จากที่มีรายงานว่า ซัมซุง แกแล็กซี่ โน้ต 7 ล็อตใหม่ที่นำมาเปลี่ยนนั้น เกิดปัญหาความร้อนจัด และแบตเตอรี่หมดไว ล่าสุด ทาง CNN ได้มีรายงานการระเบิดของสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวขึ้นอีกแล้ว ขณะที่ฟากบริษัทผู้ผลิตก็ยังเดินหน้าเปลี่ยนเครื่องล็อตใหม่ ซึ่งในปัจจุบันเปลี่ยนไปได้เกินครึ่งแล้วทั่วโลก
สำหรับการระเบิดนั้น เกิดกับผู้ใช้งานชาวจีนวัย 25 ปีรายหนึ่งชื่อ “Hui Renjie” โดยเขาเปิดเผยว่า ได้สั่งซื้อซัมซุง แกแล็กซี่ โน้ต 7 มาเมื่อวันอาทิตย์ และของได้ส่งมาถึงในวันเดียวกัน อย่างไรก็ดี เมื่อเขาทำการชาร์จไฟเอาไว้ข้ามคืนก็พบว่า เกิดควันไฟ และมีประกายไฟด้วย ซึ่งจากในภาพที่ Hui โพสต์นั้นพบว่า เขาวางสมาร์ทโฟนเอาไว้บนคอมพิวเตอร์แมค ซึ่งผลของการไหม้ได้ทำให้คอมพิวเตอร์ของเขาเสียหายไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งในกรณีดังกล่าว ทางซัมซุง ได้ออกมาแถลงอย่างรวดเร็ว โดยระบุว่า จะติดต่อกับลูกค้ารายดังกล่าว เพื่อตรวจหาสาเหตุของการระเบิดต่อไป
อย่างไรก็ดี ผลจากการระเบิดระหว่างการชาร์จแบตเตอรี่มากกว่า 30 ครั้ง จนทำให้ทางบริษัทซัมซุง ต้องเรียกคืนสินค้าจากทั่วโลกกว่า 2.5 ล้านเครื่อง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐนั้น ก็ยังถือว่าเริ่มคลี่คลายไปได้ในทางที่ดี โดยซัมซุง ได้เผยตัวเลขการเปลี่ยนเครื่องสมาร์ทโฟนแกแล็กซี่ โน้ต 7 (Galaxy Note 7) ว่า ทำได้เกินครึ่งแล้วทั่วโลก ซึ่งสิงคโปร์ เป็นประเทศที่มีอัตราการเปลี่ยนเครื่องสูงสุดที่ 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนยุโรป รั้งท้ายที่ 57 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่สหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้นั้น เปลี่ยนไปได้เท่าๆ กันที่ 60 เปอร์เซ็นต์
ส่วนสมาร์ทโฟนเจ้าปัญหาที่ยุติการจำหน่ายไปในระยะนี้มีกำหนดจะกลับมาวางจำหน่ายใหม่ในวันที่ 28 ตุลาคมนี้แล้วด้วย
นอกจากนี้ ในส่วนของซอฟต์แวร์สำหรับโน้ต 7 ก็ได้มีการอัปเดต โดยรีเซ็ตให้ชาร์จไฟได้เต็มที่เพียง 60 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น
ด้านผลการสำรวจความคิดเห็นของ SurveyMonkey ที่ได้สอบถามความคิดเห็นของผู้ใช้โน้ต 7 จำนวน 507 คน เผยว่า 26 เปอร์เซ็นต์มีแผนเลือกขอเงินคืน และเปลี่ยนไปซื้อไอโฟนแทน ส่วนอีก 21 เปอร์เซ็นต์ก็อาจเปลี่ยนไปใช้ซัมซุงรุ่นอื่น เช่น S7 มีเพียง 18 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น ที่บอกว่าจะใช้สินค้าตัวที่ได้รับเปลี่ยนคืนมา นอกจากนั้น มีถึง 35 เปอร์เซ็นต์ที่บอกว่า พวกเขาอาจเก็บเงินที่ได้รับคืนเอาไว้ แต่ไม่ระบุว่าจะนำไปซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นใดในอนาคตด้วย
ที่มา: http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000097563