช้งานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 6.2 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งทั้งจำนวนผู้ใช้งานและจำนวนชั่วโมงการใช้งานของปีนี้สูงกว่าปีที่แล้ว 9% โดยในปี 2558 มีจำนวนผู้ใช้งานร้อยละ 82.1 และมีจำนวนชั่วโมงการใช้งานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5.7 ชั่วโมงต่อวัน
4 โมง-8 โมง ฮิตใช้สมาร์ทโฟน
การใช้งานอินเทอร์เน็ตแบ่งตามอุปกรณ์จะมีช่วงเวลาการใช้ต่างกัน อย่างคอมพิวเตอร์จะนิยมใช้ช่วงเวลาเรียน/ทำงาน หรือช่วง 08.01 – 16.00 น. ขณะที่ช่วงเวลาหลังเลิกเรียน/ทำงานจนถึงเช้า 16.01 – 08.00 น. มีการใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน
โซเชียลมีเดียยังนิยม
กิจกรรมยอดนิยม 5 อันดับแรกที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตนิยมทำผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ ได้แก่ การพูดคุยผ่าน Social Network 86.8% รองลงมา เป็นการดูวิดีโอผ่าน YouTube 66.6% การอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ 55.7% การค้นหาข้อมูล 54.7% และการทำธุรกรรมทางการเงิน 45.9% ตามลำดับ
ยูทิวบ์ฮิตสุดในโซเชียลมีเดีย
ในส่วนของสื่อโซเชียลมีเดียยอดนิยม 3 อันดับ ได้แก่ YouTube มีผู้ใช้งานมากถึง 97.3% รองลงมา คือ Facebook และ LINE มีผู้ใช้งานคิดเป็น 94.8% และ 94.6%
โดยกลุ่มที่ใช้งาน YouTube มากที่สุดได้แก่ เจน Y และ เจน Z คิดเป็น 98.8% และ 98.6% ขณะที่ 2 กลุ่มนี้ใช้ Facebook คิดเป็น 97.9% และ 93.8% ตามลำดับ เป็นอันดับ 2 ส่วนอันดับ 3 คือ LINE คิดเป็น 97.2% และ 91.4%
ในขณะที่ LINE เป็นแอปพลิเคชันที่กลุ่ม Baby Boomer และ เจน X นิยมใช้มากที่สุด คิดเป็น91.5% และ 96.2% รองลงมา คือ YouTube คิดเป็น 89.3% และ 95.3% ส่วนอันดับ 3 คือ Facebook คิดเป็น 86.5% และ 93.9%
คนใช้เฟซบุ๊กแอคทีฟมากที่สุด
แค่เมื่อทำการสำรวจด้านความถี่ในการใช้งานสื่อออนไลน์แต่ละประเภท พบว่า Facebook ยังคงเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่มีการใช้งานบ่อยที่สุดเป็นอันดับ 1 รองลงมา เป็น LINE และ YouTube โดยมีสัดส่วนของผู้ใช้งาน คิดเป็น 84.2%, 82% และ 76.9% ตามลำดับ