Nokia Flyer @สิงคโปร์

“โนเกีย” แบรนด์โทรศัพท์มือถือที่มักเดินสายไปทั่วโลกเพื่อเปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ เฉลี่ยเดือนละ1-2 ครั้ง ตั้งแต่ยุโรป อเมริกา จนถึงเอเชีย กับครั้งล่าสุดที่ถนนสายไอทีต่างมุ่งสู่ “สิงคโปร์” เพื่อชมงานนิทรรศการ “CommunicAsia 2008” แต่ท่ามกลางอีเวนต์ระดับภูมิภาค “โนเกีย” ก็ยังสามารถชิงซีนสร้างสีสันนอกงาน ตอกย้ำความเป็นแบรนด์มือถือเบอร์ 1 ของโลกได้อีกครั้ง

ย่าน Raffles Avenue จนถึง City Hall ใจกลางศูนย์ธุรกิจสิงคโปร์ แหล่งช้อปปิ้ง ดินเนอร์ โรงแรม 5-7 ดาว และแหล่งเรียนรู้ด้านศิลปะ ที่ปกติเต็มไปด้วยคนอินเทรนด์ และวัยรุ่นจำนวนมากอยู่แล้ว แต่ค่ำวันที่ 16 มิถุนายน 2008 ที่ผ่านมาดูจะคึกคักมากเป็นพิเศษ เพราะกลางสนามหญ้า “Padang Park” ปรากฏผ้าใบสีขาวขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นชั่วคราว สานต่อกันเป็นอุโมงค์ จนสะดุดตาผู้ที่สัญจรผ่านไปมา

“โนเกีย” เป็นผู้ชิงซีนชาวสิงคโปร์ในวันนั้น ด้วยอีเวนต์ “Nokia Connection 2008” 16-18 มิถุนายน 2008 ก่อนที่งานระดับภูมิภาค CommunicAsia 2008 จะเปิดตัวเพียง 1 วัน

นี่คือกลยุทธ์ของโทรศัพท์มือถือโนเกียที่ใช้มาโดยตลอด ที่มักปลีกตัวจากฉากใหญ่ ออกมาสร้างฉากเล็กๆ อย่างมีแผน เพื่อให้ได้พื้นที่โปรโมตสินค้า ซึ่งได้ผลมากกว่าการเข้าไปรวมอยู่ในงานนิทรรศการ ที่เต็มไปด้วยแบรนด์ต่างๆ จากทั่วโลก

Nokia Connection 2008 เน้น Positioning ของแบรนด์อีกครั้งว่า โนเกียเป็นโทรศัพท์มือถือที่ตอบสนองกลุ่มลูกค้าทุกเซกเมนต์ เพราะภายใต้อุโมงค์ยักษ์มีการโชว์โนเกียรุ่นใหม่ล่าสุด ตั้งแต่กลุ่ม Eseries ที่เน้นสำหรับการใช้งานได้ทั้งธุรกิจ และชีวิตส่วนตัว, Nseries สำหรับมัลติมีเดียโฟน, XpressMusic มือถือสำหรับคอเพลง, มือถือสำหรับดูทีวี และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ

ไม่ยืดเยื้อนักสำหรับการแถลงข่าวภายใต้อุโมงค์โนเกีย โดยได้ผลที่โชว์เคสในแต่ละมุมของโนเกียบอกชัดเจน
ว่าแต่ละเซ็กเมนต์ของโนเกียเป็นอย่างไร จากการพรีเซนต์ที่เคลียร์ เพราะโนเกียจัดให้นางแบบ นายแบบ แต่งตัว และแสดงไลฟ์สไตล์แบบเห็นชัดเจนว่า หากคุณแต่งตัวอย่างมีสีสัน ชอบฟังเพลงตลอดเวลาต้องใช้ XpressMusic หรือชอบทั้งดูหนัง ฟังเพลง ต้อง Nseries หรือเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ต้อง Eseries ถึงจะเหมาะ

หลายคนถามหา Touch Screen ของโนเกีย แต่ไม่เจอ เป็นคำถามที่ต้องหาคำตอบในการสัมมนาของโนเกียในวันต่อมา

โนเกียยังคงเน้น Positioning คือการยังไม่บุกตลาดโทรศัพท์มือถือแบบ Touch Screen เพราะ “คริส คาร์” รองประธานฝ่ายขายโนเกีย แปซิฟิก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยืนยันว่า ส่วนแบ่งของตลาดโทรศัพท์มือถือแบบสัมผัส ยังมีความต้องการไม่มากในตลาด และแม้ว่า “ไอโฟน” กำลังสร้างกระแสฟีเวอร์ให้กับทัชกรีน แต่โนเกียยังมีข้อได้เปรียบที่มีสินค้าหลากหลายตอบสนองทุกกลุ่มเป้าหมาย แต่ “ไอโฟน” มีเพียงรุ่นเดียวสำหรับกลุ่มเป้าหมายเดียวเท่านั้น

สำหรับรุ่นที่โนเกียเน้นที่สุดในงานนี้คือมือถือในตระกูล Eseries E71 และ E66 เพื่อกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อช่วยการทำงานธุรกิจ ด้วยฟังก์ชันอีเมล “ไมโครซอฟท์ เอกซ์เชนจ์ อีเมล” และ เวิร์ด เอ็กเซล เพาเวอร์พอยท์ พีดีเอฟ และชีวิตส่วนตัว ผ่านอินเทอร์เน็ต และ Ovi มีเดียแชริ่งโดยโนเกียไม่ลืมที่จะพูดถึง”ดีไซน์” ที่เน้นความบาง และวัสดุสเตนเลสสตีล โทนสีโลหะขาว และเทา

“เป็กกา รันทารา” รองประธานอาวุโส ฝ่ายการตลาด โนเกีย แสดงความมั่นใจว่า Eseries ทั้งสองรุ่นจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับ Eseries ประมาณ 10 รุ่นที่วางตลาดตลอด 2 ปีที่ผ่านมา และสามารถทำยอดขายได้รวม 10 ล้านเครื่อง

“Eseries คือ Sub-brand ของโนเกีย แน่นอนการทำตลาดภายใต้แบรนด์แม่ที่แข็งแกร่ง และการมีคุณสมบัติตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ที่มาจากการสำรวจวิจัยเพื่อให้ได้ข้อมูลชัดเจน ทำให้ Eseries เข้าถึงลูกค้าได้ไม่ยาก”

หลังจากบรรยายถึงคุณสมบัติของทั้งสองรุ่นแล้ว โนเกียยังว่าด้วยเรื่อง Ovi ซึ่งเป็นเครือข่ายออนไลน์บนมือถือที่โนเกียพัฒนาขึ้น เพื่อกระตุ้นการใช้งานมือถือให้มากกว่าการใช้โทรศัพท์ส่งเสียงเท่านั้น

Social Network ที่แรงขึ้นโดยโทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์ที่ผลักดันให้เกิดความคึกคัก เพราะโทรศัพท์มือถือทำให้คนในโลกออนไลน์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลา โนเกียยังแสดงให้เห็นโอกาสในการหาโฆษณาบนโทรศัพท์มือถือ เพราะคอนเทนต์ถูกสร้างมากขึ้นจาก Social Network

“มาร์คัส เอส ตัน” Head of Publisher Network, Asia Pacific Nokia Interactive บอกว่า จากการใช้งานของผู้ใช้มือถือที่มีความต้องการหลากหลาย ไม่ว่าจะใช้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เล่นเกม ส่งข้อความ รูปภาพ ทำให้โทรศัพท์มือถือถูกใช้งานหลายวัตถุประสงค์มากขึ้น ซึ่งจากข้อมูลของบริษัทวิจัย Zenith สำรวจพบว่า ปัจจุบันคนใช้โทรศัพท์มือถือนอกเหนือจากเสียงแล้ว จำนวน 52% ใช้อินเทอร์เน็ต, ใช้ส่งข้อความ 12%,ใช้มัลติมีเดีย 30% และอื่นๆ อีก 6% และคาดว่าพฤติกรรมนี้จะทำให้มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมากกว่าคอมพิวเตอร์ และมูลค่าโฆษณาบนมือถือจะสูงถึง 6,880 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2010

สำหรับนักการโฆษณาแล้วสามารถใช้สื่อนี้ด้วยวัตถุประสงค์หลากหลาย ตั้งแต่ Brand Relevant ซึ่งแผนสร้างการรับรู้แบรนด์สินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือจะทำได้อย่างตรงวัตถุประสงค์ เพราะผู้ใช้โทรศัพท์เป็นผู้ควบคุมสื่อด้วยตัวเองในการรับหรือไม่ดูโฆษณา ขณะเดียวกันเจ้าของสินค้ายังสามารถรู้ว่าลูกค้าเป้าหมายดูโฆษณาใด ช่วงไหน และที่ไหน นอกจากนี้ยังใช้สำหรับแคมเปญ Rewarding การรับส่วนลด รางวัลต่างๆ และ Intergrated โฆษณากับคอนเทนต์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โนเกียยังหา “กิมมิก” เพื่อให้นักข่าวจากทั่วเอเชียแปซิฟิกที่บินมาร่วมงานแถลงครั้งนี้ประมาณ 50 คน ทดสอบใช้ทั้งรุ่น E และ Nseries โดยไฮไลต์อยู่ที่ “Singapore Flyer” ชิงช้าสวรรค์ยักษ์ใหญ่ ที่เป็นฝาแฝดกับ London Eye ไม่ผิดเพี้ยน บนอ่าวมารีน่า ซึ่งอยู่ใกล้เจ้าสิงโตพ่นน้ำ Merlion

ลูกเล่นที่ดึงความสนใจของสื่อไทยและเทศมีตั้งแต่ระหว่างทางโรงแรมไป Singapore Flyer คือการทดสอบใช้ GPS ที่เครื่องโนเกียรับสัญญาณ และแสดงข้อมูลโดยผ่านดาวเทียมบอกแผนที่และเส้นทางจราจร จนถึงบนชิงช้ายักษ์ให้ทดสอบถ่ายภาพด้วยกล้องขนาดประมาณ 5 ล้านพิกเซล เพื่อส่งรูปภาพแชร์กันบน Ovi

ปิดงานเรียบร้อยบน Singapore Flyer และเป็นไปตามสไตล์โนเกียที่ไม่ค่อยเปิดเผยตัวเลข ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายยอดขาย หรืองบการทำตลาดเท่าไรนัก และแม้โนเกียจะเล่าเรื่อง Ovi มาแล้วกว่าครึ่งปี แต่ดูเหมือนโนเกียยังต้องพยายามหาสีสันในทุกมุมเพื่อให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น เพราะตลาดโทรศัพท์มือถือมีโจทย์ใหม่ๆ ให้ท้าทายตลอดเวลา ซึ่ง “โนเกีย” ย่อมรู้ดีว่าแม้จะเป็นเบอร์ 1 ของโลกในปัจจุบันก็ไม่อาจประมาทได้

“ซัมซุง” ชน “แอลจี” บนสนาม “CommunicAsia”

สิงคโปร์ ช่วงกลางเดือนมิถุนายนของทุกปี ถือเป็นช่วงคึกคักที่สุดสำหรับธุรกิจไอที สื่อสาร และวิทยุโทรทัศน์ เพราะสิงคโปร์จับจอง Positioning ของประเทศได้สำเร็จ ในการเป็นประเทศ “ไฮเทคโนโลยี” จากการจัดนิทรรศการ CommunicAsia ปีเว้นปี มาเป็นปีละครั้ง จนถึงปี 2008 ช่วง 17-20 มิถุนายน ที่ “สิงคโปร์ เอ็กซ์โป” นับเป็นครั้งที่ 19 แล้ว

แม้จะไม่คึกคักเหมือนช่วงแรกๆ แต่ก็ถือว่าสิงคโปร์เรียกแขกได้พอสมควร เพราะมีบริษัทสิงคโปร์เทเลคอม หรือสิงเทล ยักษ์ใหญ่บริษัทสื่อสารติดอันดับโลก ที่ไปถือหุ้นอยู่ในบริษัทสื่อสารทั่วโลกเป็นแม่เหล็กดึงดูด เมื่อมีงานระดับประเทศ ทั้งพาร์ตเนอร์ผู้ถือหุ้น และซัพพลายเออร์ที่ขายของให้สิงเทลต่างมาร่วมเปิดบูธ ด้วยงบไม่ต่ำกว่าบูธละ 50-100 ล้านบาท บางบริษัทยังใช้โอกาสในการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ จึงทุ่มเต็มที่ พร้อมถือโอกาสเชิญชวนนักข่าวสายไอที สื่อสาร ไปเยี่ยมเยียนบูธของตัวเอง เพื่อให้ได้เป็นข่าวอีกด้วย

CommunicAsia 2008 เห็นได้ชัดคือเกิดศึกของมือถือจากแดนกิมจิ ระหว่างซัมซุง และแอลจี ที่ประชันกันตั้งแต่บิลบอร์ดทางเดินระหว่างสถานีรถไฟฟ้าจนถึงบูธในงาน กลายเป็นจุดที่มีผู้ชมมากที่สุดในฮอลล์ ด้วยสีสันของบูธ และมือถือหลากหลายดีไซน์ และฟังก์ชัน เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนๆ แล้วเกาหลีชนะขาดญี่ปุ่น เพราะบูธที่เคยดึงผู้ชมได้มากอย่างเอ็นทีทีโดโคโม จากญี่ปุ่น ปีนี้กลับทำไม่ได้มาก แม้โดโคโมมีการเน้นตัวอักษรโตๆ ว่า 4 จี แต่การจัดบูธที่ดูไร้สีสัน “4 จี” ก็ยังไม่แรงพอที่จะดึงคนเข้าบูธ

ว่าด้วยเรื่องบริษัทจากเกาหลี ฟาก “แอลจี” มีความชัดเจนว่าต้องการสร้าง “แบรนด์” ให้ติดตลาดโลกจึงออกรุ่นที่ 3 ของมือถือตระกูลพรีเมียม Black Label Series ที่เน้นดีไซน์ ในราคาสูงกว่า 15,000 บาท ในชื่อรุ่น ซีเคร็ท (Secret) ต่อจากรุ่นพี่อย่างช็อกโกแลต (Chocolate) และไชน์ (Shine) แม้ว่า “ซีเคร็ท” จะมีคุณสมบัติจอสัมผัส แต่ไม่ได้ถูกชูเป็นจุดขายมากนัก เพราะจำกัดเฉพาะการสัมผัสในแอพพลิเคชั่นมัลติมีเดียเป็นหลัก “ซีเคร็ท” จึงมีจุดขายที่ชื่อรุ่น และดีไซน์สีดำหรูเป็นหลักมากกว่า ที่เพียงพอที่จะเป็นแม่เหล็กสำคัญของบูธ เพราะส่วนใหญ่ได้สัมผัสและทดลองใช้

แต่งานนี้ยังถือว่าเสียดายโอกาสแทนแอลจี ที่เก็บมือถือรุ่นอื่นใส่ตู้ล็อกกุญแจอย่างแน่นหนา อย่าง “มือถือนาฬิกา” ที่หลายคนอยากทดสอบ แต่ถูกปฏิเสธ ทำให้เมื่อผู้ชมสามารถไขความลับจาก “ซีเคร็ท” ได้แล้ว ต่างเดินออกกันไปอย่างไม่ลังเล

ห่างออกมาไม่ถึง 10 ก้าวที่บูธตรงข้าม “ซัมซุง” เน้นความเป็น Touch Phone มากกว่าฟังก์ชันอื่นใด ทำให้ผู้คนแห่กันมา “หาประสบการณ์” จากการทดลองใช้เครื่องกันอย่างคึกคัก ซึ่งต้องยอมรับว่า “ซัมซุง” ที่กำลังพยายามพลิกฟื้นมาร์เก็ตแชร์ ทำได้ดีเกินคาดเพราะอานิสงส์อย่างแรงจาก “ไอโฟน” จนเกิดอาการ “Touch Mania” กันอย่างบ้าคลั่ง ทั้งเครื่องจริงที่วางให้ทดลองใช้ กับเครื่องจำลองขนาดใหญ่ที่คนที่ผ่านมาต่างอดใจไม่ได้ต้อง “สัมผัส”

ของแถมจากสิงคโปร์เที่ยวนี้ ที่ได้ชมศึกระหว่าง 2 ยักษ์สื่อสารจากแดนกิมจิ ใน CommunicAsia ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ เพราะปิดท้ายก่อนหลับระหว่างทางเดินออกจากงานเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้ากลับโรงแรม “แอลจี” และ “ซัมซุง” ยังตามมาทิ้งทวน ด้วยบิลบอร์ดขนาดใหญ่ขนาบ 2 ข้างทาง แบบส่งสัญญาณให้รู้ว่าอาจยังมีภาคต่อจาก 2 แบรนด์ยักษ์นี้